https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/issue/feed
วารสารสุทธิปริทัศน์
2025-12-11T10:19:12+07:00
อาจารย์ ดร.ภูมิพัฒณ์ พงศ์พฤฒิกุล
dpujournal@dpu.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารสุทธิปริทัศน์</strong></p> <p><strong>ISSN : 2730-2717 (online) ISSN : 2730-2709 (print)</strong></p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> ปีละ 4 ฉบับ <br />ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม <br />ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน <br />ฉบับที่ 3 สิงหาคม-กันยายน <br />และฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม รวมทั้งฉบับพิเศษ (ถ้ามี)</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ </strong>วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความ ในด้านสังคมศาสตร์ อันได้แก่</p> <p><strong>สาขาวิชา </strong><strong>:</strong><strong><br /></strong>1. บริหารธุรกิจ การจัดการและการบัญชี<br />2. เศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติและการเงิน</p> <p><strong>สาขาวิชาย่อย :<br /></strong>1. ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี<br />2. การจัดการด้านกลยุทธ์และการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ที่เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจ)<br />3. พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์<br />4. เศรษฐศาสตร์ทั่วไป เศรษฐมิติ และการเงินและการบัญชี</p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279977
การมีส่วนร่วมของพนักงานบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานครต่อการบริหารองค์กร ตามแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล)
2025-06-11T09:33:49+07:00
ปฐมพร อนุชิตธนานันท์
66130126@dpu.ac.th
สุรวี ศุนาลัย
suravee.sui@dpu.ac.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของพนักงานบริษัทเอกชนต่อการบริหารองค์กรตามแนวคิด ESG จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และศึกษาอิทธิพลของปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของพนักงานบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานครต่อการบริหารองค์กรตามแนวคิด ESG การวิจัยใช้วิธีเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากตัวอย่างจำนวน 415 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่า t-Test, F-Test (one way ANOVA) การเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยแบบรายคู่ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ที่ระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และอายุการทำงานแตกต่างกันส่งผลต่อการมีส่วนร่วมต่อการบริหารองค์กรตามแนวคิด ESG ที่แตกต่างกัน 2. ปัจจัยภายในองค์กร ได้แก่ การจัดการองค์กร การสื่อสาร และวัฒนธรรมองค์กร มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมต่อการบริหารองค์กรตามแนวคิด ESG และ 3. ปัจจัยภายนอกองค์กร ได้แก่ นโยบายความยั่งยืนของภาครัฐ และภาคมวลชน สื่อประชาสัมพันธ์ มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมต่อการบริหารองค์กรตามแนวคิด ESG ผลวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและแนวทางบริหารองค์กร เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของบุคลากรในองค์กร ในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการสู่องค์กรที่ยั่งยืนตามแนวคิด ESG</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/280818
การศึกษากระบวนการสร้างคุณค่าร่วมกันเพื่อบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า: การปฏิสัมพันธ์ผ่านแชทบอทที่ผสานด้วยปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการอารมณ์และ ความพึงพอใจของผู้ร้องเรียนบนแพลตฟอร์มจัดส่งอาหาร
2025-05-27T10:48:16+07:00
ชุติมา เกศดายุรัตน์
chutima.k@bu.ac.th
<p><strong> </strong>ในภาวะการแข่งขันที่สูงของธุรกิจแพลตฟอร์มจัดส่งอาหาร ทำให้แชทบอทที่ผสานด้วยปัญญาประดิษฐ์สำหรับจัดการข้อร้องเรียนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าร่วมกันกับ งานวิจัยนี้จึงศึกษาและเปรียบเทียบผลการปฏิสัมพันธ์ของแชทบอท ในรูปแบบเน้นอารมณ์ (แชทบอท A) เน้นภาระงาน (แชทบอท B) และไม่มีการปรับแต่งใด ๆ (แชทบอท C) ที่ส่งผลต่ออารมณ์ การรับรู้ และความพึงพอใจของผู้ร้องเรียนผ่านการทดลองแบบวัดผลซ้ำ พบว่า แชทบอท A มีความโดดเด่นกว่าแชทบอท B และแชทบอท C อย่างชัดเจนในด้านการรับรู้ถึงความเข้าใจ การรับรู้ความเป็นมนุษย์ และความพึงพอใจต่อการตอบสนอง ส่วนแชทบอท B มีความโดดเด่นกว่าแชทบอท A และแชทบอท C อย่างชัดเจนในด้านความพึงพอใจต่อแนวทางแก้ไข และสำหรับความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ ความตั้งใจใช้บริการในอนาคต และความพึงพอใจโดยรวมนั้น แชทบอท A และแชทบอท B ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ชี้ให้เห็นว่า แชทบอท A เหมาะสมต่อกระบวนการร่วมสร้าง โดยช่วยให้ผู้ร้องเรียนมีความพร้อมที่จะแบ่งปันข้อมูลต่าง ๆ ผ่านการร้องเรียนได้มากขึ้น ในขณะที่แชทบอท B มีความโดดเด่นในมิติความน่าเชื่อถือ และมิติการให้ความมั่นใจ โดยรูปแบบปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมในแต่ละขั้นตอนของการสร้างคุณค่าร่วมกันตามแบบจำลอง IEPAR เริ่มจากการสื่อสารเน้นอารมณ์แสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์และความผูกพัน ตามด้วยการสื่อสารเน้นภาระงานที่เน้นประสิทธิภาพและข้อเสนอที่ชัดเจนควบคู่ไปกับการสื่อสารเน้นอารมณ์เพื่อนำไปสู่การยอมรับแนวทางแก้ไข อันจะส่งผลให้เกิดประสบการณ์ที่ดี ความไว้วางใจ และความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/281234
ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างราคากลางงานก่อสร้างของกรมบัญชีกลางและราคาของผู้ชนะการเสนอราคา: หลักฐานจากการประมูลด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐประเทศไทย
2025-06-20T15:30:17+07:00
กฤษรา ลีฉลาด
klissara.leechalard@gmail.com
อารยา เอกพิศาลกิจ
araya.ea@ku.ac.th
<p>การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการแข่ง เศรษฐกิจ และกระบวนการจัดซื้อ 41 จัดจ้าง กับส่วนต่างระหว่างราคากลางที่กำหนดโดยกรมบัญชีกลาง และราคาของผู้ชนะการประมูลในโครงการก่อสร้างทางของ 42 กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งดำเนินการด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ถึง 2567 สำหรับโครงการที่หน่วยงานได้ทำสัญญาภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 จากเว็บไซต์ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกรมบัญชีกลาง ทำให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ จำนวนทั้งสิ้น 3,171 โครงการ และดำเนินการใช้สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรด้วยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลในเชิงบวกต่อส่วนต่างราคาอันสะท้อนถึงระดับการแข่งขันที่สูงขึ้น และนำไปสู่การประหยัดงบประมาณภาครัฐ ได้แก่ จำนวนผู้ซื้อซองประมูล จำนวนผู้เข้าร่วมเสนอราคา และอัตราการเป็นผู้ชนะของผู้ประกอบการ ซึ่งสะท้อนถึงระดับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลในเชิงลบ ได้แก่ ส่วนแบ่งตลาดของผู้รับเหมา ลักษณะของผู้ชนะการประมูล ราคาน้ำมัน วงเงินงบประมาณ หน่วยงานเจ้าของโครงการ และพื้นที่ตั้งโครงการ ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะการแข่งขันที่ลดลง แม้การที่ราคาชนะการประมูลต่ำกว่าราคากลางจะสะท้อนถึงการประหยัดงบประมาณภาครัฐ แต่หากเป็นผลจากการเสนอราคาต่ำเกินจริงโดยขาดความสมเหตุสมผล อาจนำไปสู่ปัญหาด้านคุณภาพงาน ความล่าช้าในการดำเนินโครงการ หรือการยกเลิกสัญญา ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในระยะยาว ในขณะเดียวกันงานวิจัยนี้ช่วยผู้ประกอบการภาคเอกชนใช้วางกลยุทธ์การเสนอราคา และช่วยหน่วยงงานภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบใช้เป็นแนวทางประกอบการตรวจสอบความเหมาะสมของการกำหนดราคากลาง และกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/281236
ปัจจัยการสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค
2025-07-01T08:38:23+07:00
เพ็ญโพยม ศุภชัย
65230063@dpu.ac.th
การดา ร่วมพุ่ม
karada.rua@dpu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาลักษณะประชากรที่แตกต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยการสื่อสารทางการตลาดส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้เข้ามาท่องเที่ยวเชิงเกษตรฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การทดสอบเอฟ และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า ตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านการสื่อสารการตลาด ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การโฆษณา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด เป็นอันดับแรก รองลงมา คือ การตลาดดิจิทัล และการให้ข่าวประชาสัมพันธ์ ตามลำดับ</p> <p>สำหรับผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศมีผลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค อย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 และปัจจัยการสื่อสารการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์คมากที่สุด คือ การให้ข่าวประชาสัมพันธ์ (Beta = 0.566) รองลงมา คือ การตลาดดิจิทัล (Beta = 0.280) และการโฆษณา (Beta = 0.075) ตามลำดับ</p> <p>ผลจากการศึกษา