https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/issue/feed วารสารสุทธิปริทัศน์ 2024-03-31T08:55:54+07:00 อาจารย์ ดร.ภูมิพัฒณ์ พงศ์พฤฒิกุล [email protected] Open Journal Systems <p><strong>วารสารสุทธิปริทัศน์</strong></p> <p><strong>ISSN : 2730-2717 (online) ISSN : 2730-2709 (print)</strong></p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> ปีละ 4 ฉบับ <br />ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม <br />ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน <br />ฉบับที่ 3 สิงหาคม-กันยายน <br />และฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม รวมทั้งฉบับพิเศษ (ถ้ามี)</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ </strong>วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความ ในด้านสังคมศาสตร์ อันได้แก่</p> <p><strong>สาขาวิชา </strong><strong>:</strong><strong><br /></strong>1. บริหารธุรกิจ การจัดการและการบัญชี<br />2. เศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติและการเงิน</p> <p><strong>สาขาวิชาย่อย :<br /></strong>1. ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี<br />2. การจัดการด้านกลยุทธ์และการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ที่เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจ)<br />3. พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์<br />4. เศรษฐศาสตร์ทั่วไป เศรษฐมิติ และการเงินและการบัญชี</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/272008 สิ่งที่เรียนรู้จากชีวิต 2024-03-28T15:31:49+07:00 วัชระ วัธนารวี [email protected] 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/268121 การตลาดเชิงประสบการณ์และการยอมรับเทคโนโลยีความจริงเสมือนที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2024-01-26T10:48:35+07:00 อนิวัฒน์ สุขประเสริฐ [email protected] จรัญญา ปานเจริญ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นต่อการตลาดเชิงประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือนของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2. เพื่อศึกษาระดับการยอมรับเทคโนโลยีความจริงเสมือนของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3. เพื่อศึกษาอิทธิพลของการตลาดเชิงประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือนที่มีต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 4. เพื่อศึกษาอิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยีความจริงเสมือนที่มีต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม จากผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่เคยเห็นการตลาดเชิงประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือน จำนวน 400 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบสมมติฐานด้วยค่าสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test F-test และ Multiple Regression Analysis </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเห็นด้วยมากที่สุดกับการตลาดเชิงประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือน และมีการยอมรับเทคโนโลยีความจริงเสมือนในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุดผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การตลาดเชิงประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือนด้านประสาทสัมผัส ด้านความรู้สึก ด้านการกระทำ และด้านการเชื่อมโยงมีอิทธิพลทางบวกต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคโดยด้านการกระทำมีอิทธิพลมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านความรู้สึก ด้านประสาทสัมผัส และด้านการเชื่อมโยงตามลำดับ ซึ่งการตลาดเชิงประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือน สามารถอธิบายความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้ร้อยละ 34.00 และพบว่า การยอมรับเทคโนโลยีความจริงเสมือนของผู้บริโภคมีอิทธิพลทางบวกต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยด้านการรับรู้ความง่ายในการใช้งาน มีอิทธิพลมากกว่าด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ ซึ่งการยอมรับเทคโนโลยีความจริงเสมือน สามารถอธิบายความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้ร้อยละ 28.90</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/269452 การศึกษากลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กรณีศึกษา “การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านโครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” 2024-01-29T11:50:39+07:00 อติโรจน์ โชติพรสวัสดิ์ [email protected] องอาจ สิงห์ลำพอง [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารประชาสัมพันธ์ด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เลือกศึกษาจากโครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว ซึ่งเป็นโครงการปลูกป่าของบริษัทฯ เพื่อวัตถุประสงค์ในการชดเชยการสร้างคาร์บอน และประชาสัมพันธ์โครงการเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงบุคคลทั่วไป โดยได้รับความร่วมมือจาก สิงห์ปาร์ค เชียงราย และบริษัทพันธมิตร อาทิ สยามคูโบต้า และไทยคม รวมถึงหน่วยงาน และชุมชนท้องถิ่น โดยการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสื่อสารด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ประกอบกับอาศัยแนวคิด และทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ เช่น ทฤษฎีการวางแผนการสื่อสาร แนวคิดเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ แนวคิดเกี่ยวกับภาพลักษณ์องค์กร รวมถึงการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ภายในบริษัท และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาจัดระเบียบข้อมูล แบ่งกลุ่มของข้อมูลเพื่อหาถึงเหตุและผล ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกันของของข้อมูล แนวคิด นำไปสู่การวางแผนการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบสำคัญ คือ การวางแผนการสื่อสารด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน และการ วางกลยุทธ์ใน การสื่อสารพร้อมประเมินผลเพื่อนำไปปรับปรุงการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากผลการวิเคราะห์นั้น บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) วางแผนการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนจากวิสัยทัศน์ จากนั้นวางกรอบการดำเนินงานด้าน ความยั่งยืน และตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน เพื่อนำไปวางกลยุทธ์การสื่อสารที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ โดยการศึกษาปัญหาเพื่อกำหนดแนวคิด วัตถุประสงค์ และกำหนดกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นเลือกเครื่องมือในการสื่อสาร ได้แก่ แคมเปญออนไลน์ การทำกิจกรรมเพื่อ สังคม การประชาสัมพันธ์ การร่วมมือกับพันธมิตรและการโฆษณา หลังจากกำหนดเครื่องมือและวิธีการแล้วก็ดำเนินการตาม แผนกลยุทธ์ที่วางไว้ รวมถึงวัดผลเพื่อพัฒนากระบวนการ สื่อสารประชาสัมพันธ์ด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนต่อไป</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/269250 การศึกษาปัจจัยคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 2024-01-26T15:46:36+07:00 เสาวลักษณ์ ชัยสุข [email protected] ฉัตรฤดี จองสุรียภาส [email protected] ธฤตวัน เจริญพร [email protected] ชนินทร์ อยู่พชร [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการบริการและการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากตัวอย่างผู้ใช้บริการผู้ป่วยนอก 400 คน จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ในรูปแบบค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 66.75 มีช่วงอายุ 20-30 ปี คิดเป็นร้อยละ 26.75 การศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 54.50 มีอาชีพรับราชการ คิดเป็นร้อยละ 22.25 มีรายได้ต่อเดือน 15,001–30,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 32.50 ใช้สิทธิข้าราชการ คิดเป็นร้อยละ 30.75 ตัดสินใจด้วยตนเองในการเข้าใช้บริการ คิดเป็นร้อยละ 74.00 และส่วนใหญ่มาใช้บริการ 2-5 ครั้ง/ปี คิดเป็นร้อยละ 47.00 นอกจากนั้นภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นข้อมูลปัจจัยคุณภาพการบริการอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.13) ด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.05) และด้านการเอาใจใส่ อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.03) เช่นกัน และปัจจัยคุณภาพการบริการมีผลต่อการกลับมาใช้บริการซ้ำ ได้แก่ ด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ และด้านการเอาใจใส่ โดยทุกปัจจัยมีความสำคัญทางสถิติ ดังนั้นควรส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการบริการโดยอ้างอิงจากผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการบริการและการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนี้ โดยมุ่งเน้นทุกปัจจัยมีความสำคัญทางสถิติ เพื่อส่งเสริมการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ป่วยนอกในอนาคต</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/267380 ปัจจัยประชากรศาสตร์และคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าหลัง การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 : กรณีศึกษา ร้านอาหารระดับกลาง ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประเทศไทย 2023-09-27T09:22:45+07:00 ภูมิระพี สุขบาง [email protected] ธฤตวัน เจริญพร [email protected] ปิยะนาฏ จันทร์กระจ่าง [email protected] กษิดิ์เดช ตรีทอง [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยประชากรศาสตร์และปัจจัยด้านคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านอาหารระดับกลาง (Casual Dining Restaurant) หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในกลุ่มลูกค้าแบบนั่งรับประทานในร้าน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล</p> <p>ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการร้านอาหารนั่งรับประทานในร้าน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน โดยทฤษฎีการเลือกกลุ่มตัวอย่างของ Cochran งานวิจัยนี้ใช้การเก็บแบบสอบถามในการเก็บรวบรวม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ที่ระดับ 0.