วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru <p>วารสารราชนครินทร์ จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย วิทยานิพนธ์ และบทความทางวิชาการ ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และเพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์ การวิจัยจากคณาจารย์ นักศึกษา ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม<br />โดยมีหมายเลขมาตราฐานสากล ISSN : 2774-1230 (Online)</p> Rajabhat Rajanagarindra University th-TH วารสารราชนครินทร์ 2774-1222 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการพัฒนาหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคมของชุมชนเมืองจัง ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/264978 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการพัฒนาหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคมของชุมชนเมืองจัง และ 2) ปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนาหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคมชุมชนเมืองจัง ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ซึ่งชุมชนเมืองจังได้รับการจัดสรรงบประมาณในการนำนวัตกรรมเพื่อสังคม มาประยุกต์ใช้ ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) คือผู้นำและสมาชิกกลุ่มที่นำนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ ตัวแทนผู้บริหารภาครัฐ ผู้นำชุมชน นักวิชาการ เจ้าของผลงานนวัตกรรมสังคม จำนวน 30 คน และจัดการสนทนากลุ่มกับตัวแทนผู้เข้าร่วมขับเคลื่อน โครงการนวัตกรรมเพื่อสังคมทั้ง 6 โครงการ จำนวน 12 คน และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ระยะเวลาการวิจัยตั้งแต่ ตุลาคม 2564 ถึง ตุลาคม 2565 ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของ การพัฒนาหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคมชุมชนเมืองจัง ประกอบไปด้วย ศักยภาพผู้นำและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานการจัดการและพัฒนาศักยภาพชุมชน ความสัมพันธ์เชิงสังคมในชุมชน ความต้องการแก้ปัญหาของชุมชนและรัฐ การสร้างแรงจูงใจ การร่วมมือของภาคีเครือข่าย ทักษะการปรับตัวของชุมชนต่อโลกาภิวัฒน์ และการสนับสนุนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ยังพบข้อแตกต่างจากงานวิจัยอื่นที่ว่าปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ คือ ทักษะการปรับตัวของชุมชนที่มีต่อโลกาภิวัฒน์ และ 2) ปัญหาและอุปสรรคต่อการพัฒนาหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม ประกอบด้วย ด้านระบบการปฏิบัติงานของภาคีเครือข่าย ด้านโครงสร้างหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับด้านทักษะความสามารถการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม ด้านทัศนคติและแรงจูงใจที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง และด้านความรู้ความเข้าใจในทรัพยากรชุมชน</p> ธีรโชติ สัตตาคม วรนารถ ดวงอุดม กนกรัตน์ ยศไกร Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 1 10 การส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเองด้วยชุดกิจกรรมนิทานหรรษาสำหรับนักเรียน ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนอนุบาลชลบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชลบุรีเขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/267236 <p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ที่ได้รับจากการจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมนิทานหรรษา และเพื่อเปรียบเทียบความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้น อนุบาล 2 ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมนิทานหรรษา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ได้แก่ นักเรียนชาย - หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนอนุบาลชลบุรี ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 1 ห้องเรียน ซึ่งเลือกแบบเจาะจง จำนวนทั้งหมด 33 คน ใช้เวลาในการทดลองจำนวน 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 18 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมนิทานหรรษา จำนวน 18 แผน และแบบสังเกตพฤติกรรมความเชื่อมั่นในตนเอง ด้านความกล้าแสดงออก สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน t-test (Dependent Samples)<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ที่ได้รับจากการจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมนิทานหรรษาหลังจัดกิจกรรม เด็กมีความเชื่อมั่นในตนเองที่สูงขึ้นสังเกตได้จากผลการประเมินจากแบบสังเกตรายข้อคือ เด็กมีการแสดงออกทางวาจา ทางท่าทาง ด้วยความมั่นใจ แสดงตัวเป็นอาสาสมัครในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นขณะทำกิจกรรม และแสดงออกทางความคิดเป็นตัวของตัวเอง โดยรวมผลคะแนนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.94 อยู่ในระดับดี และ 2) ผลคะแนนความเชื่อมั่นในตนเองด้านการกล้าแสดงออกก่อนการทดลองของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 มีผลคะแนนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.79 ส่วนหลังการทดลองจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมนิทานหรรษามีผลคะแนนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.94 