ปัญญาปณิธาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ <p>วารสารปัญญาปณิธาน เป็นวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตหนองคาย เลขมาตรฐาน <strong>ISSN </strong>: 2672-9679 (<strong>Print</strong>) และ <strong>ISSN </strong>: 2697-5122 (<strong>Online</strong>) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในมิติทางด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา การศึกษา ภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การท่องเที่ยว และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (<strong>Double blind peer reviewed</strong>) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย มีกำหนดออกวารสารปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มิถุนายน / ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม (ราย 6 เดือน) ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยเสนอหรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน</p> th-TH prayad.sun@mcu.ac.th (พระมหาประหยัด ปญฺญาวโร,ดร.) ingon.boot@mcu.ac.th (คุณอิงอร บุตรศรีผา) Tue, 31 Dec 2024 20:29:32 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัญหาทางกฎหมายในการรับรองสถานะของภิกษุณีตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276285 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานะภิกษุณีตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 2) เพื่อศึกษาปัญหาทางกฎหมายที่มีผลกระทบต่อการไม่รับรองภิกษุณี ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 และ 3) เพื่อวิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดผลกระทบต่อการไม่รับรองภิกษุณีในประเทศไทยให้เหมาะสมต่อไป การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยศึกษาข้อมูลจากหนังสือและงานวิจัย บทความเกี่ยวกับการบวชภิกษุณีในประเทศและต่างประเทศ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ไม่ปรากฏคำว่าภิกษุณี และไม่มีการบัญญัติความหมายของคำว่าภิกษุ หรือกำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่มีความประสงค์บวชเป็นพระ อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีการให้ความหมายของคำว่านักบวชเอาไว้ ส่งผลต่อการไม่รับรองสถานะทางกฎหมายของภิกษุณี 2) การที่ภิกษุณีไม่มีกฎหมายรับรองสถานภาพการเป็นนักบวชส่งผลกระทบต่อกฎหมาย ทั้งกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3) ข้อเสนอแนะ ควรกำหนดความหมายของคำว่า “นักบวช” ไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ทั้งนี้ เพื่อภิกษุณีจะได้มีสถานะเป็นนักบวชตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีผลให้ภิกษุณีเป็นคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 นอกจากนี้ การให้ความหมายของคำว่านักบวชยังช่วยในการตีความหมายให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ และไม่ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาคำว่านักบวชตามกฎหมายอื่น ที่ระบุคำว่านักบวชเอาไว้ แต่กลับมีการให้ความหมายที่ต่างกัน อันทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ตรงตามเจตนารมณ์</p> วรวุฒิ บุญมี, อัจฉราพร สีหวัฒนะ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276285 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นเพื่อเสริมสร้างความรู้และความสามารถในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลับโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานของนักศึกษาครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/267387 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นเพื่อเสริมสร้างความรู้และความสามารถในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลับของนักศึกษาครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสาน 2. เพื่อจัดลำดับความต้องการจำเป็นเพื่อเสริมสร้างความรู้และความสามารถในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลับของนักศึกษาครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสาน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากร ได้แก่ นักศึกษาวิชาชีพครู สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 222 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 53 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย คือ แบบประเมินความความต้องการจำเป็นเพื่อเสริมสร้างความรู้และความสามารถในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลับของนักศึกษาครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสาน ข้อคำถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 47 ข้อ ประกอบด้วยด้านความรู้ มี 5 องค์ประกอบ จำนวน 21 ข้อ ด้านทักษะการปฏิบัติงาน มี 4 องค์ประกอบ จำนวน 18 ข้อ และด้านคุณลักษณะที่ส่งผลต่อความสำเร็จของงาน มี 2 องค์ประกอบ จำนวน 8 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี PNI</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ความสามารถทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ มีค่าดัชนี PNI เท่ากับ 0.22แต่ละองค์ประกอบ ค่าดัชนี PNI ที่ได้คือ 0.26, 0.19, 0.21, 0.25, 0.25 ตามลำดับ ด้านทักษะการปฏิบัติงาน มีค่าดัชนี PNI เท่ากับ 0.25 แต่ละองค์ประกอบ ค่าดัชนี PNI ที่ได้คือ 0.24, 0.25, 0.27, 0.24 ตามลำดับ และด้านคุณลักษณะที่ส่งผลต่อความสำเร็จของงาน มีค่าดัชนี PNI เท่ากับ 0.22 แต่ละองค์ประกอบ ค่าดัชนี PNI ที่ได้คือ 0.26 และ 0.18</p> ก้องภพ ศิริบุตร Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/267387 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของการเรียนโดยใช้เทคนิค SQ4R เสริมด้วยแผนผังความคิดต่อความสามารถในการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/275623 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค SQ4R เสริมด้วยแผนผังความคิด ก่อนและหลังเรียน 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนที่มีต่อการเรียน โดยใช้เทคนิค SQ4R เสริมด้วยแผนผังความคิด การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจ มีข้อคำถามให้นักเรียนเลือกคำตอบมีคำตอบให้เลือก 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ 2) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SQ4R เสริมด้วยแผนผังความคิดเป็นแบบสอบถามปลายปิด 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด จำนวน 20 รายการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติทดสอบทีแบบกลุ่มไม่เป็นอิสระกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่เรียนโดยใช้เทคนิค SQ4R เสริมด้วยแผนผังความคิด มีความสามารถในการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.75 และหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 32.12 คะแนน เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้เทคนิค SQ4R เสริมด้วยแผนผังความคิด มีความพึงใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38</p> กฤษติยา หมื่นเรือคำ, ศศิพงษ์ ศรีสวัสดิ์ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/275623 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงตามแบบสะเต็มศึกษาสำหรับห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276145 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบท ปัญหา ความต้องการ ศักยภาพในการพัฒนาด้านการศึกษาระดับประถมศึกษาในจังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงตามแบบสะเต็มศึกษาสำหรับห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 3) เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงตามแบบสะเต็มศึกษาสำหรับห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 4) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงตามแบบสะเต็มศึกษาสำหรับห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 ที่พัฒนาขึ้นโดย ครู นักศึกษาครู และนักศึกษาประสบการณ์วิชาชีพครู 5) เพื่อขยายผลรูปแบบการพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงตามแบบสะเต็มศึกษาสำหรับห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 จากครูสู่นักเรียน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยพัฒนาทดลอง มีวิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ โดยมีการกำหนดกลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่างผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง รวมทั้งหมด 50 คน ประกอบด้วย ครู นักศึกษาครู และนักศึกษาฝึกประสบการวิชาชีพครู</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาการศึกษาระดับประถมศึกษาในจังหวัดร้อยเอ็ด ดำเนินการภายใต้ระบบ Single Command พร้อมแผนพัฒนาที่เน้นการเรียนรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 การพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงตามแบบสะเต็มศึกษา ได้รับการออกแบบเพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผ่านกระบวนการ ADDIE Model และการผสานเทคโนโลยี AR ซึ่งผลการประเมินสื่อพบว่า มีคุณภาพในระดับสูงสุด สะท้อนถึงประสิทธิภาพของสื่อที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน โดยสื่อนี้ได้ถูกขยายผลไปใช้จริงในห้องเรียนเพื่อพัฒนาครูและนักเรียนให้พร้อมต่อความท้าทายในศตวรรษที่ 21</p> กฤษฎาภรณ์ จันตะคุณ, ธิติ จันตะคุณ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276145 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ระบบนิเวศการเรียนรู้ของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276309 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันระบบนิเวศการเรียนรู้โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย 2) เพื่อศึกษาสภาพที่พึงประสงค์ระบบนิเวศการเรียนรู้โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย 3) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของระบบนิเวศการเรียนรู้โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครู โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2565 จำนวน 297 คน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC อยู่ในระหว่าง 0.66 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.979 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันระบบนิเวศการเรียนรู้ ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านวิธีการจัดการเรียนรู้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านเครือข่ายการมีส่วนร่วม 2. สภาพที่พึงประสงค์ระบบนิเวศการเรียนรู้ ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านสภาพแวดล้อมการจัดการเรียนรู้และเทคโนโลยีทันสมัย ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านเครือข่ายการมีส่วนร่วม 3. ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นระบบนิเวศการเรียนรู้ ในภาพรวมพบว่า ค่า PNI<sub>modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.066 ถึง 0.084 ลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ ด้านสภาพแวดล้อมการจัดการเรียนรู้และเทคโนโลยีทันสมัย (PNI<sub>modified</sub>= 0.084) รองลงมาคือ ด้านเครือข่ายการมีส่วนร่วม (PNI<sub>modified</sub>= 0.082) และลำดับความต้องการจำเป็นต่ำสุดคือ ด้านวิธีการจัดการเรียนรู้ (PNI<sub>modified</sub>= 0.066)</p> สุภารัตน์ วัฒนธรรม , วัลลภา อารีรัตน์ , เกื้อจิตต์ ฉิมทิม Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276309 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/270484 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครูโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ตามการรับรู้ของครู จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ตำแหน่งและวิทยฐานะ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเป็นครูโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 370 คน จากประชากรทั้งหมด 13,597 คน โดยใช้วิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครโดยรวมเละรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ครูที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการรับรู้ภาวะผู้นำเหนือผู้นำ โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การส่งเสริมให้บุคลากรเป็นผู้นำตนเอง การเป็นแบบอย่างในการนำตนเอง การอำนวยความสะดวกให้เกิดภาวะผู้นำตนเอง การอำนวยความสะดวกให้เกิดวัฒนธรรมของผู้นำตนเอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ครูที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานต่างกัน มีการรับรู้ภาวะผู้นำเหนือผู้นำ โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การกระตุ้นให้บุคลากรตั้งเป้าหมายด้วยตนเองและการอำนวยความสะดวกให้เกิดภาวะผู้นำตนเอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 และ 4) ครูที่มีตำแหน่งและวิทยฐานะแตกต่างกัน มีการรับรู้ภาวะผู้นำเหนือผู้นำโดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</p> วีณา ช่วงโชติ, ศิริพงษ์ เศาวภายน Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/270484 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถทางภูมิศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยการใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276373 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> การจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์มีแนวทางการจัดการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มุ่งเน้นการบรรยายเนื้อหา มาเป็นการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ อันเกิดจากการกระทำของมนุษย์และจากธรรมชาติเอง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการพัฒนาทักษะทางภูมิศาสตร์ของนักเรียน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเอง และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้นำไปใช้ในการเรียนในระดับที่สูงขึ้น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการเรียนรู้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ก่อนและหลังเรียน 2) พัฒนาความสามารถทางภูมิศาสตร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 20 คน โรงเรียนบ้านคำนกกก อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้จัดเก็บข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทางสถิติ t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเรียนรู้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .66 2) ความสามารถทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนพัฒนาจากระดับดี ถึงดีมาก และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียน พบว่า มีความพอใจอยู่ในระดับมาก</p> นันธิชา เรือนนา, อธิราชย์ นันขันตี, พิจิตรา ธงพานิช Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276373 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวบ่งชี้โรงเรียนคุณภาพสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276372 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวบ่งชี้โรงเรียนคุณภาพ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1 โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ได้มีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ในการกำหนดกลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยในครั้งนี้ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 20 คนต่อ 1 พารามิเตอร์ ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 320 คน แล้วดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันตัวบ่งชี้โรงเรียนคุณภาพ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ในภาพรวมพบว่า องค์ประกอบในรูปคะแนนมาตรฐานที่มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมากที่สุด ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษามืออาชีพ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ เท่ากับ 0.90 รองลงมา ได้แก่ บรรยากาศการเรียนรู้ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเท่ากับ 0.88 ประสิทธิภาพการสอนของครู มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ เท่ากับ 0.86 และองค์ประกอบในรูปคะแนนมาตรฐานที่มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ น้อยที่สุด ได้แก่ คุณภาพของนักเรียน มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเท่ากับ 0.85 2. ผลการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลที่พัฒนาขึ้นจากพัฒนาขึ้นจากแนวคิดเชิงทฤษฎีกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อ้างอิงเอกสาร ตำรา บทความงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาสังเคราะห์องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่านัยสำคัญทางสถิติ (P-value) = 0.09 (RMSEA) = 0.04 (SRMR) = 0.06 (CFI) = 0.98 TLI = 0.98 และองค์ประกอบหลักมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ สูงกว่าเกณฑ์ 0.70 ทุกองค์ประกอบ องค์ประกอบย่อยและตัวบ่งชี้มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบสูงกว่าเกณฑ์ 0.30 ทุกองค์ประกอบและทุกตัวบ่งชี้</p> มนูญ ภูมิประสาท , สิทธิชัย สอนสุภี Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276372 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดธานี เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/274790 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมี ของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมี กับความมีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 123 โรงเรียน โรงเรียนละ 3 คน รวม 369 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก และระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากเช่นกัน 2) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำผู้นำเชิงศรัทธาบารมีที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับประสิทธิผลของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 และภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีทุกด้าน มีความสัมพันธ์กับปัจจัยรายด้านอยู่ในระดับสูง 3) ภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา ร้อยละ 38.50 ตัวแปรพยากรณ์ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา 3 ตัวแปร ได้แก่ 1. ด้านเป็นแรงบันดาลใจ 2. ด้านความสามารถในการตัดสินใจ 3. ด้านความมั่นใจในตัวเอง โดยสามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ และสมการในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ</p> <p> = 1.703 + .226 (X<sub>4</sub>) +.215 (X<sub>3</sub>) + .161 (X<sub>5</sub>)</p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน</p> <p><em> </em><em> </em> = .317 (X<sub>4</sub>) + .296 (X<sub>3</sub>) + .228 (X<sub>5</sub>)</p> ภูเบศร์ ชื่นชม, เสาวนี สิริสุขศิลป์ , ปารย์พิชชา ก้านจักร Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/274790 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานสากลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/277188 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการจัดการความรู้ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน ตามมาตรฐานสากลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร 2) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการความรู้ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน ตามมาตรฐานสากลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร และ 3) เพื่อประเมินแนวทางการจัดการความรู้ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน ตามมาตรฐานสากลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้วิธีวิทยาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหาร และครูผู้สอนโรงเรียนมาตรฐานสากลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร ในปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกรายการ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการจัดการความรู้ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานสากลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร 3 ลำดับแรก ดังนี้ ด้านการจัดการความรู้ให้เป็นระบบ ด้านการสร้างความรู้ และการเข้าถึงความรู้ 2. แนวทางการจัดการความรู้ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานสากลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร มีหลักการสำคัญของการจัดการความรู้ ดังนี้ 1) การบ่งชี้ความรู้ 2) การสร้างความรู้ 3) การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ 4) การเข้าถึงความรู้ และ 5) การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 3. การประเมินแนวทางการจัดการความรู้ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานสากลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร พบว่า แนวทางการจัดการความรู้ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานสากลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> อิสระ ดอนหลักคำ, พงษ์ศักดิ์ ศรีจันทร์, พิมพ์พร จารุจิตร์ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/277188 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 คุณภาพชีวิตการทำงานที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาครสมุทรสงคราม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276439 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม 2) ระดับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู 3) คุณภาพชีวิตการทำงานที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 285 คน ใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซีและมอร์แกน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วนของประชากร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 2 ชุด ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตการทำงานและการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูเป็นแบบวัดมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยวิธีของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพชีวิตการทำงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความสัมพันธ์ด้านสังคมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน ส่วนด้านการให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมและยุติธรรม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) การปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการปฏิบัติหน้าที่ครู ส่วนด้านความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชนมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) คุณภาพชีวิตการทำงานส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ .691</p> ศุภักษร สุนทรวัฒน์, นิษฐ์สินี กู้ประเสริฐ์ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276439 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการป่าชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/273046 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการป่าชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลช่องกุ่ม (2) ระดับประสิทธิภาพการจัดการป่าชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลช่องกุ่ม และ (3) แนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการจัดการป่าชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลช่องกุ่ม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงผสม โดยการวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนในพื้นที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว จำนวน 262 คน ได้จากการคำนวณด้วยสูตรของ Yamane ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้แทนผู้นำชุมชน, ผู้แทนส่วนราชการ และผู้แทนองค์การบริหารส่วนตำบลช่องกุ่ม รวมจำนวน 7 คน เป็นการกำหนดผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการป่าชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว อยู่ในระดับมาก โดยระดับการร่วมมือมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ตามด้วยระดับการเข้าไปเกี่ยวข้อง การให้คำปรึกษาหารือ การให้ข้อมูลข่าวสาร และการมอบอำนาจการตัดสินใจ 2) ประสิทธิภาพการจัดการป่าชุมชน อยู่ในระดับมาก โดยการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชุมชนมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือการมีระเบียบและกฎเกณฑ์ องค์กรประชาชนในการดูแลป่า และการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก 3) ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การสนับสนุนจากองค์กรภายนอกเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความถูกต้องตามหลักวิชาการในการดูแลป่าชุมชน เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชน การจัดการปัญหาและอุปสรรคผ่านการประชุมเพื่อปรึกษาหารือและหาทางออกร่วมกัน</p> ภัทรภร จ่ายเพ็ง, วัชรพิพัฒน์ ศิลปารัตน์ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/273046 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การบริหารสถานศึกษาตามหลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษาสหวิทยาเขตหลักเมืองเลย สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลาภู https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276308 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษา 3. เสนอแนวทางแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน กลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษา สหวิทยาเขตหลักเมืองเลย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู จำนวน 260 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารสถานศึกษาตามหลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการบริหารงานวิชาการ 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักสาราณียธรรม 6 โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนจำแนกตามระดับการศึกษาไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารสถานศึกษา ควรกำกับ ติดตาม และประเมินผลการเรียนของนักเรียนเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จัดการสอนในรูปแบบสหวิทยาการ มีการใช้เทคนิควิธีการสอนที่หลากหลาย ชุมชนร่วมกับสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อม ปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับกาลเทศะ ตำแหน่ง หน้าที่ จัดซื้อ/จัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอ เสียสละ และทำหน้าที่มุ่งผลประโยชน์ของสถานศึกษา</p> สิทธิชัย เทียมไธสงค์ , พระครูปลัดสมชัย นิสฺสโภ, พระมหาสุภวิชญ์ ปภสฺสโร Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276308 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีโฟนิกส์ร่วมกับเทคนิคพหุสัมผัสที่มีต่อความสามารถในการอ่านสะกดคาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/275928 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสะกดคำ โดยใช้การสอนวิธีโฟนิกส์ร่วมกับเทคนิคพหุสัมผัส ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการสอนอ่านสะกดคำด้วยวิธีโฟนิกส์ร่วมกับเทคนิคพหุสัมผัส ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหันเทาผักกาดย่า อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 12 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม แบบแผนการทดลอง เป็นแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีโฟนิกส์ร่วมกับเทคนิคพหุสัมผัส จำนวน 16 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง จำนวน 16 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านสะกดภาษาไทย จำนวน 40 ข้อ 3) แบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจต่อการจัด การเรียนการสอนโดยใช้วิธีโฟนิกส์ร่วมกับเทคนิคพหุสัมผัส สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบไม่อิสระ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ก่อนเรียนโดยใช้วิธีโฟนิกส์ร่วมกับเทคนิคพหุสัมผัส นักเรียนมีคะแนนอ่านสะกดคำภาษาไทยเฉลี่ย 10.5 คะแนน และหลังเรียน 35 คะแนน เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย พบว่า นักเรียน มีทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) หลังเรียนโดยใช้การสอนวิธีโฟนิกส์ร่วมกับเทคนิคพหุสัมผัส นักเรียนมีระดับความ พึงพอใจโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับ 2.8 หมายความว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p> กุลธิดา เกิดไทย, ศศิพงษ์ ศรีสวัสดิ์ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/275928 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยยึดกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาเป็นฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268993 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการประเมิน CIPP<sub>IEST</sub> Model โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยยึดกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาเป็นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 เป็นการวิจัยประเมินเชิงระบบผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้ CIPP<sub>IEST</sub> ของ Stufflebeam กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เลือกแบบเจาะจง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 1) ผู้บริหารการศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้รับผิดชอบโครงการ ผู้ให้ข้อมูลเชิงปริมาณ จำนวน 5 คน และเชิงคุณภาพ 3 คน 2) ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้เข้าร่วมโครงการ ในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 1 (หนองคาย 1) ผู้ให้ข้อมูลเชิงปริมาณ จำนวน 122 คน และเชิงคุณภาพ 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ประเภท คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหาข้อมูลเชิงประจักษ์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การประเมินโครงการฯ ระหว่างปีการศึกษา 2563 – 2565 โดยใช้รูปแบบการประเมิน CIPP<sub>IEST</sub> Model ประกอบด้วย 1) ด้านบริบท พบว่า ข้อมูลสำคัญในการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายของโครงการ ความเป็นไปได้ของโครงการ มีความชัดเจน เหมาะสม 2) ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการมีความเหมาะสมช่วยให้การดำเนินงานโครงการบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ รูปแบบการดำเนินการ ทางเลือกที่ได้เลือกสรรแล้วมีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติได้ 3) ด้านกระบวนการ พบว่า การปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ สามารถที่จะดำเนินกิจกรรมได้ตามโครงการ ข้อมูลและข้อบกพร่องของการดำเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ ได้รับการแก้ไข และ 4) ด้านผลผลิต เมื่อสิ้นสุดโครงการเป็นการตรวจสอบคุณภาพของผลลัพธ์การดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของโครงการและการประเมินผลสำเร็จของโครงการ ซึ่งเป็นภาคขยายด้านผลผลิต ได้แก่ การประเมินด้านผลกระทบ ประสิทธิผล ความยั่งยืน และการถ่ายโยงความรู้ ผ่านเกณฑ์การประเมินทุกด้าน ทุกตัวชี้วัด</p> มติภา ชัยชิต, ระพีพัฒน์ หาญโสภา Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268993 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276324 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหาร 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 2 การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 269 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ในช่วงระหว่าง 0.67 - 1.00 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.96</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านการสร้างความท้าทายให้ตนเองมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด สำหรับสภาพที่พึงประสงค์ พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านการหาแรงบันดาลใจในการทำงานมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นภาพรวม (PNI_Modified) อยู่ระหว่าง 0.371-0.382 โดยความต้องการจำเป็นสูงสุดคือการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค (PNI_Modified = 0.382) และต่ำสุดคือการหาแรงบันดาลใจในการทำงาน (PNI_Modified = 0.371) แนวทางพัฒนาการบริหารงานมี 5 ด้าน ได้แก่ การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค โดยการวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ การสร้างความท้าทายให้ตนเองผ่านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดทำกลยุทธ์ การเรียนรู้จากคำวิจารณ์ ด้วยการเปิดโอกาสให้ครูสะท้อนปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การมุ่งมั่นพัฒนาตนเองโดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน และการหาแรงบันดาลใจผ่านการแสดงความคิดเห็นเชิงบวก การเปิดใจรับฟัง และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร</p> กฤษฎาพร พากเพียร, วัลลภา อารีรัตน์ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276324 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/270693 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วย 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 320 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง ระยะที่ 2 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ การคิดเชิงปฏิวัติ การกำหนดวิสัยทัศน์ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การกำหนดทิศทางขององค์กร ความคาดหวังและการสร้างโอกาสสำหรับอนาคต ความคิดความเข้าใจในระดับสูง และความสามารถในการนำปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ มากำหนดกลยุทธ์ 2. โปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหา ประกอบด้วย 7 Modules 4) กิจกรรม และ 5) การวัดและประเมินผล ซึ่งผลการประเมินโปรแกรมโดยรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> สุริยา รัตนสุริยากร, ชัยยนต์ เพาพาน Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/270693 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/270125 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยมีระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 163 โรงเรียน โดยใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซีและมอร์แกน จำนวน 105 โรงเรียน โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า และแนวคำถามในการสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การศึกษาแนวทางในการบริหารโดยการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง โดยใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและวิเคราะห์เชิงเนื้อหาโดยนำประเด็นที่ได้จากสภาพการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลมาสร้างประเด็นในการสัมภาษณ์เพื่อหาแนวทางการบริหารสถานศึกษา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ด้านหลักนิติธรรม ควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้เหมาะสม ทันสมัย เป็นที่ยอมรับของบุคลากรในสถานศึกษา ด้านหลักคุณธรรม ควรส่งเสริมการจัดกิจกรรมเสริมสร้างคุณธรรมให้แก่บุคลากรในสถานศึกษาอยู่เสมอ ด้านหลักความโปร่งใส ควรมีระบบการตรวจสอบการบริหารงานเพื่อความถูกต้องชัดเจน ด้านหลักการมีส่วนร่วม ผู้บริหารสถานศึกษาควรเปิดโอกาสให้บุคลากรในสถานศึกษาเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ทำได้โดยอิสระไม่มีการบังคับ ด้านหลักความรับผิดชอบ ควรมีการจัดเตรียมระบบการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ด้านหลักความคุ้มค่า ควรมีการควบคุม กำกับดูแล การใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างคุ้มค่า</p> ภักษร สิริวงษ์ Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/270125 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276374 <p><strong>บทคัดย่อ</strong> </p> <p> บทความวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดหนองคาย และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดหนองคาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ และความเป็นประโยชน์ของแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์สภาพที่พึงประสงค์โดยการใช้เทคนิค Modified Priority Need Index (PNI<sub>modified</sub>) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดหนองคาย โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ( = 3.14) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.60) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ตามลำดับของความต้องการจำเป็นในการพัฒนา (PNI<sub>modified</sub>) เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยคือ 1. พฤติกรรมผู้นำแบบทีม (PNI<sub>modified</sub>=0.51) 2. พฤติกรรมผู้นำแบบสายกลาง (PNI<sub>modified</sub>=0.50) 3. พฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งผลผลิต (PNI<sub>modified</sub>=0.43) 4.พฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งสัมพันธ์ (PNI<sub>modified</sub>=0.41) ตามลำดับการทดสอบ 2.) ผลการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดหนองคาย ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู เรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย พบว่า พฤติกรรมผู้นำแบบทีม มีค่าความจำเป็นมากที่สุด (PNImodifled=0.51) จึงต้องพัฒนาต้องพัฒนาเป็นอันดับแรก</p> จีรวัฒน์ เงินโพธิ์กลาง, เสาวนี สิริสุขศิลป์, ปารย์พิชชา ก้านจักร Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276374 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 บั้งไฟพญานาค: คติ ความเชื่อ ศรัทธา สู่การยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนในจังหวัดหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276961 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประวัติบั้งไฟพญานาค คติ ความเชื่อ ศรัทธา ของประชาชนในการมีส่วนร่วมยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนในจังหวัดหนองคาย 2. เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนเรื่องบั้งไฟพญานาค คติ ความเชื่อ ศรัทธา สู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนในจังหวัดหนองคาย 3. เพื่อเสนอแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนเรื่องบั้งไฟพญานาค คติ ความเชื่อ ศรัทธาในการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนในจังหวัดหนองคาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก และเก็บข้อมูลภาคสนาม จากกลุ่มประชากร จำนวน 30 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนทั้ง 3 แห่งในจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วย ชุมชนบ้านหนองกุ้ง ชุมชนบ้านใหม่ ชุมชนบ้านน้ำเป ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง มีวิถีชีวิตตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา และให้ความศรัทธาเคารพพญานาค โดยมีการร่วมจัดกิจกรรมชมบั้งไฟพญานาคในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ทุกปี 2) ยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนเรื่องบั้งไฟพญานาค คติ ความเชื่อ ศรัทธา สู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนในจังหวัดหนองคาย ผ่านวัฒนธรรมชุมชนและความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ โดยจัดกิจกรรมวันออกพรรษา เช่น การทำบุญตักบาตร และ “พาแลง” ที่นักท่องเที่ยวใน “โฮมสเตย์” ร่วมรับประทานอาหารในลานกิจกรรม 3) เสนอแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนเรื่องบั้งไฟพญานาค เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดหนองคาย โดยพัฒนาบุคลากร สถานที่ กิจกรรม และสิ่งแวดล้อม พร้อมถ่ายทอดความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น วางแผนการจัดการ และสร้าง “โฮมสเตย์” รองรับนักท่องเที่ยว รวมถึงพื้นที่จัดกิจกรรมอนุรักษ์ลำน้ำ</p> พระมหาจำนงค์ สิริวณฺโณ (ผมไผ), ทองคํา ดวงขันเพ็ชร, อริย์ธัช เลิศรวมโชค Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276961 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนในตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/272320 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนในตำบลต้นเปา 2) เพื่อเสนอแนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ และวิเคราะห์ข้อมูลตามหลักการตีความ โดยนำความรู้จากทฤษฎี วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทุนทางวัฒนธรรม ทั้งที่เป็นทุนทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ผู้ให้ข้อมูลหลัก ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 25 คน ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เพื่อการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ทุนทางวัฒนธรรมของชาวชุมชนในตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง มีจุดเด่นที่แตกต่างและมีอัตลักษณ์ ได้แก่ ร่มบ่อสร้าง กระดาษสา โคมลอยและโคมประดับ และยังมีวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม กายแต่งกายที่ยังคงไว้จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งมีศักยภาพในการต่อยอดทางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และเพิ่มมูลค่าให้กับชุมชนได้ 2) แนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในตำบลต้นเปา สามารถนำเสนอเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางในการพัฒนาเชิงรุก คือ สิ่งที่พบว่ายังมีจุดอ่อนและเห็นควรให้มีการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวในชุมชนให้เข้มแข็ง และแนวทางในการพัฒนาเชิงสนับสนุน คือ สิ่งที่ทำได้ดีอยู่แล้ว อีกทั้งมีศักยภาพที่เข้มแข็ง และเห็นควรให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพ ทั้งนี้ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาระบบการจัดการองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านหัตถกรรมของชุมชน ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านหัตถกรรมกลุ่มดั้งเดิม และภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านหัตถกรรมกลุ่มใหม่</p> ชนิษฐา ใจเป็ง Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/272320 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบศูนย์การเรียนหลวงพ่อพระใส (วัดโพธิ์ชัย) จังหวัดหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276345 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาระบบศูนย์การเรียนหลวงพ่อพระใส จังหวัดหนองคาย 2) ประเมินความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบศูนย์การเรียนหลวงพ่อพระใส จังหวัดหนองคาย 3) พัฒนาระบบศูนย์การเรียนหลวงหลวงพ่อพระใส จังหวัดหนองคาย 4) ทดสอบการพัฒนาระบบศูนย์การเรียนหลวงพ่อพระใส จังหวัดหนองคาย 5) ประเมินและรับรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิของการพัฒนาระบบศูนย์การเรียนหลวงพ่อพระใส จังหวัดหนองคาย เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยมี 5 ขั้นตอน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 34 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาระบบศูนย์การเรียนหลวงพ่อพระใส มี 5 ด้าน คือ ด้านการบริหาร ด้านอาคารสถานที่ ด้านแหล่งการเรียน ด้านการบริการ และด้านเครือข่าย 2) ประเมินความต้องการ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.56 และอยู่ในระดับมากที่สุดในทุก ๆ ด้าน 3) การวิเคราะห์ข้อมูลและนำมาสังเคราะห์สร้างระบบ วัดโพธิ์ชัย 5ส SYSTEM ประกอบด้วย ส ที่หนึ่ง คือ สร้างสรรค์ ส ที่สอง คือ สาระ ส ที่สาม คือ สงบ ส ที่สี่ คือ สติ ส ที่ห้า คือ สำนึก 4) การทดลองใช้กิจกรรม พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก การมีศูนย์การเรียนภายในวัดเหมาะสม กิจกรรมมีประโยชน์ต่อประชาชนที่เข้าร่วม และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน กิจกรรมมีความหลากหลาย และสามารถเลือกทำกิจกรรมได้ตามความต้องการ 5) การประเมินและการปรับปรุง ในภาพรวมพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน จากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเหมาะสม ด้านความถูกต้อง และด้านความเป็นไปได้ ตามลำดับ</p> พระครูสมุห์หัตถพร ปิยธมฺโม (คำเพชรดี), สมชัย ศรีนอก, พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276345 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางที่เหมาะสมในการเสนอขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไปหรืองานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268221 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> กฎหมายอภัยโทษในปัจจุบันกำหนดให้จำเลยที่ทำงานบริการสังคมหรืองานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ จะได้รับการอภัยโทษต้องไม่ทำผิดเงื่อนไขหรือคำสั่งศาล ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม หากไม่ผิดเงื่อนไข แม้ยังไม่ทำงานใช้หนี้แทนค่าปรับก็ได้รับอภัยโทษ บทความวิจัยนี้จึงได้ศึกษา ความเหมาะสมของการอภัยโทษกรณีดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการอภัยโทษตามกฎหมายไทย 2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการจำกัดสิทธิของจำเลยในการได้รับอภัยโทษ กรณีจำเลยทำงานใช้หนี้แทนค่าปรับตามกฎหมายไทยและต่างประเทศ 3) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาหรือผลกระทบจากการนิยามความหมายคำว่า ผู้ทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2565 4) เพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการเสนอขอพระราชทานอภัยโทษกรณีดังกล่าว โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวกับการอภัยโทษของประเทศไทย อังกฤษและญี่ปุ่น แล้ววิเคราะห์เปรียบเทียบกับประเด็นปัญหาพร้อมนำเสนอแนวทางแก้ไข</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การอภัยโทษกรณีดังกล่าวไม่มีความเหมาะสม เป็นการจำกัดสิทธิจำเลย ไม่สอดคล้องต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อจำเลยและผู้เกี่ยวข้อง จึงเสนอแก้ไขพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในปัจจุบัน ดังนี้ 1) นิยามความหมายของผู้ทำงานบริการสังคมหรืองานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับตามมาตรา 3 โดยยกเลิกถ้อยคำ “…โดยผู้นั้นได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและมิได้กระทำผิดเงื่อนไขแต่อย่างใด” 2) เพิ่มเติมมาตรา 5 (2) ด้วยถ้อยคำ “…โดยให้ผู้นั้นหลุดพ้นจากหนี้ค่าปรับที่ต้องทำงานแทนดังกล่าว” </p> อำนาจ ศรีวะวงค์, บัณฑิต ขวาโยธา Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268221 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัญหาการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/271042 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี กฎหมายของต่างประเทศและกฎหมายไทยที่เกี่ยวกับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น 2) ศึกษาปัญหาพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 3) เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางแก้ไขปัญหาของพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ บทความ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สื่อข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศ ร่างกฎหมาย</p> <p> การศึกษาพบว่า การถอดถอนจากตำแหน่งเป็นการให้อำนาจทางการเมืองของประชาชน ตามแนวคิดอำนาจอฺธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตน สามารถใช้อำนาจที่มีเรียกคืนอำนาจจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เห็นว่าไม่ควรดำรงตำแหน่งต่อไปได้ โดยยึดหลักนิติธรรมมากำหนด ให้เกิดความยุติธรรมเสมอภาค และสังคมสงบสุข จะเห็นว่ากฎหมายการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไทย ยังไม่บัญญัติเรื่องของการกำหนดเหตุแห่งการถอดถอนที่ชัดเจน ผลคะแนนเสียงที่ใช้ถอดถอนมีจำนวนที่สูงเกินไป ถ้อยคำที่กำหนดในบัตรเลือกตั้งยังคลุมเครือ เกิดความสับสน ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เรื่องสัดส่วนคะแนนเสียงถอดถอนให้น้อยลง เพื่อเพิ่มโอกาสการถอดถอน กำหนดเหตุแห่งการถอดถอนให้มีความชัดเจน เห็นข้อเท็จจริงถึงพฤติการณ์ที่เป็นเหตุการถอดถอน ข้อความในบัตรลงคะแนนเสียงให้ชัดเจน เพื่อชี้ถึงความเห็นของประชาชนที่เข้าชื่อถอดถอน</p> วิลาวรรณ ศิริเพชร, บัณฑิต บัณฑิต Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/271042 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 A COMPARISON OF THE ROLE OF HUMAN RIGHTS COMMISSIONS IN THE PREVENTION AND SUPPRESSION OF TORTURE AND ENFORCED DISAPPEARANCES IN THAILAND AND THE PHILIPPINES https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276658 <p><strong>Abstract</strong></p> <p> This study examines the roles and responsibilities of Thailand’s National Human Rights Commission and the Philippines’ Commission on Human Rights in preventing and addressing torture and enforced disappearances. Conducted as qualitative research, the study employs a document-based analysis that focuses on constitutional provisions, legislative frameworks, and international human rights conventions, including the Paris Principles, the Convention Against Torture, and the International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance. By adopting a comparative approach, the research evaluates the effectiveness of each institution in fulfilling its mandate within the context of international human rights standards.</p> <p> The findings indicate significant operational differences between the two commissions. The Commission on Human Rights of the Philippines plays a more active and dynamic role, with powers to conduct investigations, initiate legal proceedings, and carry out unannounced inspections of detention facilities. In contrast, the National Human Rights Commission of Thailand primarily acts as an advisory body, with its activities limited to reporting violations and promoting human rights awareness. The Philippine commission also offers extensive legal assistance and support to victims, ensuring alignment with global human rights expectations. These findings emphasize the need for Thailand to amend its legal framework to empower its human rights commission with broader authority, including direct action and comprehensive investigative powers. Strengthening Thailand’s commission in this way would enhance its ability to protect human rights, meet its obligations under international conventions, and provide adequate support to victims of torture and enforced disappearances.</p> Jirasek Inthanin, Suntaree Buchitchon Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276658 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 TRANSPARENCY AND ACCOUNTABILITY: ISSUES IN MYANMAR’S PUBLIC OFFICIAL ETHICS LAW https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276679 <p><strong>Abstract </strong></p> <p> In recent years, Myanmar has embarked on a journey to reform its public governance systems, aiming to enhance transparency and accountability among public officials. Despite these efforts, the country faces persistent challenges in effectively implementing public official ethics legislation. The purpose of this research is to critically examine Myanmar's public official ethics legislation and its effectiveness in promoting transparency and accountability within the country’s governance framework. This research is particularly relevant given Myanmar’s political transition from military rule to a nascent democracy, which has amplified the need for robust ethical standards among public officials. This is a qualitative study that involves a comprehensive review of existing ethics laws, regulatory frameworks, and their practical implementation. Data is collected through an analysis of legislative measures, interviews with governance experts, and a review of public access to information. The study also incorporates a comparative analysis with international best practices, especially the OECD ethical guidelines, to benchmark Myanmar’s progress against global standards. The research explores how historical precedents of corruption, coupled with the current socio-political climate, have shaped the challenges faced in implementing these ethical frameworks effectively.</p> <p> The results of the research reveal several systemic issues hindering the effectiveness of Myanmar's public official ethics laws. Despite efforts to reform, the country faces challenges related to vague regulatory guidelines, inadequate enforcement mechanisms, and limited public access to critical information. The comparative analysis with OECD guidelines highlights critical gaps, such as the absence of clear regulatory standards, strong enforcement bodies, and sufficient transparency measures. Key findings suggest the need for clearer regulations, the establishment of independent oversight bodies, and initiatives to promote civic engagement and public oversight. The study concludes that these reforms are essential for fostering a culture of integrity and accountability in Myanmar’s governance, which is vital to restoring public trust and supporting the country's democratic development.</p> Nyein Yadanar.San Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276679 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 MEASURES TO CURB CORRUPTION IN PUBLIC PROCUREMENT OF MYANMAR AND THAILAND https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276676 <p><strong>Abstract </strong></p> <p> Public procurement is a key government function susceptible to corruption because of its large transaction volume, financial impact, complex procedures, and the close interaction between public officials and businesses. The objectives of this study is to study the anti-corruption measures in public procurement of Myanmar and Thailand, to study cases related to the public procurement of Myanmar and Thailand, and explore differences and similarities in anti-corruption measures of both countries. This study will be conducted by a doctrinal legal research methodology, drawing on the legal frameworks of Myanmar and Thailand, and analyzing preventative measures aligned with international standards such as the UNCITRAL Model Law on Public Procurement and WTO Government Agreement.