วารสารสุทธิปริทัศน์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal <p><strong>วารสารสุทธิปริทัศน์</strong></p> <p><strong>ISSN : 2730-2717 (online) ISSN : 2730-2709 (print)</strong></p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> ปีละ 4 ฉบับ <br />ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม <br />ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน <br />ฉบับที่ 3 สิงหาคม-กันยายน <br />และฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม รวมทั้งฉบับพิเศษ (ถ้ามี)</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ </strong>วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความ ในด้านสังคมศาสตร์ อันได้แก่</p> <p><strong>สาขาวิชา </strong><strong>:</strong><strong><br /></strong>1. บริหารธุรกิจ การจัดการและการบัญชี<br />2. เศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติและการเงิน</p> <p><strong>สาขาวิชาย่อย :<br /></strong>1. ธุรกิจทั่วไป การจัดการและการบัญชี<br />2. การจัดการด้านกลยุทธ์และการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ที่เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจ)<br />3. พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์<br />4. เศรษฐศาสตร์ทั่วไป เศรษฐมิติ และการเงินและการบัญชี</p> th-TH <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารสุทธิปริทัศน์ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารสุทธิปริทัศน์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสุทธิปริทัศน์หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารสุทธิปริทัศน์ก่อนเท่านั้น</p> dpujournal@dpu.ac.th (อาจารย์ ดร.ภูมิพัฒณ์ พงศ์พฤฒิกุล) dpujournal@dpu.ac.th (นางปัทมพร โพนไสว และ นางสุดารัตน์ ขำภักตร์) Fri, 27 Sep 2024 08:45:32 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กลยุทธ์การจัดการโซ่อุปทานการท่องเที่ยวโดยชุมชนวิถีชาและกาแฟ: กรณีศึกษา แหล่งท่องเที่ยวชุมชนวิถีชาและกาแฟในจังหวัดเชียงราย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/274076 <p>การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism) เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่ให้ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการจัดการและบริหารทรัพยากรการท่องเที่ยว โดยคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจท้องถิ่น งานวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นในโซ่อุปทานของการท่องเที่ยวโดยชุมชนในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม งานวิจัยได้สำรวจข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม เพื่อวิเคราะห์กระบวนการในโซ่อุปทาน ความท้าทาย และโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวของหมู่บ้านห้วยน้ำกืนและหมู่บ้านปางขอน ซึ่งพบว่า ในโซ่อุปทานมีการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการจัดการที่ดีในระดับชุมชน แต่ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ เช่น การขาดการสนับสนุนทางเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ทันสมัย ความไม่พร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวในบางพื้นที่ และการขาดการฝึกอบรมในการบริหารจัดการธุรกิจท่องเที่ยว</p> <p>ผลการวิจัยเสนอกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ 1. การให้ความรู้กับหมู่บ้านเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น 2. จัดตั้งกลุ่มผู้รับผิดชอบ หรือใช้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ในการทำคอนเท้นท์สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ของหมู่บ้าน 3. การออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวของชุมชน โดยคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันของวิถีชาและกาแฟ</p> ธันวา แก้วเกษ, สุพรรณิการ์ ขวัญเมือง, กษิภณ อภิมุขคุณานนท์, พรวศิน ศิริสวัสดิ์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/274076 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 การตระหนักรู้และการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ในบริบทการสื่อสารไร้สาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273151 <p>การศึกษาวิจัยเรื่อง การตระหนักรู้และการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ในบริบทการสื่อสารไร้สาย มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการตระหนักรู้ และการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ของประชากรที่ความหลากหลายแตกต่างกัน ภายใต้บริบทการสื่อสารแบบไร้สาย และเพื่อประเมินถึงการนำความรู้ความเข้าใจที่ของประชากรที่หลากหลายแตกต่างกันเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ไปใช้ประโยชน์ภายใต้บริบทการสื่อสารแบบไร้สาย จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 