ปัญญาปณิธาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ <p>วารสารปัญญาปณิธาน เป็นวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตหนองคาย เลขมาตรฐาน <strong>ISSN </strong>: 2672-9679 (<strong>Print</strong>) และ <strong>ISSN </strong>: 2697-5122 (<strong>Online</strong>) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในมิติทางด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา การศึกษา ภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การท่องเที่ยว และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (<strong>Double blind peer reviewed</strong>) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย มีกำหนดออกวารสารปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มิถุนายน / ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม (ราย 6 เดือน) ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยเสนอหรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน</p> th-TH [email protected] (พระมหาประหยัด ปญฺญาวโร,ดร.) [email protected] (คุณอิงอร บุตรศรีผา) Sat, 30 Dec 2023 09:37:31 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนารูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในจังหวัดหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269765 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ความรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของพระพุทธศาสนาเถรวาทในจังหวัดหนองคาย 2) เพื่อศึกษารูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในจังหวัดหนองคาย 3) เพื่อเสนอรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในจังหวัดหนองคาย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สำนักปฏิบัติธรรมในจังหวัดหนองคาย ทั้ง 3 สำนัก มีการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน 4 กำหนดอาการพอง – ยุบ จากสำนักท่านมหาสีสยาดอ และมีแนวปฏิบัติในรูปแบบเดียวกัน เช่น สำนักวัดโพธิ์ชัยพฤกษ์ สอนปฏิบัติโดยใช้สื่อประกอบในการปฏิบัติผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ สำนักวัดพระธาตุบังพวน สอนปฏิบัติโดยการอบรมให้อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนสำนักวัดเนินพระเนาว์ สอนการพิจารณาแยกองค์ขันธ์ และปฏิบัติ ยุบหนอ พองหนอ 2) รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในจังหวัดหนองคาย ทุกสำนักใช้กระบวนการสื่อสารแบบครบวงจร โดยเริ่มจากการให้ความรู้ในกิจกรรมของวัด ทำหน้าที่ในการเผยแพร่ การติดต่อประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมกิจกรรมด้านการฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน การใช้สื่อในการฝึกปฏิบัติมีทุกรูปแบบ ทั้งประเภทเอกสาร สิ่งตีพิมพ์ หนังสือธรรม และระบบออนไลน์ โดยผ่านเพจของสำนักปฏิบัติธรรม 3) ในด้านนำเสนอรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในจังหวัดหนองคาย นอกจากทุกสำนักจะใช้หลักทฤษฎีการสื่อสาร ระหว่างผู้สอนกับผู้ปฏิบัติโดยตรงแล้ว สำนักปฏิบัติธรรมยังใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายในช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ และสร้างเครือข่ายในการประสานกับพระวิปัสสนาจารย์ในแต่ละสำนัก เมื่อมีกิจกรรมด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานภายในจังหวัดหนองคาย</p> พระครูภาวนาโพธิวิสุทธิ์, อนันต์ คติยะจันทร์, หัตถพร คำเพชรดี, นิพิฐพนธ์ วงศ์อนุ, สมพงษ์ แสนคูณท้าว Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269765 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารการศึกษาตามหลักพุทธบูรณาการในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269192 <p><strong>บทคัดย่อ </strong>&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารการศึกษาในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 2) พัฒนารูปแบบการบริหารการศึกษาตามหลักพุทธบูรณาการในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 3) เสนอรูปแบบการบริหารการศึกษาตามหลักพุทธบูรณาการในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ของสถานศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 361 คน สถิติที่ใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน และสนทนากลุ่ม จำนวน 10 คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารการศึกษาในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข ควบคุมจำนวนนักเรียนที่มาร่วมกิจกรรม และจัดการเรียนการสอนในรูปแบบของสื่อออนไลน์ 2) พัฒนารูปแบบการบริหารการศึกษาตามหลักพุทธบูรณาการของโรคโควิด-19 ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ (1) ส่วนนำ สภาพแวดล้อม วัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอน และหลักการบริหาร คือ คน งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ การจัดการ และการติดต่อสื่อสาร (2) &nbsp;ตัวแบบ ได้แก่ ระบบงานการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19&nbsp; ใน 6 ด้าน คือบูรณาการร่วมกับหลักสัมมัปปธาน 4 ได้แก่ ป้องกัน ปราบปราม ลดความเสี่ยง รักษา