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบกันพบว่าผลความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ที่ได้การจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมนิทานหรรษา หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง มีระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 </p> กรรณิการ์ ขอแจ้งกลาง ธิดารัตน์ อธิปัญจพงษ์ ญาณวีร์ คำแผลง Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 11 23 การใช้ชีวิตคู่ของนักศึกษาหญิง ระดับปริญญาตรีในภาคเหนือตอนล่าง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/266624 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาถึงภูมิหลัง สาเหตุที่นำไปสู่การตัดสินใจ และบทบาทการใช้ชีวิตคู่ของนักศึกษาหญิง ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม จากนักศึกษาหญิง จำนวน 10 ราย ระหว่างเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2565 ภายใต้กรอบแนวคิดเรื่องเพศวิถี และการใช้ชีวิตคู่ก่อนการสมรส ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ภูมิหลัง และการตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่ของนักศึกษา พบว่า รูปแบบการเลี้ยงดูจากครอบครัวไม่มีผลต่อการตัดสินใจ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความรัก ต้องการอยู่ด้วยกันกับคนรักเพื่อความอุ่นใจ ช่วยเหลือกันในชีวิตประจำวันเป็นที่ปรึกษามีเพื่อนคู่คิด ต้องการมีแฟนเหมือนคนอื่น และสาเหตุด้านเศรษฐกิจ คือการแชร์ค่าใช้จ่ายร่วมกันระหว่างการศึกษา<br />2. บทบาทการใช้ชีวิตคู่ของนักศึกษาหญิง พบว่า มีการแบ่งบทบาทหน้าที่เหมือนการเป็นสามีภรรยา มีการแชร์เรื่องค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวัน โดยให้ฝ่ายหญิงบริหารจัดการและเก็บออมเงิน นักศึกษาหญิงจะทำงานบ้าน เช่น ซักผ้า รีดผ้า ทำอาหาร ทำความสะอาด รวมถึงดูแลการแต่งกาย สุขภาพ และควบคุมการเที่ยว ดื่มของฝ่ายชาย ด้านเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด พบว่า นักศึกษามองเรื่องการใช้ชีวิตคู่และการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นการช่วยเหลือและเรียนรู้กัน นำไปสู่ชีวิตคู่ในอนาคต โดยมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ป้องกันการตั้งครรภ์โดยใช้ถุงยางอนามัย และกินยาคุมกำเนิด ครอบครัวมีทั้งยอมรับและไม่ยอมรับการใช้ชีวิตคู่นี้ บางครอบครัวจัดพิธีหมั้นหมายเพื่อให้สังคมยอมรับ <br />ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งนี้ คือ การทำความเข้าใจเรื่องเพศวิถีที่เปลี่ยนแปลงไป ครอบครัวและหน่วยงาน ควรให้ความรู้ ความเข้าใจเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์</p> สมศรี คะสัน เยาวเรศ แตงจวง วิทยา สุขสา Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 24 35 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) ด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีต่อทักษะการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/267289 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) และสรุปบทเรียน ด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการคิดวิเคราะห์และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง แรงในชีวิตประจำวันกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลที่พัฒนาขึ้น 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนของนักเรียน 4) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์จากการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านดอนกลอย อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 32 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านดอนกลอย อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 5) แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน ใช้ t-test</p> นันทพงษ์ เกสรศุกร์ Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 36 52 ผลการใช้โปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครูหรือผู้ปฏิบัติการสอน ในโรงเรียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/267037 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาโปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู 2) เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นครูหรือผู้ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งรับนักเรียนหลากหลายชาติพันธุ์เรียนร่วม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 34 คน ที่มีคะแนนความฉลาดทางวัฒนธรรมในระดับปานกลางและระดับต่ำ โดยสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) โปรแกรมส่งเสริมความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู 2) แบบสอบถามความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์การแปรปรวน และสถิติที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ผลการสร้างโปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู เพื่อพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมทั้ง 4 องค์ประกอบคือ แรงจูงใจทางวัฒนธรรม ความรู้ทางวัฒนธรรม อภิปัญญาทางวัฒนธรรม และพฤติกรรมทางวัฒนธรรมตามแนวคิดของแวนดีนและคณะ (Van Dyne &amp; et al., 2010) วิเคราะห์ร่วมกับการเปิดรับประสบการณ์ 3 ด้านคือ ด้านความเป็นอยู่ทั่วไป ด้านการเข้าสังคมและด้านการทำงานโดยใช้กิจกรรมแบบจำลองวัฒนธรรมเชิงประสบการณ์ (BAFA BAFA) และกิจกรรมความเป็นเลิศในการเรียนรู้จากประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและความเป็นผู้นำ (EXCELL) ผ่านสื่อห้องเรียนออนไลน์ (Google classroom) ใช้เวลาอบรมกิจกรรมละ 1 ชั่วโมง 30 นาที มีทั้งหมด 8 กิจกรรม คือ 1) รู้คุณค่าพหุวัฒนธรรม 2) สร้างความมั่นใจทางวัฒนธรรม 3) พหุวัฒนธรรมน่ารู้ 4) ความรู้เฉพาะทางวัฒนธรรม 5) อภิปัญญาทางวัฒนธรรม 6) กลยุทธ์ทางวัฒนธรรม 7) วัจนภาษาและอวัจนภาษาทางวัฒนธรรม 8) วัจนกรรมทางวัฒนธรรม ผลการหาประสิทธิภาพของโปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู พบว่า การทดลองใช้กลุ่มตัวอย่างแบบรายบุคคลและกลุ่มเล็ก ได้ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.59/81.14 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เท่ากับ 80/80 <br />2. ผลการใช้โปรแกรมส่งเสริมความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเข้าอบรมโปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครูสูงกว่าก่อนเข้าอบรมโปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครูทั้ง 4 องค์ประกอบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอยู่ที่ระดับ .05 และปรับปรุงพัฒนาคู่มือการใช้โปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางวัฒนธรรมของครู มีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในความเหมาะสม เท่ากับ 4.18 อยู่ในระดับความเหมาะสมมาก</p> สายสุดา คำสุข สุวรี ฤกษ์จารี ประกฤติยา ทักษิโณ Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 53 71 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูเพื่อส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยรูปแบบ GPAS 5 Steps ของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/267138 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูเพื่อส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยรูปแบบ GPAS 5 Steps ของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นครูจำนวน 3,503 คน จาก 7 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดใกล้เคียง 3 จังหวัด ได้แก่ นครนายก ลพบุรี และนครราชสีมา มีรูปแบบการวิจัยในลักษณะกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ เล่มหลักสูตร ประกอบด้วยโครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ของหลักสูตรฝึกอบรมครู และแบบวัดและประเมินผล โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย (x̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการทดสอบที (t-test dependent) โดยมีผลการวิจัยดังนี้</p> <p>1. หลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ ชื่อหลักสูตร 1) หลักการของหลักสูตร 2) วัตถุประสงค์ของหลักสูตรฝึกอบรม 3) ผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตรฝึกอบรม 4) โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ของหลักสูตรฝึกอบรม 5) สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ 6) การวัดและประเมินผลของหลักสูตรฝึกอบรม โดยมีผลการประเมิน ความเหมาะสมระดับมาก (x̅ = 4.08 , S.D.= 0.25)<br />2. ผลการศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตร พบว่า 2.1) ผลการเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจของครูและบุคลากรทางการศึกษาหลังการฝึกอบรมด้วยหลักสูตรฝึกอบรมครูสูงกว่าก่อนอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2) ระดับความสามารถของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยรูปแบบ GPAS 5 Steps อยู่ในระดับมากที่สุด (xˉ = 4.73,S.D. = 0.27) และ 2.3) สภาพการจัดการเรียนการสอนก่อนและหลังการเข้ารับการอบรมด้วยหลักสูตรฝึกอบรมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนจากก่อนการอบรมส่วนใหญ่เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้เชิงรับ (Passive Learning) และหลังการอบรมปรับเปลี่ยนเป็นเน้นการจัดการเรียนรู้รุก (Active Learning)</p> ทิพย์วิมล วังแก้วหิรัญ กีรติ นันทพงษ์ ธนเทพ ศิริพัลลภ กุสาวดี คุณแก้ว Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 72 90 การศึกษาการใช้ชุดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/267901 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดการเรียนรู้ส่งเสริมการรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์การรู้ดิจิทัลของผู้เรียนก่อนและหลังเรียนด้วยชุดการเรียนรู้ และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างต่อการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มที่ 1 ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ด้านการวัดและประเมินผล ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 5 ท่าน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง กลุ่มที่ 2 ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ที่กำลังศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และนักศึกษายินยอมในการเป็นกลุ่มตัวอย่างในการดำเนินการวิจัย จำนวน 61 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) ชุดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (2) แบบวัดการรู้ดิจิทัล และ (3) แบบวัดความความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างต่อการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียนรู้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้ดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ประกอบด้วย 3 ชุด คือ ชุดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล ชุดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์พาวเวอร์พอยต์ และชุดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ ผลการประเมินความเหมาะสมชุดการเรียนรู้ทั้ง 3 ชุดมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เข้าร่วมโครงการวิจัยได้รับการส่งเสริมความรู้เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์พาวเวอร์พอยต์ การทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ ซึ่งจำเป็นต่อการเรียนและการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์การรู้ดิจิทัลของผู้เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยชุดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อชุดการเรียนรู้ ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ทัศนีย์ รอดมั่นคง Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 91 104 การประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพและส่งเสริมการสร้างรายได้ ให้แก่เยาวชนในวัยเรียนของสถานศึกษาในตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/267905 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตุถประสงค์เพื่อ 1) เพื่อประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพและส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่เยาวชนในวัยเรียนของสถานศึกษาในตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาโครงการพัฒนาทักษะอาชีพและส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่เยาวชนในวัยเรียนของสถานศึกษาในตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้การประเมินรูปแบบซิปป์ CIPP Model ตามประเด็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการและด้านผลผลิต ประชากรที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 1) ประชากรที่ให้ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูที่ได้รับมอบหมายให้มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมของโครงการ จำนวน 9 โรงเรียนและอาจารย์ผู้รับผิดชอบโครงการ รวมจำนวน 90 คน 2) ประชากรที่ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินงานเกี่ยวข้องกับโครงการร่วมกับอาจารย์ผู้รับผิดชอบโครงการ รวมจำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการประเมินโครงการ จำนวน 3 ด้าน คือ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า และด้านกระบวนการ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ด้วยการวิเคราะห์หาค่าความสอดคล้องของวัตถุประสงค์กับประเด็นคำถามตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (IOC) จำนวน 5 คน ได้ค่า IOC อยู่ระหว่าง .80 – 1.00 2) แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นแบบตรวจสอบรายการเพื่อประเมินโครงการด้านผลผลิตของโครงการ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ด้วยการวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์กับประเด็นคำถามตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (IOC) จำนวน 5 คน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง .80 - 1.00 3) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interview) ซึ่งประกอบด้วยประเด็นคำถามเกี่ยวกับแนวทางการการพัฒนาโครงการโดยมีการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ด้วยการวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์กับประเด็นคำถามตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (IOC) จำนวน 5 คน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง .80 - 1.00 พบว่า 1) ผลการประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพและส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่เยาวชนในวัยเรียนของสถานศึกษาในตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.15, 4.22 และ 4.14 ตามลำดับ ส่วนด้านผลผลิต มีผลผลิต เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดทุกข้อ 2) แนวทางในการพัฒนาโครงการสรุปได้ดังนี้ 2.1) ด้านบริบท ควรมีการจัดโครงการที่เชื่อมโยงกับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมมีความต่อเนื่องเพื่อทำให้เกิดความร่วมมือทุกภาคส่วน 2.2) ด้านปัจจัยนำเข้า ควรมีการนำหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมที่พัฒนาขึ้นต่อยอดสู่กระบวนการวิจัย ตลอดจนการทำผลงานของครูในอนาคต 2.3) ด้านกระบวนการ ควรหาแนวทางในการนิเทศเชิงรุกเพื่อต่อยอดการดำเนินการในการพัฒนาสูตรทักษะอาชีพนำหลักสูตรไปใช้จริง 2.4) ด้านผลผลิต ควรหาแนวทางที่หลากหลายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์/สินค้าที่พัฒนาขึ้น เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง</p> เยาวนาตร อินทร์สำเภา พรทิพย์ อ้นเกษม จิราภรณ์ พจนาอารีย์วงศ์ อังคณา กุลนภาดล ธนเทพ ศิริพัลลภ Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 105 120 ผลการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม ในรายวิชาการพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/267244 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมในรายวิชาการพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ESC02 การพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 27 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบประเมินความเหมาะสมของโครงร่างหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม