ปัญญาปณิธาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ <p>วารสารปัญญาปณิธาน เป็นวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตหนองคาย เลขมาตรฐาน <strong>ISSN </strong>: 2672-9679 (<strong>Print</strong>) และ <strong>ISSN </strong>: 2697-5122 (<strong>Online</strong>) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในมิติทางด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา การศึกษา ภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การท่องเที่ยว และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (<strong>Double blind peer reviewed</strong>) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย มีกำหนดออกวารสารปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มิถุนายน / ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม (ราย 6 เดือน) ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยเสนอหรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน</p> th-TH prayad.sun@mcu.ac.th (พระมหาประหยัด ปญฺญาวโร,ดร.) ingon.boot@mcu.ac.th (คุณอิงอร บุตรศรีผา) Mon, 30 Jun 2025 21:49:16 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การจัดการเรียนรู้โดยใช้นิเวศวัฒนธรรมชุมชนลาวครั่งบ้านหนองกระดูกเนื้อเป็นฐานเพื่อส่งเสริมพลเมืองสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดนครสวรรค์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279688 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันด้านพลเมืองสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดนครสวรรค์ 2) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้นิเวศวัฒนธรรมชุมชนลาวครั่งบ้านหนองกระดูกเนื้อเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมพลเมืองสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดนครสวรรค์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ศึกษาสภาพปัจจุบัน พัฒนาคู่มือการจัดการเรียนรู้ ประเมินผลหลังจัดกิจกรรมเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 40 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันด้านทักษะพลเมืองสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดนครสวรรค์ จากการสัมภาษณ์ครูผู้สอน จำนวน 6 คน และจากการสัมภาษณ์นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 14 คน พบว่า นักเรียนขาดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ และพึ่งพาแหล่งข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง นอกจากนี้ ยังใช้สื่อดิจิทัลโดยขาดจริยธรรมและไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้ 2) พัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้นิเวศวัฒนธรรมชุมชนลาวครั่งบ้านหนองกระดูกเนื้อเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมพลเมืองสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดนครสวรรค์ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า ผู้เรียนมีการพัฒนาด้านพลเมืองสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัลมากขึ้น ผู้เรียนสามารถผลิตผลงานที่มาจากนิเวศวัฒนธรรมชุมชนลาวครั่งบ้านหนองกระดูกเนื้อได้อย่างสร้างสรรค์ และผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้เองจากการศึกษาความรู้ที่มาจากชุมชน ผู้เรียนได้ลงมือกระทำและหาความรู้ได้ด้วยตัวของผู้เรียนเอง ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่ผู้เรียนสามารถนำไปต่อยอดเพื่อใช้ในอนาคตได้</p> กนกพร คำลือไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279688 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280021 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ หัวหน้าครัวเรือนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 330 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยใช้สูตรของ Taro Yamane เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.912 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับการแจกแจงข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มตัวอย่าง และใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวน เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของกลุ่มประชากรที่มีลักษณะแตกต่างกันในด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภูตามหลักธรรมาภิบาลโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่า “หลักนิติธรรม” ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ส่วน “หลักประสิทธิภาพ” ได้รับคะแนนเฉลี่ยต่ำสุด ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ต่างกัน พบว่า ไม่มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ การส่งเสริมความโปร่งใสในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะด้านการเงินและงบประมาณ ผ่านการเผยแพร่ข้อมูลในช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ หรือสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบและพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะ เพื่อให้การบริหารงานภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง</p> ธารา เจริญรัตน์, นัสพงษ์ กลิ่นจำปา, สมควร จันทร์เทศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280021 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาจรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279560 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของจรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของจรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 335 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราวัด 5 ระดับ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.66 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.990 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>) </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของจรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านความเป็นผู้นำร่วมรับผิดชอบ ส่วนด้านที่ค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และสภาพที่พึงประสงค์ของจรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวามอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ความเป็นผู้นำร่วมรับผิดชอบ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด พบว่า มีอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์นวัตกรรม 2) ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาจรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวม พบว่า ค่า PNI<sub>Modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.469 ถึง 0.535 ลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม (PNI<sub>Modified</sub> = 0.535) รองลงมาคือด้านการแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ (PNI<sub>Modified</sub> = 0.509) และลำดับความต้องการจำเป็นต่ำสุด คือ ด้านการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ (PNI<sub>Modified</sub> = 0.496)</p> ปวีณา มูลมา, สิทธิชัย สอนสุภี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279560 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุโดยใช้หลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280163 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุในจังหวัดหนองคาย 2) ศึกษาสภาพปัญหาในการส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุ และ 3) วิเคราะห์การเสริมสร้างสุขภาวะโดยใช้หลักพุทธธรรม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และเก็บข้อมูลภาคสนาม ผ่านการสัมภาษณ์และสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 รูป/คน นำเสนอผลในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า การส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุในจังหวัดหนองคาย มีความครอบคลุมใน 4 มิติหลัก ได้แก่ ด้านสุขภาพกาย มีการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ด้านสุขภาพจิต มีการสนับสนุนให้ฝึกสมาธิ พักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมถึงเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม เช่น การสวดมนต์ ฟังธรรม และทำกิจกรรมทางศาสนา เพื่อช่วยคลายความเครียดและส่งเสริมกำลังใจ ด้านสุขภาพสังคม สนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง มีบทบาทในครอบครัว ชุมชน และร่วมกิจกรรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง ด้านสุขภาพสมอง ส่งเสริมการฝึกฝนความจำผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง และการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุยังคงเผชิญกับปัญหา เช่น ความเสื่อมถอยของร่างกาย ความโดดเดี่ยวทางจิตใจ และการปรับตัวไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมช่วยเสริมสุขภาวะใน 4 แนวทาง ได้แก่ กายภาวนา การดูแลสุขภาพและฝึกสมาธิ ศีล การดำรงชีวิตด้วยคุณธรรม จิตภาวนา การฝึกสติและสมาธิในชีวิตประจำวัน และปัญญาภาวนา การเข้าใจและยอมรับธรรมชาติของชีวิต</p> พระครูอุดมฐิติคุณ (อิทธิพล อนุตฺตโร/จำปาศรี), อภินันท์ จันตะนี, สมเดช นามเกตุ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280163 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 นโยบายและกระบวนการพัฒนาเมืองสีเขียวจังหวัดอุดรธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279981 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษานโยบายและกระบวนการพัฒนาเมืองสีเขียวจังหวัดอุดรธานี 2. พัฒนาระบบการเรียนรู้และกิจกรรมการสร้างสรรค์เมืองสีเขียวเทศบาลนครอุดรธานี และ 3. ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ ประชาชน และสังคม ของเทศบาลนครอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูล การสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม แล้ววิเคราะห์ผลการวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. นโยบายและกระบวนการพัฒนาเมืองสีเขียวจังหวัดอุดรธานี โดยคำนึงถึงความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การจัดการน้ำ พลังงาน การเกษตรยั่งยืน ลดมลภาวะ การจัดการขยะ การมีส่วนร่วมของชุมชน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองสีเขียวอย่างยั่งยืนในระยะยาว 2. การพัฒนาระบบการเรียนรู้และกิจกรรมการสร้างสรรค์เมืองสีเขียวเทศบาลนครอุดรธานี ใช้คู่มือเพื่อพัฒนาระบบการเรียนรู้และกิจกรรมเมืองสีเขียวตามคู่มือเป็นแนวทาง โดยด้านเศรษฐกิจ มุ่งส่งเสริมทักษะ การศึกษา สนับสนุนผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจชุมชน ด้านประชาชน เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต กิจกรรมสร้างสรรค์ การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การใช้เทคโนโลยี และการสร้างพื้นที่เรียนรู้ ส่วนด้านสังคม มุ่งพัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับเมืองสีเขียว สนับสนุนครูและบุคลากรให้เข้าใจแนวคิด พร้อมส่งเสริมกิจกรรมและนโยบายการจัดการพื้นที่สีเขียว 3. การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ ประชาชน และสังคม ของเทศบาลนครอุดรธานี พบว่า ด้านเศรษฐกิจช่วยประหยัดพลังงาน สร้างงาน และดึงดูดการลงทุน แต่มีต้นทุนสูงและกระทบอุตสาหกรรมเดิม ด้านประชาชน สุขภาพดีขึ้น อากาศบริสุทธิ์ ลดผลกระทบสภาพภูมิอากาศ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ส่วนด้านสังคม ลดมลพิษ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่เพิ่มต้นทุนชีวิต เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ และความขัดแย้งในชุมชน</p> อริย์ธัช เลิศรวมโชค, พระครูสุตสารบัณฑิต สิริวณฺโณ (จำนงค์ ผมไผ), ภัณฑิลา น้อยเจริญ, ศุภกิจ ภักดีแสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279981 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาการเล่นกีฬาออกกำลังกายที่ส่งผลต่อสุขภาพสำหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายของสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/278806 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการพัฒนาการเล่นกีฬาออกกำลังกาย 2) ระดับสุขภาพ 3) ความสัมพันธ์การพัฒนาการเล่นกีฬาออกกำลังกายที่ส่งผลต่อสุขภาพ 4) ศึกษาข้อเสนอแนะการเล่นกีฬาออกกำลังกายให้มีสุขภาพที่ดี 5) เสนอโครงการการพัฒนาการเล่นกีฬาออกกำลังกายที่ส่งผลต่อสุขภาพสำหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย ของสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ได้แก่ คนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายของสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย คำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Yamane ได้ 386 คน ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง โดยวิธี Enter ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการพัฒนาการเล่นกีฬาออกกำลังกาย โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับสุขภาพของคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาการเล่นกีฬาออกกำลังกายที่ส่งผลต่อสุขภาพ โดยรวมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง มีค่าเท่ากับ .768 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .831 (R = .831) ตัวแปรอิสระทั้งหมดสามารถอธิบายการผันแปรได้เท่ากับร้อยละ 69.1 มีค่า R<sup>2</sup> = .691, F = 120.751 P < .01 4) ข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการส่งเสริมสนับสนุนการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรมีการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการออกกำลังกายแบบที่เหมาะสม 5) ได้พัฒนา “โครงการการพัฒนาการเล่นกีฬาออกกำลังกายที่ส่งผลต่อสุขภาพสำหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายของสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย”</p> นิญาดา พรมเหลา, ประภัสสร ฤทธิสุทธิ์, กุลประภัสสร์ รำพึงจิตต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/278806 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี กรณีศึกษา “งานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ” ต่อความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมประจำถิ่นจังหวัดหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280485 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี กรณีศึกษา “งานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ” จังหวัดหนองคาย 2. ศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี กรณีศึกษา “งานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ” ต่อความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมประจำถิ่นจังหวัดหนองคาย และ 3. เสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี กรณีศึกษา “งานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ” ต่อความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมประจำถิ่นจังหวัดหนองคาย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 25 รูป/คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และนำเสนอด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของงานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ เป็นการส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนในจังหวัดหนองคาย เกิดความรักและต้องการอนุรักษ์รักษาวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ของตนเองไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รับทราบ 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในงานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ ทำให้ชาวจังหวัดหนองคาย มีความรักและหวงแหนวัฒนธรรมประจำถิ่นของตนเองมากยิ่งขึ้น เกิดเป็นองค์ความรู้ที่มีพื้นฐานมาจากความเป็นชาติพันธุ์ ภาษาประจำถิ่น และประวัติศาสตร์ประจำถิ่น 3. แนวทางการจัดการเรียนรู้นั้น มีการส่งเสริมในระดับจังหวัดในการจัดงาน โดยว่าจ้างคณะหมอลำ ศิลปิน ดารามาแสดงภายในงาน ส่งเสริมการค้าขายภายในงานกาชาด ทำให้เกิดรายได้ เป็นส่งเสริมอาชีพและการค้าของท้องถิ่น โดยการออกบูธของหน่วยงานต่าง ๆ อีกทั้งชุมชนต่าง ๆ ได้ร่วมกันในการแสดงละครวีรกรรมการปราบฮ่อของบรรพบุรุษในอดีต ส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวของประชาชนชาวไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวด้วย</p> อนันต์ คติยะจันทร์, พระครูสังฆรักษ์นิพิฐพนธ์ จิรวฑฺฒโน, พระครูปลัดหัตถพร ปิยธมฺโม, พระมหาเอกชัย วิสุทฺโธ, สมพงษ์ แสนคูณท้าว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280485 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวภูไทโดยใช้แหล่งท่องเที่ยวในชุมชนบ้านนาวี ตำบลสงเปลือย อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279405 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบททางวัฒนธรรม สภาพปัจจุบันและปัญหาในการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวภูไทบ้านนาวี