วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru <p> วารสารราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (Jrru) ปัจจุบันอยู่ในฐาน TCI กลุ่มที่ 2 ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์วารสารราชนครินทร์ จัดทำขึ้นเพื่อ 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย วิทยานิพนธ์ และบทความวิชาการของคณาจารย์นักศึกษา ในสาขาวิชาต่าง ๆ 2. <span style="font-size: 0.875rem;">เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ และประสบการณ์การวิจัยจากคณาจารย์ นักศึกษา</span>ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย 3. <span style="font-size: 0.875rem;">เพื่อส่งเสริมเครือข่ายนักวิจัยและความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัย 4. </span>เพื่อรายงานผลการดำเนินงานด้านวิจัย ด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์</p> <p> โดยตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม<br />โดยมีหมายเลขมาตราฐานสากล ISSN : 2774-1230 (Online)</p> th-TH rru.journal@gmail.com (อาจารย์ ดร.ธรรมรัตน์ สิมะโรจนา) rru.journal@gmail.com (คุณศิริพร ขจรพันธ์) Mon, 30 Jun 2025 14:28:57 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การศึกษาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279037 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดฉะเชิงเทรา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม โดยมีการหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามด้วยวิธีสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ .87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.15) เมื่อเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย คือ ทักษะพลเมืองดิจิทัลและความฉลาดทางสังคม (x̄ = 4.20) รองลงมา คือ ทักษะภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมและการคิดเชิงนวัตกรรม (x̄ = 4.15) ทักษะดิจิทัลในการบริหารจัดการองค์การทั้งระบบ (x̄ = 4.14) และ ทักษะภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี (x̄ = 4.12)</p> อังคณา กุลนภาดล, สรรเสริญ หุ่นแสน, กฤษฎา พลอยศรี, อดิเรก เยาว์วงค์, พิกุล ประดับศรี Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279037 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของการจัดการทางการเงินต่อผลการดำเนินงานทางการเงิน ของธุรกิจในจังหวัดสงขลา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279394 <p>การศึกษาอิทธิพลของการจัดการทางการเงินต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจในจังหวัดสงขลา เน้นการจัดการทางการเงิน 3 ประการ ประกอบด้วย การจัดการเงินทุนหมุนเวียน การจัดการงบประมาณการลงทุน และการจัดการสินทรัพย์ โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องที่สามารถให้ข้อมูลได้ของธุรกิจในจังหวัดสงขลา จำนวน 159 แห่ง กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามแบบลิเคิทรสเกล (Likert scale) อธิบายข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง รวมทั้งพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันเพื่ออธิบายความสัมพันธ์พื้นฐานของตัวแปร และการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัยด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงโมเดลสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และการจัดการทางการเงินส่งผลเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานทางการเงิน โดยการจัดการทางการเงินที่ดีช่วยส่งเสริมธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันซึ่งส่งผลที่ดีต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจ และช่วยส่งเสริมธุรกิจให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ด้วยการจัดการทางการเงินที่ดี นอกจากนี้สามารถเติมเต็มช่องว่างการศึกษา โดยเฉพาะงานศึกษาที่สนับสนุนการบัญชีบริหารเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ</p> วรกร ภูมิวิเศษ, นาเดีย ยะโก๊ะ Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279394 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมวงล้อแก้ปัญหา TASC https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279479 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมวงล้อแก้ปัญหา TASC ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยระหว่าง ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมวงล้อแก้ปัญหา TASC กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ 1) กลุ่มหาประสิทธิภาพ จำนวน 30 คน 2) กลุ่มทดลอง คือเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ห้อง 3/2 โรงเรียนบางพลีพัฒนศึกษาลัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรปราการ ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) ด้วยการจับฉลาก จำนวน 1 กลุ่ม รวมจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ชุดกิจกรรมวงล้อแก้ปัญหา TASC 4 ชุด และแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test for dependent sample)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดกิจกรรมวงล้อแก้ปัญหา TASC มีประสิทธิภาพ 82.83/83.61 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ พบว่า คะแนนหลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนจัดประสบการณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 แสดงว่าการจัดประสบการณ์ด้วยชุดกิจกรรมวงล้อแก้ปัญหา TASC ของเด็กปฐมวัย ทำให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาสูงขึ้น</p> ภัทรกร นักเจริญ, พอเจตน์ ธรรมศิริขวัญ, หนึ่งฤทัย