จำนวน 5 ฉบับ โดยหาคุณภาพด้านความเที่ยงตรงด้วยดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ทุกฉบับ ได้ค่าความสอดคล้องระหว่าง .80-1.00 และหาความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (α–Coefficient) ของครอนบาค ได้ค่าเท่ากับ .80 - .85 สถิติที่ใช้คือสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) จากการศึกษาพบว่า ผลการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม ในรายวิชาการพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษา ได้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม จำนวน 5 รายวิชา โดยมีองค์ประกอบของหลักสูตร ได้แก่ หลักการและเหตุผล จุดมุ่งหมายของหลักสูตร คำอธิบายรายวิชา ผลการเรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ และแผนระยะยาว และผลการประเมินความเหมาะสมหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม จำนวน 5 รายวิชา พบว่า</p> <p>1) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม เรื่อง การพัฒนาทักษะอาชีพในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมาก (<strong> <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /></strong>= 4.22, S.D. = 0.59)</p> <p>2) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม เรื่อง สร้างสรรค์ทรัพยากรท้องถิ่นสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ในชุมชน โดยภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (<strong> <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /></strong>= 4.53, S.D. = 0.65)</p> <p>3) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม เรื่อง STOP BULLYING โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<strong><img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /></strong><strong> </strong>= 4.30, S.D. = 0.59)</p> <p>4) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม เรื่อง สืบสานประเพณีข้าวหลามดีหัวสำโรงโดยภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมาก (<strong> <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /></strong>= 4.43, S.D. = 0.65)</p> <p>5) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม เรื่อง มารยาทไทยหัวใจสาธิต โดยภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมาก (<strong><img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /></strong>= 4.15, S.D. = 0.63)</p> พรทิพย์ อ้นเกษม อังคณา กุลนภาดล ประภาพร ชนะจีนะศักดิ์ ธารทิพย์ ขุนทอง ทิพย์วิมล วังแก้วหิรัญ Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 121 136 การบูรณาการการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการบริการวิชาการ รายวิชาดนตรีในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/266599 <p>งานวิจัยเรื่องการบูรณาการ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการบริการวิชาการรายวิชาดนตรีในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เป็นงานวิจัยแบบผสมผสานระหว่างงานวิจัยเชิงคุณภาพและงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ตำรา งานวิจัย การสังเกต และการสอบถาม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนในแบบบูรณาการ การบริการวิชาการและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ให้บริการบูรณาการกับผู้รับบริการทางวิชาการและศิลปวัฒนธรรม นำเสนอในรูปแบบพรรณนาเชิงวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พิณพาทย์เป็นวงดนตรีที่ประกอบไปด้วยกลุ่มเครื่องดนตรีจำพวกเครื่องเคาะ เครื่องเป่า และ เครื่องหนัง เป็นวัฒนธรรมดนตรีในราชสำนักของกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พบความเชื่อมโยงกันของวัฒนธรรมดนตรีในประเทศต่าง ๆ อาทิ วงชงชาในสิบสองปันนา วงซายวายในพม่า วงพิณพาทย์ในลาว วงปี่พาทย์ในไทย และวงพิเพี๊ยด ในกัมพูชา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันทั้งในด้านบทบาทหน้าที่ต่อราชสำนัก พิธีกรรมความเชื่อ และพระพุทธศาสนา ประกอบกับที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนครพนม อยู่ในพื้นที่ของวัฒนธรรมล้านช้าง ทำให้ผู้วิจัยเลือกรายวิชาดนตรี ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมาใช้ในการสร้างการเรียนรู้ภาคปฏิบัติผ่านวงพิณพาทย์ สู่การบูรณาการการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการบริการวิชาการให้กับชุมชน สังคม ในรูปแบบวงพิณพาทย์พิธี สู่การถ่ายทอดให้กับชุมชนผ่านโรงเรียนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของชุมชน ซึ่งการศึกษาความพึงพอใจของผู้ให้บริการบูรณาการกับผู้รับบริการวิชาการข้อมูลเชิงปริมาณ พบว่า ระดับความพึงพอใจการจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2564 อยู่ในระดับ 4.51 ปีการศึกษา 2565 อยู่ในระดับ 4.59 และความพึงพอใจของผู้รับบริการ อยู่ในระดับ 4.82 เพื่อเป็นแนวทางพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้มีความสมบูรณ์ และเสริมสร้างสมรรถนะให้กับผู้เรียนในด้านทักษะการปฏิบัติ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กร คือ มหาวิทยาลัย ชุมชน วัด และโรงเรียน ให้เป็นไปตามพันธกิจของมหาวิทยาลัยนครพนม</p> เฉลิมพล อะทาโส ทินกร อัตไพบูลย์ ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์ Copyright (c) 2023 วารสารราชนครินทร์ 2023-12-27 2023-12-27 20 2 137 152