ตำบลสงเปลือย อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้การอนุรักษ์วัฒนธรรมชาวภูไทโดยใช้แหล่งท่องเที่ยวในชุมชนบ้านนาวีเป็นฐาน เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ ได้แก่ กลุ่มผู้ให้ความรู้ จำนวน 32 คน กลุ่มหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 5 คน และการสนทนากลุ่มกับกลุ่มอาสาสมัครในการทำกิจกรรมอนุรักษ์วัฒนธรรม จำนวน 20 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบบันทึกภาคสนามระหว่างการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับชาวบ้าน 2) การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม 3) แบบสัมภาษณ์โดยใช้แนวคำถามเชิงลึก 4) แบบสัมภาษณ์ในการสนทนากลุ่ม 5) การทำกิจกรรมโดยใช้ชุดคู่มือกิจกรรมท่องเที่ยววัฒนธรรมภูไท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชาวภูไทบ้านนาวีมีบริบททางวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายและมีความสำคัญในการอนุรักษ์ ปัจจุบันประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นยังคงมีอยู่ แต่ยังคงมีปัญหาหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์ 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมชาวภูไทโดยใช้แหล่งท่องเที่ยวในชุมชนบ้านนาวีเป็นฐาน ได้ผลในหลากหลายด้าน ทั้งการส่งเสริมทักษะการอนุรักษ์ การสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชน และการพัฒนาแนวทางในการนำเสนอกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเพื่อสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ยังช่วยให้เยาวชนและคนในชุมชนมีทัศนคติที่ดีและเข้าใจถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตน และยังสามารถขยายระดับความรู้สู่ภายนอกชุมชนได้</p> ภรภัทร กำเนิดพรม, วศิน ปัญญาวุธตระกูล, อัจฉรา ศรีพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279405 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและฟื้นฟูสมรรถภาพของคนไร้ที่พึ่งในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่นตามหลักสัมมาอาชีวะ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279362 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาในการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูสมรรถภาพให้กับคนไร้ที่พึ่งในจังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาการในการพัฒนาและฟื้นฟูสมรรถภาพของคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดขอนแก่น ตามหลักสัมมาอาชีวะ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะ และการสร้างกลไกลเพื่อการพัฒนาปรับปรุงการพัฒนาและฟื้นฟูสมรรถภาพให้คนไร้ที่พึ่ง จังหวัดขอนแก่น ตามหลักสัมมาอาชีวะ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงสำรวจ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่นจำนวน 9 คน และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดขอนแก่น จำนวน 2 คน รวมถึงเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้สตรีรัตนภา รวม 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ใช้บริการศูนย์ฯ ส่วนใหญ่เป็นคนไร้ที่พึ่ง (66.70%) และคนขอทาน (22.20%) โดยมีปัญหาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ (11.10%) การพัฒนาและฟื้นฟูสมรรถภาพโดยรวมอยู่ในระดับสูง (µ=4.47) โดยเฉพาะด้านจิตใจ (µ=4.60) และร่างกาย (µ=4.56) ระดับการพัฒนาและฟื้นฟูสมรรถภาพของคนไร้ที่พึ่งโดยรวมอยู่ในระดับสูง (µ=4.47) โดยการพัฒนาด้านจิตใจได้รับคะแนนสูงสุด (µ=4.60) รองลงมาคือด้านร่างกาย (µ=4.56) ด้านสังคม (µ=4.49) และด้านอาชีพ (µ=4.24) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาในแต่ละมิติยังต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม ข้อเสนอแนะ ได้แก่ 1) การเสริมสร้างสุขภาพที่มีคุณภาพและการเข้าถึงสิทธิรักษาพยาบาล 2) การคัดกรองและบำบัดสุขภาพจิต พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ 3) การพัฒนาเครือข่ายสังคม สนับสนุนการมีส่วนร่วมและการส่งตัวกลับภูมิลำเนา 4) การส่งเสริมอาชีพผ่านการฝึกทักษะเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้</p> สิทธิพร เกษจ้อย, พระครูปยุตสารธรรม (วรชัด ทะสา), สัจจารักษ์ ไร่สงวน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279362 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามหลักสติของประชาชนในจังหวัดแพร่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279945 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. วิเคราะห์สภาพบริบท ปัญหา ศักยภาพ ปัจจัยเสี่ยง และความต้องการการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามหลักสติของประชาชนในจังหวัดแพร่ 2. พัฒนากิจกรรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามหลักสติของประชาชนในจังหวัดแพร่ 3. ถอดองค์ความรู้จากพัฒนากิจกรรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามหลักสติของประชาชนในจังหวัดแพร่ เป็นการวิจัยเชิงพัฒนาแบบปฏิบัติการ <br />โดยเก็บข้อมูลจากเยาวชนและประชาชนในจังหวัดแพร่ รวม 100 คน ด้วยการคัดเลือกแบบเจาะจง ใช้เครื่องมือ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ชุดกิจกรรม และแบบประเมินผล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประชาชนในจังหวัดแพร่มีบริบท ปัญหา ศักยภาพ ปัจจัยเสี่ยงและความต้องการด้านภูมิคุ้มกันตามหลักสติอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยเยาวชนมีคะแนนเฉลี่ยด้านสติทางจิตใจสูงกว่าด้านสังคม ในขณะที่ประชาชนกลับมีคะแนนเฉลี่ยสติทางสังคมสูงกว่าด้านจิตใจ สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนากิจกรรมที่ตอบสนองทั้งสองมิติ 2. การพัฒนากิจกรรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามหลักสติ ใช้การบูรณาการระหว่างพระพุทธศาสนากับการเจริญสติแบบตะวันตก ภายใต้กรอบ 4 ขั้นตอน 1) การรับรู้ 2) การรู้จัก(3) การไม่ตัดสินถูก-ผิด 4) การอยู่กับปัจจุบัน ช่วยให้ผู้เข้าร่วมเกิดความตระหนักรู้และสามารถฝึกสติในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. การถอดองค์ความรู้ กิจกรรมที่พัฒนาขึ้นช่วยลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และพัฒนาสุขภาวะทางจิตใจของประชาชนได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งได้เผยแพร่แนวทางการฝึกสติผ่านคู่มือและบทความวิจัย เพื่อขยายผลในระดับประเทศ ทั้งนี้ ยังมีข้อเสนอแนะว่าควรพัฒนาเครื่องมือวัดผลและนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพิ่มเติม เพื่อให้ตอบโจทย์การดำเนินงานในสังคมยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> รวีโรจน์ ศรีคำภา, พระสมุห์อนุสรณ์ เรืองปัญญารัตน์, พระมหาชนินทร์ ลิขสิทธิ์พันธุ์, อภิชา สุขจีน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279945 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 พระ 9 ส. พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์: การพัฒนาพื้นที่เชิงสร้างสรรค์สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280776 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ “พระ 9 ส.” ในบริบทวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย 2) เพื่อพัฒนาคู่มือการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระ 9 ส. ในบริบทวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย และ 3) เพื่อรายงานผลลัพธ์การใช้คู่มือการจัดการท่องเที่ยวพระ 9 ส. ในบริบทวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลจากหนังสือ ตำรา งานวิจัย วิทยานิพนธ์ บทความ และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึกพระสงฆ์และผู้นำชุมชน จำนวน 18 รูป/คน การวิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอผลผ่านการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ความรู้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ “พระ 9 ส.” พบว่า พระพุทธรูปทั้ง 9 องค์มีลักษณะเด่นด้านศิลปกรรมล้านช้างและเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชนท้องถิ่น โดยแต่ละองค์มีประวัติและคติความเชื่อเฉพาะ เช่น การคุ้มครองผู้เดินทาง การเสริมโชคลาภ และการเสี่ยงทาย ซึ่งสะท้อนภูมิปัญญาและความศรัทธาที่สืบทอดผ่านตำนาน พิธีกรรม และวิถีชีวิตของชาวหนองคาย 2) คู่มือที่จัดทำขึ้นประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ประวัติและความสำคัญ แผนที่เส้นทาง พิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลบริการนักท่องเที่ยว