วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa
<p>วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ เป็นวารสารที่ตีพิมพ์ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยในสาขาที่เกี่ยวกับด้านศาสนาและปรัชญา พระพุทธศาสนา วิปัสสนาภาวนา บาลีพุทธศาสตร์ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต สังคมวิทยา ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บทความที่ได้รับการเผยแพร่ จะได้พิจารณากลั่นกรองผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 3 ท่าน ต่อบทความ ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blinded)<br /><br /></p>
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
th-TH
วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
2539-5777
<p> เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ก่อนเท่านั้น </p>
-
แนวทางการพัฒนาการบริหารการศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/262733
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารการศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาการบริหารการศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ 3) เพื่อเสนอแนวทาง<br />การพัฒนาการบริหารการศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ <br />เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างนักเรียนและครูโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 300 รูป/คนโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร ครู 5 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>สภาพการบริหารการศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารโรงเรียนพุทธศาสนา<br />วันอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านระบบระเบียบและกฎเกณฑ์ในการบริหารการศึกษา ด้านการปรับวิธีคิด ด้านความร่วมมือความสัมพันธ์ในองค์กรกับภายนอก และด้านกระบวนการทำงาน</li> <li>วิธีการพัฒนาการบริหารการศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครคือ เปิดใจปรับวิธีคิดของตนเองโดยไม่ยึดติดกับความคิดเดิม พยายามหาความรู้ในด้านต่างๆ ปฏิบัติตามแผนงานของวงจร PDCA ปรับกระบวนการทำงาน และการจัดการศึกษาแบบ Home School ปรับระบบระเบียบและกฎเกณฑ์ในการบริหารการศึกษา ด้วยขั้นตอน 4 สร้างกลไกการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน พัฒนาความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลกันกับชุมชน ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน พัฒนานักเรียนอย่างยั่งยืน</li> </ol> <p> 3. แนวทางการพัฒนาการบริหารการศึกษาในยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร คือ คิดมุมมองแบบเครือข่าย คิดสิ่งดีพูดสิ่งดีและลงมือทำดี พึ่งพาสรรหาแหล่งความรู้ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ปฏิบัติตามแผนงานของวงจร PDCA จัดการศึกษาแบบ Home School ยกเลิกวัฒนธรรมองค์กรที่มีความล้าหลัง จัดสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ที่เชื่อมต่อประสบการณ์ด้วยขั้นตอน 4 ขั้นตอน ส่งเสริมให้นักเรียนและครูเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน ส่งเสริมทักษะ สร้างแบบอย่างของความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมสร้างกลไกการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน บูรณาการการทำงานควบคู่ไปพร้อมๆ กับบทบาทของโรงเรียนต่อการพัฒนานักเรียนอย่างยั่งยืน</p>
พระครูพิมลธรรมภาณ (มาณพ กนฺตสีโล)
สมศักดิ์ บุญปู่
ทองดี ศรีตระการ
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
1
19
-
รูปแบบการเจริญสมาธิเพื่อการเยียวยาสุขภาพของสำนักปฏิบัติธรรม วัดสันก้างปลา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/262724
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาหลักการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษากระบวนการเจริญสมาธิเพื่อการเยียวยาสุขภาพของสำนักปฏิบัติธรรมวัดสันก้างปลา และ 3) เพื่อศึกษารูปแบบการเจริญสมาธิเพื่อการเยียวยาสุขภาพของสำนักปฏิบัติธรรมวัดสันก้างปลา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และการลงพื้นที่ภาคสนามและเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกต ทำการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า หลักการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนาถือเป็นองค์ธรรมที่สำคัญมีปรากฏอยู่ในพระสูตรจำนวนมาก เป็นองค์ธรรมที่อุปการะต่อการบรรลุมรรค ผล นิพพาน และยังเอื้อต่อการทำให้สุขภาพกาย และสุขภาพจิตดี ถ้านำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน</p> <p>กระบวนการเจริญสมาธิเพื่อการเยียวยาสุขภาพของสำนักปฏิบัติธรรมวัดสันก้างปลา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ คือ การปฏิบัติตามข้อวัตรปฏิบัติ คือ 1) การบริโภคอาหารที่มีคุณประโยชน์ การใช้เภสัชสมุนไพร 2) การออกกำลังกาย ยึดหลักการปรับเปลี่ยนอิริยาบถทั้ง 4 ให้สมดุล โดยเฉพาะอิริยาบถเดิน 3) การบริหารจิต ถือหลักปฏิบัติในการบริหารจิต การใช้พุทธวิธีเยียวยารักษาโรคด้วยพระธรรมโอสถ เช่น การเทศนาสัญญา 10 หรือ โพชฌงค์ 7 4) การดำเนินชีวิตอยู่กับธรรมชาติ และ 5) สุขลักษณะ หลักปฏิบัติสุขลักษณะอนามัยทั้งด้านร่างกายและด้านสิ่งแวดล้อม</p> <p>รูปแบบการเจริญสมาธิเพื่อการเยียวยาสุขภาพของสำนักปฏิบัติธรรมวัดสันก้างปลา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ คือ การเจริญสมาธิเพื่อการเยียวยาสุขภาพทางกายและใจ มีหลักสูตรปฏิบัติธรรม 3 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรธรรมะนำชีวิต (3 วัน) 2) หลักสูตรเมตตาภาวนา (5 วัน) 3) หลักสูตรจิตตภาวนา (7 วัน) ประกอบด้วย กิจกรรมการศึกษาทฤษฎี การฝึกปฏิบัติ คือ การกราบสติปัฏฐาน การเดินจงกรม การเจริญสมาธิตามหลักสติปัฏฐาน 4 กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ และการสอบอารมณ์กรรมฐานตามลำดับญาณ 16</p>
พระปลัดธวัชชัย ขตฺติยเมธี (ขัติรัตน์)
พระครูธรรมธรชัยวิชิต ชยาภินนฺโท
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
20
34
-
แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/262730
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา 2) เพื่อศึกษาหลักการและวิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างนักเรียนโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จำนวน 120 รูป วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้บริหาร ครู จำนวน 5 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1) สภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จังหวัดปทุมธานี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านการวัดผลประเมินผล ด้านการบริหารจัดการ</p> <p>2) หลักการและวิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษาสังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กำหนดหลักสูตรโดยคำนึงถึงเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้เรียนทันต่อยุคสมัยส่งเสริมการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ในศตวรรษที่ 21 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง นำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้วัดและประเมินผลด้วยวิธีที่หลากหลาย เน้นกระบวนการบริหารจัดการศึกษาร่วมกับชุมชน</p> <p> 3) เสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนและวัด เหมาะสมกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล จัดการเรียนการสอนโดยใช้หนังสือของกระทรวงศึกษาธิการเน้นเนื้อหาสาระที่เหมาะสมกับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วยทักษะการเรียนรู้และ นวัตกรรม ทักษะชีวิตและอาชีพ ทักษะด้านสารสนเทศ เทคโนโลยีใช้สื่อการเรียนการสอนผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต วัดผลประเมินผลด้วยคอมพิวเตอร์ จัดการเรียนการสอนออนไลน์แบบวิถีใหม่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ภายใต้การเอาใจใส่และการให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดจากผู้สอนและผู้ปกครองในวัดเน้นเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ เป็นศาสนทายาทที่ดีของพระศาสนา</p>
พระมหาพงษ์เทพ ปภากโร (ล้อประเสริฐ)
พระครูสาทร ปริยัติคุณ
สิน งามประโคน
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
35
51
-
นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสนามหลวงในระบบออนไลน์ของสำนักเรียนวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/262732
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดการเรียนการสอนแผนกบาลีของสำนักเรียนวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร 2) เพื่อศึกษาวิธีการจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ของสำนักเรียนวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร และ 3) เพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนแผนกบาลี ในระบบออนไลน์ของสำนักเรียนวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามครูและนักเรียนทั้งหมด จำนวน 78 รูป วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้บริหาร ครู จำนวน 5 รูป วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การศึกษาการจัดการเรียนการสอนแผนกบาลีของสำนักเรียนวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร กรุงเทพมหานครในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านครูสอน ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านสื่อการเรียนการสอน และด้านหลักสูตร</li> <li>วิธีการจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ของสำนักเรียนวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ครูสอนสร้างและบูรณาการความรู้ได้พัฒนาองค์ความรู้ใหม่รู้และเข้าใจเทคโนโลยี ประพฤติตามหลักกัลยาณมิตร 7 หลักสูตรมีความเหมาะสมมีกิจกรรมการเรียนการสอนยืดหยุ่นตามสถานการณ์ มีหนังสือประกอบการเรียนการสอนตามมาตรฐานที่แม่กองบาลีสนามหลวงได้กำหนด จัดการเรียนการสอนด้วยสื่อออนไลน์ วัดผลและประเมินผลตรงกับจุดมุ่งหมาย</li> <li>การพัฒนาชุดการเรียนการสอนแผนกบาลี ในระบบออนไลน์ของสำนักเรียนวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร กรุงเทพมหานคร โดยเริ่มที่ครูสอนมีความหนักแน่นมั่นคงในในภูมิรู้ และภูมิธรรมจัดการเรียนการสอนออนไลน์ร่วมกับการเรียนการสอนแบบท่องจำมุขปาฐะ ใช้สื่อเป็นตัวกลางที่ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นเป็นการสร้างแรงจูงใจ กระตุ้นความสนใจและความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนได้ชัดเจน วัดประเมินผลผลตามเกณฑ์ที่กำหนดประเมินออกมาในรูปแบบตัวเลข จัดทำเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาคุณภาพของนักเรียนในระดับการศึกษาในแต่ละระดับชั้นให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนการสอนผ่าน “IB Model”</li> </ol>
พระมหาเนติ เนติเมธี (กุลธราธีระ)
พระครูโอภาส นนทกิตติ์
เกษม แสงนนท์
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
52
70
-
การศึกษาสภาพภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/264618
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ซึ่งการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี จำนวน 354 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า สภาพภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ทั้ง 5 ด้าน คือ การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล การรู้ดิจิทัล การสื่อสารดิจิทัล การบริหารจัดการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัล และการสร้างวัฒนธรรมเรียนรู้ดิจิทัล</p>
พระมหาพรประสงค์ ปริญฺญาวรเมธี