</p> <p> As the results, Myanmar emphasizes clear frameworks but risks overlooking bidder capabilities, while Thailand ensures legal compliance yet lacks clarity in certain qualification criteria. Additionally, Thailand’s inclusion of performance evaluation criteria enhances the selection of competent contractors, contrasting with Myanmar’s absence of such provisions. Furthermore, Thailand demonstrates a commitment to training programs for procurement officials, fostering expertise crucial for corruption prevention, a facet lacking in Myanmar. The involvement of public and business operators in anti-corruption efforts stands as another differentiating characteristic, with Thailand incorporating participatory mechanisms absent in Myanmar, potentially enhancing transparency and oversight. Both countries implement measures to mitigate conflicts of interest, with Myanmar emphasizing disclosure and fairness and Thailand focusing on committee formations and conflict prevention mechanisms. However, Thailand’s inclusion of observer participation throughout the procurement process adds an extra layer of oversight, potentially reducing corruption risks. In conclusion, while both Myanmar and Thailand strive to address corruption in public procurement, variations exist in their approaches and effectiveness. The findings highlight the importance of clear criteria, performance evaluations, and public participation to strengthen anti-corruption efforts and transparency in public procurement.</p> Su Myat Nwal Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276676 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 บทบาทของวัดทางพระพุทธศาสนาในมิติการเป็นอุทยานการศึกษา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276307 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของอุทยานการศึกษา ซึ่งเกิดจากการนำสภาพแวดล้อมมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนามาต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการพัฒนาวัดและโรงเรียนให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ รวมถึงการจัดตั้งห้องสมุดในโรงเรียน ห้องสมุดสำหรับประชาชน และห้องสมุดวัด ตลอดจนการอนุรักษ์และพัฒนาหอไตร วัดในฐานะอุทยานการศึกษาจึงเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีคุณค่าทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม โดยชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถเข้ามาเพื่อการเรียนรู้ กราบสักการะพระพุทธรูปในวัดสำคัญ หรือทำบุญเพื่อความสุขและความเจริญในชีวิต นอกจากนี้ วัดยังเป็นที่ศึกษาศิลปะในเชิงวัฒนธรรม คำสอนทางพระพุทธศาสนา และอุทยานการศึกษา เป็นการปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน และแสวงหาความรู้ด้วยบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีนิสัยรักการอ่าน แสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ตลอดชีวิต ส่งเสริมด้านโอกาสความคิดสร้างสรรค์ แบ่งปันและกระจายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล ส่งเสริมทักษะชีวิต สนับสนุนจิตนาการ แรงบันดาลใจ และสร้างนวัตกรรม ความหมายในเชิงโดยพฤตินัย วัด หมายถึง พุทธสถาน ประกอบด้วย 3 เขต คือ เขตพุทธาวาส เขตธรรมาวาส และเขตสังฆาวาส ส่วนในเชิงนิตินัย วัดที่ได้รับการรับรองตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ต้องได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตสำหรับการสร้างวัดเสียก่อน เพื่อให้มีสถานะที่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ วัดจึงถือเป็นสถาบันสำคัญที่ทำหน้าที่ทั้งอนุรักษ์และเผยแผ่วัฒนธรรม คำสอนทางศาสนา และสร้างแรงบันดาลใจในการแสวงหาความรู้ที่มีคุณค่าต่อสังคม.</p> พระมหาอำพล ธนปญฺโญ (ชัยสารี), พระมหาเกริกเกียรติ นิรุตฺติเมธี (ไพศาลเจริญลาภ), พระครูสุตสารบัณฑิต (จำนงค์ ผมไผ), ประยูร แสงใส, พระครูประภัสสรวิมลกิจ (เล็ก ทองแสน) Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276307 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 เบญจศีล เบญจธรรม: จริยธรรมพื้นฐานเพื่อสังคมสันติสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276440 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> เบญจศีลเบญจธรรม ประกอบไปด้วยศีล 5 ประการ และคุณธรรม 5 ประการที่ใช้ควบคู่กัน การปฏิบัติตามเบญจศีลเป็นการป้องกันความชั่วร้ายทั้งทางกายและวาจา ขณะที่การปฏิบัติตามเบญจธรรมเป็นการเสริมสร้างความดีงามทางจิตใจ การนำหลักเบญจศีลเบญจธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถสร้างสังคมที่มีความสงบสุข และทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม เบญจศีลเป็นหลักปฏิบัติที่มุ่งเน้นการควบคุมพฤติกรรม ที่อาจก่อให้เกิดความทุกข์หรือความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นและสังคม อีกทั้งยังเป็นเกราะป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากความผิดพลาดในการตัดสินใจของบุคคล ส่วนเบญจธรรม เป็นหลักคุณธรรมที่เสริมสร้างความดีงามในจิตใจของบุคคล ช่วยให้บุคคลมีทัศนคติและพฤติกรรมที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกันในสังคม เมื่อผสมผสานกับเบญจศีลแล้ว ย่อมเป็นแนวทางในการสร้างความสงบสุขให้กับสังคม ปัจจุบันสังคมเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น ความรุนแรง การคอร์รัปชัน และการขาดจริยธรรม ซึ่งเกิดจากการละเลยศีลธรรมและความเห็นแก่ตัว ส่งผลให้ความสันติสุขในสังคมลดลง หลักเบญจศีลและเบญจธรรม เป็นจริยธรรมพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติสุข เบญจศีลแต่ละข้อช่วยป้องกันความทุกข์และความขัดแย้ง เช่น การไม่ฆ่าสัตว์ ช่วยลดความรุนแรงและส่งเสริมความเมตตา การไม่ลักทรัพย์สร้างความไว้วางใจ และการไม่พูดเท็จเสริมสร้างความซื่อสัตย์ ส่วนเบญจธรรมส่งเสริมความกรุณา และสติสัมปชัญญะ การนำเบญจศีลและเบญจธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน จะช่วยเสริมสร้างจิตใจและความสัมพันธ์ในสังคม ส่งผลให้เกิดความสงบสุขและความยั่งยืนในสังคม</p> สิรินาถ รักษาภักดี Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276440 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 วิธีการวิจัยในประชากรกลุ่มเปราะบางทางการศึกษา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276150 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> ความเหลื่อมล้ำความไม่เสมอภาค แบ่งแยกความแตกต่างมีช่องว่างระหว่างกลุ่มชนชั้น ความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง “ผู้มีโอกาส” กับ “ผู้ขาดโอกาส” ในที่นี้ ผู้เขียนให้ความสำคัญต่อผู้ขาดโอกาสที่ขอเรียกว่า “กลุ่มเปราะบาง” คือ ประชากรกลุ่มที่ไม่อาจเข้าถึงบริการสังคมด้วยเหตุผลหลากหลาย กลุ่มที่ถูกละเลยโดยระบบการศึกษา ที่มีความเสี่ยงถูกกีดกันจากระบบการศึกษาสูงแม้ในภาวะปกติ และยิ่งสูงขึ้นในภาวะปกติใหม่ภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ผู้เขียนมีความเชื่อว่าผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเปราะบางทางการศึกษาเป็นประจักษ์พยานของการขาดความเสมอภาคทางการศึกษาที่ทวีความรุนแรงในภาวะวิกฤต การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เรียนกลุ่มนี้ รวมถึงการลดจำนวนผู้เรียนกลุ่มดังกล่าวในระยะยาว เพื่อการรับมือวิกฤตอื่น ๆ ในอนาคต โดยคำนึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เรียนทุกกลุ่ม เนื้อหาที่ผู้เขียนนำเสนอมุ่งเน้นอภิปรายเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และแนวปฏิบัติที่นำไปสู่ความเสมอภาคทางการศึกษา แนวคิดนักวิชาการด้านการศึกษาวิจัยในตัวอย่างที่มีความเปราะบาง ซึ่งต้องใช้หลักการและเทคนิคการวิจัยในหลายรูปแบบ ได้แก่ การเข้าถึงข้อมูล การนำเสนอกลยุทธ์การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ การใช้แนวทางการดำเนินการวิจัยที่มีความเหมาะสม ซึ่งนอกจากจะได้ผลการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพแล้ว ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการปฏิบัติของนักวิจัยต่อตัวอย่างหรือผู้เข้าร่วมที่มีความแตกต่างกัน นักวิจัยควรตระหนักถึงการพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ การดำเนินการภายใต้วิธีวิทยาการวิจัยซึ่งเป็นองค์ความรู้หลัก หรือการดำเนินการภายใต้ความมีเหตุและผลตามหลักวิชาการของวิธีการศึกษานั้น ๆ</p> จิราภรณ์ ผันสว่าง, เอกราช โฆษิตพิมานเวช, ระพีพัฒน์ หาญโสภา , อมรรัตน์ ผันสว่าง Copyright (c) 2024 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/276150 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700