โดยเน้นการให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น ตารางเปรียบเทียบศิลปะล้านช้างของพระแต่ละองค์ พร้อมคำแนะนำด้านมารยาทและข้อควรปฏิบัติเมื่อเข้ากราบสักการะ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเคารพในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ 3) ผลการใช้คู่มือพบว่า นักท่องเที่ยวร้อยละ 85 พึงพอใจ โดยเฉพาะข้อมูลตำนานพระใส ชุมชนเห็นว่า คู่มือช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน และลดการละเมิดกฎวัด ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเรื่องการเข้าถึงของผู้พิการ และการขยายเนื้อหาเป็นหลายภาษาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ</p> พระวันชัย ภูริทตฺโต (อนนตรี), เจษฎา มูลยาพอ, พระมหาประทีป อภิวฑฺฒโน (แถวพันธุ์), อิงอร บุตรศรีผา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280776 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษโดยใช้แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279239 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษโดยใช้แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษโดยใช้แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น โดยใช้รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนแม่เชียงรายวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวนทั้งสิ้น 32 คน คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร คู่มือการใช้หลักสูตร และแบบทดสอบวัดความสามารถในการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษโดยใช้แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย มีองค์ประกอบจำนวน 7 ด้าน ได้แก่ (1) ความเป็นมาและความสำคัญของหลักสูตร (2) หลักการของหลักสูตร (3) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร (4) โครงสร้างเนื้อหา แบ่งออกเป็น 5 หน่วยการเรียนรู้ (6) สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ (7) การวัดและการประเมินผล ทั้งนี้ ผลการประเมินความเหมาะสมของหลักสูตรอยู่ในระดับมาก และคู่มือการใช้หลักสูตรได้รับการประเมินว่ามีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด โดยมีค่าประสิทธิผลของการเรียนรู้ตามหลักสูตรเท่ากับ 0.75 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักสูตรดังกล่าวมีคะแนนเฉลี่ยด้านความสามารถในการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ปัทมาศ ปัญญาเสน, ปริญญาภาษ สีทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279239 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดการเรียนรู้และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279985 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดการเรียนรู้และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผ่านระบบออนไลน์ 2) ประเมินประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ 80/80 3) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนและหลังเรียน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อชุดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/12 โรงเรียนธาตุพนม จำนวน 36 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ ชุดการเรียนรู้ 5 ชุด แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาชุดการเรียนรู้และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ พบว่า มีเนื้อหาครอบคลุมประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประเพณี ความเชื่อ และบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระธาตุพนม โดยออกแบบตามหลักการทางการศึกษาอย่างครบถ้วน ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 ทุกรายการ 2) ชุดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.59/81.57 สูงกว่าเกณฑ์ 3) ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 16.33 และ 16.47 และหลังเรียนเท่ากับ 22.97 และ 22.33 ตามลำดับ และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดการเรียนรู้ในระดับมาก (x̄ = 4.67, S.D. = 0.16) โดยด้านสื่อการเรียนรู้ Google Site ได้รับความพึงพอใจสูงสุด รองลงมาคือด้านประโยชน์ที่ได้รับและด้านผู้เรียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้ผ่าน Google Site มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ศตพล ใจสบาย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279985 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279862 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำแบบยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1 การวิจัยนี้ใช้รูปแบบระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูจำนวน 302 คน โดยเก็บข้อมูล 2 ระยะ ได้แก่ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณและการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก โดยการมีความยุติธรรมมีค่าเฉลี่ยสูงสุดขณะที่การมีวิสัยทัศน์มุ่งความยั่งยืน การส่งเสริมความหลากหลายและการปรับตัวทันการเปลี่ยนแปลงมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก โดยการมีความยุติธรรม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และการสร้างวัฒนธรรมที่ยั่งยืน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified </sub>) อยู่ระหว่าง 0.231 -0.249 ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ การปรับตัวทันการเปลี่ยนแปลง (PNI<sub>Modified</sub>= 0.249) และความต้องการจำเป็นต่ำสุดคือ การสร้างวัฒนธรรมที่ยั่งยืน (PNI<sub>Modified</sub>= 0.231) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำแบบยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษามี 5 ด้าน ได้แก่ 1) การปรับตัวทันการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารควรปรับทัศนคติและกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 2) การส่งเสริมความหลากหลาย ผู้บริหารควรสร้างค่านิยมหลักในการให้คุณค่ากับความหลากหลายของบุคคล 3) การมีวิสัยทัศน์มุ่งความยั่งยืน ผู้บริหารควรกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน 4) การมีความยุติธรรม ผู้บริหารควรพัฒนานโยบายที่ชัดเจนเป็นธรรมกระตุ้นให้ทุกคนในสถานศึกษาปฏิบัติงานอย่างเปิดเผย 5) การสร้างวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ผู้บริหารควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย</p> ประไพพัตร ศรีสุขพันธ์, สิทธิชัย สอนสุภี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279862 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279612 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารแบบบูรณาการ 2) เพื่อศึกษาการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาการบริหารแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสาเหตุ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 269 คน เครื่องมือที่ใช้การวิจัยเป็นแบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารแบบบูรณาการ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) การบริหารแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน มีความสัมพันธ์ในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าความสัมพันธ์ระหว่าง 0.737 - 0.786 ในแต่ละด้าน พบว่า การบริหารแบบบูรณาการที่มีความสัมพันธ์กับองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสูงที่สุด คือด้านการทำงานเครือข่าย (X<sub>2</sub>) และการบริหารแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สูงสุด คือด้านการทำงานเครือข่าย (X<sub>2</sub>) ด้านการนำการเปลี่ยนแปลง (X<sub>5</sub>) ด้านการสร้างทีมบูรณาการ (X<sub>3</sub>) ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์มุ่งผลลัพธ์ (X<sub>1</sub>) ด้านการประเมินผลอย่างมีส่วนร่วม (X<sub>4</sub>) มีค่าสัมประสิทธิ์พหุคูณ (r<em> = </em>0.866) พยากรณ์ได้ร้อยละ 75.00 ( =0.750, p-value &lt; .05) สร้างสมการพยากรณ์ได้ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน Zy = 0.246(ZX<sub>2</sub>) + 0.225(ZX<sub>5</sub>) + 0.205(ZX<sub>3</sub>) + 0.167(ZX<sub>1</sub>) + 0.150(ZX<sub>4</sub>)</p> สรณัฐ เทศารินทร์, สิทธิชัย สอนสุภี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279612 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279613 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำครู 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 