ทำให้ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแนวทางการกำหนดรูปแบบกิจกรรมสื่อสารการตลาดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถกำหนดกลยุทธ์แผนการตลาดและแนวทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยว และเพื่อเป็นการกระตุ้นต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และผลการศึกษานำไปสู่องค์ความรู้ในเชิงวิชาการในด้านการจัดการท่องเที่ยว สำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวในด้านอัตลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว ความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยว สถานที่พักแรมและการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวไปพักผ่อนในวันหยุดให้มากขึ้น</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/282359
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของข้าราชการส่วนบัญชาการ กองทัพอากาศ
2025-07-24T12:53:35+07:00
ณัฐรดา กฤษณคุปต์
natrada.kris@g.swu.ac.th
ทชภณ กุลิสร์
nakgulid@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีเพื่อศึกษาส่วนประสมการตลาด การรับรู้คุณลักษณะของนวัตกรรม และความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของข้าราชการ ตัวอย่างที่ใช้ศึกษา คือ ข้าราชการส่วนบัญชาการ กองทัพอากาศ ที่มีความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานการวิจัยด้วยสถิติ Independent Sample t-test, One Way ANOVA (F-test), Brown-Forsythe และ Multiple Regression Analysis ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคเป็นข้าราชการที่มีระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไป สายงานด้านยุทธการ การข่าว และกำลังพล มีความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด โดยข้าราชการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสมการตลาด ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการจำหน่ายอยู่ในระดับดี และผลิตภัณฑ์ ราคา และช่องทางการจัดจำหน่าย มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของข้าราชการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสามารถอธิบายได้ร้อยละ 51.2 ส่วนข้าราชการมีการรับรู้คุณลักษณะของนวัตกรรม ซึ่งประกอบด้วย คุณลักษณะผลประโยชน์ที่ได้รับจากนวัตกรรม คุณลักษณะการเข้ากันได้ คุณลักษณะความซับซ้อน คุณลักษณะสามารถทดลองใช้ และคุณลักษณะการสังเกตได้อยู่ในระดับมาก และมีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสามารถอธิบายได้ร้อยละ 69.9</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279170
ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
2025-04-21T11:08:03+07:00
อธิวัฒน์ โชติแก้ว
athiwat.cho012@hu.ac.th
สิริลักษณ์ ทองพูน
siriluk@hu.ac.th
วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง
wiwat@hu.ac.th
<p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจำแนกปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางการตลาดที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส รวมจำนวน 390 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, one way ANOVA และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณด้วยวิธี Stepwise</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอายุ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน และค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่แตกต่างกันจะให้ความสำคัญต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจัยทางการตลาด ได้แก่ ภาพลักษณ์ของบริษัท รูปแบบกรมธรรม์ เบี้ยประกัน ช่องทางการซื้อประกันชีวิต และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยทางการตลาดด้านเบี้ยประกันและด้านช่องทางการซื้อประกันชีวิต มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตทั้งด้านการรับรู้ความต้องการ การค้นหาข้อมูล การประเมินทางเลือก การตัดสินใจซื้อ และพฤติกรรมภายหลังการซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งจากผลการวิจัยที่ค้นพบในครั้งนี้ช่วยสร้างความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคในบริบทของการทำธุรกรรมประกันชีวิตในภูมิภาคนี้ และเป็นประโยชน์ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนในท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/281332
อิทธิพลของการรับรู้คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อชิ้นส่วนไก่สดของผู้บริโภคในห้างโมเดิร์นเทรดหมวดอาหารสดในจังหวัดพัทลุง
2025-08-04T10:26:24+07:00
สิริยากร พิพิธภัณฑ์
66052515120@student.sru.ac.th
อัจฉราวรรณ รัตนพันธ์
atcharawan.ratt@gmail.com