625 ตัวอย่าง ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา วัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง และสถิติเชิงอนุมานวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า การตระหนักรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และการนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ไปใช้ประโยชน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ความแตกต่างด้านอายุส่งผลต่อการตระหนักรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ด้านความแตกต่างของเพศ และอายุยังส่งผลต่อการตระหนักรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างด้านอาชีพส่งผลต่อการนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ไปใช้ประโยชน์ในภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยความแตกต่างและหลากหลายของประชากรด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา ไม่ส่งผลต่อการนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ไปใช้ประโยชน์ในภาพรวม</p> อิสรีย์ ประดิษฐ์ธีระ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273151 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาอัตราส่วนทางการเงินที่ส่งผลต่อการจ่ายปันผล–กรณีศึกษา บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จ่ายปันผลมาต่อเนื่อง 10 ปี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/270804 <p>งานวิจัยนี้ศึกษาอัตราส่วนทางการเงินที่ส่งผลต่ออัตราการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่จ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี จากข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ที่เป็นอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทดังกล่าว จำนวน 13 บริษัท ระหว่างปี พ.ศ. 2555-2565 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนาเพื่อวิเคราะห์ลักษณะตัวแปร การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ค่าสถิติ Tolerance และ Variance Inflation Factor (VIF) เพื่อตรวจสอบปัญหา Multicollinearity ค่าสถิติ Kolmogorov-Smirnov Test เพื่อทดสอบการแจกแจงแบบปกติของตัวแปรตาม และวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ณ ระดับความเชื่อมั่นทางสถิติ ร้อยละ 95 งานวิจัยนี้ไม่พบอิทธิพลของอัตราส่วนทางการเงินที่มีต่อการจ่ายเงินปันผลที่วัดด้วยอัตราการจ่ายเงินปันผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยพบว่า มีอัตราส่วนทางการเงิน ได้แก่ อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) และอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม (Debt Ratio) มีทิศทางความสัมพันธ์ทางบวกกับอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> <p> </p> กษิดิ์เดช แตงภู่, ธนิดา จิตร์น้อมรัตน์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/270804 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 การสื่อสารการตลาดดิจิทัล และคุณภาพการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรดของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/272241 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรด 2. เปรียบเทียบการตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรด จำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ 3. ศึกษาผลกระทบของการสื่อสารการตลาดดิจิทัลที่มีต่อการตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรด และ 4. ศึกษาผลกระทบของคุณภาพการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีต่อการตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรดของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถามออนไลน์ จากผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่เคยเห็นหรือเคยใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรด จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วยค่าสถิติเชิงอนุมาน ประกอบด้วย t-Test F-test และ Multiple Regression Analysis ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ที่เป็นตัวอย่างมีความตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรดอยู่ในระดับมาก และพบว่า ผู้ที่มีเพศ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้และสถานภาพสมรสที่แตกต่างกัน มีการตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรดแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังพบว่า การสื่อสารการตลาดดิจิทัลด้าน Remarketing และด้านการตลาดเนื้อหา ส่งผลต่อการตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสามารถอธิบายความตั้งใจซื้อได้ร้อยละ 3.5 (Adjusted R<sup>2</sup> = 0.035) และพบว่า คุณภาพการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด้านการชดเชยลูกค้าเมื่อเกิดความเสียหาย และด้านการทำให้บรรลุเป้าหมาย