https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/issue/feed
วารสารราชนครินทร์
2024-12-31T12:18:19+07:00
อาจารย์ ดร.ธรรมรัตน์ สิมะโรจนา
rru.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารราชนครินทร์ จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย วิทยานิพนธ์ และบทความทางวิชาการ ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และเพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์ การวิจัยจากคณาจารย์ นักศึกษา ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม<br />โดยมีหมายเลขมาตราฐานสากล ISSN : 2774-1230 (Online)</p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275041
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2024-08-19T10:56:55+07:00
ชญาภัสก์ แก้วประชุม
chayapat.kae@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาและหาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1, 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเขียนได้, และ 3) เพื่อประเมินผลความพึงพอใจที่มีต่อการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ด้วยวิธีการดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development: R&D) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 26 คน ในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง ที่ได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เป็นรูปแบบการวิจัยเชิงทดลอง Pre-Experimental Design มีการวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Single Group Pretest – Posttest Design) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และการทดสอบค่าที (t-test dependent)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นให้ชื่อว่า 3P3K Model มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ, วัตถุประสงค์, ชุดกิจกรรมการเรียนรู้, การวัดและประเมินผล, ปัจจัยแห่งความสำเร็จ, และขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นเตรียมผู้เรียน (Preparation, P1) 2) ขั้นเสริมสร้างความรู้ (Providing the Knowledge, P2) 3) ขั้นฝึกปฏิบัติ (Practicing, P3) 4) ขั้นตรวจสอบความรู้ (Knowledge checking, K1) 5) ขั้นประยุกต์ใช้ (Knowledge applying, K2) และ 6) ขั้นสรุปความรู้ (Knowledge summarizing, K3) โดยมีระดับคุณภาพของค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.34, S.D. = 0.62) 2. ผลการศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น พบว่าคะแนนเฉลี่ยในการอ่านและการเขียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการประเมินความสามารถในการอ่านและการเขียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยความสามารถในการอ่านก่อนเรียนอยู่ในระดับพอใช้ (x̅ = 20.51) และหลังเรียนอยู่ในระดับยอดเยี่ยม (x̅ = 32.33) และความสามารถในการเขียนก่อนเรียนอยู่ในระดับปรังปรุง (x̅ = 9.58) และหลังเรียนอยู่ในระดับดีมาก (x̅ = 15.88) </span>3. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการร่วมกิจกรรมตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.27 , S.D. = 0.77) โดยมีครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้นักเรียนได้เรียนรู้ การทำงานร่วมกันอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.59, S.D. = 0.56) รองลงมาคือนักเรียนชอบเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.56, S.D. = 0.66)</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/274239
ความพึงพอใจที่มีต่อหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยสำหรับ ชาวต่างประเทศ และความมุ่งหวังในการประกอบอาชีพหลังสำเร็จการศึกษา ของนักศึกษาจีนในโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชนครินทร์กับมหาวิทยาลัยครูฉวี่จิ้ง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
2024-07-08T11:21:09+07:00
วรี เรืองสุข
varee.rs@gmail.com
ย่าจิ้ง หลี่
liyajing112@hotmail.com
รัชดา ประณม
ajrachada@gmail.com
ลักคณา น้อยสว่าง
lakkana2517.noi@gmail.com
พรรณรัตน์ กานต์ไกรศรี
pannaratkan@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาจีนในการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยสำหรับชาวต่างประเทศ 2) ศึกษาความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนานักศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยสำหรับชาวต่างประเทศ 3) สำรวจความมุ่งหวังในการประกอบอาชีพ เมื่อสำเร็จการศึกษา ในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยสำหรับชาวต่างประเทศ เพื่อนำสารสนเทศไปใช้ปรับปรุงหลักสูตร ในการจัดเนื้อหารายวิชาให้สอดคล้องกับความต้องการอาชีพของผู้เรียนเมื่อสำเร็จการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Exploratory research) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 100 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาจีนชั้นปีที่ 1– 4 ที่กำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยสำหรับชาวต่างประเทศ อยู่ในระดับมาก (x̄= 4.09, S.D. = 0.85) 2) นักศึกษามีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนานักศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄= 4.17, S.D. = 0.74) 3) นักศึกษามีความมุ่งหวังในการประกอบอาชีพ เมื่อสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทยสำหรับชาวต่างประเทศ พบว่าความมุ่งหวังในการประกอบอาชีพของนักศึกษาในระดับมากที่สุด คือ นักแปลภาษา (ล่าม) รองลงมา คือผู้ประกอบการธุรกิจระหว่างจีน - ไทย เลขานุการ นักการตลาด นักบัญชี นักประชาสัมพันธ์ ครูสอนภาษาจีนในประเทศไทย ครูสอนภาษาไทยในสาธารณรัฐประชาชนจีน และอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ตามลำดับ</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275067
การพัฒนาทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) โดยใช้เกมเป็นฐานสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี
2024-08-20T01:09:23+07:00
ยุภาพร นอกเมือง
nnypp0811@gmail.com
หลัว ฉวิน
Author@gmail.com
หวัง เฟยเยี่ยน
Author@gmail.com
อัญธิกา คิดหมาย
Author@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) โดยใช้เกมเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี ให้สูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการพัฒนาทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) โดยใช้เกมเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี ที่มีต่อการพัฒนาทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) โดยใช้เกมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/3 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 29 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยคือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง สัทอักษรจีน (พินอิน) 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) 3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการสอนโดยใช้เกมเป็นฐาน ตามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) โดยใช้เกมเป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 2) นักเรียนมีทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) โดยใช้เกมเป็นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการอ่านสัทอักษรจีน (พินอิน) โดยใช้เกมเป็นฐานอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.47, S.D. = 0.65) จากผลการวิจัยจึงสามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำหลักการของเกมไปบูรณาการใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ในชีวิตประจำวันได้</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275020
การสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวจากสื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์เพื่อส่งเสริมการกลับมาเยือนประเทศไทยซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19
2024-08-19T21:06:15+07:00
สุภาพร วิชัยดิษฐ์
ammiewi@gmail.com
ชุนหลิน ว่าน
Author@gmail.com
<p>ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลดลงอย่างมาก การฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังวิกฤตจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นสิ่งสำคัญ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของภาพลักษณ์การท่องเที่ยวต่อความคาดหวังและความตั้งใจแสดงพฤติกรรมจากการรับชมสื่อบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ของนักท่องเที่ยวชาวจีน 2) เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมการกลับมาเยือนประเทศไทยซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ในรูปแบบการวิเคราะห์เชิงปริมาณกับนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 400 คน และแบบคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 12 คน โดยใช้การวิเคราะห์ Structure Equation Modeling-SEM</p> <p> ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี และมีแรงจูงใจในการมาเที่ยวตามรอยดาราหรือสถานที่ในภาพยนตร์ การส่งเสริมให้มีการถ่ายทำในประเทศไทยและใช้สื่อออนไลน์ที่เข้าถึงง่าย เช่น เว็บไซต์และแอปพลิเคชันภาษาจีน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ผลการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง แสดงให้เห็นว่าค่าความสอดคล้องของโมเดลผ่านเกณฑ์ทั้งหมด: χ2/df=2.506, GFI=0.902, AGFI=0.925, CFI=0.948, RMSEA=0.014, RMR=0.019 โดย ภาพลักษณ์ทางการท่องเที่ยวมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความคาดหวัง (0.44) ความคาดหวังมีอิทธิพลต่อความตั้งใจแสดงพฤติกรรม (0.61) และภาพลักษณ์การท่องเที่ยวมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความตั้งใจแสดงพฤติกรรมผ่านความคาดหวังเป็นตัวแปรส่งผ่าน (0.27) ดังนั้น กลยุทธ์การตลาดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้น ควรเน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและน่าสนใจให้กับประเทศไทย การใช้สื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์เป็นเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและกระตุ้นการกลับมาเยือนของนักท่องเที่ยวชาวจีน จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275814
การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2
2024-09-25T22:59:21+07:00
สุพิชฌาย์ เจริญรักษ์
krunan54@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 2) สร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 และ 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ขั้นตอนการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม โดยวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง และการตอบแบบสอบถามจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 105 คน 2) สร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โดยนำผลจากการศึกษาขั้นตอนที่ 1 มากำหนดกรอบแนวคิดในการสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน ประชุมสนทนากลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 17 คน และตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของร่างรูปแบบและคู่มือ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โดยการตอบแบบสอบถามจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 109 คน 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โดยวิเคราะห์ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนมาตรฐานสากล ผลการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาตรฐานที่ 1 คุณภาพผู้เรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ผลที่ปรากฏต่อนักเรียนเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนปีการศึกษา 2566 จำนวน 2,394 คน และความพึงพอใจของผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้อง โดยใช้แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 3 ฉบับ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู นักเรียน และผู้ปกครอง จำนวน 771 คน โดยการเทียบจากตารางของเครซี่และมอร์แกน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong> ผลการวิจัยพบว่า </strong>1. ผลการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 พบว่าปัญหาด้านการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และความต้องการในการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก 2. รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วม ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการวางแผน การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และการมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ 2) การบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา การนิเทศการศึกษา การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษา และการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 3. ผลทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 4. ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน ปีการศึกษา 2566 พบว่าผลการประเมินคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนมาตรฐานสากล ด้านล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก บรรลุผลการดำเนินงานร้อยละ 100 ผลการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาตรฐานที่ 1 คุณภาพผู้เรียน มีระดับคุณภาพอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับ 3 ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 77.62 ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 97.62 ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) พบว่า ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รายวิชาสังคมศึกษา และวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงกว่าระดับประเทศ นักเรียนได้รับรางวัลเป็นที่ประจักษ์ในการแข่งขันระดับนานาชาติ/ระดับประเทศ/จังหวัด/เขตพื้นที่การศึกษาจำนวน 135 รายการ และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่มีต่อรูปแบบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน พบว่าครู นักเรียน และผู้ปกครองมีความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275524
การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการแพลตฟอร์มการพัฒนาครูในพื้นที่เมืองแห่งการเรียนรู้ฉะเชิงเทราสู่การยกระดับคุณภาพโรงเรียนด้านวิชาชีพและวิชาการ
2024-09-11T13:32:51+07:00
จิตติมา ปัญญาพิสิทธิ์
Author@gmail.com
ทิพย์วิมล วังแก้วหิรัญ
thipwimol.wan@rru.ac.th
กีรติ นันทพงษ์
Author@gmail.com
พงศธร ปาลี
Author@gmail.com
สุพัฒน์ สุขเกษม
