https://so05.tci-thaijo.org/index.php/MFUconnexion <p><strong>ISSN 2821-9651 (online)</strong></p> <p><strong>Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences </strong>welcomes original research and academic manuscripts in the fields of humanities and social sciences, with special emphases on ethnicity, religion, tourism, urbanisation, migration, social and cultural change, social development, dynamic and development of the Greater Mekong Subregion, ASEAN, and cross-border and transboundary issues. Papers on current or emerging cross-border issues in ASEAN and/or the Greater Mekong Subregion are also welcomed.</p> <p><strong>Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences</strong> is an on-line academic journal on the ThaiJO open-access platform. Original research and academic articles submitted for publication are subjected to a double blinded <strong>three-peer reviewer process</strong>. CONNEXION Journal is a biannual journal, with the first issue published during <strong>January-June</strong> and the second issue during <strong>July-December</strong>.</p> Research Administration Division, Mae Fah Luang University Research and Innovation Institute en-US Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences 2821-9651 <p><strong>Copyright</strong></p> <p><strong>Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences</strong> has an exclusive right to publish the accepted articles in any form. However, the author retains the following rights:<br /> 1. The right to the ownership of the article;<br /> 2. The right to use all or part of the article in his/her other works;<br /> 3. The right to re-produce the article for personal use or for use in the author’s organisation, in which case the author must obtain permission from <strong>Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences</strong>;<br /> 4. The right to make copies of all or part of the work for educational use or for the author’s use in classroom teaching; and<br /> 5. The right to include the work (both the preprinted and printed versions) in an institutional repository.</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/MFUconnexion/article/view/280953 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มุ่งสำรวจและยกระดับคุณภาพการให้บริการตามแผนฉุกเฉินของสนามบิน (Airport Emergency Plan: AEP) ภายใต้ข้อกำหนดสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ฉบับที่ 37 หมวด 6 บริการของสนามบิน ส่วนที่ 1 การวางแผนฉุกเฉิน วัตถุประสงค์คือ (1) ศึกษาการรับรู้คุณภาพการให้บริการของแผนฉุกเฉินสนามบิน ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ด้วยตัวชี้วัด SERVPERF ห้ามิติ และ (2) เสนอแนวทางปรับปรุงคุณภาพการให้บริการแผนฉุกเฉินให้สอดคล้องกับข้อกำหนดดังกล่าว กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) รวม 31 คน ประกอบด้วยกลุ่มบุคลากรภายในสนามบิน กลุ่มหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้รับบริการแผนฉุกเฉิน เครื่องมือวิจัยคือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีอุปนัย (Inductive Thematic Analysis) และตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการตรวจสอบสามเส้าด้านแหล่งข้อมูล (Data Triangulation) ผลการวิจัยพบว่า ผู้ให้ข้อมูลให้ความสำคัญสูงสุดกับมิติ ความน่าเชื่อถือในการให้บริการ (Reliability) รองลงมาคือ ความมั่นใจ (Assurance) การตอบสนอง (Responsiveness) ความเข้าใจและเอาใจใส่ (Empathy) ขณะที่ความเป็นรูปธรรม (Tangibles) ได้รับความสำคัญต่ำสุด ข้อเสนอเพื่อยกระดับคุณภาพบริการแผนฉุกเฉินประกอบด้วย (1) จัดสรรบุคลากรและเวรปฏิบัติการให้เพียงพอ (2) เสริมความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อสนับสนุนอากาศยาน อุปกรณ์ และการฝึกซ้อม (3) ประชาสัมพันธ์ AEP ผ่านเอกสารและสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างรวดเร็ว และ (4) ปรับปรุงผังการแจ้งเหตุให้เข้าใจง่าย เพื่อแบ่งแยกเหตุฉุกเฉินภายใน–ภายนอกสนามบินได้ทันที ผลการศึกษายังบ่งชี้ว่าการเน้นมิติ ความน่าเชื่อถือในการให้บริการ (Reliability) และ ความมั่นใจ (Assurance) ควบคู่กับการปฏิบัติตามข้อกำหนด กพท. เป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับประสิทธิผลของแผนฉุกเฉินสนามบิน ทั้งนี้ แนวทางที่เสนอสามารถใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาคุณภาพบริการแผนฉุกเฉินของสนามบินภูมิภาคอื่นในประเทศไทยต่อไป</p> เมศิณี