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการรับรู้คุณค่าตราสินค้าชิ้นส่วนไก่สดของผู้บริโภคในห้างโมเดิร์นเทรดหมวดอาหารสด ในจังหวัดพัทลุง 2. เพื่อศึกษากระบวนการตัดสินใจซื้อชิ้นส่วนไก่สดของผู้บริโภคในห้างโมเดิร์นเทรดหมวดอาหารสด ในจังหวัดพัทลุง 3. เพื่อศึกษาอิทธิพลของการรับรู้คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อชิ้นส่วนไก่สดของผู้บริโภคในห้างโมเดิร์นเทรดหมวดอาหารสด ในจังหวัดพัทลุง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ ผู้บริโภคชิ้นส่วนไก่สดในห้างโมเดิร์นเทรดหมวดอาหารสด ในจังหวัดพัทลุง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็นแบบสะดวก จำนวน 385 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติที่ใช้ในการทดสอบ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์สมการถดถอย ผลการวิจัย พบว่า อิทธิพลของการรับรู้คุณค่าตราสินค้าส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อชิ้นส่วนไก่สดของผู้บริโภคในห้างโมเดิร์นเทรดหมวดอาหารสด ในจังหวัดพัทลุง ในระดับสูงมากทุกด้านอย่างนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 สมมติฐานข้อที่ 1 อิทธิพลของการรับรู้คุณค่าตราสินค้าส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อชิ้นส่วนไก่สดของผู้บริโภคในห้างโมเดิร์นเทรดหมวดอาหารสด ในจังหวัดพัทลุง</p> <p>ประโยชน์ที่ได้จากงานวิจัยครั้งนี้ ช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งในห้างโมเดิร์นเทรด และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าใจปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการรับรู้คุณค่าตราสินค้าชิ้นส่วนไก่สด โดยเฉพาะสินทรัพย์ตราสินค้าที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ชัดเจนเพื่อเสริมความเชื่อมั่นและความภักดีของผู้บริโภค นอกจากนี้ การรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตตามกฎหมาย ยังเป็นปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ผู้ประกอบการจึงสามารถใช้ข้อมูลนี้พัฒนากลยุทธ์การตลาดและสื่อสารจุดเด่นตราสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพในตลาดที่แข่งขันสูงได้อย่างตรงเป้าหมาย</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/281402
แรงจูงใจในการทำงานและความทุ่มเทในการทำงานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง
2025-06-24T10:25:39+07:00
นิตยา บัญชา
66130198@dpu.ac.th
จรัญญา ปานเจริญ
charunya@dpu.ac.th
สุกัญญา สิงห์ตุ้ย
sukanya.sin@dpu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 2. เพื่อศึกษาผลกระทบของแรงจูงใจในการทำงานต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การ ของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง 3. เพื่อศึกษาผลกระทบของความทุ่มเทในการทำงานต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การ ของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง จำนวน 260 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามสัดส่วน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ด้วยวิธีการแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) เพื่อทดสอบสมติฐานของข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ t-Test, F-Test และ Multiple Regression Analysis ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่มีตำแหน่งงานในปัจจุบัน และหน่วยงานที่สังกัดที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การในภาพรวมแตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า แรงจูงใจในการทำงาน ด้านปัจจัยจูงใจ มีอิทธิพลทางบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การ ของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง จำนวน 3 ด้าน โดยด้านที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ ความสำเร็จของงาน รองลงมา คือ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ตามลำดับ ส่วนแรงจูงใจในการทำงานด้านปัจจัยสุขอนามัยส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง จำนวน 5 ด้าน โดยปัจจัยสุขอนามัย การปกครองและบังคับบัญชา สภาพการทำงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และค่าตอบแทนและสวัสดิการ มีอิทธิพลทางบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ในขณะที่ด้านนโยบายและการบริหารงาน มีอิทธิพลทางลบต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังพบว่า ความทุ่มเทในการทำงานมีอิทธิพลทางบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การ ของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง จำนวน 4 ด้าน โดยด้านที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ ความตั้งใจที่ในการสร้างผลงานที่ดีเลิศ รองลงมา คือ ความตั้งใจที่จะเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ ความตั้งใจพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และความตั้งใจในการดำรงสมาชิกภาพกับองค์การ ตามลำดับ</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/281910
การเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการทางการเงินในกลุ่มเจนเนอเรชั่น X ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร
2025-08-04T10:31:39+07:00
มยุรา ปัจฉิมยาม
mayura.patc@bumail.net
พรพรหม ชมงาม
pornprom.c@bu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการทางการเงินในกลุ่ม เจนเนอเรชั่น X ในกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทดสอบความเชื่อมั่นของเนื้อหาด้วยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคกับตัวอย่างจำนวน 46 คน ได้สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น 0.75 และแจกแบบสอบถามออนไลน์กับตัวอย่างที่เป็นกลุ่มเจนเนอเรชั่น X อายุ 41-55 ปี อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 351 คน ด้วยวิธี Time-based Convenient Sampling จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าความถี่และร้อยละ วิเคราะห์การเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ และการตัดสินใจใช้บริการทางการเงิน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เพื่อคำนวณหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นรายด้านและโดยรวม และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติอนุมาน คือ สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สันที่ระดับนัยสําคัญ 0.01 โดยภาพรวมการเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจใช้บริการทางการเงิน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 ทั้งในภาพรวมและภาพย่อย กล่าวโดยสรุปได้ว่า การเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ที่มีจำนวน 4 ตัวแปร ทั้งด้านการเลือกเปิดรับ การเลือกให้ความสนใจ การเลือกรับรู้และตีความหมาย การเลือกจดจำมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจใช้บริการทางการเงิน ซึ่งตรงตามสมมติฐานที่ทางผู้วิจัยได้กำหนดไว้ โดยผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์กับสถาบันการเงินและนักสื่อสารการตลาดในการวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารเกี่ยวกับบริการทางการเงินให้เข้าถึงกลุ่มเจนเนอเรชั่น X ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งผู้วิจัยยังสามารถนำผลการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ไปเป็นแนวทางและต่อยอดในการทำงานได้จริง</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/282108
การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ของกองทุน ETF ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และกองทุน ETF แบบดั้งเดิม โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ในช่วงปี พ.ศ. 2563–2567
2025-07-24T16:05:48+07:00
ชาคริต คำเรือ
chakhrit.khu@ku.th
ณัฐวุฒิ คูวัฒนเธียรชัย
fbusnwk@ku.ac.th
<p>การวิจัยนี้มุ่งศึกษาประสิทธิภาพเชิงกลยุทธ์ของกองทุน ETF ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปรียบเทียบกับกองทุนแบบดั้งเดิม โดยอ้างอิงข้อมูลจากกองทุนที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดทุนสหรัฐอเมริกา ภายใต้บริบทของความผันผวนทางเศรษฐกิจในช่วงปี พ.ศ. 2563–2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านอัตราดอกเบี้ยและสภาพคล่องของตลาด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุน และตรวจสอบผลกระทบของปัจจัยเชิงเดี่ยวและเชิงปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อประสิทธิภาพการลงทุน โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่ายกับความเสี่ยง และระหว่างสัญญาณโมเมนตัมกับผลตอบแทน ตลอดจนเสนอกรอบการวิเคราะห์ที่รองรับตรรกะเชิงสัมพันธ์ของตัวแปรในระดับแบบจำลอง</p> <p>ผลการศึกษาจากข้อมูลรายเดือนของกองทุนตัวแทนชี้ให้เห็นว่า กองทุนที่ขับเคลื่อนด้วย AI มีประสิทธิภาพด้านผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงเหนือกว่ากองทุนแบบดั้งเดิมในหลายช่วงเวลา โดยเฉพาะภายใต้ภาวะความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ปัจจัยด้านค่าใช้จ่ายและระดับความเสี่ยงมีบทบาทร่วมกันต่อความสามารถในการสร้างผลตอบแทน ขณะที่สัญญาณโมเมนตัมสัมพันธ์กับพฤติกรรมผลตอบแทนของกองทุน นอกจากนี้ สภาพคล่องของตลาดยังมีความเชื่อมโยงกับความสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ต แบบจำลองเชิงตรรกะที่ใช้ในการวิเคราะห์ให้ค่าความน่าเชื่อถือทางสถิติอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และสนับสนุนข้อสรุปเชิงกลยุทธ์ว่าการผสานตรรกะที่ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรช่วยให้กองทุนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปรับกลยุทธ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับกองทุนแบบดั้งเดิม</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์