พัฒนาดูแลร่างกายให้มีภูมิคุ้มกัน อนุรักษ์และวิธีป้องกัน (3) ขั้นตอนการนำไปใช้ ตามโครงสร้างขอบข่ายของการบริหาร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(4) เงื่อนไขความสำเร็จในบริบทของการป้องกันโควิด-19 3) เสนอรูปแบบการบริหารการศึกษาตามหลักพุทธบูรณาการในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบ 1 ส่วนนำ 2 ตัวแบบ 3 ขั้นตอนการนำไปใช้ 4 เงื่อนไขความสำเร็จ ปฏิบัติตามองค์ความรู้ “SAVE Model”</p> ธีร์ ภวังคนันท์, สิน งามประโคน, สมศักดิ์ บุญปู่ Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269192 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269731 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 เป็นการวิจัยเชิงเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นครู จำนวน 324 คน จากประชากรทั้งหมด 1,700 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ ตามสัดส่วนของประชากร แยกตามอำเภอ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และใช้การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณขั้นตอน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ .667 ตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทำนายสูงสุด คือ ด้านการรวบรวมวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล (X<sub>6</sub>) ด้านการตรวจสอบความเชื่อร่วมกัน (X<sub>4</sub>) และด้านการจินตนาการสร้างภาพอนาคตที่ควรเป็น (X<sub>1</sub>) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1&nbsp; ได้ร้อยละ 44.50</p> กุลณิชา โพชฌงค์เดช, สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269731 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์ของคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาในยุค New Normal https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269609 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาในยุค New Normal 2) เพื่อพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์ของคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาในยุค New Normal 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบความสัมพันธ์ของคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาในยุค New Normal โดยใช้การวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ คือ ผู้วิจัยใช้เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 12 คน 2) สนทนากลุ่ม จำนวน 9 รูป/คน และ 3) ใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง 234 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอรูปแบบสหสัมพันธ์ด้วยตารางประกอบคำบรรยาย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. คุณลักษณะฯ 5 ด้าน คือ (1) ด้านการบริหารสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จ (2) ด้านการบูรณาการหลักคุณธรรมและจริยธรรมฯ ตามหลักพรหมวิหาร 4 (3) ด้านบุคลิกภาพ (4) ด้านภาวะผู้นำ (5) ด้านมนุษยสัมพันธ์ 2. การพัฒนารูปแบบฯ ใน 3 ด้าน คือ (1) ด้านคุณภาพของผู้เรียน ฝึกให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่าน เขียน สื่อสาร (2) ด้านกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (3) ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการ 3. นำเสนอรูปแบบฯ ใน 3 ด้าน คือ (1) รูปแบบด้านการบริหารสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จ ผู้บริหารต้องมีคุณลักษณะที่สำคัญ คือ คุณธรรมจริยธรรม บุคลิกภาพ และความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี (2) รูปแบบด้านกระบวนการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ - วางแผนรูปแบบ - รับฟังปัญหาของครู ผู้ปกครองเกี่ยวกับการเรียนของนักเรียน ส่งเสริมให้ครูได้พัฒนาตนเองและปรับใช้กับแบบเรียนออนไซต์ ออนไลน์ ผ่านอินเตอร์เน็ต และออนแฮนด์ (3) เพื่อการประเมินคุณภาพ</p> พระมหากฤติพิสิฐ กิตฺติธมฺโม/จ่าพันธ์, อินถา ศิริวรรณ, ลำพอง กลมกูล Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269609 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/260100 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิผล<br />ของสถานศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา<br />และครู จำนวน 302 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.971 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า สภาพที่เป็นจริงของการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ซึ่งด้านการตรวจสอบภายใน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด สภาพที่พึงประสงค์ของ<br />การบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งด้าน<br />การตรวจสอบภายใน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด โดยค่าดัชนีความต้องการจำเป็นในการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา ภาพรวม มีค่า PNI<sub>Modified</sub> เท่ากับ 0.053 โดยลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุด ด้านการคำนวณต้นทุนของกิจกรรม มีค่า PNI<sub>Modified</sub> เท่ากับ 0.063 รองลงมาคือ ด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง มีค่า