ส่งผลต่อการตั้งใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโมเดิร์นเทรด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งตัวแปรทั้งสองสามารถอธิบายความตั้งใจซื้อได้ร้อยละ 24.9 (Adjusted R<sup>2</sup> = 0.249) ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ รวมถึงธุรกิจที่ต้องการการพัฒนาการสื่อสารการตลาดดิจิทัล คุณภาพในการให้บริการธุรกิจค้าปลีกบนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อนำไปปรับปรุงในใช้เป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด และสามารถตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภคได้</p> ธนพล หรูอนันต์, จรัญญา ปานเจริญ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/272241 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 ความสมดุลในชีวิตการทำงานที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ของคนวัยทำงาน Gen Z ในกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/272949 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับความสมดุลในชีวิตการทำงาน 2. ศึกษาระดับความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ 3. เปรียบเทียบความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4. ศึกษาความสมดุลในชีวิตการทำงานที่มีผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ของคนวัยทำงาน Gen Z ในกรุงเทพมหานคร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถามออนไลน์ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วยค่าสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test F-test และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณโดยกำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า คนวัยทำงาน Gen Z ในกรุงเทพมหานครมีความสมดุลในชีวิตการทำงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และมีความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า คนวัยทำงาน Gen Z ในกรุงเทพมหานครที่มีสถานภาพสมรส อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน และประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน มีความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ พบว่า ความสมดุลในชีวิตการทำงาน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเวลา ด้านการมีส่วนร่วม และด้านความพึงพอใจ มีผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ด้าน สามารถอธิบายความแปรผันของความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กรสมัยใหม่ได้ร้อยละ 63.7 (R<sup>2</sup> = 0.637) จากผลการศึกษาสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับบุคลากรในองค์กรต่อไป</p> สุธาสินี บ๋าศาลา, จรัญญา ปานเจริญ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/272949 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่กำหนดอาชญากรรมฟอกเงิน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/271154 <p>งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่ออาชญากรรมฟอกเงินผ่านการรวบรวมข้อมูลแบบอนุกรมเวลา ได้แก่ จำนวนธุรกรรมที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินคดี จำนวนคดีอาญา จำนวนคดียาเสพติด อัตราเงินเฟ้อ GDP Growth จำนวนคนจน หนี้ครัวเรือน โดยทำการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี 2555-2564 นำมาวิเคราะห์ด้วยการประมาณค่าสมการถดถอยด้วยวิธีกำลังสองน้อยที่สุด ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ถดถอยมากที่สุด 2 ลำดับแรก ได้แก่ ตัวแปรหนี้ครัวเรือนที่มีค่าสัมประสิทธ์เท่ากับ 3.749 และตัวแปรจำนวนคดีเสพติดที่มีค่าสัมประสิทธิ์เท่ากับ 3.532 งานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลต้องมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้เข้มข้นและจริงจังมากกว่านี้ ประกอบกับรัฐบาลดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อลดจำนวนคนจนตลอดจนมีมาตรการดูแลประชาชนเรื่องภาระหนี้สินเพื่อลดจำนวนอาชญากรรมฟอกเงินให้มีจำนวนลดลง</p> ดนัยกฤต อินทุฤทธิ์, วัชรนันท์ ทองมา, รัฐกรณ์ พงษ์ประเสริฐ, คุณากร วิวัฒนากรวงศ์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/271154 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่เพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุวัยต้นจากร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/271673 <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่เพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุวัยต้นจากร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร โดยทำการเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงอายุวัยต้น อายุ 60-69 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรงที่เคยซื้อเบเกอรี่เพื่อสุขภาพในกรุงเทพมหานคร โดยคำนวณขนาดตัวอย่างจากสูตรของคอแครน ได้จำนวน 385 คน เพื่อความแม่นยำของข้อมูลในการเก็บตัวอย่าง