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
71
83
-
คุณภาพชีวิตการทำงานกับความมั่นคงทางสังคมของแรงงานข้ามชาติ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/265779
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของแรงงานข้ามชาติ 2) เพื่อศึกษาระดับความมั่นคงทางสังคมของแรงงานข้ามชาติ และ 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตการทำงานของแรงงานข้ามชาติจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานกับความมั่นคงทางสังคมของแรงงานข้ามชาติ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยแรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่าที่เข้ามาประกอบอาชีพในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ได้รับอนุญาติทำงาน จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ค่าสถิติที, การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การหาความสัมพันธ์ด้วยการทดสอบค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการทดสอบความแตกต่างรายคู่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาพรวมคุณภาพชีวิตการทำงาน อยู่ในระดับปานกลาง 2) ภาพรวมความมั่นคงทางสังคมอยู่ในระดับปานกลาง 3) การเปรียบเทียบระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานของแรงงานข้ามชาติจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ ทักษะการสื่อสารภาษาไทย และสมาชิกในครอบครัวที่อาศัยในประเทศไทยที่แตกต่างกัน ไม่นำไปสู่คุณภาพชีวิตการทำงานที่แตกต่างกัน ส่วนอายุ สถานภาพ วุฒิการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาในการทำงานที่แตกต่างกัน นำมาสู่คุณภาพชีวิตการทำงานที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 4) การทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างความมั่นคงทางสังคมกับคุณภาพชีวิตการทำงานภาพรวม มีความสัมพันธ์ในทุกด้านและเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกัน</p>
หริรักษ์ อินทรสุวรรณ
ณัฐวีณ์ บุนนาค
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
84
101
-
วิเคราะห์การปฏิบัติธรรมตามหลักสติปัฏฐาน: กรณีศึกษาวัดเกาะมะไฟ จังหวัดปราจีนบุรี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/264791
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1 เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติธรรมของผู้ปฎิบัติธรรมวัดเกาะมะไฟ จังหวัดปราจีนบุรี 2 เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมตามหลักสติปัฏฐาน ของวัดเกาะมะไฟ จังหวัดปราจีนบุรี และ 3 วิเคราะห์การปฏิบัติธรรมตามหลักสติปัฏฐาน ของวัดเกาะมะไฟ จังหวัดปราจีนบุรี พบว่า การปฏิบัติธรรมตามหลักสติปัฏฐาน กรณีวัดเกาะมะไฟ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นการปฏิบัติธรรมโดยมีกระบวนการฝึกและพัฒนาตนเองให้รู้แจ้งเห็นจริงรู้เท่าทันธรรมชาติของชีวิต ที่มีความไม่เที่ยงและบังคับไม่ได้ อันเป็นสาเหตุของการเกิดทุกข์ ผู้ที่นำมาปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องจะทำให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ ความเข้าใจในรูป-นามตามความเป็นจริง รู้แจ้งในกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความมั่นคงทางอารมณ์และมีภูมิคุ้มกันทางจิต ช่วยเสริมสุขภาพกาย และสามารถพัฒนาสติปัญญาเพื่อการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและนำไปสู่การขจัดกิเลส เพื่อการบรรลุมรรค ผล นิพพาน อันเป็นเป็นเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์ได้ในที่สุด</p>
พระภาณุเดช จนฺทโชโต (เรืองสว่าง)
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
102
114
-
วัฒนธรรมองค์การกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต 2
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/265703
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1 ) วัฒนธรรมองค์การของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต 2 2 ) ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต 2 และ 3 ) ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์การกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครปฐมเขต 2 จำนวน 83 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 2 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน และครู จำนวน1 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 166 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์การตามแนวคิดของแพตเตอร์สัน เพอร์กี้และปาร์คเกอร์และประสิทธิผลของสถานศึกษาตามแนวคิดของ ลูเนนเบิร์ก และออนสเตน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) วัฒนธรรมองค์การของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ หลักความซื่อสัตย์ หลักความหลากหลาย หลักเป้าหมาย หลักการยอมรับและการให้ผลตอบแทน หลักความเป็นเลิศ หลักความเอื้ออาทร หลักการเป็นส่วนหนึ่ง หลักการมอบอำนาจ หลักความไว้วางใจและความเชื่อมั่น และหลักการตัดสินใจ 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต 2 โดย ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ความคาดหวังที่สูง ภาวะผู้นำด้านวิชาการ พันธกิจของสถานศึกษามีความชัดเจน ความทุ่มเทเวลาในการทำงาน สภาพแวดล้อมเป็นระเบียบและปลอดภัย ความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้ปกครอง และการตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียน 3) วัฒนธรรมองค์การกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต 2 มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยเป็นความสัมพันธ์เชิง</p>
จิราภรณ์ พงษพัง
สายสุดา เตียเจริญ
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
115
132
-
การพัฒนาชุดความรู้ในพระไตรปิฎกเพื่อเสริมสร้างความสุข ของบุคลากรในองค์กรธุรกิจ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/265986
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาความสุขตามพระไตรปิฎก 2) เพื่อศึกษาความสุขของบุคคลากรในองค์กรธุรกิจ และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบชุดความรู้ในพระไตรปิฎกเพื่อเสริมสร้างความสุขของบุคคลากรในองค์กรธุรกิจ รูปแบบการวิจัยเป็นเชิงผสานวิธี (Mixed Method Research) ด้วยรูปแบบการวิจัยแบบขั้นตอนเชิงสำรวจ (Exploratory Sequential Design) ขั้นตอนแรกเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยวิธีการศึกษาเชิงเอกสาร (Documentary Research) ผลผลิตที่ได้คือองค์ความรู้เกี่ยวกับความสุขในพระไตรปิฎก ส่วนขั้นตอนที่สองเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative Research) เพื่อยืนยันประสิทธิผลของชุดความรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยจัดอบรมกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานองค์กรเอกชน จำนวน 30 ราย มีการวัดผลสัมฤทธิ์จากดัชนีชี้วัดความสุขในการทำงานทั้ง 9 มิติ ทั้งก่อนและหลังการอบรม และติดตามผลการอบรมเป็นระยะ สถิติที่ใช้เป็น ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ อนุมานด้วยสถิติ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การพัฒนาความสุขตามพระไตรปิฎกโดยการวิเคราะห์จากคณกโมคคัลลานสูตรและและในกีฎาคิริสูตรกล่าวถึง สัทธานุสารีบุคคล ผู้วิจัยสร้างผังมโนทัศน์ 3 แบบ คือ 1) ผังมโนทัศน์”การพัฒนาชุดความรู้ในพระไตรปิฎกเพื่อเสริมสร้างความสุขของบุคลากรในองค์กรธุรกิจ” 2) มโนทัศน์ “ชุดความรู้เรื่อง ศีล: การพัฒนาทางกาย” และ 3) มโนทัศน์ .ชุดความรู้เรื่อง “อบรมจิตและปัญญา เพื่อพัฒนาความสุข”</li> <li>ภาพรวมความสุข (Total Happiness) ทั้ง 9 มิติ ของบุคลากรที่เข้าอบรม พบว่า หลังผ่านการอบรมบุคลากรมีค่าเฉลี่ยภาพรวมความสุขเพิ่มขึ้น เท่ากับ 67.3 คะแนน (ความสุขในระดับปกติทั่วไป) มากกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมความสุขก่อนอบรม เท่ากับ 46.8 คะแนน (ความสุขในระดับต่ำกว่าปกติทั่วไป) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .001 หมายความว่าบุคลากรที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้มีพัฒนาการความก้าวหน้าด้านความสุขเชิงบวกเพิ่มขึ้น</li> <li>ดัชนีประสิทธิผลของการอบรมหลักสูตร “การฝึกสติตามแนวทางสัทธานุสารีเพื่อสร้างปัญญาและสันติสุขสำหรับพนักงานองค์กร” วัดจากภาพรวมความสุขทั้ง 9 มิติของบุคลากร มีค่าเท่ากับ 0.279 หรือคิดเป็น ร้อยละ 27.9 หมายความว่า หลักสูตรการอบรมนี้มีผลสัมฤทธิ์เชิงบวกต่อความก้าวหน้าในการพัฒนาความสุขของผู้ผ่านการอบรมในทิศทางเชิงบวกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 27.9</li> </ol> <p>การวิจัยนี้ได้สร้างนวัตกรรมองค์ความรู้จากการนำหลักธรรมคำสอนเกี่ยวกับการสร้างความสุขที่ปรากฎในพระไตรปิฎกมาบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ด้านการบริหารจัดการความสุขของบุคคลในองค์กรร่วมกับกระบวนการพัฒนาชุดความรู้ด้วย ADDIE Model ผู้วิจัยใช้ชื่อว่า “ชุดความรู้ในพระไตรปิฎกเพื่อเสริมสร้างความสุขของบุคลากรในองค์กรธุรกิจ” บุคลากรที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้จะมีผลสัมฤทธิ์การพัฒนาความสุขเชิงบวกเพิ่มขึ้น พร้อมนี้ได้จัดทำชุดความรู้นี้ในรูปแบบ e-book พร้อมคลิปวิดิโอ สามารถดาวน์โหลดได้แบบฟรีลิขสิทธิ์ สำหรับบุคคล หน่วยงานและองค์กรบริษัทที่สนใจทั่วไป</p>
ศิริพรรณ ตันติวิวัฒน์พันธ์
อุทัย สติมั่น
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
133
152
-
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการนิเทศภาย ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/266220
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 2) การนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม จำนวนทั้งสิน 28 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล สถานศึกษาละ 3 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน หัวหน้างานนิเทศการศึกษา จำนวน 1 คน และครูผู้สอน จำนวน 1 คน รวมทั้งสิ้น 84 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาตามแนวคิดของฟูลแลนและการนิเทศภายในสถานศึกษาตามแนวคิดของเทรซี่ แฮริส สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาจำแนกตามรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การทำให้เกิดความสามัคคี เป้าหมายทางด้านคุณธรรม การสร้างความสัมพันธ์ ความรู้ และความเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลง 2) การนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาจำแนกตามรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน ความร่วมมือและความสัมพันธ์ การสื่อสารและภาษา ทักษะและความสามารถ และ จุดยืนทางความคิด 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในทิศทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
ปูริดา จั่นแก้ว
สงวน อินทร์รักษ์
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
153
172
-
การแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดโดยพุทธสันติวิธีของวัดในเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/266050