พุทธนิมิตสันติ Tarittawan Chareanporn Kwanporn Boonnag ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-09 2025-10-09 14 2 1 20 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/MFUconnexion/article/view/282265 <p>Thailand, the numbers of young gamblers accessing online gambling, particularly adolescents, are rising every year, aligning with their characteristics as digital natives. Although various sectors in society have increased their efforts to campaign against online gambling, previous research remains limited in terms of specific focus on online football gambling in youth and adolescence. This study aims to investigate self-protection against online football gambling among Thai university students through a cross-sectional survey using a quantitative approach, in which data was collected through a questionnaire from 392 Thai university students and analyzed using a multinomial logit model. The research findings reveal that football gambling protection among Thai university students can be categorized into three patterns: No Protective Behavior (NPB), Situational Protective Behavior (SPB), and Consistent Protective Behavior (CPB). Furthermore, sociodemographic factors (including academic field of study, age, and monthly allowance) and football-watching habits (such as the football league and football streaming) are associated with football gambling protection among Thai university students. This reflects the different social experiences among Thai university students. The findings of this study are important because the government or other sectors in society can utilize these results to develop guidelines for preventing access to online football gambling among children and youth. The association between football gambling protection, sociodemographic factors, and football-watching habits reflects how football-viewing behavior is linked to the ability to protect oneself from gambling. In terms of policy implementation, interventions may begin with the at-risk group—those with No Protective Behavior (NPB)—by promoting online gambling literacy during football seasons when the sport gains high popularity.</p> Saichol Panyachit ภูเบศ วณิชชานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-09 2025-10-09 14 2 21 43 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/MFUconnexion/article/view/282516 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การรับรู้คุณค่าเพื่อสิ่งแวดล้อม ความไว้วางใจตราสินค้าและความเต็มใจจ่ายบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อสิ่งแวดล้อม และ (2) ศึกษาการรับรู้คุณค่าเพื่อสิ่งแวดล้อม และความไว้วางใจตราสินค้าเป็นตัวแปรส่งผ่านระหว่างการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์กับ<br />ความเต็มใจจ่ายบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือผู้ที่มีประสบการณ์ซื้อบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย จำนวน 320 คน ทำการสุ่มตัวย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น ด้วยการสุ่มแบบกำหนดโควตาตามสัดส่วนประชากรรายภาค ใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและโมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการศึกษาพบว่า โมเดลความเต็มใจจ่ายบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างเหมาะสม โดยการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อความเต็มใจจ่าย (p &gt; 0.05) แต่มีอิทธิพลต่อการรับรู้คุณค่าเพื่อสิ่งแวดล้อมและความไว้วางใจตราสินค้า ซึ่งทั้งการรับรู้คุณค่าเพื่อสิ่งแวดล้อมและความไว้วางใจตราสินค้าส่งผลเชิงบวกต่อความเต็มใจจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไว้วางใจตราสินค้าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดที่ส่งผลต่อความเต็มใจจ่าย (Total Effect = 0.878) นอกจากนี้ ผลการศึกษาตัวแปรส่งผ่าน พบว่าการรับรู้คุณค่าเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นตัวแปรส่งผ่านบางส่วนระหว่างการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์กับความเต็มใจจ่ายบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ความไว้วางใจตราสินค้าเป็นตัวแปรส่งผ่านสมบูรณ์</p> ธนพร สินไชย ทัตพงศ์ นามวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Connexion: Journal of Humanities and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-09 2025-10-09 14 2 44 72