เมฆวทัต Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279479 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279600 <p> </p> <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยตาปี ระดับชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน โดยสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ 2) แบบวัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ 3) แบบวัดเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที (<em>t-test</em>)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีองค์ประกอบสำคัญ คือ 1) แนวคิด/ทฤษฎี/หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ มี 5 ขั้นตอน คือ 3.1) ขั้นเงื่อนไขของความสัมพันธ์ (The Conditions of a Relationship) 3.2) ขั้นกระบวนการของความสัมพันธ์ (The Process of a Relationship) 3.3) ขั้นกระบวนการปรับปรุงความสัมพันธ์ (The Process of an Improving Relationship) 3.4) ขั้นผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ (Outcomes of an Improving Relationship) และ 3.5) ขั้นกฎของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (A Law of Interpersonal Relationships) การนำเสนอผลงาน การประเมินผล และ 4) ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนจากการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ และรูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมในค่าเฉลี่ย 4.58 ในระดับความคิดเห็นมากที่สุด และค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) เฉลี่ย 0.95 ในระดับที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ 2. ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พบว่า ผู้เรียนในกลุ่มทดลองมีผลความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีค่าเฉลี่ยเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบเท่ากับ 4.00 อยู่ในระดับความคิดเห็นเห็นด้วย</p> แมน เชื้อบางแก้ว, ดวงตา อินทรนาค Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279600 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้กิจกรรมตามหลักการเรียนรู้ที่เน้นการสื่อสารต่อทักษะภาษาจีนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279199 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาผลของการใช้กิจกรรมตามหลักการเรียนรู้ที่เน้นการสื่อสาร Communicative Language Teaching : CLT) ต่อพัฒนาการด้านทักษะการฟัง การพูด และการอ่านภาษาจีนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ให้มีคะแนนเฉลี่ยผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จากจำนวนนักเรียนทั้งหมด และ (2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนที่ใช้กิจกรรมตามแนวทาง CLT ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง จำนวน 7 ห้องเรียน รวม 204 คน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 36 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (cluster purposive sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง CLT จำนวน 5 แผน รวม 25 ชั่วโมง แบบประเมินความสามารถด้านภาษาจีน และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสำหรับสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีพัฒนาการทางด้านทักษะภาษาจีนเพิ่มขึ้น คะแนนเฉลี่ยของทักษะการฟัง พูด และอ่านเท่ากับ 35.94 จากคะแนนเต็ม 50 คิดเป็นร้อยละ 71.88 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 63.89 ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และคะแนนเฉลี่ยของทักษะการเขียน เท่ากับ 8.14 จากคะแนนเต็ม 10 คิดเป็นร้อยละ 81.40 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 72.22ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้ ผลการสัมภาษณ์พบว่านักเรียนมีทัศนคติเชิงบวกต่อกิจกรรมที่ใช้ นักเรียนส่วนใหญ่ระบุว่ากิจกรรมการเล่าเรื่อง การสนทนาเป็นคู่ และเกมภาษามีส่วนช่วยพัฒนาทักษะภาษาของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ภาษาจีน</p> ฐานิดา งามขำ, พิกุล ประดับศรี, ปิยพร สีสันต์, อังคณา กุลนภาดล Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279199 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาจริยธรรมทั่วไปของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ปีการศึกษา 2567 มหาวิทยาลัยตาปี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279799 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาจริยธรรมทั่วไปของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ปีการศึกษา 2567 มหาวิทยาลัยตาปี 2) หาคุณภาพแบบสอบถามจริยธรรมที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ปีการศึกษา 2567 จำนวน 116 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามจริยธรรมที่พัฒนาขึ้น สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที (<em>t-test</em>) และค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cornbach’s α – Coefficient) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ปีการศึกษา 2567 มหาวิทยาลัยตาปี มีจริยธรรมอยู่ในระดับเห็นด้วย โดยมีค่าเฉลี่ยจริยธรรม เท่ากับ 4.312 สำหรับจริยธรรมในแต่ละด้านมีค่าเฉลี่ยเรียงตามลำดับ คือ ลำดับที่ 1 ด้านความสัมพันธ์ในชุมชนสังคม (x̄ = 4.420) ลำดับที่ 2 ด้านความซื่อสัตย์สุจริต (x̄ = 4.419) ลำดับที่ 3 ด้านสิ่งแวดล้อม (x̄ = 4.304) ลำดับที่ 4 ด้านสาธารณประโยชน์ (x̄ = 4.239) ลำดับที่ 5 ด้านการพัฒนาตนเอง (x̄ = 4.194) และลำดับที่ 6 ด้านความกรุณาปราณี (x̄ = 4.178) ซึ่งอยู่ในระดับเห็นด้วยทุกด้าน และ 2) แบบสอบถามจริยธรรมที่พัฒนาขึ้นเป็นแบบสอบถามที่มีคุณภาพ 