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) แบบ Stepwise</p> <p>การวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ในด้านรายได้มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารมากที่สุด ตามด้วยปัจจัยด้านอายุ อาชีพ สถานภาพการสมรส และเพศ มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านอาหารที่นั่งรับประทานในร้าน ตามลำดับ และด้านคุณภาพการให้บริการ การตอบสนองต่อลูกค้าและการให้ความเชื่อมั่นมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านอาหารระดับกลางมากที่สุด ส่วนความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้ การรู้จักและเข้าใจ และความเป็นรูปธรรม อยู่ในเกณฑ์เห็นด้วยอย่างมากต่อการตัดสินใจใช้ร้านอาหารระดับกลาง</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/269045 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออัตราเงินปันผลตอบแทนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยดัชนี SET100 2023-11-29T09:37:15+07:00 จักรกฤษณ์ มะโหฬาร [email protected] สุมาลี นามโชติ [email protected] นฤพล อ่อนวิมล [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออัตราเงินปันผลตอบแทนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนี SET100 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ในดัชนี SET100 ย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2561-2565 จำนวน 80 บริษัท รวมทั้งสิ้น 400 กลุ่มข้อมูล โดยไม่รวมกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงินจำนวน 20 บริษัท โดยเก็บรวมรวมข้อมูลจากรายงานทางการเงิน รายงานประจำปี รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานในแบบ 56-1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE) อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) อัตรากำไรสุทธิ (NI) ขนาดของคณะกรรมการบริษัท (BOD) และตัวแปรควบคุม อายุของกิจการ (AGE) มีอิทธิพลต่ออัตราเงินปันผลตอบแทนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยดัชนี 100 ผลลัพธ์ที่ได้นี้มีประโยชน์ต่อนักลงทุนเพื่อนำไปใช้ในการพิจารณาก่อนลงทุน อีกทั้งผู้บริหารธุรกิจยังสามารถนำไปใช้ไปในการวางแผนธุรกิจเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อการดำเนินงานได้ต่อไปในอนาคต</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/267929 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับระบบ New e-Filing ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษีผ่านอินเทอร์เน็ตของสำนักงานบัญชีในจังหวัดชลบุรี 2023-10-24T15:34:16+07:00 วนิดา แสงชวลิตร [email protected] อรัญญา นาคหล่อ [email protected] สุพิชา ศรีสุคนธ์ [email protected] <p>ในปัจจุบันกรมสรรพากรให้ความสำคัญกับการปรับการให้บริการ โดยเริ่มการพัฒนาและปรับปรุงระบบให้มีความพร้อมด้านการให้บริการ และยกระดับการให้บริการยื่นแบบและชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ หรือที่เรียกว่า New e-Filing และจังหวัดชลบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีสำนักงานบัญชีมากที่สุดในภาคตะวันออก จำนวน 164 แห่ง นอกจากนี้จังหวัดชลบุรีมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคตะวันออกอีกทั้งจังหวัดชลบุรีมีบริษัทที่เป็นนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ในปี 2564 จำนวน 4,659 แห่ง ซึ่งงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับระบบ New e-Filing ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต ของสำนักงานบัญชีในจังหวัดชลบุรี ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหารและพนักงานที่ทำงานในสำนักงานบัญชี ในจังหวัดชลบุรี จำนวน 400 ราย โดยการศึกษาใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และใช้การวิเคราะห์สมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้ระบบ New e-Filing ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต มาเป็นระยะเวลา 1-2 ปี และมีความเห็นต่อระบบ New e-Filing เกี่ยวกับทางด้านของความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ในการใช้เทคโนโลยี การฝึกอบรม การรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับ และการรับรู้ถึงความง่ายต่อการใช้งาน อยู่ในระดับการยอมรับมาก ทั้งนี้ปัจจัยการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับ และด้านการรับรู้ถึงความง่ายต่อการใช้งาน มีอิทธิพลทางตรงต่อการยอมรับระบบ New e-Filing ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต ของสำนักงานบัญชีในจังหวัดชลบุรี