การวิจัยนี้เป็นวิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 344 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.95 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและเทคนิค การจัดลำดับความต้องการจำเป็น PNI<sub>Modified </sub>และการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำครู พบว่า ค่าเฉลี่ยสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก ( = 3.58) สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.74) ความต้องการจำเป็น ค่า PNI<sub>Modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.290–0.349 โดยเรียงลำดับได้ดังนี้ (1) การวิจัยเชิงนวัตกรรม (2) การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง และ (3) การพัฒนาวิชาชีพตนเอง 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำครู ได้แก่ (1) การวิจัยเชิงนวัตกรรม ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูจัดทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียน และพัฒนาเป็นผลงานวิชาการ (2) การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง ควรส่งเสริมช่องทางการสื่อสาร เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง (3) การพัฒนาวิชาชีพตนเอง ควรส่งเสริมให้ครูเรียนรู้และพัฒนาทักษะ ผ่านการศึกษาต่อหรือการอบรมสัมมนาวิชาชีพ (4) การเป็นครูแบบอย่าง ควรส่งเสริมด้านการบริหารชั้นเรียนและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ และ (5) การจัดการชั้นเรียนเชิงบวก ควรส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จัดห้องเรียนและสื่อการเรียนรู้ให้เหมาะสม และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม</p> อัจฉรา บรรดาศักดิ์, สิทธิชัย สอนสุภี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279613 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ความเป็นพลเมืองสร้างสรรค์ ผ่านงานศิลปะจากปัญญาประดิษฐ์ เรื่อง ชัยนาทเมืองแห่งอัตลักษณ์วิถี ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279404 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาด้านทักษะความเป็นพลเมืองสร้างสรรค์ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 2) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ความเป็นพลเมืองสร้างสรรค์ผ่านงานศิลปะจากปัญญาประดิษฐ์ เรื่อง ชัยนาทเมืองแห่งอัตลักษณ์วิถี ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ครูผู้สอน นักศึกษา และผู้เชี่ยวชาญการทำงานสร้างสรรค์ (ศิลปะและเทคโนโลยีดิจิทัล) กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) วิทยาลัยเทคนิคชัยนาท สาขาการบัญชี จำนวน 37 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แนวคำถาม ในการสัมภาษณ์ครูผู้สอน นักศึกษาและผู้เชี่ยวชาญ 2) แนวคำถามในการสัมภาษณ์หลังการจัดกิจกรรม 3) แบบประเมินทักษะความเป็นพลเมืองสร้างสรรค์ 4) แบบสังเกตพฤติกรรม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและปัญหาด้านทักษะความเป็นพลเมืองสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ด้านการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ การคิดสร้างสรรค์ และการใช้เทคโนโลยี อยู่ในระดับเบื้องต้น ยังขาดการเชื่อมโยงแนวคิดทางวัฒนธรรม การทำงานเป็นทีมยังไม่สมดุล และการนำเสนอผลงานยังขาดความน่าสนใจ 2) การจัดการเรียนรู้ความเป็นพลเมืองสร้างสรรค์ ผ่านงานศิลปะจากปัญญาประดิษฐ์ เรื่อง ชัยนาทเมืองแห่งอัตลักษณ์วิถี ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยใช้สื่อประกอบการสอน เกิดทักษะ 5 ด้าน ดังนี้ 1) การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ 2) การทำงานเป็นทีมอย่างสร้างสรรค์ 3) การคิดอย่างสร้างสรรค์ 4) การใช้สื่อและเทคโนโลยีสร้างสรรค์ 5) การนำเสนอและสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ และนักศึกษาได้สร้างผลงาน ในรูปแบบโปสเตอร์ เพลง วิดีโอ และการจัดนิทรรศการผ่านเมต้าเวิร์ส เผยแพร่อัตลักษณ์ชัยนาท สร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น เชื่อมโยงศิลปะ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี สู่ทักษะในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ภัทราภรณ์ ฟองแก้ว, ณัฐเชษฐ์ พูลเจริญ, รัฐพล ไชยรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279404 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาและวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์: กรณีศึกษาโรงเรียนธาตุพนม จังหวัดนครพนม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280604 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดนครพนม 2) นำเสนอรูปแบบการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดนครพนม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการและครูผู้สอน รวมทั้งหมด 36 คน พื้นที่ดำเนินการศึกษา ได้แก่ โรงเรียนในอำเภอธาตุพนม เครื่องมือในการศึกษาคือแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์โรงเรียนธาตุพนม จังหวัดนครพนมที่ครูใช้เพื่อการเรียนการสอนคือ การเรียนรู้แบบผสมผสาน เป็นการผสมผสานการเรียนรู้แบบออนไลน์กับการเรียนรู้แบบ face-to-face การเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสามารถกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ วางแผนการเรียนรู้ เลือกวิธีการเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ของตนเองได้ การเรียนรู้ร่วมกันผู้เรียนได้ทำงานร่วมกันและแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และการเรียนรู้แบบปรับส่วนบุคคลผู้เรียนเรียนรู้ได้ตามความเร็วและความถนัดของตนเอง 2) วิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดนครพนม พบว่า องค์ประกอบสำคัญของการเรียนการสอนออนไลน์ คือ แพลตฟอร์มการเรียนรู้ เป็นระบบที่ใช้ในการจัดการเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ การสื่อสาร และการวัดผลประเมินผล เช่น Moodle, Google Classroom, Canvas เนื้อหาบทเรียน ออกแบบมาสำหรับเรียนรู้ออนไลน์ อาจอยู่ในรูปแบบข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือสื่อมัลติมีเดียอื่น ๆ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม เช่น แบบฝึกหัด การอภิปราย การทำงานกลุ่ม หรือการทำโครงงาน การสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์ ช่องทางให้ผู้เรียนสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้น เช่น กระดานสนทนา อีเมล หรือการประชุมออนไลน์ และการวัดผลและประเมินผลเช่น การสอบ การทำรายงาน หรือการนำเสนอผลงาน</p> ศศิธร ล่องเลิศ, ยูเคส ศากยะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280604 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาทางกฎหมายในการบริหารจัดการพื้นที่เกาะดอนตามแม่น้ำโขงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/278985 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดความเป็นมา อำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการพื้นที่ของประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่นและประเทศเครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายในการบริหารจัดการพื้นที่เกาะดอน และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเกาะดอนในประเทศไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ตำรากฎหมาย หนังสือ บทความวิชาการ รวมถึงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบแนวทางการบริหารจัดการที่ดินในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์และเสนอข้อปรับปรุงที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การบริหารจัดการเกาะดอนตามแม่น้ำโขง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเผชิญปัญหาทางกฎหมาย เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่กำหนดคำนิยามของเกาะดอนไว้ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาในการกำหนดอาณาเขตของเกาะดอน และไม่สามารถระบุสถานะทางกฎหมายของเกาะดอนได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการพื้นที่ในกรณีพื้นที่ ซึ่งมีเกาะดอนอยู่ติดริมตลิ่ง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีประกาศกระทรวงมหาดไทย ที่เกี่ยวข้องกับการมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดหา ผลประโยชน์ในที่ดินของรัฐ โดยอาศัยมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่กฎหมายดังกล่าว ยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินของรัฐ เนื่องจากตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำได้เพียงจัดหาผลประโยชน์ให้เช่าเท่านั้น