https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/issue/feed วารสารสุทธิปริทัศน์ 2025-09-01T16:00:51+07:00 อาจารย์ ดร.ภูมิพัฒณ์ พงศ์พฤฒิกุล dpujournal@dpu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารสุทธิปริทัศน์</strong></p> <p><strong>ISSN : 2730-2717 (online) ISSN : 2730-2709 (print)</strong></p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> ปีละ 4 ฉบับ <br />ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม <br />ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน <br />ฉบับที่ 3 สิงหาคม-กันยายน <br />และฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม รวมทั้งฉบับพิเศษ (ถ้ามี)</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ </strong>วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความ ในด้านสังคมศาสตร์ อันได้แก่</p> <p><strong>สาขาวิชา </strong><strong>:</strong><strong><br /></strong>1. บริหารธุรกิจ การจัดการและการบัญชี<br />2. เศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติและการเงิน</p> <p><strong>สาขาวิชาย่อย :<br /></strong>1. ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี<br />2. การจัดการด้านกลยุทธ์และการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ที่เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจ)<br />3. พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์<br />4. เศรษฐศาสตร์ทั่วไป เศรษฐมิติ และการเงินและการบัญชี</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/283305 บริหารทีมแบบไหนที่จริงใจตรงไปตรงมา: Redical Candor 2025-09-01T16:00:51+07:00 ธฤตวัน เจริญพร tarittawan.cha@mfu.ac.th 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279313 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2025-03-21T15:38:48+07:00 ชญาภา ธนสิทธิสมบัติ 66130515@dpu.ac.th จรัญญา ปานเจริญ charunya@dpu.ac.th สุกัญญา สิงห์ตุ้ย sukanya.sin@dpu.ac.th กุลทิวา โซ่เงิน kultiwa.son@dpu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประชาชนในเขตปริมณฑล 2. เปรียบเทียบการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประชาชนในเขตปริมณฑล จำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ และ 3. ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยของสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลที่มีต่อการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้วิธีการสำรวจความคิดเห็นจากตัวอย่าง คือ ประชาชนในอยู่พื้นที่จังหวัดเขตปริมณฑล จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ส่วนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ประชาชนในอยู่พื้นที่จังหวัดเขตปริมณฑลที่เป็นตัวอย่าง มีการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการเลือกสนใจ รองมาคือ ด้านการเลือกจดจำ ด้านการเลือกเข้าใจ และด้านการเลือกเปิดรับ ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ประชาชนในเขตปริมณฑลที่มีอายุ ระดับการศึกษา และรายได้ ที่แตกต่างกัน มีการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า ปัจจัยของสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัล 3 ด้าน ประกอบด้วย องค์ประกอบของสื่อโฆษณากลางแจ้ง การออกแบบของสื่อโฆษณากลางแจ้ง และการสร้างสรรค์ของสื่อโฆษณากลางแจ้งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลทางบวกต่อการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัล ของประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตปริมณฑล ขณะที่สิ่งดึงดูดใจของสื่อโฆษณากลางแจ้ง ไม่มีอิทธิพลต่อการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัล โดยสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัล สามารถอธิบายการเปิดรับสื่อโฆษณากลางแจ้งแบบดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ 77.50% (R<sup>2</sup> = 0.775)</p> 2025-08-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/278396 ปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อโครงการบ้านจัดสรรแบรนด์ในจังหวัดเชียงราย 2025-04-04T10:27:32+07:00 ธัณวรัตม์ กุละปาลานนท์ 6451203260@lamduan.mfu.ac.th ปรัศนีย์ ณ.