Author@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการแพลตฟอร์มการพัฒนาครู 2) พัฒนานวัตกรรมด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูที่สอดคล้องกับความต้องการกับบริบทเมืองแห่งการเรียนรู้ จังหวัดฉะเชิงเทรา และ 3) ประเมินแนวทางการบริหารจัดการแพลตฟอร์มการพัฒนาครูที่สอดคล้องกับบริบทเมืองแห่งการเรียนรู้จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยดำเนินการในลักษณะของการวิจัยและพัฒนา มีขั้นตอนการดำเนินงานวิจัย 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การศึกษาและสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแพลตฟอร์มการพัฒนาครู โดยการวิจัยเอกสาร และการจัดประชุมกลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสำนักเงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 3 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน ศึกษานิเทศก์ จำนวน 7 คน ครูผู้สอนในจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 2 การพัฒนานวัตกรรมด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการกับบริบทเมืองแห่งการเรียนรู้ จังหวัดฉะเชิงเทรา และ ระยะที่ 3 การศึกษาและประเมินแนวทางการบริหารจัดการแพลตฟอร์มการพัฒนาครูที่สอดคล้องกับบริบทเมืองแห่งการเรียนรู้ จังหวัดฉะเชิงเทรา</p> <p> ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1. <span style="font-size: 0.875rem;"> แนวทางการบริหารจัดการแพลตฟอร์มการพัฒนาครูที่เกิดจากการวิเคราะห์สภาพความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 1) การวางแผนและออกแบบแพลตฟอร์ม 2) การสร้างเนื้อหาสื่อการเรียนรู้ 3) การฝึกอบรมและการสนับสนุน 4) การประเมินผลและปรับปรุง ผ่านระบบการบริหารจัดการแพลตฟอร์ม 3 ระบบ ได้แก่ 1) ระบบสารสนเทศเพื่อการพัฒนาบุคลากรครู 2) ระบบการเรียนการสอน ติดตามและประเมินผลแบบผสมผสาน และ 3) ระบบสื่อสาร 2.</span><span style="font-size: 0.875rem;"> ผลการพัฒนานวัตกรรมด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้เสริมสร้างสมรรถนะครูทำให้เกิดหลักสูตรฝึกอบรม Non-Degree “การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงด้วยนวัตกรรมทางการศึกษา” จำนวน 9 หน่วยกิต รวมเวลาเรียน 285 ชั่วโมง มีผลการตรวจสอบความเหมาะสมของหลักสูตรระดับมากที่สุด (</span>x̄ <span style="font-size: 0.875rem;">= 4.66, S.D. = 0.52) </span>3. ผลการประเมินความเหมาะสมแนวทางการบริหารจัดการแพลตฟอร์มการพัฒนาครู ผ่านระบบสารสนเทศการพัฒนาครู ระบบการจัดการเรียนรู้ ติดตามและประเมินผลแบบผสมผสาน ระบบสื่อสาร และการใช้งานระบบแพลตฟอร์มการพัฒนาครู อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.68, S.D. = 0.62) และเมื่อพิจารณาแต่ละด้านพบว่า ทุกรายการมีความเหมาะสมระดับมากที่สุด</p> <p> </p> <p> </p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/276769
การพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพี่เลี้ยงของนักศึกษาครูสังคมศึกษาด้วยกระบวนการจิตปัญญาศึกษา
2024-11-11T01:21:34+07:00
วิทยา เต่าสา
wittaya.tao@rru.ac.th
สุทธิษา สมนา
Author@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินคุณลักษณะความเป็นพี่เลี้ยงของนักศึกษาครูสังคมศึกษาด้วยกระบวนการจิตปัญญาศึกษา โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 28 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัยคือ แผนการจัดกิจกรรมโฮมรูมด้วยจิตปัญญาศึกษา และแบบประเมินความเป็นพี่เลี้ยง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพี่เลี้ยงด้วยกระบวนการจิตปัญญาศึกษาโดยการฝึกปฏิบัติกิจกรรมโฮมรูมที่บูรณาการกับกระบวนการจิตปัญญาศึกษาในสถานศึกษาจริงตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 จนถึงชั้นปีที่ 4 การแสดงออกคุณลักษณะความเป็นพี่เลี้ยงของนักศึกษาครูสังคมศึกษาที่แสดงออกมาทั้ง 5 ด้านคือ ด้านความรับผิดชอบ การแก้ไขปัญหา การสื่อสารและการให้คำปรึกษา การทำงานร่วมกับผู้อื่น ด้านการวางแผนและการจัดกิจกรรม หลังจากที่ผ่านการฝึกประสบการณ์ในสถานศึกษาแต่ละชั้นปีแล้ว มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเริ่มต้นในชั้นปีที่ 1 ระดับความเป็นพี่เลี้ยงแสดงออกอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 3.49) เมื่อผ่านการฝึกในชั้นปีที่ 2 และ 3 ระดับความเป็นพี่เลี้ยงแสดงออกในระดับที่มาก (x̄ = 4.07 และ x̄ = 4.32) และระดับความเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มขึ้นอยู่ใน ถึงมากที่สุด (x̄ = 4.55) เมื่อจบการศึกษาในชั้นปีที่ 4</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275629
ความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชากร ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
2024-09-17T20:13:50+07:00
ภณิชชา จงสุภางค์กุล
Author@gmail.com
ธนากร ก้อนทอง
Thanakorn.mcru@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชากร ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชากร ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมในการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชากร ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรที่อาศัยในเขตพื้นที่ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 138 คน และผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม กรณีข้อมูลสูญหาย 5 % จึงเก็บข้อมูลครั้งนี้ทั้งหมด 145 คน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในวิจัยเป็นสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้แก่ ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันโรคไข้เลือดออก และส่วนที่ 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบและแบบประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์นสัน (Pearson's