และได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบกับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศญี่ปุ่นและประเทศเครือรัฐออสเตรเลีย รวมถึงได้เสนอแนวทางในแก้ไขปัญหา เพื่อให้การบริหารจัดการเกาะดอนเกิดประสิทธิภาพ</p> ศุภาวิณี ชัยจันทร์, อัจฉราพร สีหวัฒนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/278985 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายเพื่อคุ้มครองและป้องกันการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญของประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/278803 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองและการป้องกันการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญของประเทศไทย 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองและการป้องกันการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญของประเทศของไทยและของต่างประเทศ 3) เสนอแนะมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองและการป้องกันการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญของประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การศึกษาปัญหาทางกฎหมายของไทยพบว่า คำนิยามของพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาระหว่างประเทศมีขอบเขตกว้าง แต่ข้อกำหนดกลับกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวด ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะกรณีพื้นที่ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และพบความซ้ำซ้อนของกฎหมายและบทบาทของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง ทำให้ขาดเอกภาพและบูรณาการในการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ อีกทั้งยังพบความไม่สอดคล้องของนโยบาย 2) ผลการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ พบว่า สาธารณรัฐเกาหลีใต้มี Wetland Conservation Act 2008 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะที่ครอบคลุมทั้งการกำหนดพื้นที่คุ้มครอง การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การบังคับใช้กฎหมาย และการมีส่วนร่วมของประชาชน ขณะที่อินเดียใช้ The Environment (Protection) Act, 1986 ซึ่งให้ความคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำในฐานะส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ พร้อมมีกลไกกำกับดูแลเฉพาะเพื่อรักษาระบบนิเวศ 3) ประเทศไทยยังขาดบทบัญญัติกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในระดับนโยบายหรือแผนจัดการโดยตรง จึงควรปรับปรุงกฎหมายให้ชัดเจน บูรณาการบทบาทหน่วยงานรัฐ และส่งเสริมสิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน</p> อุมาพร กาฬแสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/278803 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพิจารณาคดีในทางปกครองสงฆ์ ศึกษากรณีปัญหาการชำระวินัยสงฆ์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280982 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับระบบการปกครองสงฆ์ กระบวนการและวิธีการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดพระวินัยและทางปกครองของพระสงฆ์ 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบบทบาทของกฎหมายและสถาบันตุลาการของคณะสงฆ์ไทยในกระบวนการยุติธรรม 3) เสนอแนวทางปรับปรุงระบบชำระคดีทางวินัยสงฆ์ให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งในด้านหลักพระธรรมวินัยและข้อกฎหมาย การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อกฎหมาย ตำรา เอกสารวิชาการ คำสั่งศาลปกครอง และรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระบบการพิจารณาคดีของคณะสงฆ์ยังขาดประสิทธิภาพในการจัดการคดีที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางพระวินัยและทางกฎหมาย แม้จะมีบทบัญญัติรองรับทั้งจากพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎมหาเถรสมาคม แต่การบังคับใช้ในทางปฏิบัติยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่พระสงฆ์มีตำแหน่งทางปกครอง ซึ่งควรต้องอยู่ภายใต้กระบวนการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม ทั้งนี้ คณะสงฆ์ยังขาดความรู้ทางกฎหมายที่จำเป็นต่อการพิจารณาคดีอย่างถูกต้อง และเป็นระบบตามหลักนิติธรรม แนวทางในการแก้ไขปัญหาของคณะสงฆ์ คือ การปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 25 “พระวินัยธร” ให้มีความชัดเจนในอำนาจของผู้พิจารณาที่ต้องไม่มาจากเจ้าคณะปกครองใดๆ เพื่อสร้างระบบตุลาการสงฆ์ให้เข้มแข็งและน่าเชื่อถือ และแก้ไขกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ควรกำหนดให้มีพระสงฆ์ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางทำหน้าที่ผู้พิจารณา และให้มีคณะกรรมการด้านกฎหมายเข้ามามีส่วนร่วมในคณะผู้พิจารณาตามข้อ 23</p> พระอาดุสิต สุวรรณสิงห์, เพิ่ม หลวงแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280982 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/281286 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน 2. ศึกษาปัญหาในการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน 3. ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากคำพิพากษาศาลฎีกา ประมวลกฎหมายที่ดิน เอกสาร บทความ งานวิจัย ตัวบทกฎหมาย คู่มือราชการ และสื่อสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) อำนาจหน้าที่ในการดูแลที่ดินสาธารณสมบัติตกอยู่กับนายอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายมีบทบาทร่วมกันในการดูแลรักษาที่ดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน 2) ปัญหาหลักเกิดจากความไม่สอดคล้องระหว่างอำนาจหน้าที่ของผู้ดูแลกับผู้ออก นสล. โดยอำนาจในการออก นสล. อยู่กับอธิบดีกรมที่ดิน ขณะที่อำนาจในการดูแล การตรวจสอบ และการจัดการเบื้องต้นเป็นของนายอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพในการจัดการ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบยังขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบ แผนที่ และลักษณะของที่ดินประเภทนี้ 3) แนวทางในการแก้ไข ควรจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พุทธศักราช 2457 โดยให้กรมที่ดินมีอำนาจร่วมกับนายอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งในด้านการออกหนังสือสำคัญ การวินิจฉัยข้อพิพาท และการกำหนดแนวเขตของที่ดิน รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของรัฐอื่น ๆ เพื่อให้กระบวนการมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรม</p> ชยุตม์ เสมอหน้า, เพิ่ม หลวงแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/281286 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินของวัดที่ได้มาจากเงินอุดหนุนและเงินทำบุญบริจาค https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280969 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินของวัดที่ได้มาจากเงินอุดหนุนและเงินทำบุญบริจาค 2) วิเคราะห์กฎหมายในส่วนของการจัดการทรัพย์สินของวัดที่ได้มาจากเงินอุดหนุนและเงินทำบุญบริจาค ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการดูแล 3) หาแนวทางแก้ไขปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของวัดที่ได้มาจากเงินอุดหนุนและเงินทำบุญบริจาค การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการวิจัยโดยเก็บรวมรวมข้อมูลจากแนวคิด ทฤษฎี เอกสารงานวิจัยเกี่ยวข้อง และกฎหมายเกี่ยวกับกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการจัดการทรัพย์สินของวัด ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การจัดการทรัพย์สินของวัดที่ได้มาจากเงินอุดหนุนและเงินทำบุญบริจาคนั้นยังขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ ไม่ชัดเจนและอาจเกิดช่องทางการทุจริตได้ จากการวิเคราะห์กฎหมายนี้ ขาดการถ่วงดุลอำนาจ ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะให้ 1) วางระเบียบปฏิบัติภายในวัด ตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด 2) จัดให้มีคณะกรรมการผู้มีความรู้ความสามารถ จัดทำรายรับและรายจ่ายทรัพย์สินของวัด 3) พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 31 ให้อำนาจเจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป จึงมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ควรมีการถ่วงดุลอำนาจ ระบุกฎหมายให้ชัดเจน การแต่งตั้งคณะกรรมการวัด ต้องประกอบไปด้วย เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น