<p>บทความวิจัย เรื่อง “การแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดโดยพุทธสันติวิธีของวัด ในเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร” นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาสุนัขจรจัด และ 2) เพื่อเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดโดยพุทธสันติวิธีของวัดในเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบมีการสัมภาษณ์เชิงลึก มีผลการวิจัยดังนี้ </p> <p>สุนัขจรจัด คือสุนัขที่เร่ร่อน พักอาศัยอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่า หรือตามอาคารร้าง ตลาดชุมชน หรือวัดวาอาราม ตลอดจนสถานที่ราชการต่างๆ เคยมีการประเมินว่า ประเทศไทยมีสุนัขจรจัดมากกว่า 1 ล้านตัว ในกรุงเทพมหานคร มีประมาณ 2.8 แสนตัว สุนัขเหล่านี้สร้างความเดือดร้อนรำคาญหรือไล่กัดทำร้ายผู้คน เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคโดยเฉพาะโรคพิษสุนัขบ้า ผลจากการสำรวจข้อมูลในวัดกลุ่มตัวอย่าง 12 วัด จากจำนวนทั้งหมด 32 วัด ในเขตบางกอกน้อย ทำให้ทราบว่าปัจจุบันนี้ไม่มีสุนัขจรจัดอีกแล้ว มีแต่สุนัขที่พระในวัดเลี้ยง การแก้ไขปัญหาสุนัขภายในวัดโดยพุทธสันติวิธี มี 2 มาตรการ หรือเป็น 2 โมเดล คือ (1) โมเดลวัดวิเศษการ เป็นแบบการจัดสวัสดิการและป้องกันการทำทารุณกรรมสัตว์ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ พ.ศ. 2557 และ (2) โมเดลวัดนายโรง เป็นแบบจัดการวัดให้เป็นเขตปลอดสุนัข ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักพุทธธรรม พรหมวิหาร 4 ข้อเมตตา-กรุณา และสังคหวัตถุ ข้อทาน ส่วนหลักพุทธสันติวิธี ได้แก่อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน เป็นหลักสร้างสันติสุขทั้งทางโลกและทางธรรม </p>
นวลวรรณ พูนวสุพลฉัตร
วิชาภรณ์ แก้วศรี
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
173
186
-
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารกับประสิทธิผล ของโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/266221
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดชัยนาท 2) เพื่อทราบประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท และ 3) เพื่อทราบความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารกับประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท ประชากร คือ โรงเรียน มัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท จำนวน 13 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 10 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 2 คน หัวหน้ากลุ่มงานบริหาร จำนวน 4 คน ครูจำนวน 4 คน รวมทั้งสิ้น 130 คน เครื่องมือวิจัยเป็น แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร ตามแนวคิดของ เฮนเดอร์และประสิทธิผล ของโรงเรียน ตามแนวคิดของลูเนนเบิร์กและออนสไตน์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ 1) การสร้างบรรยากาศในการสร้างสรรค์ นวัตกรรม 2) การคัดเลือกคนเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม 3) การพัฒนาทักษะ 4) การให้รางวัลในการสร้างนวัตกรรม 5) การจัดการทีมนวัตกรรม 6) การสร้างทีม และ 7) การค้นหาและทำงานร่วมกับผู้สนับสนุน 2. ประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ 1) ความทุ่มเทเวลา ในการทำงาน 2) การตรวจสอบ ความก้าวหน้าของนักเรียน 3) พันธกิจของโรงเรียนมีความชัดเจน 4) ความคาดหวังที่สูง 5) ความสัมพันธ์เชิงบวกกับ ผู้ปกครอง 6) ภาวะผู้นำด้านวิชาการ และ7) สภาพแวดล้อมเป็นระเบียบและปลอดภัย 3. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารกับประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท มีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ 1) การสร้างบรรยากาศในการสร้างสรรค์ นวัตกรรม 2) การคัดเลือกคนเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม 3) การพัฒนาทักษะ 4) การให้รางวัลในการสร้างนวัตกรรม 5) การจัดการทีมนวัตกรรม 6) การสร้างทีม และ 7) การค้นหาและทำงานร่วมกับผู้สนับสนุน 2. ประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังนี้ 1) ความทุ่มเทเวลา ในการทำงาน 2) การตรวจสอบ ความก้าวหน้าของนักเรียน 3) พันธกิจของโรงเรียนมีความชัดเจน 4) ความคาดหวังที่สูง 5) ความสัมพันธ์เชิงบวกกับ ผู้ปกครอง 6) ภาวะผู้นำด้านวิชาการ และ7) สภาพแวดล้อมเป็นระเบียบและปลอดภัย 3. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารกับประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดชัยนาท มีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
ปิยโชติ รอดหลง
มัทนา วังถนอมศักดิ์
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-16
2024-05-16
10 2
187
203
-
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับการเป็นองค์กรแห่งความสุข ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/266107
<p>บทความวิจัย มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี 2) การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำนวน 28 โรงเรียน มีผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 4 คน และครู 2 คน รวมทั้งสิ้น 112 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี ทั้งภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงจากค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย คือ การเป็นแบบอย่างที่ดี การแสดงความเชื่อมั่นต่อผู้ตาม การกระทำเชิงสัญลักษณ์เพื่อเน้นย้ำวิสัยทัศน์และค่านิยม การปฏิบัติงานอย่างมั่นใจและมองโลกในแง่ดี การวางแนวทางเพื่อบรรลุตามวิสัยทัศน์ และการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและน่าสนใจ 2) การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี ทั้งภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงจากค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย คือ คนทำงานมีความสุข ชุมชนสมานฉันท์ และที่ทำงานน่าอยู่ และ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
รุจิกร ตุลาธาร
นุชนรา รัตนศิระประภา
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-16
2024-05-16
10 2
204
221
-
ผลการใช้กลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคแผนผังกราฟิก เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/266011
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยกลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการใช้กลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนศรีวิชัยวิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ด้วยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 1 ห้องเรียน 30 คน จากนั้นทำการทดลองโดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 4 บทเรียน และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคแผนผังกราฟิก ใช้เวลาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) หน่วยการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้กลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคแผนผังกราฟิก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 4 หน่วย ได้แก่ 1) Preparing for the Cave of Crystals 2) Move as Millions, SURVIVE AS ONE 3) Heading South for the Winter 4) Navigating Through the Air 2) แบบทดสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษด้วยกลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคแผนผังกราฟิกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการใช้กลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคแผนผังกราฟิกเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยกลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการใช้กลวิธีการอ่านแบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
ณัฏฐกานต์ บุญป้อง
สรณบดินทร์ ประสารทรัพย์
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-16
2024-05-16
10 2
222
239
-
ความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อนโยบายวีซ่าเกษียณอายุ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/266237
<p>บทความวิจัยเรื่องความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตต่อนโยบายวีซ่าเกษียณอายุ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็น และศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อนโยบายวีซ่าเกษียณอายุ จำแนกตามปัจจัยด้านผู้ประกอบธุรกิจบริการ และปัจจัยด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายวีซ่าเกษียณอายุ ของผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 321 ราย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบ คือการวิเคราะห์การแปรปรวนทางเดียว (one way ANOVA) ผู้วิจัยหาความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของ Scheffe โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต มีความคิดเห็นต่อนโยบายวีซ่าเกษียณอายุอยู่ในระดับมากจากการทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ที่มีปัจจัยด้านผู้ประกอบธุรกิจบริการธุรกิจต่างกัน ได้แก่ ประเภทของธุรกิจบริการทุนจดทะเบียน ระยะเวลาในการประกอบธุรกิจ และจำนวนพนักงาน ที่แตกต่างกัน จะมีความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจบริการ ต่อนโยบายวีซ่าเกษียณอายุไม่แตกต่างกัน ส่วนปัจจัยรายได้ต่อเดือนที่ต่างกันจะมีความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจบริการ ที่มีต่อนโยบายวีซ่าเกษียณอายุ แตกต่างกัน และปัจจัยด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายวีซ่าเกษียณอายุของผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ต ต่างกัน จะมีความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจบริการในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
สิญจภรณ์ สมสงวน
จุฑาทิพ คล้ายทับทิม
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-16
2024-05-16
10 2
253
267
-
แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของครูในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา ภายในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสาคร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/267124
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการมีส่วนร่วมของครูในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของครูในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสาคร เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> สภาพปัจจุบันและปัญหาการมีส่วนร่วมของครูในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.52 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.15 การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง รองลงมา คือ ด้านการดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.02 การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.45 การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อย ด้านการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.41 การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อย ด้านการติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.06 การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อย และด้านจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.03 การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อยตามลำดับ</p> <p>ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของครูในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) การกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาและครูร่วมกันศึกษามาตรฐานการศึกษาของชาติ นโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ความต้องการของชุมชน บริบท ความพร้อม เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของสถานศึกษา 2) การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา โดยผู้บริหารสถานศึกษาและครูร่วมกันตัดสินใจกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมายของสถานศึกษา 3) การดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนิเทศ กำกับ ติดตาม การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 4) การประเมินผลและตรวจ สอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา คณะกรรมการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาจัดทำรายงานสรุปผลการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา 5) การติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อพัฒนาสถานศึกษา ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาและ 6) การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง ส่งเสริมให้ครูรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ตรงกับประเด็นพิจารณาตามมาตรฐานการศึกษาและค่าเป้าหมายความสำเร็จที่สถานศึกษาประกาศไว้</p>