PNI<sub>Modified</sub> เท่ากับ 0.059 แนวทางการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ดังนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาควรศึกษาระเบียบวิธีปฏิบัติการบริหารงบประมาณ ตลอดจนการตั้งแผนงบประมาณประจำปี เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอในการบริหารจัดการในแต่ละปีการศึกษา ควรวางแผนงบประมาณประจำปีให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ แผนพัฒนาคุณภาพประจำปี ตลอดจนมีการวางแผนงบประมาณทั้งในระยะยาว และระยะสั้น และควรรายงานการใช้เงินต่อหน่วยงานต่อหน่วยงานต้นสังกัด รายงานแผนการใช้เงินงบประมาณทั้งเงินอุดหนุนและเงินสถานศึกษา เพื่อสร้างความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณอย่างสม่ำเสมอ</p> สังวาล ชาวเหนือ, สิทธิชัย สอนสุภี Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/260100 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลการจัดประสบการณ์โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกันของเด็กปฐมวัย ในโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259534 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ 2) เพื่อศึกษาความสามารถในการทำงานร่วมกันของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย ที่มีอายุระหว่าง 5 – 6 ปี จำนวน 16 คน จำนวน 1 ห้องเรียน ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนน้ำโสมประชาสรรค์ (ถิรธัมโมอุปถัมภ์) จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย คู่มือการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกันของเด็กปฐมวัย แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย และแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกันของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบเครื่องหมาย (Sign Test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบมีความคิดสร้างสรรค์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการทำงานร่วมกันหลังได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .26 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านการเป็นสมาชิกของกลุ่ม มีความสามารถในการทำงานร่วมกันอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.79 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .32 และด้านกระบวนการทำงานกลุ่ม มีความสามารถในการทำงานร่วมกันอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .26</p> ฉัตรพรรณ ภามี, อรุณี หรดาล, ทัศนีย์ ชาติไทย Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259534 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาสกลนคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/260182 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร 2) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 331 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม โดยมีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.973</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ศึกษาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการพัฒนาตนเอง รองลงมาคือ ด้านคุณธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพครู โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน 2) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร โดยรวมพบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ รองลงมาคือ ด้านการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการสื่อสารวิสัยทัศน์ 3) ความสัมพันธ์ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ การสื่อสารวิสัยทัศน์, การเป็นแบบอย่างที่ดี, การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ และการสร้างวิสัยทัศน์ สามารถร่วมกันพยากรณ์สมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร ร้อยละ 81.7 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ศริยา ทองนุ้ย, สิทธิชัย สอนสุภี Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/260182 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารกับมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269091 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาระดับของมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารกับมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา โดยใช้ประชากร จำนวน 2,965 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้บริหารและครู รวมทั้งสิ้น 353 คน สุ่มแบบแบ่งชั้นจำแนกตามเขต เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้ เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับบทบาทของผู้บริหารตามแนวคิดของมินทซ์เบิร์ก กับมาตรฐานการปฏิบัติงานของครู โดยใช้มาตรฐานการปฏิบัติงานของครูตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทของผู้บริหาร กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านบทบาทเชิงตัดสินใจ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านบทบาทเชิงสารสนเทศ ส่วนด้านบทบาทเชิงสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) มาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการปฏิบัติหน้าที่ครู มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน ส่วนด้านการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารกับมาตรฐานการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> พัฒน์รพี ภูมิพันธุ์, นิษฐ์สินี กู้ประเสริฐ Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269091 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269782 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 2) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสาเหตุ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย <br />เขต 1 จำนวน 302 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม <br />ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.987 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อหาค่าเฉลี่ย <br />ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีการปฏิบัติมากที่สุดคือ ด้านการสร้างวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ 2) องค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีการปฏิบัติมากที่สุดคือ ด้านการให้ความสำคัญผู้รับบริการ และ 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อองค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ได้แก่ ด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (X<sub>3</sub>) ด้านการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ (X<sub>1</sub>) และด้านการควบคุมกลยุทธ์ (X<sub>4</sub>) สามารถร่วมกันพยากรณ์องค์กรสมรรถนะสูงของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ได้ร้อยละ 79.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยแสดงสมการถดถอยในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ Zy’ = 0.413(ZX<sub>3</sub>) + 0.344(ZX<sub>1</sub>) + 0.206(ZX<sub>4</sub>)</p> อภิสิทธิ์ เที่ยงคูณ, สิทธิชัย สอนสุภี Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269782 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 การสร้างแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาหนองคาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259516 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หาคุณภาพของแบบวัด ตรวจสอบองค์ประกอบเชิงโครงสร้างแบบวัด หาเกณฑ์ปกติของแบบวัด และเพื่อสร้างคู่มือการใช้แบบวัด การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย จำนวน 600 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งเป็นแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดความสามารถในการแกปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบปรนัย สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาด้วยค่าดัชนีความสอดคล้อง ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ค่าความยาก ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่พัฒนาขึ้น มีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 มีค่าความยาก อยู่ระหว่าง 0.23 ถึง 0.80 ค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.20 ถึง 0.60 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.81 การตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างของแบบวัด โดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ได้ค่าดัชนี GFI เท่ากับ 0.969 ค่าดัชนี CFI เท่ากับ 0.997 ค่าดัชนี RMR เท่ากับ 0.008 ค่าดัชนี NFI เท่ากับ 0.976 ส่วนความเชื่อมั่นของตัวแปรแฝง มีค่าเท่ากับ 0.970 และค่าเฉลี่ยความแปรปรวนที่ถูกสกัด มีค่าเท่ากับ 0.470 แสดงว่า แบบวัดมีความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง และเกณฑ์ปกติของแบบวัดมีคะแนนมาตรฐานทีปกติตั้งแต่ T<sub>35 </sub>- T<sub>65</sub> โดยคะแนนมาตรฐานทีปกติ T<sub>50</sub> อยู่ที่คะแนนดิบ 19 คะแนน</p> ณิชตา อังกุรอัชฌา, พัชรินทร์ ชมภูวิเศษ Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259516 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269610 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสาราณียธรรม 6 และความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 3. เพื่อวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี คือ การใช้ระเบียบวิจัยเชิงปริมาณและระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ 1) ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ระดับบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2564 จำนวน 301 คน และ 2) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย โดยใช้สูตรของ Taro Yamane ไดขนาดของกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 172 คน และระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา จำนวน 3 คน นักวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 3 คน และนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ จำนวน 3 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์หลักสาราณียธรรม 6 กับความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างน้อย (R=.027**) ระดับความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> <strong> </strong>= 4.06) แนวทางในการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐไทยจะต้องตัดสินใจกระทำการต่อศาสนาอื่น ๆ โดยการที่รัฐไทยควรเคารพเสรีภาพทางศาสนา และไม่อาจเข้าไปจำกัดการแสดงออกเรื่องจิตใจของมนุษย์โดยสภาพได้</p> ปิยพรวดี ทองดี Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269610 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 สภาพปัญหาและแนวทางพัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ของสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259482 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในปัจจุบัน แม้มีการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แต่ยังไม่สามารถจะยุติปัญหาได้เท่าที่ควร และยังมีจำนวนผู้เสพเพิ่มมากขึ้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาในการดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเงื่อนไขที่กระทบต่อประสิทธิภาพในการดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 3) เพื่อค้นหาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ของสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 1 โดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่มีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 13 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการบรรยายเชิงพรรณนาประกอบกับการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาในการดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พบว่า สถานที่บำบัดไม่เหมาะสม ไม่เฉพาะเจาะจงในการรักษา ประกอบกับกำลังพลที่มีจำนวนจำกัด ทำให้ภาระงานมากเกินไป และสมรรถนะของบุคลากรไม่ตรงกับลักษณะงาน ทำให้การปฏิบัติงานไม่เต็มศักยภาพ ปัจจัยเงื่อนไขที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการฟื้นฟู พบว่า ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้มีแนวโน้มกลับไปเสพซ้ำได้ ปัจจัยด้านขั้นตอนที่มีระยะเวลาจำกัด แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ของสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 1 พบว่า ต้องส่งเสริมให้เปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่หรือสภาพสังคมใหม่ ที่ให้โอกาสและมีการเพิ่มสมรรถนะของบุคลากรให้ตรงกับลักษณะงาน และสนับสนุนนโยบายด้านการสร้างอาชีพ รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการบำบัดฟื้นฟูให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> อำนาจ ขุมทอง, ธีรวุฒิ นิลเพ็ชร์, เสกสัณ เครือคำ Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259482 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาและเปรียบเทียบองค์ประกอบในสถานีบริการน้ำมันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259521 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบองค์ประกอบในสถานีบริการน้ำมันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการใช้บริการสถานีบริการน้ำมันของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) เพื่อพัฒนารูปแบบสถานีบริการน้ำมันในอนาคตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และ 3) เพื่อศึกษากลยุทธ์ของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันในการพัฒนาสถานีบริการน้ำมันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ที่ใช้บริการสถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน และการสกัดองค์ประกอบด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก เทคนิคย่อย Principle Component Analysis, PCA และหมุนแกนแบบ Promax</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อองค์ประกอบในสถานีบริการน้ำมันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการโดยมี 6 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ 1) ศูนย์ให้บริการและความสะดวกภายในสถานีบริการ 2) ศูนย์บริการอาหารและของฝาก 3) ศูนย์ให้บริการธุรกรรมและขนส่ง 4) ความเป็นสถานีบริการน้ำมัน 5) สถานที่สูบบุหรี่ 6) ร้านกาแฟ ผลการพัฒนารูปแบบสถานีบริการน้ำมันในอนาคตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค พบว่า ผู้บริโภคคาดหวังองค์ประกอบขั้นต่ำภายในสถานีบริการน้ำมัน ดังต่อไปนี้ ความเป็นสถานีบริการน้ำมัน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร สำหรับสินค้าและบริการอื่น ๆ คือสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังให้มีในสถานีบริการน้ำมันเพื่อตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันได้ ผลการศึกษากลยุทธ์ของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค พบว่า ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันส่วนใหญ่ตระหนักถึงความต้องการของผู้บริโภค จึงมีกลยุทธ์ในการที่จะเพิ่มธุรกิจ Non-Oil เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค</p> วีระพจน์ วงษ์วัฒนา Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259521 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้อำนาจตามกฎหมายของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269238 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครู กลไกทางกฎหมายในการควบคุมและกำกับดูแลสหกรณ์ของประเทศไทยและต่างประเทศ และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมและกำกับดูแลคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่เหมาะสม ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยเอกสาร ประเภท หนังสือ บทความทางวิชาการ ดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ งานวิจัยต่าง ๆ ประกอบระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง</p> <p> ผลการศึกษา ภายหลังจากมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 พบว่า สหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทย ยังมีระบบกฎหมายที่ไม่ครอบคลุม มีช่องว่างทางกฎหมาย ทำให้เอื้อต่อการทุจริต โดยคณะกรรมการดำเนินการอาจใช้อำนาจ แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพรรคพวก อีกทั้งมีกลไกในการกำกับดูแลของหน่วยงาน ที่มีทักษะความรู้เรื่องการบริหารทางด้านการเงินไม่เชี่ยวชาญเพียงพอ ดังนั้นจึงเห็นควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 เพื่ออุดช่องว่างปัญหาการทุจริตระหว่างคณะกรรมการดำเนินการ รวมทั้งควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทลงโทษในกรณีที่คณะกรรมการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียน และจัดให้มีหน่วยงานในการกำกับดูแลสหกรณ์ ออมทรัพย์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินและการบริหารงานสหกรณ์ อีกทั้งควรนำแนวคิดเกี่ยวกับนโยบาย 5c's ซึ่งเป็นหลักในการวิเคราะห์สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มาปรับใช้ ในการกำหนดงวดชำระ วงเงินกู้ และการควบคุมหลักประกัน ควรกำหนดกรอบการปฏิบัติให้อยู่ในรูปของกฎมากกว่าการกำหนดเป็นเพียงแนวปฏิบัติทั่วไป เพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการเห็นถึงความสำคัญในการกำกับดูแลสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพและความมั่นคงมากกว่า เพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวก</p> อภิญญา พิเภก, เพิ่ม หลวงแก้ว Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269238 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 การกระจายอำนาจทางการปกครองสู่ท้องถิ่นกับปัญหาการจัดโครงสร้างงานของรัฐ กรณีศึกษาการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269598 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่องค์กรท้องถิ่นกับโครงสร้างการบริหารงานของรัฐ โดยศึกษากรณีการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ ศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่องค์กรท้องถิ่นกับปัญหาโครงสร้างการบริหารงานของรัฐ โดยศึกษากรณีการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ ศึกษาและหาแนวทางและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่องค์กรท้องถิ่นกับปัญหาโครงสร้างการบริหารงานของรัฐ โดยศึกษากรณีการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์จากเอกสารและการสังเกตรวบรวมข้อมูลที่เป็นภาพรวมข้อมูล</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ตั้งแต่มีการถ่ายโอนสถานีอนามัยไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายอำนาจหรือการถ่ายโอนอำนาจด้านสุขภาพ ถือเป็นจุดเปลี่ยน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของประชาชน เมื่อถ่ายโอนไปแล้ว เกิดมีประเด็นปัญหาขึ้นในการบริหารจัดการหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพการบริหารงานบุคคลและปัญหาระบบการบริหารงบประมาณภายในองค์กรใหม่ที่ถ่ายโอนไป รวมถึงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการจัดระบบโครงสร้างการบริหารงานบุคคลในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและอนามัย และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ให้มีความชัดเจน ด้วยการออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ในเรื่องของตำแหน่งความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งประชาชนผู้ใช้บริการ เพื่อให้การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล จากกระทรวงสาธารณสุขไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บรรลุตามแผนการกระจายอำนาจงานบริการด้านสาธารณสุข</p> กรณิศ ส่อนชัย, เพิ่ม หลวงแก้ว, ภีชญา จงอุดมการณ์ Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269598 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาแหล่งเรียนรู้หนังประโมทัยในจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเพิ่มมูลค่าตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259688 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการอนุรักษ์ สืบทอดและเผยแพร่หนังประโมทัยในจังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อส่งเสริมแนวทางการพัฒนาสื่อการเรียนรู้หนังประโมทัยร่วมกับหลักสูตรในท้องถิ่น 3) เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับเพิ่มมูลค่าหนังประโมทัยตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเลือกใช้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือ ผู้รู้ ผู้ปฏิบัติและผู้เกี่ยวข้องกับหนังประโมทัย คณะประกาศสามัคคี บ้านแต้ อำเภอวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด รวบรวมข้อมูลด้วยกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสำรวจ สัมภาษณ์และสังเกต ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารและภาคสนาม นำเสนอกระบวนการวิจัยด้วยวิธีพรรณนาบรรยาย</p> <p> หนังประโมทัย คณะประกาศสามัคคี เกิดขึ้นจากการพัฒนาของคณะบ้านแต้ ซึ่งห้วงเวลานั้นมีผู้นิยมหนังประโมทัยเป็นอย่างมาก จนถึง พ.