ข้าราชการ ประชาชน ผู้มีความรู้ด้านต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ตามหลักธรรมาภิบาล อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับหลักพระธรรมวินัย</p> พระมหาวิทยา คำรัง, เพิ่ม หลวงแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280969 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการฝึกอบรมธรรมศึกษาแก่พระสอนศีลธรรม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279557 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนวทางพัฒนาแนวปฏิบัติในการฝึกอบรมพระสอนศีลธรรมในยุคดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนธรรมศึกษาให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมปัจจุบัน การศึกษาพบข้อจำกัดของการฝึกอบรมแบบดั้งเดิม เช่น เวลา สถานที่ บุคลากร และรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่ทันสมัย จึงเสนอการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นกลไกสำคัญในการฝึกอบรม รูปแบบการฝึกอบรมออนไลน์ที่เหมาะสม ควรส่งเสริมการเรียนรู้ที่เข้าถึงง่าย ยืดหยุ่น และปรับให้ตรงกับบริบทของผู้เรียนแต่ละคน ผ่านสื่อดิจิทัล เช่น วิดีโอ แอปพลิเคชัน ระบบ LMS และการประชุมออนไลน์ โดยผสมผสานหลักธรรมคำสอนกับการมีปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และช่วยพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีของพระสอนศีลธรรมอย่างเหมาะสม ทั้งยังเปิดโอกาสให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างพระสอนศีลธรรมทั่วประเทศ ความท้าทายของพระสอนศีลธรรม เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี การขาดทักษะดิจิทัลของพระสอนศีลธรรมบางส่วน และการรักษาแก่นแท้ของธรรมะในบริบทดิจิทัล โดยเฉพาะการลดทอนความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณในการเรียนรู้แบบออนไลน์ ผลกระทบจากการฝึกอบรมออนไลน์มีทั้งด้านบวก เช่น การเข้าถึงที่กว้างขวาง การประหยัดทรัพยากร การสร้างหลักสูตรที่ทันสมัย และการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ รวมถึงด้านท้าทาย เช่น ความน่าเบื่อของกิจกรรม ความตื้นเขินของเนื้อหา และข้อจำกัดในการประเมินผล ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการฝึกอบรมพระสอนศีลธรรมอย่างเป็นระบบ จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนธรรมศึกษา พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางพัฒนาหลักสูตร การอบรม และการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต</p> พระครูสังฆรักษ์นิพิฐพนธ์ จิรวฑฺฒโน, พระครูปลัดหัตถพร ปิยธมฺโม, พระครูอโสกภัทรวงศ์ (นิรุตฺติเมธี) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279557 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำสมัยใหม่กับการจัดการศึกษาในยุค NEXT NORMAL ด้วยนวัตกรรมทางการศึกษา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279154 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอและชี้ให้เห็นถึงแนวคิดและทฤษฎีของผู้นำทางการศึกษาในยุคปัจจุบัน ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากวิกฤตเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คุณสมบัติของผู้นำที่ดีจึงต้องมีความยืดหยุ่น ปรับตัวตามสถานการณ์ หลังจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ในทุกมิติ และสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ การนำนวัตกรรมทางการศึกษามาใช้ จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยนวัตกรรมเหล่านี้อาจเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือเป็นการพัฒนาจากสิ่งเดิมเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ เช่น AI มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งสามารถตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างรวดเร็ว ทันสมัย แต่การนำ AI หรือปัญญาประดิษฐ์มาปรับใช้ในองค์กรผู้นำ จึงสมควรที่จะใช้อย่างมีสติและรอบครอบ เนื่องจากมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผู้นำจึงต้องนำมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาผู้เรียนให้เป็นพลโลก พร้อมกับการจัดการศึกษาในยุค Next Normal ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม และวิธีการสอนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงหลังการระบาดของ COVID-19 โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้และปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดภาวะผู้นำสมัยใหม่ ที่จะต้องให้ความสำคัญกับคุณค่าของแต่ละบุคคล ปรับตัวให้ทันต่อพลวัต เป็นนักฟังและผู้สนับสนุนที่ดี มีคุณธรรม กล้าคิด กล้าเปลี่ยนแปลง มีวิสัยทัศน์ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ผู้นำต้องเปลี่ยนจาก “ผู้บัญชาการ” เป็น “ผู้สนับสนุน” สร้างแรงจูงใจให้เพื่อนร่วมงาน และมีความรู้ความเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างทันท่วงที</p> พระมหาอำพล ธนปญฺโญ (ชัยสารี), พระครูปริยัติรัตนาลงกรณ์ (สิงหา มุ่งหมาย), พระมหาประทีป อภิวฑฺฒโน (แถวพันธุ์), พระมหาไพฑูรย์ สิริธมฺโม (ชัยกุง), กมลลักษ์ ศรีวิรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279154 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 พลวัตของวันอาสาฬหบูชาในยุคสมัยใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280813 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มุ่งศึกษาพลวัตของวันอาสาฬหบูชาในบริบทสังคมไทยยุคสมัยใหม่ โดยวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของพิธีกรรมทางศาสนาและค่านิยมในพระพุทธศาสนา ผลการศึกษาพบว่า วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” เป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ ทำให้เกิดพระสงฆ์องค์แรก และพระรัตนตรัยครบองค์สมบูรณ์ เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ ประเทศไทยได้กำหนดวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในปี พ.ศ. 2501 และรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 โดยมีการประกอบพิธีกรรมทั้งในระดับราชพิธี พิธีสงฆ์ และพิธีของประชาชนทั่วไป บทความชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของพิธีกรรมวันอาสาฬหบูชา จากรูปแบบที่เน้นพิธีการในราชสำนัก สู่กิจกรรมศาสนาของประชาชนในระดับชุมชน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางในการสืบทอดศรัทธาและส่งเสริมจริยธรรม อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางรูปแบบของพิธีกรรมเกี่ยวกับวันอาสาฬหบูชา เช่น การเวียนเทียนออนไลน์ การฟังธรรมผ่านสื่อดิจิทัล และการทำบุญผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มีผลต่อศรัทธาทางศาสนาในสามมิติ ได้แก่ มิติของประสบการณ์ร่วมที่ลดลง มิติของความเข้าใจหลักธรรมที่เพิ่มขึ้นผ่านข้อมูลออนไลน์ และมิติของความยืดหยุ่น ซึ่งสะท้อนความสามารถในการปรับตัวของศรัทธาในสังคมร่วมสมัย บทความเสนอว่าวันอาสาฬหบูชาในยุคใหม่ มิใช่เป็นเพียงวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น หากยังเป็น “พื้นที่การเรียนรู้จริยธรรมร่วมสมัย” ที่สะท้อนพลวัตของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย</p> พระครูโกศลกิจจานุกิจ (เวหา ตาตะมิ) , สมเดช นามเกตุ, ภัทราภรณ์ นามเกตุ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280813 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 วิถีแห่งธรรมะ: การเปลี่ยนแปลงชีวิตของนางกีสาโคตมี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280290 <p><strong>บทคัดย่อ </strong><strong> </strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลงจิตใจตามหลักพุทธศาสนา โดยเฉพาะการระลึกถึงความตายที่มีผลต่อการพัฒนาจิตใจ จากกรณีศึกษาของนางกีสาโคตรมี ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ การศึกษาพบว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีการสอนเชิงประสบการณ์ โดยมอบหมายให้ไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีผู้ตาย จากการค้นหาความจริงว่าไม่มีบ้านใดเลยที่ไม่เคยประสบกับความตาย การเผชิญหน้ากับความจริงข้อนี้ ทำให้นางเกิดการตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิต กระบวนการนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางปัญญา ทั้งการเข้าใจความไม่เที่ยงของชีวิต การเห็นความทุกข์ที่แฝงอยู่ในสังขาร และการคลายจากความยึดมั่นถือมั่น การรู้ในไตรลักษณ์นี้ส่งผลให้นางบรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งเป็นขั้นแรกของการเข้าถึงธรรม