สินีรัตน์ แก้ววิชิต
พรเทพ รู้แผน
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-16
2024-05-16
10 2
240
252
-
แนวทางการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ของคนวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานคร เชิงพุทธบูรณาการ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/272954
<p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง แนวทางการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ของคนวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานครเชิงพุทธบูรณาการ โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาของสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบันของสังคมไทย (2) เพื่อศึกษาหลักความรู้และหลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ และ (3) เพื่อนำเสนอแนวทางการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ของคนวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานครเชิงพุทธบูรณาการ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่าสภาพปัญหาของสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ได้แก่ การหลอกลวง การทะเลาะวิวาท การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ การเสพข่าวลวง เป็นต้น ซึ่งล้วนเกิดจากกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ตนเอง บุคคลอื่น และสังคม หลักพุทธธรรมที่จะนำมาบูรณาการสามารถนำมาปฏิบัติใช้เป็นเครื่องมือติดตัวสำหรับการพัฒนาปัญญา ความเฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบที่ความถูกต้องในการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิผลโดยอาศัยหลักพุทธธรรม ได้แก่ 1) หลักสติสัมปชัญญะ 2) หลักกาลามสูตร 3) หลักโยนิโสมนสิการ และ 4) หลักสัปปุริสธรรม แนวทางการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์มีอยู่ 3 วิธี คือ 1) วิธีการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ของผู้ส่งสาร 2) วิธีการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ของเนื้อหา และ3) วิธีการการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ของผู้รับสาร 3 วิธีนี้ต้องนำมาบูรณาการกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อสร้างองค์ความรู้ในการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ คือการมีสติใช้สื่ออย่างระมัดระวัง อย่าเชื่อง่าย ไตร่ตรองด้วยเหตุผล และรู้จักการใช้งานให้เหมาะสม องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยเรียกว่า การรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ (Effective Social Media Literacy) คือ<strong> “</strong><strong>SKYS” = </strong>โดยที่“S”(Sati-Sampajañña) คือ สติสัมปชัญญะ “K”(Kālāma Sutta) คือ กาลามสูตร “Y”(Yonisomanasikāra) คือ โยนิโสมนสิการ และ“S”(Sappurisadhamma) คือ สัปปุริสธรรม</p>
อุรารัตน์ ไชยรังสี
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-20
2024-05-20
10 2
266
283
-
รูปแบบการเผยแผ่ธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่เชิงพุทธบูรณาการ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/272873
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพ หลักการ และวิธีการเผยแผ่ธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ 2) เพื่อพัฒนาแนวทางและกระบวนการเผยแผ่ธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการเผยแผ่ธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่เชิงพุทธบูรณาการ การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มและนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาโวหาร ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพ หลักการ และวิธีการเผยแผ่ธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ควรได้รับการพัฒนา 4 ด้าน คือ (1) นักเผยแผ่ ควรเป็นต้นแบบการประพฤติปฏิบัติตนตามพระธรรมวินัย (2) เนื้อหาธรรมะ ควรใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย (3) ช่องทางการสื่อสาร ควรมีเป้าหมายและการวางแผนที่สอดคล้องกับลักษณะและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ และ (4) คนรุ่นใหม่ เสื่อมศรัทธาต่อนักเผยแผ่ 2) การพัฒนาแนวทางและกระบวนการการเผยแผ่ธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ เป็นการสื่อสารแบบสองทางที่เน้นให้คนรุ่นใหม่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ โดยการเผยแผ่ธรรมะแบบเชิงรับ เชิงรุก และเชิงผสมผสานที่ยึดมั่นในหลักธรรม ปรับเนื้อหาธรรมะให้ง่าย ประยุกต์ เหมาะสม และพิสูจน์ได้ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และ 3) รูปแบบการเผยแผ่ธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่เชิงพุทธบูรณาการ (1) นักเผยแผ่ ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีตามหลักพระพุทธศาสนา (2) เนื้อหาธรรมะ ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สอดรับกับวิถีคนรุ่นใหม่ (3) ช่องทางการเผยแผ่ เน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติและการเรียนรู้แบบผสมผสาน เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่</p>
ฉัตรสุดา ส่องแสงเจริญ
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-20