โดยปัจจัยทางด้านความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยี มีอิทธิพลทางตรงต่อการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับจากระบบ New e-Filing และปัจจัยประสบการณ์ในการใช้เทคโนโลยี และด้านการฝึกอบรม มีอิทธิพลทางตรงต่อการรับรู้ถึงความง่ายต่อการใช้งานระบบ New e-Filing</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/270083 ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานที่มีผลต่อการลาออกของพนักงานในภาคธุรกิจธนาคารพาณิชย์ 2024-02-08T10:35:51+07:00 พรพรหม พรพรหม [email protected] <p>งานวิจัยเรื่อง ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานที่มีผลต่อการลาออกของพนักงานในสถาบันการเงิน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานที่มีผลต่อการผลต่อการลาออกของพนักงานในสถาบันการเงิน ในการศึกษานี้เก็บรวบข้อมูลโดยการแจกแบบสอบถามกับตัวอย่างจำนวน 355 คน ที่เป็นพนักงานประจำขององค์การ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยของแต่ละตัวแปรแสดงให้เห็นว่าค่าตอบแทนเป็นปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานที่มีผลกระทบมาที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 3.70) ตามด้วยประสบการณ์ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 3.38) และชั่วโมงการทำงาน (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 3.26) นอกจากนั้น ยังพบว่า สมมติฐานได้รับการสนับสนุนบคือ ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานมีผลกระทบอย่างมากต่อการลาออกของพนักงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 R<sup>2</sup> = 0.575. ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อการลาออกของพนักงานมากที่สุดคือ ค่าตอบแทน ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงว่าปัจจัยทั้งหมดมีผลต่อการลาออกของพนักงาน แต่มีการประเมินในเชิงบวกที่ดีที่สุดคือ ค่าตอบแทนมีผลต่อความตั้งใจในการลาออกจากงาน เพราะเมื่อตรวจสอบส่วนประกอบของค่าตอบแทนที่พนักงานควรได้รับ หากมีความรู้สึกว่าไม่เท่าเทียมกับความสามารถของพวกเขาหรือลักษณะของงานที่พวกเขาทำ จะทำให้เกิดความไม่พอใจในค่าตอบแทนที่ได้รับ ความไม่พอใจนี้ส่งผลให้พนักงานต้องการลาออกและค้นหาโอกาสใหม่ในการทำงานที่มีค่าตอบแทนที่ดีกว่า</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/266013 ภาวะผู้นำด้านคุณลักษณะกับการจัดการภาวะวิกฤต โควิด-19 ที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหาร จังหวัดเชียงราย 2023-07-12T12:52:53+07:00 ภริตพร แสงตึง [email protected] เบญจวรรณ เบญจกรณ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงคุณลักษณะของผู้ประกอบการร้านอาหาร จังหวัดเชียงราย 2. ศึกษาระดับการจัดการภาวะวิกฤตโควิด-19 ของผู้ประกอบการร้านอาหาร จังหวัดเชียงราย และ 3. ศึกษาภาวะผู้นำเชิงคุณลักษณะและการจัดการภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจร้านอาหาร จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้จัดการร้านอาหาร จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ภาวะผู้นำเชิงคุณลักษณะมีความเห็นอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ลักษณะที่เกี่ยวกับงาน สติปัญญาความสามารถ ลักษณะทางสังคม และบุคลิกภาพ ตามลำดับและการจัดการภาวะวิกฤตโควิด-19 ของผู้ประกอบการ มีความเห็นระดับมาก ได้แก่ การเตรียมความพร้อม การป้องกัน การตอบสนอง การปรับปรุงแก้ไข ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยภาวะผู้นำเชิงคุณลักษณะ ได้แก่ สติปัญญาความสามารถ และลักษณะที่เกี่ยวกับงาน และปัจจัยการจัดการภาวะวิกฤตโควิด-19 ได้แก่ การป้องกัน การเตรียมความพร้อม มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหาร จังหวัดเชียงราย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/269444 การจัดการศึกษาอิสลาม: วิชาแกนและวิชาเฉพาะในหลักสูตรอิสลามศึกษาในประเทศไทย 2024-01-22T12:52:21+07:00 อับดุลฮาฟิช หิเล [email protected] มุจลินท์ มินมุกดา [email protected] จักรภพ สาละกุล [email protected] <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความเร่งด่วนและความจำเป็นในการสร้างหลักสูตรอิสลามศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในประเทศไทย หลักสูตรควรถูกสร้างให้เหมาะสมกับความต้องการทางวิชาการและความต้องการทางปัญญาของนักเรียนที่ต้องการพัฒนาความเข้าใจอย่างลึกซึ่งเกี่ยวกับอิสลาม การศึกษานี้นำเสนอกรอบทฤษฎีที่แสดงให้เห็นถึงการรวมกลุ่มรายวิชาหลักและหลักสูตรใหญ่ในหลักสูตร เพื่อเสริมความเข้าใจและความชื่นชมต่อความคิดและวัฒนธรรมอิสลามภายในบริบทที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย กรอบทฤษฎีได้ถูกพัฒนาขึ้นจากการวิจัยที่ผ่านมาและการสนทนาทางวิชาการภายในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ของกลยุทธ์นี้คือเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของชุมชนมุสลิมไทย โดยการรวมรวมการศึกษาอิสลามทางดั้งเดิมภายในบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์