ผู้วิจัยจึงเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โมเมนต์ผลคูณอย่างง่ายของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีช่วงอายุ 65-69 ปี มีการศึกษาอยู่ในระดับอนุปริญญา หรือ ปวส. เป็นผู้เกษียณอายุ และมีบุตร-หลาน เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่าย ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่เพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุวัยต้นจากร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 เพื่อทำนายอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่เพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุวัยต้นจากร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร คือ Y = 0.748 + 0.298 (ผลิตภัณฑ์) + 0.185 (ช่องทางการจัดจำหน่าย) + 0.336 (การส่งเสริมการตลาด) ค่าอิทธิพลมีประสิทธิภาพ คิดเป็นร้อยละ 61.40 ในส่วนของปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่เพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุวัยต้นจากร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ปัจจัยความต้องการด้านความปลอดภัย และปัจจัยความต้องการทางสังคม มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 สามารถทำนายอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเบเกอรี่เพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุวัยต้นจากร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร คือ Y = 1.432 + 0.490 (ด้านความต้องการด้านความปลอดภัย) + 0.348 (ด้านความต้องการทางสังคม) ค่าอิทธิพลมีประสิทธิภาพ คิดเป็นร้อยละ 62.90</p> นันทิยา เกตุแก้ว, สายพิณ ปั้นทอง Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/271673 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเช่าชุดคอสเพลย์ของกลุ่มเจเนอเรชั่น Y และเจเนอเรชั่น Z ในประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273292 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการตัดสินใจเลือกเช่าชุดคอสเพลย์ของกลุ่มเจเนอเรชั่น Y และเจเนอเรชั่น Z ในประเทศไทย และศึกษาอิทธิพลของการบอกต่อในการตัดสินใจเลือกเช่าชุดคอสเพลย์ของกลุ่มเจเนอเรชั่น Y และเจเนอเรชั่น Z ในประเทศไทย ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 385 คน ซึ่งเคยเช่าชุดคอสเพลย์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากรในการบริการและด้านกระบวนการให้บริการ ส่งผลต่อการตัดสินใจการตัดสินใจเลือกเช่าชุดคอสเพลย์ของเจเนอเรชั่น Y และ เจเนอเรชั่น Z ในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และอิทธิพลของการบอกต่อส่งผลต่อการตัดสินใจการตัดสินใจเลือกเช่าชุดคอสเพลย์ของเจเนอเรชั่น Y และ เจเนอเรชั่น Z ในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> ทัตพร คำสมุทร, ปรัศนีย์ ณ.คีรี, ชินพงศ์ กันนา, กษิภณ อภิมุขคุณานนท์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273292 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 ผลกระทบของสื่อโฆษณาออนไลน์และคุณภาพการบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าผ่าน Social media platform ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273472 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบความตั้งใจซื้อสินค้าผ่าน Social Media Platform ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำแนกตาม ลักษณะทางประชากรศาสตร์ 2. ศึกษาผลกระทบของสื่อโฆษณาออนไลน์ที่มีผลต่อความตั้งซื้อสินค้าผ่าน Social Media Platform ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3. เพื่อศึกษาผลกระทบของคุณภาพการบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีผลต่อความตั้งซื้อสินค้าผ่าน Social Media Platform ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประชากรที่ศึกษา คือ ผู้ที่เคยเห็นสื่อโฆษณาผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 408 คน โดย เพศหญิง 204 คน และเพศชายมีจำนวน 202 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ด้วยวิธีการแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) เพื่อทดสอบสมติฐานของข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ t-Test, F-Test และ Multiple Regression Analysis ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีอายุ ระดับการศึกษา ความถี่ในการรับสื่อโฆษณา การใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ Facebook Instagram YouTube และ TikTok แตกต่างกัน มีความตั้งใจซื้อสินค้า ผ่าน Social Media Platform แตกต่างกัน สื่อโฆษณาออนไลน์ ด้านข้อความโฆษณา ด้านวิดีโอ/ภาพเคลื่อนไหว ด้านเสียง และด้านตราสัญลักษณ์ หรือโลโก้ มีอิทธิพลทางบวก ส่วนคุณภาพการบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด้านประสิทธิภาพของการใช้งาน ด้านความพร้อมของระบบ และด้านการตอบสนองลูกค้า ตามลำดับ มีอิทธิพลทางบวก และด้านการชดเชยลูกค้าเมื่อเกิดความเสียหาย มีอิทธิพลทางลบต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล</p> พลช อินทวงษ์, จรัญญา ปานเจริญ, ธัมมิกา สุทธเศียร Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273472 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 แรงจูงใจและสภาพแวดล้อมการทำงานในยุคปกติถัดไปที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของบุคลากรหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/271385 <p>งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบความผูกพันองค์กรของบุคลากร จำแนกตามปัจจัยประชากรศาสตร์ 2. ศึกษาแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของบุคลากร 3. ศึกษาสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของบุคลากร โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เก็บข้อมูลจากบุคลากรหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ใช้ขนาดตัวอย่าง จำนวน 300 คน และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบสมมติฐาน<br />การวิจัยด้วยสถิติ Independent Sample t-Test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1. ปัจจัยประชากรศาสตร์ ได้แก่ อายุ อายุงานในหน่วยงาน ระดับการศึกษา และประเภทบุคลากร ที่แตกต่างกัน มีความผูกพันองค์กรแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 2. ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของบุคลากร ซึ่งประกอบด้วย การได้รับการยอมรับนับถือ (X<sup>1</sup>) ความก้าวหน้าในการทำงาน (X<sup>2</sup>) และค่าตอบแทนและสวัสดิการ (X<sup>3</sup>) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.001 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหพันธ์พหุคูณ = 0.485 ค่าประสิทธิภาพในการทำนายที่ปรับ = 0.480 และค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนาย = 0.352 ซึ่งสามารถพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบได้สมการ ดังนี้ Y = 1.747 + 0.210 (X<sup>1</sup>) + 0.265 (X<sup>2</sup>) + 0.109 (X<sup>3</sup>) 3. ปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงานส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของบุคลากร ซึ่งประกอบไปด้วย สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (X<sup>1</sup>) การทำงานแบบยืดหยุ่น (X<sup>2</sup>) สังคมไร้การสัมผัส (X<sup>3</sup>) และนวัตกรรมในการทำงาน (X<sup>4</sup>) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.001 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหพันธ์พหุคูณ = 0.515 ค่าประสิทธิภาพในการทำนายที่ปรับ = 0.509 และค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนาย = 0.342 ซึ่งสามารถพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบได้สมการ ดังนี้ Y = 1.662 + 0.104 (X<sup>1</sup>) + 0.204 (X<sup>2</sup>) + 0.198 (X<sup>3</sup>) + 0.134 (X<sup>4</sup>)</p> วิศิษฏ์ แต้ไพบูลย์, สุรวี ศุนาลัย Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/271385 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของแรงจูงใจต่อการเลือกรับชมซีรีส์เกาหลีเรื่อง “Dr. Romantic ภาค 3” ของวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273036 <p>งานวิจัยเรื่อง อิทธิพลของแรงจูงใจต่อการเลือกรับชมซีรีส์เกาหลีเรื่อง “Dr. Romantic ภาค 3” ของวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของแรงจูงใจที่มีต่อการเลือกรับชมซีรีส์เกาหลีเรื่อง “Dr. Romantic ภาค 3” ของวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานคร ในการศึกษานี้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแจกแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 159 คน ที่เป็นกลุ่มวัยทำงานและชมซีรีส์เกาหลีเรื่อง “Dr. Romantic ภาค 3” กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 20-25 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 บาทขึ้นไป วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย จากการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยของแต่ละตัวแปรด้านแรงจูงใจแสดงให้เห็นว่า ความบันเทิงเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างรับชมซีรีส์ ในระดับมาก และตัวแปรการเลือกรับชมแสดงให้เห็นว่า การเลือกเปิดรับส่งผลต่อการรับชมในระดับมาก นอกจากนั้น ผลการศึกษายังพบว่า แรงจูงใจมีอิทธิพลต่อการเลือกรับชมซีรีส์เกาหลีเรื่อง “Dr. Romantic ภาค 3” อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (p &lt; 0.01, R Square=0.801) ทั้งนี้ ผลวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจศึกษาซีรีส์ ตลอดจนผู้ผลิตละครไทยได้มีแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาละครไทยให้สอดคล้องกับแรงจูงใจของผู้ชมกลุ่มเป้าหมายที่รับชมละครมากยิ่งขึ้น</p> ปริณดา เริงศักดิ์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/DPUSuthiparithatJournal/article/view/273036 Fri, 27 Sep 2024 00:00:00 +0700