2024-05-20
10 2
284
300
-
เกษตรทฤษฎีใหม่บนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและชุมชน
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/264078
<p>การทำการเกษตรตามแนวยุคปฏิวัติเขียว เน้นการทำเกษตรเชิงเดี่ยว ปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งในพื้นที่ โดยมีการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกลทางการเกษตร เพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้ปริมาณมากเพียงพอต่อการจำหน่าย การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อผลิตผลผลิตทางการเกษตรตามแนวปฏิวัติเขียวอย่างต่อเนื่อง ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม พืชผลทางการเกษตรมีสารพิษตกค้าง ต้นทุนปัจจัยการผลิตสูง เกิดปัญหาสุขภาพและภาวะหนี้สิน ขณะเดียวกันวิถีชีวิตของเกษตรกรดั้งเดิมเริ่มสูญหาย ขาดผู้สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตและการทำการเกษตรอันเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นไทย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชดำริ “เกษตรทฤษฎีใหม่” เพื่อแบ่งสัดส่วนพื้นที่ทำการเกษตรด้วยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ เกิดความมั่นคงด้านอาหารและการบริหารจัดการที่ดินและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรทฤษฎีใหม่มี 3 ขั้น คือการเกษตรเพื่อเลี้ยงครอบครัว กลุ่มเษตรกรเข้มแข็ง และชุมชนเข้มแข็งมีเครือข่ายภายนอก การทำเกษตรตามหลักของเกษตรทฤษฎีใหม่บนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยแก้ปัญหาแก่เกษตรกรและชุมชน ทั้งในระดับแนวทางการประยุกต์หลักการให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่และระดับนำหลักการที่ปรับเข้ากับบริบทพื้นที่ไปปฏิบัติจนเกิดผลสำเร็จ ได้แก่ การทำนา 1 ไร่ ได้ 1 แสนบาท, โคก หนอง นา โมเดล, การจัดการฟาร์มคาเฟ่, แนวทางการพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ การบูรณาการภูมิปัญญาเดิมเข้ากับเทคโนโลยีปัจจุบัน การเพาะปลูกพืชหลากหลายชนิด การรวมกลุ่มผลิตสินค้าเกษตรที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน การขยายตลาด การสร้างตราสินค้า การโฆษณาประชาสัมพันธ์</p>
สมาพร เรืองสังข์
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
301
316
-
การอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานของวัดคงคาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/265586
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาเรื่อง “การอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานของวัดคงคาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี” พบว่า คัมภีร์โบราณของวัดคงคารามที่มีความสำคัญทางด้านพระพุทธศาสนา ด้านประวัติศาสตร์ชุมชน ด้านวัฒนธรรมชุมชน และด้านภูมิปัญญาชุมชน โดยทางวัดคงคารารามมีกรรมวิธีการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน คือ (1) กรรมวิธีจารคัมภีร์ใบลาน (2) การห่อคัมภีร์ใบลาน (3) ป้ายบอกชื่อคัมภีร์ใบลาน (4) การใช้เชือกมัดคัมภีร์ใบลาน (5) สถานที่และอุปกรณ์ที่จัดเก็บรักษาคัมภีร์ใบลาน (6) การซ่อมแซมและบำรุงรักษาคัมภีร์ใบลานให้คงอยู่ตลอดไป และ (7) การแผยแพร่ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ใบลานให้สาธารณะชนได้เรียนรู้ ซึ่งเป็นแนวทางการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานของวัดคงคาราม</p>
พระครูสันตยาภิรัต สันติ สนฺติกโร
สรวิชญ์ วงษ์สอาด
พระครูพิพิธวรกิจจานุการ
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-15
2024-05-15
10 2
317
335
-
พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและการปฏิรูปเชิงนวสมัยนิยมในประเทศไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/273071
<p>หนังสือที่จะนำมาวิจารณ์ เรื่อง “พุทธทาสภิกขุ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และการปฏิรูปเชิงนวสมัยนิยมในประเทศไทย” เขียนโดยปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน ชาวออสเตรเลีย นี้ เป็นหนังสือแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษโดย มงคล เดชนครินทร์ มีทั้งหมด ๑๐ บท ๕๐๓ หน้า หากนับรวมปัจฉิมบท ภาคผนวก อภิธานศัพท์ เชิงอรรถ บรรณานุกรมและดรรชนีของหนังสือด้วยจำนวนหน้าจะมีมากกว่า ๖๐๐ หน้า<a href="#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> ด้วยวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนพยายามจะให้ความรู้เรื่องในแนวความคิดที่ลึกซึ้งของท่านพุทธทาสภิกขุในทุกแง่มุมอย่างละเอียดถูกต้องตรงความจริง หนังสือเรื่อง พุทธทาสภิกขุ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และการปฏิรูปเชิงนวสมัยนิยมในประเทศไทย เขียนโดยนายปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน นี้ จึงเป็นหนังสือที่น่าอ่านที่ดีเล่มหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เกิดความคิดเห็นที่จะได้ความคิดทางปัญญาญาณ และความเข้าใจท่านพุทธทาสภิกขุยิ่งขึ้น เพราะผู้เขียนได้นำเสนอแง่คิดของท่านพุทธทาสที่น้อยคนจะได้รู้ว่า ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นห่วงเป็นใยชาวพุทธไทยที่จะรับมือกับโลกยุคใหม่อย่างไร โดยที่จะยังคงดำรงบรรดาค่านิยมและความเชื่อที่เป็นแกนหลักของวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีของคนไทยตลอดยุคสมัยที่ผ่านมาเอาไว้ได้ ท่านพุทธทาสได้เห็นแล้วว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นเสมือนทรัพยากรที่ชาวโลกจะได้ใช้เพื่อชีวิตที่ดี โดยให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แนวคิดและงานเขียนของท่านพุทธทาส ซึ่งอาจใช้เป็นแนวทางในการรับมือกับความท้าทายของโลกาภิวัตน์ในพุทธศตวรรษที่ ๒๖ นี้</p>
พระภานุเดช จนฺทโชโต
Copyright (c) 2024 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-05-16
2024-05-16
10 2
336
348