หลังจากนั้น นางได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีและพัฒนาการปฏิบัติธรรมผ่านหลักการตั้งสติในกาย เวทนา จิต และธรรม ร่วมกับการพิจารณาขันธ์ 5 อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดสามารถบรรลุความเป็นพระอรหันต์ การปฏิบัติตามมรณานุสติอย่างสม่ำเสมอ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรเป็นผู้ชี้นำ ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า วิถีธรรมช่วยให้ผู้ปฏิบัติแปรเปลี่ยนความทุกข์ การยึดมั่นในชีวิต ไปสู่การตื่นรู้การปล่อยวางอุปาทานได้ ซึ่งเป็นทางสู่ความหลุดพ้น การเสนอแนวทางจากประสบการณ์ตรง เป็นเครื่องมือการเรียนรู้การพัฒนาปัญญาที่ใคร่ครวญดีแล้ว จึงนับเป็นแนวทางการพัฒนาจิตใจในยุคสมัยใหม่ ที่สามารถประยุกต์ใช้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในการปฏิบัติธรรมเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตได้</p> พระครูสุธรรมรัตนาภรณ์ (สุพจน์ ฐานธมฺโม), พระครูสุวรรณรัตนสุนทร (อุเทน ญาณวโร), ทวีศักดิ์ ใหม่ประยูร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280290 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 วิเคราะห์คติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในปราสาทศีขรภูมิ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279863 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบ ความหมาย พัฒนาการ และคติการสร้างปราสาทขอม ตลอดจนวิเคราะห์คติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในปราสาทศีขรภูมิ ซึ่งสะท้อนอิทธิพลของพระพุทธศาสนา ในการหล่อหลอมเทวาลัยเดิม ในลัทธิไศวนิกายให้กลายเป็นพุทธสถาน ผลการศึกษาพบว่า ปราสาทขอมมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเฉพาะ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ เทวาลัย ธรรมศาลา และอโรคยาศาล ซึ่งมีความหมายทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง ใช้ประกอบพิธีกรรมในศาสนาฮินดู ต่อมาได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนานิกายมหายานและเถรวาท ปราสาทศีขรภูมิเป็นโบราณสถานศิลปะขอม สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในลัทธิไศวนิกาย และได้รับการบูรณะในสมัยอาณาจักรล้านช้าง ราวพุทธศตวรรษที่ 22 จนมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง นอกจากนี้ ยังพบฐานพระพุทธรูปภายในปรางค์ประธานและปรางค์บริวาร รวมถึงศิลาจารึกที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา อันเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนคติความเชื่อในพระพุทธศาสนา ได้แก่ 1) การบูรณะจากเทวาลัยเป็นพุทธสถาน 2) การสร้างฐานพระพุทธรูป 3) ศิลาจารึกการบูรณะปราสาท และ 4) การจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในบริเวณปราสาท ทั้งหมดนี้แสดงถึงบทบาทของพระพุทธศาสนา ในการหล่อหลอมความเชื่อและวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่น รวมถึงลักษณะของปราสาทศีขรภูมิในยุคที่อาณาจักรล้านช้างมีอิทธิพลในพื้นที่อีสานใต้ ปัจจุบันยังมีการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ตักบาตรประจำสัปดาห์ การส่งเสริมวันสำคัญทางศาสนา และงานประเพณีลอยกระทง ซึ่งสะท้อนบทบาทของปราสาทศีขรภูมิ ในฐานะศูนย์กลางวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชาชนยังคงรักษาศรัทธาและยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนอย่างมั่นคง</p> พระปลัดสมหมาย สุรปญฺโญ (ใจงาม), พระครูศรีปัญญาวิกรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279863 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ห้องเรียนกลับด้าน: การพัฒนาชุดการสอนการอิมโพรไวส์กีตาร์ไฟฟ้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปิดห้องเรียน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280566 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดการสอนการอิมโพรไวส์กีตาร์ไฟฟ้า โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เพื่อรับมือกับสถานการณ์การปิดสถานศึกษา อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5. การศึกษานี้เปลี่ยนรูปแบบการสอนดนตรีปฏิบัติแบบดั้งเดิม โดยให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาทฤษฎีและเทคนิคผ่านสื่อวิดีทัศน์ที่บ้าน และใช้เวลาในชั้นเรียนเพื่อการฝึกปฏิบัติ อภิปราย และรับคำแนะนำจากผู้สอน ชุดการสอนมีการวิเคราะห์และถอดแบบการบรรเลงกีตาร์ของ บีบี คิง เนื้อหาประกอบด้วย 5 หน่วยการเรียนรู้หลัก ได้แก่ 1) ความเข้าใจพื้นฐานการอิมโพรไวส์และดนตรีบลูส์ 2) เทคนิคและแนวคิดการบรรเลงของ บีบี คิง เช่น B.B. King Box, Vibrato และการดันสาย 3) การฝึกอิมโพรไวส์ในบทเพลง <strong>“</strong>Rock Me Baby” 4) การฝึกอิมโพรไวส์ในบทเพลง “The Thrill Is Gone” และ 5) การฝึกอิมโพรไวส์ในบทเพลง “Three O’clock Blues” ผลการศึกษาพบว่า ชุดการสอนนี้ช่วยส่งเสริมทักษะการอิมโพรไวส์และความรับผิดชอบของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนที่มีระดับทักษะแตกต่างกัน สามารถเรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง โดยสามารถทบทวนเนื้อหาซ้ำได้ และรูปแบบดังกล่าวยังส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างเพื่อนในชั้นเรียน แม้พบข้อจำกัดทางเทคนิคเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วผู้เรียนมีความพึงพอใจสูง และเกิดการพัฒนาทักษะที่ชัดเจน ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูงสำหรับการสอนดนตรีในศตวรรษที่ 21 ช่วยให้นักศึกษาพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ และการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อรับมือกับความท้าทายทางการศึกษาในโลกยุคใหม่</p> พัชร หลวงแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/280566 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัญหากฎหมายในการให้ความคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายผู้ต้องหาและพนักงานสอบสวนอันเนื่องจากการสอบสวนละเลยหรือล่าช้า https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279674 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มุ่งศึกษาปัญหาทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย ผู้ต้องหา และพนักงานสอบสวน อันเกิดจากความล่าช้าและการละเลยในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ข้อบกพร่องของระบบกฎหมาย ระเบียบ และโครงสร้างการบริหารงานสอบสวน พร้อมเสนอแนะแนวทางปฏิรูปเพื่อยกระดับความยุติธรรมและความโปร่งใส ผลการศึกษาพบว่า การสอบสวนคดีอาญาของประเทศไทยประสบกับปัญหาหลัก 4 ประการ ได้แก่ (1) พนักงานสอบสวนขาดความเป็นอิสระ เนื่องจากบทบัญญัติกฎหมายให้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บังคับบัญชาและฝ่ายบริหาร ส่งผลให้มีการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือปกครอง (2) ความไม่ชัดเจนของบทบัญญัติเกี่ยวกับการแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 134 วรรคสอง ทำให้การใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนมีลักษณะกว้างขวางและอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา (3) ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสอบสวน โดยเฉพาะคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย มีความไม่สอดคล้องกันและเปิดช่องให้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ ส่งผลต่อความโปร่งใสและความยุติธรรม (4) การขาดข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาสิ้นสุดของการสอบสวนตามมาตรา 143 ส่งผลให้เกิดการประวิงคดีโดยไม่จำเป็น จึงเห็นควรให้ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา18 วรรคท้าย มาตรา 134 วรรคสอบ มาตรา 143 วรรคสอง (ก) ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2523 และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 419/2565 โดยเสนอให้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแจ้งข้อกล่าวหา การสอบสวนเพิ่มเติม การกำหนดขอบเขตหน้าที่พนักงานสอบสวน และระยะเวลาของการสอบสวน ตลอดจนสร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใส ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการสอบสวนมีความเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ อันเป็นรากฐานของกระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน</p> ประสาท สามารถกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/279674 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700