คีรี pratsanee.nak@mfu.ac.th สุดศิริ รุ่งเรือง sudsiri.run@mfu.ac.th <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อโครงการบ้านจัดสรรแบรนด์ในจังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ที่ซื้อบ้านจัดสรรในจังหวัดเชียงรายใช้วิธีการสุ่มแบบสะดวก 400 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในส่วนการทดสอบสมมติฐานการวิจัย แบบการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านจัดสรรแบรนด์ มากที่สุด คือ ปัจจัยกระบวนการ ปัจจัยหลักฐานทางกายภาพ การจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ ราคา บุคลากร และส่งเสริมทางการตลาด</p> 2025-08-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279707 สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG): แนวคิด และบทเรียนจากงานวิจัยที่มีต่อมูลค่ากิจการ 2025-04-30T11:00:09+07:00 อธิปัตย์ สายสูง s_athipat@rmutl.ac.th ชุติสร เรืองนาราบ chutisorn@rmutl.ac.th อรัณพงศ์ ทนันไชย aranphong@rmutl.ac.th <p>แนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งในองค์กรธุรกิจและการศึกษา เนื่องจากมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ งานวิจัยจำนวนมากศึกษาผลกระทบของ ESG ต่อประสิทธิภาพทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง และมูลค่ากิจการ ความตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความต้องการความโปร่งใส ส่งผลโดยตรงต่อนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผลการศึกษายังคงมีความหลากหลายบางงานวิจัยสนับสนุนว่า ESG ช่วยเพิ่มมูลค่ากิจการผ่านการลดต้นทุนเงินทุน และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่บางงานพบว่า ESG อาจเป็นภาระด้านต้นทุนที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการทางการเงิน</p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับ ESG โดยการสังเคราะห์แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบของ ESG ในฐานะตัวแปรหลัก ผ่านการทบทวนวรรณกรรมอย่างมีโครงสร้าง โดยคัดเลือกบทความจากฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้และใช้การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ เพื่อแสดงความแตกต่างของผลกระทบ ซึ่งขึ้นอยู่กับการบูรณาการ ESG และกลยุทธ์ขององค์กร พบว่า ผลกระทบของ ESG อาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยแวดล้อม เช่น ลักษณะอุตสาหกรรม กฎระเบียบ และระดับการเปิดเผยข้อมูล แม้ว่าผลลัพธ์ของงานวิจัยจะมีทั้งที่สนับสนุนและขัดแย้งกัน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ ESG มีบทบาทสำคัญต่อมูลค่ากิจการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการศึกษาเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในอนาคต</p> 2025-08-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/278998 การตลาดเชิงเนื้อหาและความเชื่อที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับ ประเภทเครื่องรางผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน TikTok ของผู้บริโภคในจังหวัดนนทบุรี 2025-03-05T11:23:58+07:00 ภทิยา พัฒนประดิษฐ 65130775@dpu.ac.th จรัญญา ปานเจริญ charunya@dpu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของผู้บริโภคในจังหวัดนนทบุรี 2. เพื่อศึกษาการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok จำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ 3. เพื่อศึกษาอิทธิพลของการตลาดเชิงเนื้อหาที่มีต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok และ 4. เพื่อศึกษาอิทธิพลของความเชื่อที่มีต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนนทบุรี และเคยซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok จำนวน 404 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติ t–Test, One–Way ANOVA และการถดถอยพหุคูณ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคในจังหวัดนนทบุรีมีการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok อยู่ในระดับมากที่สุด และพบว่า ผู้บริโภคที่มีเพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้แตกต่างกันทำให้มีการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok แตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า การตลาดเชิงเนื้อหาด้านเนื้อหาที่ให้ความบันเทิง ด้านเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และด้านเนื้อหาที่เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกมีอิทพลธิต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของผู้บริโภค และพบว่า ความเชื่อด้านกายภาพ ด้านความมั่นคงปลอดภัย และด้านการมีเกียรติยศมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับประเภทเครื่องรางผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของผู้บริโภค</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/278923 ปัจจัยสุขภาวะที่ดีและความสุขในการทำงานที่ส่งผลต่อความทุ่มเทในการทำงานของบุคลากรหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง 2025-03-05T10:14:19+07:00 จันทภา เฟื่องฟู 66130470@dpu.ac.th จรัญญา ปานเจริญ charunya@dpu.ac.th สุกัญญา สิงห์ตุ้ย sukanya.sin@dpu.ac.th ชลิดา กาญจนจูฑะ chalida.kaa@dpu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบระดับความทุ่มเทในการทำงาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 2. ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยด้านสุขภาวะที่ดีต่อความทุ่มเทในการทำงาน และ 3. ศึกษาอิทธิพลของความสุขในการทำงานต่อความทุ่มเทในการทำงานของบุคลากรหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากตัวอย่างที่เป็นบุคลากรหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง จำนวน 300 คน โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานด้วย t-test และ F-Test รวมถึงการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยกำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า บุคลากรหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งที่มีระยะเวลาทำงาน และประเภทอัตรากำลังแตกต่างกัน มีความทุ่มเทในการทำงานแตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า ปัจจัยด้านสุขภาวะที่ดี 3 ด้าน ได้แก่ ความเกี่ยวข้องกับชุมชน สภาพแวดล้อมทางกายภาพ และสภาพแวดล้อมทางจิตสังคมมีอิทธิพลทางบวกต่อความทุ่มเทในการทำงาน ส่วนแหล่งสุขภาวะบุคคลมีอิทธิพลทางลบ โดยปัจจัยทั้ง 4 ด้าน สามารถอธิบายความแปรผันของผลต่อความทุ่มเทในการทำงานได้ 45.3% (R<sup>2</sup>= 0.453) อีกทั้งยังพบว่า ความสุขในการทำงาน 6 ด้าน ได้แก่ สุขภาพใจ มาตรฐานการดำรงชีพ ความสัมพันธ์ทางสังคม ความหลากหลายและความสามารถในการฟื้นตัวของสภาพแวดล้อมการทำงาน สุขภาพ และการศึกษา มีอิทธิพลทางบวกต่อความทุ่มเทในการทำงานของบุคลากรหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจัยทั้ง 6 ด้านสามารถอธิบายความแปรผันที่มีต่อความทุ่มเทในการทำงานได้ 72.9% (R<sup>2</sup>= 0.729)</p> 2025-08-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/277879 ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการการดำเนินชีวิต การยอมรับเทคโนโลยีกับพฤติกรรม การรับชมคลิปสปอยล์หนังของประชากรวัยทำงานในกรุงเทพมหานคร 2025-03-05T09:19:17+07:00 แจ็คกี้ อินทะมอน inthanomejackie@gmail.com วิโรจน์ สุทธิสีมา viroj.s@bu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. พฤติกรรมการรับชมคลิปสปอยล์หนังของผู้ชมในเขตกรุงเทพมหานคร ต่อการยอมรับเทคโนโลยี และ 2. รูปแบบการดำเนินชีวิต ที่มีความสัมพันธ์กับการยอมรับเทคโนโลยีของผู้ชมในเขตกรุงเทพมหานคร โดยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative) ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างที่เป็นผู้รับชมคลิปสปอยล์หนังของประชากรในกรุงเทพมหานคร จำนวน 210 คน วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ด้วยสถิติความแปรปรวนทางเดียว One–Way ANOVA (F-Test) และค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยด้านพฤติกรรมของผู้รับชมคลิปสปอยล์หนัง ส่งผลต่อการยอมรับเทคโนโลยีของผู้รับชมคลิปสปอยล์หนัง ที่ไม่แตกต่างกันในทุกด้าน ส่วนผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการดำเนินชีวิต และการยอมรับเทคโนโลยี พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการดำเนินชีวิตและการยอมรับเทคโนโลยีของผู้รับชมคลิปสปอยล์หนัง มีความสัมพันธ์ในด้านความสนใจในทุกปัจจัย และความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการดำเนินชีวิตในด้านกิจกรรม และด้านความคิดเห็น มีความสัมพันธ์กับการยอมรับเทคโนโลยีของผู้รับชมคลิปสปอยล์หนังในด้านความรับรู้ความง่ายในการใช้งาน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.001</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279677 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยของลูกค้าเมียนมา 2025-04-21T11:48:45+07:00 จรัชวรรณ จันทรัตน์ jaratchwahn@gmail.com วรเดช รุกขพันธุ์ woradech.r@vbeyond.co.th วรยุทธ ช่อมงคลชัย vorayut.ch108@gmail.com สุมิตรา วงภักดี mamsumitra@gmail.com ศยามล นองบุญมาก sayamol.nak@dpu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการรับรู้คุณค่า การตลาดผ่านการสร้างเนื้อหา และส่วนผสมทางการตลาด (4Ps) ต่อความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยของลูกค้าเมียนมา งานวิจัยนี้เป็นการวิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยการใช้แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลจำนวน 400 ชุด จากผู้ตอบแบบสอบถามชาวเมียนมาที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย การวิเคราะห์ข้อมูลและการทดสอบสมมติฐานทำโดยใช้วิธีการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นมีอายุ 20-29 (64.50%) เพศชาย (76.10%) รายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท (70.00%) จังหวัดที่น่าสนใจซื้อคอนโดมิเนียมมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร (79.80%) และผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (58.40%) ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมราคาหนึ่งถึงสามล้านบาท ที่มีหนึ่งห้องนอน (38.40%) ผลการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ด้านปัจจัยการรับรู้คุณค่า คุณค่าด้านการใช้งาน (คุณภาพ) และคุณค่าด้านสังคม มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยของลูกค้าเมียนมาที่ระดับ 0.05 และ 0.001 ตามลำดับ การตลาดผ่านการสร้างเนื้อหาด้านข้อมูล ด้านความบันเทิง และด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยของลูกค้าเมียนมาที่ระดับน้อยกว่า .001 การส่งเสริมการตลาดเป็นปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดเพียงปัจจัยเดียวที่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยของลูกค้าเมียนมาที่ระดับน้อยกว่า .001</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279373 การประยุกต์ซิกซ์ ซิกมา เพื่อลดข้อผิดพลาดในการจัดทำเอกสารขาออก: กรณีศึกษาบริษัทที่ประกอบธุรกิจส่งออกสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี 2025-06-09T11:38:15+07:00 สุภาพร เจอโรม graduate@chonburi.spu.ac.th กนกวรรณ สกุลทรงเดช kanokwan.8k8d@gmail.com <p>การจัดทำเอกสารขาออกเป็นกระบวนการที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องส่งเอกสารอย่างสม่ำเสมอไปยังลูกค้า ผู้ให้บริการ หรือหน่วยงานต่าง ๆ การเกิดข้อผิดพลาดในเอกสารขาออกอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าและความเสียหายทางการเงิน การประยุกต์ใช้หลักการซิกซ์ ซิกมาสามารถช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการจัดทำเอกสาร บทความนี้เป็นผลจากการวิจัยกรณีศึกษาที่ดำเนินกับบริษัทเอกชนด้านการขนส่งทางทะเลแห่งหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประยุกต์หลักการซิกซ์ ซิกมา ในการลดข้อผิดพลาดในกระบวนการจัดทำเอกสารขาออก โดยใช้กระบวนการ DMAIC เป็นกรอบในการศึกษา การศึกษานี้เริ่มต้นด้วยการกำหนดปัญหาที่เกิดจากข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการจัดทำเอกสารขาออก เช่น ข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูลลูกค้า หรือการพิมพ์ผิดในเอกสารสำคัญ จากนั้นใช้เครื่องมือซิกซ์ ซิกมา ได้แก่ Pareto Chart, Fishbone Diagram และ Control Chart เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและหาวิธีการปรับปรุงกระบวนการ ผลการศึกษา พบว่า การนำซิกซ์ ซิกมา มาประยุกต์สามารถลดข้อผิดพลาดในกระบวนการจัดทำเอกสารขาออกได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยลดอัตราความผิดพลาดลงได้ถึงร้อยละ 40 ภายในระยะเวลา 1 เดือนหลังการประยุกต์ใช้ รวมทั้งทำให้กระบวนการจัดทำเอกสารมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้การดำเนินธุรกิจมีความต่อเนื่องและลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างมาก ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ในองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องจัดทำเอกสารขาออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการทำงาน</p> 2025-09-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279894 ส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์และความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผลต่อกระบวนการ ตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค GEN Y ในนครหลวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2025-06-04T15:33:55+07:00 ต้น ปทุมพรรณ tonh4109@gmail.com สุรวี ศุนาลัย suravee.sui@dpu.ac.th <p>งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ 2. ศึกษาความคิดเห็นต่อความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ 3. ศึกษากระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ 4. ศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค และ 5. ศึกษาอิทธิพลของความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค ประชากรที่ใช้ศึกษา คือ ผู้บริโภค Gen Y ที่มีช่วงอายุ 28–43 ปี (ณ ปี 2567) ที่อาศัยอยู่ในนครหลวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเคยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. ระดับความสำคัญของส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ของผู้บริโภค มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ระดับความสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ของผู้บริโภค มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ระดับความคิดเห็นของกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค มีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด 4. ผลการทดสอบสมมติฐานอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ พบว่า ส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ 5 ด้าน จาก 6 ด้าน ได้แก่ ช่องทางการจัดจำหน่าย (Beta = 0.252) การรักษาความเป็นส่วนตัว (Beta = 0.2241) การส่งเสริมการจำหน่าย (Beta = 0.196) การให้บริการส่วนบุคคล (Beta = 0.182) และราคา (Beta = 0.110) มีอิทธิพลเชิงบวกต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ ตามลำดับ นอกจากนี้ 5. ความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ความไว้วางใจ (Beta = 0.320) ความคล้ายคลึง (Beta = 0.278) ความน่าดึงดูด (Beta = 0.2101) และความชำนาญ (Beta = 0.129) มีอิทธิพลเชิงบวกต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในกลุ่ม Gen Y ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมาย Gen Y ได้ดีขึ้น</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/280291 แรงจูงใจในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว ปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่ 2025-05-27T10:15:41+07:00 วิทยา พงษ์ศิริ realpopchiangmai@gmail.com ฟ้าวิกร อินลวง fahwikorn_mbk@thonburi-u.ac.th <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาแรงจูงใจและการตัดสินใจในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่ 2. เปรียบเทียบการตัดสินใจในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่ จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคลของนักท่องเที่ยว 3. ศึกษาแรงจูงใจในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่ ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 385 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.962 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบสมมติฐานของการวิจัยด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. แรงจูงใจในการท่องเที่ยวและการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่ ภาพรวมความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.68) 2. นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีเพศ อายุ เชื้อชาติ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน ความถี่ในการใช้บริการ ช่วงเวลาที่ใช้บริการ และบุคคลติดตามมาท่องเที่ยวต่างกันมีการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 และ 3. แรงจูงใจในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวปางช้างล้านนาคิงดอมเอลเลเฟนแซงชัวรี จังหวัดเชียงใหม่ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 โดยปัจจัยผลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวสูงที่สุด คือ การพักผ่อนหย่อนใจ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" />= 0.719) รองลงมา คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" />= 0.319) และการได้ใกล้ชิดธรรมชาติ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" />= 0.079) ตามลำดับ ส่วนปัจจัยดึงที่ส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวสูงที่สุด คือ ความแปลกใหม่ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" />= 0.230) รองลงมา คือ ความคุ้มค่า (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" />= 0.205) และการบริการ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" />= 0.138) ตามลำดับ</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/279678 การเปิดรับรูปแบบการตลาดเสมือนจริงของผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชันวายและกลุ่มเจเนอเรชันซี 2025-04-30T11:04:57+07:00 พงศ์พันธ์ ทองอยู่ pongpun234567@gmail.com กัญญรัตน์ หงส์วรนันท์ kanyarat.ngo@dpu.ac.th <p>การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบเสมือนจริงของกลุ่มเจเนอเรชันวาย (Gen Y) และเจเนอเรชันซี (Gen Z) ในด้านปัจจัยส่วนบุคคล การเปิดรับข่าวสาร และการยอมรับเทคโนโลยี ตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์และวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่ม Gen Y มีปัจจัยส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษาและรายได้ส่งผลต่อการตัดสินใจ ด้านการเปิดรับข่าวสาร กลุ่ม Gen Y ให้ความสำคัญกับการเปิดรับข้อมูลและประสบการณ์ ขณะที่ Gen Z เน้นการเปิดรับประสบการณ์เป็นหลัก ด้านการยอมรับเทคโนโลยี Gen Y มีเพียงทัศนคติต่อการใช้ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ในขณะที่ Gen Z มีทั้งทัศนคติต่อการใช้และการรับรู้ประโยชน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ทั้งสองกลุ่มมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจแตกต่างกัน โดย Gen Y เน้นความน่าเชื่อถือและประโยชน์ที่ได้รับ ส่วน Gen Z เน้นการมีส่วนร่วมและประสบการณ์ที่สนุกสนาน การออกแบบกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบเสมือนจริงจึงควรปรับให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่ม</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/280889 ค่าความนิยม และสัดส่วนคณะกรรมการบริษัทที่ส่งผลต่อเงินปันผลจ่ายของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2025-06-11T09:02:27+07:00 สุพรรณรัตน์ มาศรัตน์ Supannarat_m@rmutt.ac.th จักรกฤษณ์ มะโหฬาร jugkritm20@gmail.com สุมาลี นามโชติ Namachote_s@hotmail.com สุกัญญา ปัญบุตร fonfirst0108@gmail.com วราภรณ์ นาคใหม่ Waraporn.n@rmutsb.ac.th <p>การวิจัยเรื่อง ค่าความนิยม และสัดส่วนคณะกรรมการบริษัทที่ส่งผลต่อเงินปันผลจ่ายของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค่าความนิยม และสัดส่วนคณะกรรมการบริษัทที่ส่งผลต่อเงินปันผลจ่ายของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงิน รายงานประจำปี (แบบ 56-1) และจากฐานข้อมูล SETSMART ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่ม SET100 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562-2566 รวม 5 ปี จำนวน 100 บริษัท แต่ไม่รวมกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงินเพราะมีโครงสร้าง ข้อกำหนด และกฎหมายที่แตกต่างจากอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ อีกทั้งไม่รวมบริษัทที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน และมีค่าผิดปกติ จำนวน 21 บริษัท คงเหลือตัวอย่าง 79 บริษัท 395 กลุ่มข้อมูล สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัย พบว่า ค่าความนิยม สัดส่วนคณะกรรมการอิสระ และสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับ ส่งผลกระทบต่อเงินปันผลจ่ายของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนี SET100 แต่ในขณะเดียวกันสัดส่วนคณะกรรมการบริษัท ไม่ส่งผลกระทบต่อเงินปันผลจ่าย จากผลการวิจัยทำให้นักลงทุนที่ต้องการจะตัดสินใจลงทุนเพื่อหวังผลในเรื่องของเงินปันผลมากกว่าการเกร็งกำไรสามารถนำผลวิจัยไปใช้ในการพิจารณาก่อนการลงทุน อีกทั้งผู้บริหารของธุรกิจยังสามารถนำผลไปใช้ในการพิจารณาการดำเนินงานของธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีทั้งต่อนักลงทุนและผู้บริหาร อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้ในอนาคต</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/281193 แนวทางการจัดการกลุ่มธุรกิจเห็ดโคนน้อยจังหวัดเชียงใหม่ด้วยสัญญาใจที่ส่งผลต่อการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการธุรกิจ 2025-06-20T15:51:28+07:00 วุฒิพงษ์ ฉั่วตระกูล wutthipongchuatrakul@gmail.com อริย์ธัช อักษรทับ aksorntap@gmail.com เพ็ญวรัตน์ พันธ์ภัทรชัย khimpenwarat@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการกลุ่มธุรกิจเห็ดโคนน้อย จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยสัญญาใจ และศึกษาผลกระทบของแนวทางดังกล่าวต่อการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่ม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มกับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจจำนวน 12 ราย ด้วยการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้นำวิสาหกิจชุมชน เหรัญญิก และผู้ผลิตจาก 4 วิสาหกิจชมชนใน 4 อำเภอ ได้แก่ สันทราย แม่แตง ดอยสะเก็ด และสารภี เพื่อร่วมกันร่างสัญญาใจที่เป็นข้อตกลงลายลักษณ์อักษร และเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวน 1,000 ราย ด้วยการสุ่มแบบเจาะจง ประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่ม สมาชิกวิสาหกิจชุมชน และผู้ผลิตในพื้นที่อำเภอสันทราย อำเภอแม่แตง อำเภอดอยสะเก็ด และอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง เพื่อประเมินผลกระทบของการจัดการกลุ่มธุรกิจใน 4 ด้าน ได้แก่ การผลิต แบรนด์ การตลาด และการเงิน ผลการวิเคราะห์ทางสถิติ พบว่า การจัดการด้านการผลิต การตลาด และแบรนด์ ส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของการบริหารจัดการธุรกิจ ในขณะที่การจัดการด้านการเงิน ส่งผลเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ โมเดลการวิจัยมีค่าความสามารถในการอธิบายสูง (R² = 0.770, F = 75.0, p &lt; 0.001) ยืนยันว่า การดำเนินงานของกลุ่มตามสัญญาใจสามารถส่งเสริมความร่วมมือของกลุ่มธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการธุรกิจ และกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงแนวทางการจัดการด้านการเงินอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการบริหารจัดการกลุ่มธุรกิจเห็ดโคนน้อยจังหวัดเชียงใหม่</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์