ศ. 2505 คณะบ้านแต้ได้จัดตั้งกลุ่มนักแสดงเพิ่มขึ้น โดยใช้ชื่อคณะประกาศสามัคคี ต่อมาปี พ.ศ. 2529 นายนวล พลคาม หัวหน้าคณะขณะนั้นมีปัญหาด้านสุขภาพ ไม่สามารถเดินทางทำการแสดงได้ จึงได้มอบหมายให้นายสมร พลีศักดิ์ ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะแสดงแทน ซึ่งนายสมร พลีศักดิ์ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และฝึกฝนคนในชุมชนให้มีรายได้จากการแสดงหนังประโมทัย และเป็นผู้เผยแพร่การแสดงในโอกาสสำคัญ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเป็นครูภูมิปัญญาที่สอนกระบวนการสร้างหนังประโมทัย กลวิธีการเชิดหนัง บทเพลงและบทร้องให้แก่สถาบันการศึกษา ต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทาง ออกแบบสื่อการสอนในการเรียนรู้เชิงรุกได้อย่างดี นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากตัวหนังแสดง ได้แก่ แก้วที่ระลึกและถุงผ้าลวดลายตัวหนังประโมทัย สามารถสร้างรายได้ให้กับหนังประโมทัย คณะประกาศสามัคคีเพิ่มขึ้น</p> ธนวัฒน์ บุตรทองทิม, ธวัชชัย ศิลปโชค , บพิตร เค้าหัน Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/259688 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลกระทบการแก้ไขกฎหมายยาเสพติด กรณียกเลิกกัญชาจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269283 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบของการแก้ไขกฎหมายยาเสพติด กรณียกเลิกกัญชาจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 เพื่อหาข้อเสนอแนะและแนวทางการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาให้มีความเหมาะสม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีดำเนินการวิจัยเอกสาร งานวิจัย บทความ สื่ออินเทอร์เน็ต รวมไปถึงปัจจัยต่าง ๆ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ทำให้กัญชามีทั้งส่วนที่เป็นยาเสพติดและส่วนที่ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด โดยที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 กำหนดให้ “สารสกัด” จากทุกส่วนของพืชกัญชาซึ่งเป็นพืชในสกุล Cannabis เป็นยาเสพติด ยกเว้น (1) สารสกัดจากพืชกัญชาที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล หรือสาร THC ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก หรือ (2) สารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชา ซึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด ทั้งนี้ ต้องเป็นพืชกัญชาที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกภายในประเทศเท่านั้น หากเป็นกัญชาจากต่างประเทศที่ไม่มีกฎหมายเฉพาะอนุญาต ย่อมถือว่าเป็นยาเสพติดทุกกรณี ทำให้ประชาชนเกิดเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่ากัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แล้วมีการนำกัญชาไปใช้เพื่อการนันทนาการ ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งเป็นเยาวชนอย่างแพร่หลาย และส่งผลกระทบต่อข้อผูกพันตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 ซึ่งอนุสัญญาทั้งสองฉบับยินยอมให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก</p> ยศวัฒน์ เนธิบุตร, เพิ่ม หลวงแก้ว Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269283 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการลงโทษผู้เสพพืชเสพติด : ศึกษาเฉพาะกรณีสารสกัดจากกัญชา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268994 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวข้องกับกฎหมายพืชเสพติด โดยศึกษาเกี่ยวกับพืชกัญชาด้านมาตรการทางกฎหมายที่ควบคุมการใช้สารสกัดจากกัญชาของประเทศไทย รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการค้นหาข้อมูลจากเอกสาร</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า มาตรการทางกฎหมายประเทศไทยตามประมวลกฎหมายยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2564 มาตรา 29 (5) ได้ถอดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 หากผู้ใดเสพ บริโภคหรือครอบครองพืชกัญชา ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา ยกเว้นสารสกัดจากกัญชาที่มีปริมาณสารเตตระไฮโดรแคนนาบินอลสูงกว่า 0.2% ยังเป็นยาเสพติดประเภท 5 ผู้เสพยาเสพติดให้โทษประเภทนี้ มีความรับผิดทางอาญา โดยต้องโทษจำคุกและโทษปรับ เมื่อพิจารณาถึงลักษณะความผิดและความเป็นอันตรายแล้ว การเสพยาเสพติดเป็นความผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับยาเสพติด สารสกัดจากกัญชาไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาชญากรรม ทั้งยังมีความเป็นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ (ยาสูบ)แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดชนิดอื่น