2.1) มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ (IOC เฉลี่ย = 0.93) และ 2.2) มีค่าอำนาจจำแนกในช่วงค่า <em>t</em> เท่ากับ 2.05 - 22.19 และมีความเชื่อมั่น (Cornbach’s α – Coefficient) เท่ากับ .90</p> ดวงตา อินทรนาค, แมน เชื้อบางแก้ว Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279799 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเปิดรับสื่อและทักษะการรู้เท่าทันสื่อในการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้สูงอายุ ตำบลท่าม่วง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279339 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุ 2. ศึกษาทักษะการรู้เท่าทันสื่อในการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้สูงอายุ ตำบลท่าม่วง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา และ 3. เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อในการซื้อสินค้าออนไลน์สำหรับผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีการซื้อสินค้าออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 334 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 54.19 มีอายุระหว่าง 66-70 ปี ร้อยละ 49.10 มีระดับการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาตรี ร้อยละ 31.74 และมีอาชีพเป็นข้าราชการบำนาญเกษียณอายุ ร้อยละ 23.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 37.43 และอาศัยอยู่กับคู่สมรส ร้อยละ 50.60 พฤติกรรมการเปิดรับสื่อออนไลน์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ใช้แพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada ร้อยละ 33.53 และใช้โทรศัพท์มือถือในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ร้อยละ 83.83 ความถี่ในการซื้อสินค้าออนไลน์ส่วนใหญ่อยู่ที่ 1 - 2 ครั้งต่อเดือน ร้อยละ 60.48 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อความสะดวกสบาย ร้อยละ 74.85 และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ ราคาสินค้า ร้อยละ 87.43 และความน่าเชื่อถือของร้านค้า ร้อยละ 65.87 ผลการศึกษาการรู้เท่าทันสื่อในการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.23, S.D. = 0.42) และผลกระทบจากการซื้อสินค้าออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.25, S.D. 0.41)</p> ภัททิรา กลิ่นเลขา Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279339 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อวงจรเงินสดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดการลงทุนทางเลือก (MAI) ในประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279499 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อวงจรเงินสดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดการลงทุนทางเลือกในประเทศไทย (MAI) ได้แก่ อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้า ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงคลัง ระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย อัตราส่วนหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า และระยะเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้การค้า ระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2566 เก็บข้อมูลจากรายงานสรุปข้อสนเทศบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 203 บริษัท วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย ระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อวงจรเงินสด ในขณะที่ระยะเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้การค้าส่งผลกระทบเชิงลบต่อวงจรเงินสดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ประโยชน์ที่ได้รับ คือ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของ การจัดการสินค้าคงคลัง และบัญชีลูกหนี้ที่มีต่อสภาพคล่องของกิจการ รวมถึงการใช้เครดิตเทอมเป็นกลยุทธ์ทางการเงินในการรักษาสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ</p> พรรณนภา เชื้อบาง, ฐิติวรดา แสงสว่าง, สุทธิรัตน์ พลอยบุตร, สิริเนตร วรรณจักร์, กรรณิการ์ ธรรมสรางกูร Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279499 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการสร้างคุณค่าตราสินค้าวิสาหกิจชุมชนประเภทอาหารแปรรูปในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279103 <h5> </h5> <h5> <span style="font-size: 0.875rem;"> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) บริบทและความต้องการของสินค้าวิสาหกิจชุมชนประเภทอาหารแปรรูปในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา 2) พัฒนาแนวทางการสร้างคุณค่าตราสินค้าวิสาหกิจชุมชนประเภทอาหารแปรรูปในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับเป็นแนวทางส่งเสริมให้ชุมชนได้นำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ให้ชุมชนต่อไป 3) กระตุ้นและพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นต้นแบบเชิงพาณิชย์ในการสร้างคุณค่าตราสินค้าวิสาหกิจชุมชนประเภทอาหารแปรรูปในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นฉะเชิงเทรา เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป มีสถานะการเป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชน มีสินค้าที่ผลิตเป็นของตนเอง เช่น กล้วยเบรคแตก มะม่วงกวน แยมมะม่วง น้ำปลาหวาน กล้วยตากอบแห้ง น้ำพริก เป็นต้น รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 - 15,000 บาท แนวทางการสร้างคุณค่าตราสินค้าวิสาหกิจชุมชนประเภทอาหารแปรรูป มีการแปรรูปสินค้าจากวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน การกระตุ้นและพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นต้นแบบเชิงพาณิชย์ โดยทำบรรจุภัณฑ์ที่สะดวกต่อการใช้งานตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค และขอมาตรฐานการรับรองคุณภาพอาหารและยา รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนควรให้การส่งเสริมสนับสนุนด้านการจัดจำหน่ายให้มากขึ้น</span></h5> ปรัชญาเมธี เทียนทอง, ทักษินาฎ สมบูรณ์ Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279103 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางโทรศัพท์ที่มีต่อพฤติกรรมป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของผู้สูงอายุ : กรณีศึกษาผู้สูงอายุในจังหวัดนครปฐม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279819 <p> ในการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และความรู้ด้านความปลอดภัยทางโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของผู้สูงอายุ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกลุ่มผู้สูงอายุก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม และ 3) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระหว่างกลุ่มผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโปรแกรม และกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ ผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี ใช้สมาร์ทโฟนได้ในระดับดี และเคยรับโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างน้อย 1 ครั้ง โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) คน เริ่มจากการเลือกจังหวัดนครปฐมเป็นพื้นที่ศึกษา ต่อด้วยการสุ่มอำเภอด้วยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) 1 อำเภอ จากนั้นได้จำแนกผู้สูงอายุด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบจำแนกกลุ่ม (Random Assignment) ได้ 2 ตำบล และสุดท้ายจึงทำการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามเกณฑ์คัดเข้า - เกณฑ์คัดออก เพื่อให้ได้ผู้สูงอายุที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเข้ากลุ่มทดลอง (Intervention group) และกลุ่มควบคุม (Control group) กลุ่มละ 20 คน กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมกิจกรรมในโปรแกรม ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในโปรแกรม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางโทรศัพท์ จำนวน 6 ครั้ง 2) แบบวัดพฤติกรรมป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์ และ 3) แบบวัดความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางโทรศัพท์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) สถิติ Paired sample t – Test และสถิติ Independent sample t - Test ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางโทรศัพท์มีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์และค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางโทรศัพท์สูงกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรม ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงกล่าวได้ว่า โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางโทรศัพท์มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้</p> ศุภนิดา เฮ็งนิรันดร์, พิชชาดา ประสิทธิโชค, พิชญาณี พูนพล Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279819 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ภาวะซึมเศร้าและพฤติกรรมการป้องกันภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279789 <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความรอบรู้ภาวะซึมเศร้า และพฤติกรรมการป้องกันภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ภาวะซึมเศร้า และพฤติกรรมการป้องกันภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ประชากรที่ศึกษาเป็นนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ที่กำลังศึกษาประจำปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้แก่ ส่วนที่ 1แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความรอบรู้ภาวะซึมเศร้า และส่วนที่ 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันภาวะซึมเศร้า มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบและแบบประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์นสัน (Pearson's Product-Moment Correlation Coefficient)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ระดับความรอบรู้ด้านการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ด้านการแลกเปลี่ยนซักถามข้อมูลเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ด้านการบอกต่อข้อมูลเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า อยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 3.39, S.D. = 0.83) ส่วนระดับพฤติกรรมการป้องกันภาวะซึมเศร้าอยู่ในระดับสูง (x̄ = 3.41, S.D. = 0.81) และผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ความรอบรู้ภาวะซึมเศร้าด้านการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ด้านการแลกเปลี่ยนซักถามข้อมูลเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ด้านการบอกต่อข้อมูลเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันภาวะซึมเศร้าเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าระดับความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (r = 0.803, 0.869, 0.803, 0.797, P – value = 0.001)</p> วิกานต์ดา โหม่งมาตย์, พิสินันท์ สุสวัสดิ์ทองคำ, โศรยา นุ่มสร้อย, ธนากร ก้อนทอง Copyright (c) 2025 วารสารราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Jrru/article/view/279789 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700