Product-Moment Correlation Coefficient)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ด้านความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพ ด้านการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ ด้านการสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพ ด้านการจัดการเงื่อนไขทางด้านสุขภาพของตนเอง ด้านการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ และด้านการตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง อยู่ในระดับดีมาก ระดับพฤติกรรมในการป้องกันโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับสูง (x̄ = 4.29, S.D. 0.55) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ทุกข้อมีพฤติกรรมในการป้องกันโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับสูง และผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมในการป้องกันโรคไข้เลือดออกในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับสูง (r=0.717, P – value = 0.000)</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275258
การพัฒนาชุดการจัดกิจกรรม คำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะ เพื่อส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย โดยใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของครูปฐมวัย ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา
2024-08-31T01:24:35+07:00
ปรีชา ปั้นเกิด
preechapunkerd@gmail.com
สุรสา จันทนา
surasa5@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดการจัดกิจกรรม คำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะ เพื่อส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย โดยใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของครูปฐมวัย ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา และ 2. เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดจัดกิจกรรม คำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะ เพื่อส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย โดยใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของครูปฐมวัย ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยแบ่งการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรม โดยใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของครูปฐมวัย ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรม ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรม คำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะ เพื่อส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างคือ ครูปฐมวัย ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 25 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จากนั้นเลือกกลุ่มตัวอย่างจากโดยใช้วิธีอาสาสมัคร (Voluntary Selection) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ชุดกิจกรรมคำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะที่ส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย และแบบประเมินสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ คำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะที่ส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่า t (t-test) และการหาค่าประสิทธิภาพ (E1/E2)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">ชุดการจัดกิจกรรม คำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะ เพื่อส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.40/87.40 ตามเกณฑ์การสร้างและพัฒนาเครื่องมือ 2. ค</span><span style="font-size: 0.875rem;">ะแนนผลการใช้ชุดกิจกรรมคำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะที่ส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย ก่อนทดสอบ มีค่าเฉลี่ย 16.48 และหลังทดสอบ มีค่าเฉลี่ย 17.48 </span>3. การเปรียบเทียบคะแนนผลการใช้ชุดกิจกรรม คำคล้องจอง ดนตรีและเพลงประกอบการเคลื่อนไหวและจังหวะที่ส่งเสริมทักษะสมอง อี เอฟ ของเด็กปฐมวัย พบว่า คะแนนหลังการทดสอบสูงกว่าคะแนนก่อนการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/275537
ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษาและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูยุคไทยแลนด์ 4.0 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตาก
2024-09-12T11:06:42+07:00
จักรพันธุ์ จันทร์เจริญ
Charoen.chakkapan@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ระดับบทบาทการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษา 2) หาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูยุคไทยแลนด์ 4.0 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูยุคไทยแลนด์ 4.0 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูและบุคลากร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตาก จำนวน 162 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเทียบหากลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนโดยใช้จังหวัดที่ตั้งของสถานศึกษาเป็นชั้นของการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 1 ฉบับ แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบสอบถามบทบาทการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 และตอนที่ 2 แบบสอบถามแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูยุคไทยแลนด์ 4.0 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) บทบาทการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกระดับสูงกับ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูยุคไทยแลนด์ 4.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/276028