ด้านพันธะอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ ไม่มีบทบัญญัติใดบังคับให้รัฐภาคีใช้โทษทางอาญากับความผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับยาเสพติด สามารถใช้มาตรการอื่นลงโทษกับผู้เสพแทนได้ ทั้งนี้ โทษทางอาญาควรมีไว้สำหรับความผิดที่ร้ายแรงเท่านั้น และการยกเลิกโทษทางอาญาสำหรับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการเสพสารสกัดจากกัญชา พบว่า ไม่ขัดต่อพันธะอนุสัญญาแต่อย่างใด ผู้เขียนขอเสนอให้เปลี่ยนจากความผิดทางอาญาที่กำหนดโทษจำคุกเป็นเพียงโทษปรับ</p> กมลวรรณ ไวยโรจน์, บัณฑิต บัณฑิต Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268994 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการจัดการเรียนรู้ของครูที่สอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในชั้นเรียนรวมระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268484 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการนิเทศของครู 2) พัฒนารูปแบบนิเทศ 3) ทดลองใช้รูปแบบนิเทศ 4) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา วิธีดำเนินการวิจัย คือ ตอน 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการนิเทศของครู ตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบการนิเทศ ตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ ตอนที่ 4 ศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่สอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ จำนวน 40 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือ คือ 1) รูปแบบการนิเทศ 2) แบบทดสอบครู 3) แบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล และแผนการจัดการเรียนรู้รายบุคคล 4) แบบประเมินด้าน การจัดการเรียนรู้ของครู 5) แบบวัดความสามารถการอ่าน เขียน และคิดคำนวณของนักเรียน 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสถิติทดสอบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีความต้องการรับการนิเทศในรูปแบบการนิเทศหลายวิธีหรือแบบผสมผสาน ทั้งนิเทศแบบพบหน้าและนิเทศแบบออนไลน์ โดยมีรูปแบบนิเทศที่ชัดเจนเป็นกระบวนการ 2) รูปแบบนิเทศที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) เนื้อหา (4) กระบวนการนิเทศ (5) การวัดผลประเมินผล 3) ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศแบบผสมผสาน พบว่า รูปแบบนิเทศแบบผสมผสานมีความเหมาะสมและมีประโยชน์ อยู่ในระดับมาก 4) ผลการใช้รูปแบบนิเทศ พบว่า (1) ความรู้ครูหลังนิเทศสูงกว่าก่อนนิเทศ (2) คุณภาพของแผน (IEP) และแผน (IIP) ระดับมาก (3) ความสามารถการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก (4) ความสามารถด้านการอ่าน เขียน และคิดคำนวณของนักเรียน คะแนนหลังครูได้รับนิเทศสูงกว่าก่อนนิเทศ (5) ความพึงพอใจของครูภาพรวมระดับมากที่สุด</p> ฉวีวรรณ โยคิน Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/268484 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสิทธิมนุษยชนกับศีล 5 ตามหลักพุทธศาสนาเถรวาท https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269535 <p>บทคัดย่อ<br />หลักสิทธิมนุษยชนสากลได้ก่อกาเนิดขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเน้นเรื่องสิทธิโดยธรรมชาติ ความคิดเรื่องกฎแห่งธรรมชาติและร่วมลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ จัดทาเป็นปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มีบัญญัติไว้ 30 ข้อ เนื้อหาว่าด้วยเรื่องหลักการสาคัญของสิทธิมนุษยชน เรื่องสิทธิของพลเมือง สิทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมและหน้าที่ของบุคคล สังคม และรัฐ<br />ศีล คือ ปกติวิสัยของมนุษย์ที่ควรละเว้นการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน โดยแท้จริงแล้ว การรักษาเบญจศีล ก็คือ การควบคุมกายและวาจา มิให้ล่วงละเมิดปกติวิสัยของตน ไม่เกิดการเบียดเบียนต่อผู้อื่น เพื่อให้สมาชิกในสังคมอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสงบร่มเย็น<br />สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสาคัญของมวลมนุษยชาติ ตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งในแง่ธรรมชาติ การกระทา การควบคุมและการเข้าถึงได้ โดยอิงอยู่กับพื้นฐานของความชอบธรรมของมนุษย์ทุกคนในสังคม สิทธิมนุษยชน 6 ประการ และศีล 5 เป็นเหตุผล ไม่อาจแยกจากกันได้ จะมีแต่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหาได้ไม่ และทั้งหมดนั้นได้เน้นให้บุคคลใช้สิทธิหน้าที่เพื่อการรู้แจ้งตนเอง เพื่อทาให้ตนสมบูรณ์ผ่านทางตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง หลักศีลธรรม จริยธรรม เป็นต้น กล่าวได้ว่า หน้าที่ที่ชอบธรรมและสิทธิที่ถูกต้อง ย่อมไปด้วยกัน ต่างเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน หลักพุทธศาสนาเถรวาท คือ ศาสนาที่เน้นสิทธิที่ถูกต้องของปัจเจกบุคคลเป็นสาคัญ จะเห็นได้ว่า ทั้งสิทธิมนุษยชนและหลักศีล 5 ล้วนมีการส่งเสริมให้ปฏิเสธความชั่ว สนับสนุนให้กระทาความดีต่อกันในฐานะที่เป็นมนุษย์</p> อภิวัฒชัย พุทธจร Copyright (c) 2023 ปัญญาปณิธาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PPJ/article/view/269535 Sat, 30 Dec 2023 00:00:00 +0700