การพัฒนาการส่งเสริมครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการจัดการเรียนการสอนแบบ New Normal
2024-10-05T16:22:15+07:00
พิทักษ์ พลคชา
khobfa.chan@gmail.com
ขอบฟ้า จันทร์เจริญ
Author@gmail.com
จักรพันธุ์ จันทร์เจริญ
Author@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาเกี่ยวกับ การพัฒนาการส่งเสริมครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการจัดการเรียนการสอนแบบ New Normal โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบขีดความสามารถการจัดการเรียนการสอนแบบ New Normal สู่การพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 2) พัฒนาระบบส่งเสริมพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสริมสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3) ทดลองใช้ระบบส่งเสริมพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสริมสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยการเรียนการสอนแบบ New Normal สู่การพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยการสัมภาษณ์กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้วยเทคนิคสนทนากลุ่ม (Focus Group Technique) จำนวน 30 คน กลุ่มครูทดลองใช้ระบบพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาออนไลน์ฯ จำนวน 30 คน และวิเคราะห์เนื้อหา ประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของแนวทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบขีดความสามารถการจัดการเรียนการสอนแบบ New Normal สู่การพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 2) การใช้เทคโนโลยีเป็นฐานการจัดการเรียนรู้ 3) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการเพื่อการเรียนรู้ และ 4) การมุ่งเน้นการประเมินเพื่อการเรียนรู้ 2. พัฒนาระบบส่งเสริมพัฒนา ครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสริมสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยการเรียนการสอนแบบ New Normal สู่การพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 3. การทดลองใช้ระบบส่งเสริมพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสริมสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเพื่อการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยการเรียนการสอนแบบ New Normal สู่การพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/274240
เมตาเวิร์สกับการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตร์
2024-07-08T11:44:14+07:00
รรินทร วสุนันต์
rarinthorn_vas@dusit.ac.th
สุวลักษณ์ ห่วงเย็น
suwaluk_hua@dusit.ac.th
<p>การพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ในยุคที่เทคโนโลยีเมตาเวิร์ส (Metaverse) มีบทบาทสำคัญในแวดวงการศึกษาและการสื่อสาร ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรของฮิลด้า ทาบา (Hilda Taba) ซึ่งประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ความต้องการ การกำหนดจุดมุ่งหมาย การเลือกเนื้อหาสาระ การจัดระเบียบเนื้อหา การคัดเลือกและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และการประเมินผล ในการปรับใช้กับเมตาเวิร์ส ขั้นตอนเหล่านี้ได้รับการประยุกต์ให้สอดคล้องกับความต้องการของโลกเสมือนจริง ซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบประสบการณ์เชิงประจักษ์และการใช้เทคโนโลยี VR/AR เพื่อเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต หลักสูตรได้รับการออกแบบให้สอดรับกับทักษะที่จำเป็นในอุตสาหกรรม อาทิ การสร้างสรรค์เนื้อหาในโลกเสมือน การตลาดดิจิทัล และการแก้ปัญหาในสถานการณ์ไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงแนวทางการศึกษาเชิงดิจิทัลนี้ยังสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น โดยใช้กลยุทธ์การสอนในรูปแบบเสมือนจริง เช่น การสัมมนาในเมตาเวิร์ส การฝึกทักษะการทำงานในสภาพแวดล้อม VR และการพัฒนาโครงการเสมือนที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือกับอุตสาหกรรมช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จริงและทักษะการทำงานที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน บทความนี้แสดงให้เห็นว่า เมตาเวิร์สมีศักยภาพในการสนับสนุนการเรียนรู้แบบแอคทีฟและสร้างความสนใจในเนื้อหาทางนิเทศศาสตร์ พร้อมเปิดโอกาสการทำงานในหลากหลายสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร การออกแบบ และการพัฒนาเทคโนโลยี</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารราชนครินทร์