วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa <p>วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ เป็นวารสารที่ตีพิมพ์ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยในสาขาที่เกี่ยวกับด้านศาสนาและปรัชญา พระพุทธศาสนา วิปัสสนาภาวนา บาลีพุทธศาสตร์ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต สังคมวิทยา ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บทความที่ได้รับการเผยแพร่ จะได้พิจารณากลั่นกรองผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 3 ท่าน ต่อบทความ ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blinded)<br /><br /></p> มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม th-TH วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ 3057-1952 <p> เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ก่อนเท่านั้น </p> รู้เรื่อง พระพุทธรูป ที่มา คติความหมาย ศิลปกรรม ทุกยุคทุกสมัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/278451 <p>เมื่อราวหนึ่งพันห้าร้อยปีที่แล้วผู้คนในดินแดนไทยได้รับเอาหลักธรรมเมื่อราวหนึ่งพันห้าร้อยปีที่แล้วผู้คนในดินแดนไทยได้รับเอาหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนามาถือปฏิบัติ นับแต่นั้นตราบจนกระทั่งปัจจุบันพุทธศาสนาก็ไม่เคยสูญหายไปจากดินแดนไทย ทั้งยังกลายเป็นความเชื่อหลักของคนส่วนใหญ่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผู้คนในดินแดนไทยทุกยุคทุกสมัยได้สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นเพื่อเป็นสื่อแทนองค์พระศาสดา มีความสวยงามและเปี่ยมล้นความหมาย แต่ความจริงแล้วพระพุทธรูปมิได้สะท้อนแค่เพียงความเลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนาเท่านั้น หากยังแฝงนัยทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมในแต่ละช่วงเวลาด้วยด้วยเหตุที่พระพุทธปฏิมามีนัยแฝงถึงแง่มุมต่าง ๆ มากกว่า รูปแทนองค์พระศาสดานี่เอง จึงเกิดการค้นคว้าและเรียบเรียงหนังสือ "รู้เรื่องพระพุทธรูป" เล่มนี้ขึ้นโดยพยายามให้แง่มุมที่เกี่ยวข้องกับคติความเชื่อต่าง ๆ ที่ผันแปรไปตามแต่ละสมัย ตลอดจนให้ข้อมูลเฉพาะของพระพุทธรูปสำคัญเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และความเปลี่ยนแปลงทางพุทธลักษณะแห่งองค์พระพุทธปฏิมาเพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความเป็นไปทางสังคมและวัฒนธรรมไทยสมัยต่าง ๆ ผ่านองค์พระพุทธรูป</p> พระครูวินัยธรจิรภัทรส์ จิตฺตโสภโณ (มีทองแสน) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 บูรณาการศีล ๕ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต : กรณีศึกษาทัศนะของผู้บริหาร หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/273115 <p>งานดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “บูรณาการศีล ๕ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต: กรณีศึกษาทัศนะของผู้บริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” เป็นผลงานนิพนธ์ของ จ่าสิบเอกสมหมาย&nbsp; แวงวรรณ&nbsp; เป็นนิสิตระดับปริญญาเอก หลักสูตรพุทธศาสนาดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาพระพุทธศาสนา ของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งสาเหตุที่เลือกดุษฎีนิพนธ์เรื่องนี้มาศึกษาเพราะว่าผู้วิจารณ์มีความสนใจเรื่องนี้เพื่อเป็นการศึกษาหลักศีล ๕ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคม จึงสนใจเนื้อหาในการศึกษาครั้งนี้และที่สำคัญผู้วิจารณ์เองก็มีความสนใจในการศึกษาเรื่องการนำศีล ๕ มาพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลายๆ ประเด็น จึงได้ยกดุษฏีนิพนธ์ทางพระพุทธศาสนาเรื่องนี้มาวิจารณ์ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจตามโครงสร้างดุษฎีนิพนธ์โดยภาพรวมประกอบด้วยบทที่ ๑ บทนำเรื่อง การนำหลักศีล ๕ มาบูรณาการกับชีวิตประจำวัน บทที่ ๒ ศีล ๕ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต บทที่ ๓ การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักศีล ๕ ของนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาและในทัศนะผู้บริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา บทที่ ๔ บูรณาการศีล ๕ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามทัศนะของผู้บริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และบทที่ ๕ สรุปผลการวิจัย สรุปองค์ความรู้ และข้อเสนอแนะซึ่งงานดุษฎีนิพนธ์เรื่องนี้มีจำนวน ๑๘๘ หน้า ( ไม่ร่วมภาคผนวก ) ดุษฏีนิพนธ์เล่มนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ &nbsp;(Qualitative Research) ดังนั้นผู้วิจารณ์จะได้แบ่งการวิจารณ์จะได้นำดุษดีฎีนิพนธ์มาวิเพื่อวิจารตามกระบวนการดังต่อไปนี้</p> พิมพ์ณารา เมฆะวิภาต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-21 2025-08-21 11 3 การสร้างรูปแบบการเรียนการสอนธรรมบทในระบบออนไลน์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/280211 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาหลักการ แนวคิด และวิธีการจัดการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ (2) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาบาลีธรรมบทเชิงวิเคราะห์ให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิรูปการศึกษา และ (3) เสนอแนวทางการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ภาษาบาลีธรรมบทในระบบออนไลน์ โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพร่วมกับการวิจัยพัฒนา (R&amp;D) ประกอบด้วยการศึกษาจากเอกสาร ทฤษฎีการเรียนรู้ และสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านบาลีและเทคโนโลยีการศึกษา พร้อมทั้งการออกแบบ ทดลอง และประเมินผลต้นแบบรูปแบบการเรียนรู้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพควรยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ใช้แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ของ Gagné เป็นกรอบการออกแบบ โดยบทเรียนธรรมบทควรถูกพัฒนาให้เป็น “บทเรียนเชิงวิเคราะห์” ที่ไม่เพียงแค่แปลศัพท์เท่านั้น แต่รวมถึงการวิเคราะห์องค์ธรรม แนวคิดหลัก และนัยเชิงเปรียบเทียบ พร้อมใช้สื่อมัลติมีเดีย เช่น วิดีโอ อินโฟกราฟิก แบบฝึกหัดโต้ตอบและระบบการประเมินแบบออนไลน์ นวัตกรรมที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ คือโมเดล DAeLM (Dhammapada Analytical e-Learning Model) ซึ่งประกอบด้วย 8 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ทฤษฎีพื้นฐาน, ระบบ LMS, บทเรียนธรรมบทเชิงวิเคราะห์, สื่อมัลติมีเดีย, กิจกรรมการเรียนรู้, ระบบการประเมินผล, การทดสอบต้นแบบ และการพัฒนา–ขยายผล ซึ่งโมเดลนี้ได้ถูกทดลองใช้กับกลุ่มนิสิต นักเรียนบาลี และได้รับผลตอบรับในระดับดีมาก ทั้งในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของผู้เรียน ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการเรียนการสอนธรรมบทในระบบออนไลน์มีศักยภาพในการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาบาลีให้มีความเข้าใจลึกซึ้ง เข้าถึงง่าย และสอดคล้องกับบริบทของผู้เรียนในยุคดิจิทัล จึงควรส่งเสริมให้มีการนำไปใช้และพัฒนาต่อยอดในสำนักเรียนบาลี มหาวิทยาลัยสงฆ์ และการศึกษาพระพุทธศาสนาในรูปแบบออนไลน์อื่น ๆ ต่อไป</p> พระมหาวัฒนา คำเคน ธีรธวัช ภูมิประมาณ สุเมธ บุญมะยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 888 901 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ในโลกเสมือน ตามแนวคิดจินตวิศวกรรมแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม สำหรับนักศึกษาปริญญาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/280440 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาและนำเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในโลกเสมือนตามแนวคิดจินตวิศวกรรมแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักศึกษาปริญญาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และศึกษาผลจากการใช้รูปแบบดังกล่าว โดยประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิชาเอกนาฏศิลป์ศึกษาและดนตรีศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ การศึกษานี้เป็นแบบวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบหลัก 6 ด้าน และกระบวนการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน เน้นการปฏิบัติจริง ทำงานร่วมกัน และประเมินผลต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินว่ารูปแบบมีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.38, S.D. = 0.60; IOC = 0.95) ทั้งในด้านเนื้อหา (x̄ = 4.19, S.D. = 0.41) และการนำเสนอในสภาพแวดล้อมเสมือนที่น่าสนใจ มีสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายและทันสมัย พร้อมแนะนำให้มีการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มเติม จากการทดลองใช้รูปแบบผ่านแพลตฟอร์ม Metaverse พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (x̄ = 19.77, S.D. = 2.05) สูงกว่าก่อนเรียน (x̄ = 15.00, S.D. = 1.68) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 (หลังเรียน x̄ = 2.90, ก่อนเรียน x̄ = 2.88) นอกจากนี้ นักศึกษายังมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.52, S.D. = 0.70) ขณะที่ผลงานสร้างสรรค์ได้รับการประเมินว่ามีความเหมาะสมมากที่สุด (x̄ = 4.68, S.D. = 0.51) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่นำเสนอได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญว่ามีความเหมาะสมมากที่สุด (x̄ = 4.72, S.D. = 0.49) แสดงถึงศักยภาพของรูปแบบนี้ในการส่งเสริมนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ</p> พัชรี มีสุคนธ์ ศิวนิต อรรถวุฒิกุล วรวุฒิ มั่นสุขผล สิทธิชัย ลายเสมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 902 916 รูปแบบการส่งเสริมความเข้มแข็งการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวภาค 6 เชิงพุทธบูรณาการ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281187 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักการและแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวภาค 6 2) ศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ทำภารกิจร่วมกันของคณะผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวภาค 6 และ 3) นำเสนอรูปแบบการส่งเสริมความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัว ภาค 6 เชิงพุทธบูรณาการ ใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิจัยเอกสารร่วมกับการวิจัยภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลหลักโดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 27 รูป/คน และนำเสนอข้อมูล เชิงพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า : หลักการและแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ คุณลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาสมทบ 5 ด้าน ได้แก่ 1) ภาวะผู้นำที่ส่งเสริมความสามัคคี 2) องค์ความรู้ที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ 3) บุคลิกภาพที่มีความสงบภายใน 4) ยึดมั่นในจริยธรรม และ 5) การเสียสละ หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ คือหลักพุทธธรรม 4 หมวด ได้แก่ พรหมวิหาร 4 สร้างกรอบคิดแห่งความเมตตา อิทธิบาท 4 เป็นแรงผลักดันภายใน สังคหวัตถุ 4 เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ในทีม และสาราณียธรรม 6 เป็นวัฒนธรรมของความกลมเกลียวและความไว้วางใจ ซึ่งเป็นต้นแบบแห่งความยุติธรรมที่มีชีวิตในสังคมไทยร่วมสมัย การส่งเสริมความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ สร้างเป็นองค์ความรู้ “LOTUS 4B Model” คือ L-ภาวะผู้นำที่ส่งเสริมความสามัคคี O–องค์ความรู้ที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ <br />T-บุคลิกภาพที่มีความสงบภายใน U-ยึดมั่นในจริยธรรม S-การเสียสละ และ 4B คือหลักธรรม 4 หมวด คือ พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 อิทธิบาท 4 และสาราณียธรรม 6 ผนวกเป็น “ดอกบัวแห่งธรรมะ” คือ กลีบบัว เกสรบัว กลีบเลี้ยง ก้านบัว และรากบัว โดยแต่ละองค์ประกอบมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน สามารถวัดและประเมินผลได้เชิงปริมาณและคุณภาพ ซึ่งสะท้อนพลังแห่งความเมตตา ปัญญา จริยธรรม ความสงบ และความเสียสละอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบยุติธรรมเยาวชนไทยอย่างยั่งยืน</p> ดารารัตน์ จงศิริ พระมหาเทวินทร์ วรปญโญ (ชิณบุตร) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 917 931 แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสู่การเตรียมตัวตาย ของผู้ป่วยระยะท้ายเชิงพุทธบูรณาการ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281199 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายของผู้ป่วยระยะท้ายในสังคมไทย 2) เพื่อศึกษาวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับผู้ป่วยระยะท้าย และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสู่การเตรียมตัวตายของผู้ป่วยระยะท้ายเชิงพุทธบูรณาการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบการวิจัยภาคสนาม เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปผลการวิจัยในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) การเตรียมตัวตายของผู้ป่วยระยะท้ายคือการฝึกจิต และเจริญสติให้รู้ตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะในขณะจิตสุดท้าย 2) ใช้หลักการ “กายป่วย ใจไม่ป่วย”ฝึกจิตตามหลักสติปัฏฐาน 4 ให้มีสติ 3 ระดับ คือ สติในทางโลก สติทางโลกควบคู่กับทางธรรม และสติทางธรรม ใช้อานาปานสติเป็นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ดีที่สุด เหมาะสมกับผู้ป่วยระยะท้าย และ 3) การเจริญอานาปานสติ และ การมีสติในทุกอิริยาบถ จะเกิดปัญญารู้เท่าทันชีวิตว่าเป็นวิถีของธรรมชาติ และเมื่อเจริญอานาปานสติจนถึงที่สุดแล้ว จิตจะเป็นอิสระจากกิเลส สงบ สามารถหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงได้</p> <p> องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย คือ แบบจำลอง “มีสติ ตายดีวิถีพุทธ” เป็นการปฏิบัติกรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 ด้วยความเพียร (อาตาปี) รู้ตัวอยู่เสมอ (สัมปชาโน) และมีสติ (สติมา) การฝึกสติอย่างต่อเนื่องนี้ จะช่วยให้จิตของผู้ป่วยสามารถยอมรับความจริงของชีวิต ปล่อยวางจากความยึดติดและความทุกข์ เข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงแห่งภพภูมิ ไม่หวาดกลัวความตาย พร้อมที่จะตายอย่างสงบ เมื่อจิตสุดท้ายของผู้ปฏิบัติเป็นกุศล ย่อมเป็นเหตุให้มีสติตายดีตามวิถีแห่งพุทธ</p> ธนคิณ ชัยรัตน์ สุเมธ สุทธภักติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 932 946 แนวทางการเจริญสติปัฏฐาน 4 ในโพธิปักขิยธรรมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/280835 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสติปัฏฐาน 4 ในโพธิปักขิยธรรม 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการเจริญสติปัฏฐาน 4 ในโพธิปักขิยธรรมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิจัยเอกสาร โดยการศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สรุปวิเคราะห์ เรียบเรียง บรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการเจริญสติปัฏฐาน 4 ในโพธิปักขิยธรรม เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แบ่งเป็น 4 ฐาน คือ 1) บุคคลผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความเพียร มีสติ และมีปัญญาพิจารณาฐานกาย 6 ฐาน ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ได้แก่ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก อิริยาบถต่าง ๆ ฐานสัมปชัญญะ ฐานอาการ 32 ฐานธาตุ 4 เป็นต้น เพื่อให้รู้ไตรลักษณ์ของร่างกายและไม่ประมาท 2) ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความเพียร มีสติ และมีปัญญาพิจารณาฐานเวทนา 9 ฐาน เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ ได้แก่สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา สุขเวทนาที่มีอามิส ฐานสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส ฐานทุกขเวทนาที่มีอามิส ฐานทุกขเวทนาที่ไม่มีอามิส ฐานอทุกขมสุขเวทนาที่มีอามิส และฐานอทุกขมสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส เพื่อรู้จักความทุกข์ ความสุข และการปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น 3) ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความเพียร มีสติ และมีปัญญาในการพิจารณาฐานจิต ให้เห็นไตรลักษณ์มี 16 ฐาน เช่น เมื่อจิตตนเองมีราคะก็รู้ เมื่อไม่มีราคะก็รู้ จิตไม่พ้นจากกิเลสก็รู้ เป็นต้น เพื่อให้มีสติรู้จักสภาพจิตใจและไม่หลงไปตามกิเลสตัณหา 4) ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความเพียร มีสติ และมีปัญญาพิจารณาฐานธรรม 5 ฐาน ให้เห็นไตรลักษณ์ ได้แก่ นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 และอริยสัจจ์ 4 เพื่อให้รู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ ซึ่งสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ส่วนองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยนี้เป็นรูปแบบ <strong>“</strong><strong>KVCD Model”</strong></p> พระมหาณรงค์ ปญฺญาวุฑฺโฒ (โหลแก้ว) วิโรจน์ คุ้มครอง ชัยชาญ ศรีหานู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 947 964 รูปแบบการเผยแผ่วิปัสสนานานาชาติ ของศูนย์วิปัสสนาศึกษาวัดป่ารัตภูมิจังหวัดสงขลา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281273 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการเผยแผ่วิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษารูปแบบการเผยแผ่วิปัสสนาภาวนาของศูนย์วิปัสสนาศึกษาวัดป่ารัตภูมิ จังหวัดสงขลา และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการเผยแผ่วิปัสสนานานาชาติของศูนย์วิปัสสนาศึกษาวัดป่ารัตภูมิ จังหวัดสงขลา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารพระพุทธศาสนาเถรวาท และข้อมูลภาคสนามจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิ พระวิปัสสนาจารย์ ผู้ปฏิบัติธรรม และผู้เกี่ยวข้องจำนวน 27 รูป/คน โดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาแบบพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเผยแผ่วิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท มีความครบถ้วนตามหลัก ปริยัติ–ปฏิบัติ–ปฏิเวธ อันเป็นโครงสร้างหลักของการปฏิบัติวิปัสสนา สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเผยแผ่ในโลกยุค VUCA ได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาจิตใจภายใน (Inner Development Goals: IDGs) ตามเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ 2) รูปแบบการเผยแผ่ของศูนย์วิปัสสนาศึกษาวัดป่ารัตภูมิ มีความสอดคล้องกับหลักในคัมภีร์ ทั้งในด้านเนื้อหาและแนวปฏิบัติ โดยเน้นสติปัฏฐาน 4 เป็นแก่นกลาง แม้จะมีความหลากหลายในวิธีการ เช่น การใช้สื่อดิจิทัล การฝึกอบรมในระดับนานาชาติ และความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ–เอกชน และ 3) จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสังเคราะห์ ผู้วิจัยได้เสนอรูปแบบ “PPP+S Model” โดย P ที่ 1 คือ ปริยัติ P ที่ 2 คือ ปฏิบัติ P ที่ 3 คือ ปฏิเวธ และ S คือ ความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่สามารถนำไปใช้ในการเผยแผ่วิปัสสนาภาวนาในระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> <p> องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยนี้ได้ถูกนำเสนอต่อเจ้าอาวาสและคณะกรรมการของวัดเพื่อใช้ประกอบการจัดตั้ง “มูลนิธิวิปัสสนานานาชาติ” อันเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงปฏิบัติสู่เวทีโลกอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน</p> พระชยพล ชยพโล (ไชยถาวร) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 965 977 กาพย์พระไชยสุริยา: ภาพแทนผู้อยู่ใต้การปกครองตามหลักพุทธในมุมมองของสุนทรภู่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/280380 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาพแทนผู้อยู่ใต้การปกครองตามหลักพุทธในมุมมองของสุนทรภู่จากเรื่อง “กาพย์พระไชยสุริยา” และ 2) เพื่อศึกษากลวิธีทางภาษาที่ใช้นำเสนอภาพแทนผู้อยู่ใต้การปกครองตามหลักพุทธในมุมมองของสุนทรภู่จากเรื่องดังกล่าว งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากช่องทางออนไลน์ในเว็บไซต์วชิรญาณ เรื่อง “กาพย์เรื่องพระไชยสุริยา และ สุภาษิตสอนสตรี ของสุนทรภู่” จำนวน 119 บท และใช้ทฤษฎีภาพแทนและกลวิธีทางภาษาในการวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาพแทนผู้อยู่ใต้การปกครองตามหลักพุทธในมุมมองของสุนทรภู่ มีทั้งหมด 8 ภาพ พบภาพแทนด้านบวก 4 ภาพ ได้แก่ ผู้อยู่ใต้การปกครองเป็นผู้แสดงความเคารพต่อผู้ที่ควรเคารพ เป็นผู้คอยดูแลผู้ปกครอง เป็นผู้มีกิริยามารยาท และเป็นผู้ประกอบสัมมาอาชีพ และพบภาพแทนด้านลบ 4 ภาพ ได้แก่ ผู้อยู่ใต้การปกครองเป็นผู้ไม่แสดงความเคารพต่อผู้ที่ควรเคารพ เป็นผู้ลุ่มหลงในกิเลสตัณหา เป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ และเป็นผู้ไม่มีความเมตตา ภาพแทนเหล่านี้สอดคล้องกับหลักธรรมทางศาสนาพุทธ ได้แก่ มงคล 38 ประการ พรหมวิหาร 4 สัปปุริสธรรม 7 เบญจศีล และอริยสัจ 4 2) กลวิธีที่ใช้นำเสนอภาพแทนผู้อยู่ใต้การปกครองตามหลักพุทธในมุมมองของสุนทรภู่ มีทั้งหมด 6 กลวิธี ได้แก่ การเลือกใช้คำศัพท์ การใช้อุปลักษณ์ การอ้างถึง การใช้ประโยค การใช้มูลบท และการใช้วัจนกรรม</p> ปาณิศา ธรรมชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 978 993 รูปแบบการเรียนการสอนธรรมบทเชิงวิเคราะห์ผ่านระบบออนไลน์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/280208 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน หลักสูตร เนื้อหา วิธีการจัดการเรียนรู้ภาษาบาลี ธรรมบทเชิงวิเคราะห์ของคณะสงฆ์ไทย 2) เพื่อศึกษาหลักการจัดการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ และพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ภาษาบาลี ธรรมบทเชิงวิเคราะห์ ตามแนวทางการปฏิรูปการจัดการศึกษา 3) เพื่อสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ภาษาบาลี ธรรมบทเชิงวิเคราะห์ในระบบออนไลน์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการวิจัยเชิงเอกสาร การวิจัยภาคสนาม และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เก็บข้อมูลจากผู้บริหารสำนักเรียน 2 รูป ครูสอนบาลี 10 รูป และนักเรียนบาลี 10 รูป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนการสอนธรรมบทของคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันยังคงใช้หลักสูตรแบบดั้งเดิมที่เน้นการแปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ขาดการบูรณาการด้านเนื้อหาและการประยุกต์ใช้ การวัดและประเมินผลยังไม่เป็นระบบ ส่งผลให้มีอัตราการสอบผ่านเพียงร้อยละ 10-20 2) การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ควรบูรณาการสื่อมัลติมีเดีย การสร้างปฏิสัมพันธ์ และระบบการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ 3) นวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ที่ครอบคลุมทั้งด้านเนื้อหา การประเมินผล และการสื่อสาร โดยจัดกลุ่มเนื้อหาธรรมบทเป็น 6 หมวดหลักตามประเภทเนื้อหา ได้แก่ เรื่องกรรม-ผลกรรม การบำเพ็ญบารมี ไตรสิกขา สังสารวัฏ การปฏิบัติ-ละกิเลส และการบรรลุนิพพาน ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นความจำเป็นในการปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรมให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ ข้อเสนอแนะสำคัญคือควรมีการพัฒนาระบบการเรียนการสอนธรรมบทออนไลน์ที่ครอบคลุมทั้งพระไตรปิฎก และควรมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการเรียนรู้พระไตรปิฎกแบบครบวงจร</p> พระมหาวัฒนา คำเคน พระศรีสุทธิเวที (ขวัญ แดงหน่าย) วิโรจน์ คุ้มครอง ธีรธวัช ภูมิประมาณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 11 3 994 1006 แนวทางการเจริญอานาปานสติของท่านพุทธทาสภิกขุตามหลักสติปัฏฐาน 4 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/280172 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “แนวทางการเจริญอานาปานสติของท่านพุทธทาสภิกขุตามหลักสติปัฏฐาน 4” มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา 3 ประการ ได้แก่ (1) เพื่อศึกษาแนวทางการเจริญอานาปานสติตามหลักสติปัฏฐาน 4 (2) เพื่อศึกษาแนวทางการเจริญอานาปานสติตามหลักของพุทธทาสภิกขุ (3) เพื่อนำเสนอการวิเคราะห์แนวทางการเจริญอานาปานสติของท่านพุทธทาสภิกขุตามหลักสติปัฏฐาน 4 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบคุณภาพ เชิงเอกสาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการเจริญอานาปานสติของท่านพุทธทาสภิกขุตามหลักสติปัฏฐาน 4 ที่พบ คือ เจริญอานาปานสติตามหลักสติปัฏฐาน 4 เป็นการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา คือ การรักษาศีล เจริญสติ และเจริญสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญารู้เห็นสภาพความเป็นจริง จุดเริ่มแห่งการเรียนรู้ คือ การเจริญกายานุปัสสนาในมหาสติปัฏฐาน เพื่อให้มีสติอย่างต่อเนื่องมี พลังเพียงพอในการเห็นการเกิดขึ้น เป็นการการทำลายการสืบต่อของอิริยาบถที่เรียกว่าสันตติการเห็นรูปนามเกิดดับสม่ำเสมอได้นั้น ต้องเป็นผู้มี ความเพียรมากพอ มีอินทรีย์ที่กล้าแข็ง การเจริญอานาปานสติตามหลักของพุทธทาสภิกขุ เป็นกระบวนการส่งเสริมการศึกษาสมาธิในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นวิธีการเจริญสมาธิเป็นการฝึกจัดระเบียบความคิดของตน เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน คือ การศึกษาเล่าเรียน การทำงานให้มีประสิทธิภาพ การพัฒนาบุคลิกภาพ และอย่างสูงก็เพื่อใช้เป็นฐานของการเจริญวิปัสสนาภาวนา สมาธิตามแนวคำสอนของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) คือ วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงฌานสมาธิ 4 นัย ได้แก่ คณนานัย อนุพันธนานัย ผุสนานัย และฐปนานัย และมีวิธีปฏิบัติที่เป็นวิปัสสนาภาวนาอีก 4 นัย ได้แก่ สัลลักขณานัย วิวัฏฏนานัย ปาริสุทธินัย และเตสัญจ ปฏิปัสสนานัย หรือ เรียกว่า อานาปานสติสมาธิ 16 ขั้น ซึ่งจะนำไปสู่การดับกิเลสการเจริญวิปัสสนาภาวนาในพระพุทธศาสนาได้แก่ การปฏิบัติในหลักสัมมาสติ คือ การใช้สติ และปัญญาพิจารณาในฐานทั้ง 4 อย่างต่อเนื่อง คือ สติที่เข้าไปตั้งมั่นในกาย เวทนา จิต และ ธรรม ผู้ปฏิบัติมีปัญญาพิจารณารูปนามในฐานทั้ง 4 จนเห็นแจ้งในอริยสัจ 4 สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้</p> พระถวัลย์ ชาตปญฺโญ (ชูแก้ว) วิโรจน์ คุ้มครอง พระมหาวิโรจน์ คุตตวีโร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1007 1022 รูปแบบการพัฒนาจิตตามหลักการเจริญสุทธวิปัสสนาเพื่อลดละความเครียด https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/267737 <p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “รูปแบบการพัฒนาจิตตามหลักการเจริญสุทธวิปัสสนาเพื่อลดละความเครียด” มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาหลักการพัฒนาจิตตามหลักสุทธวิปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาภาวะความเครียดที่มีผลต่อจิตใจ อารมณ์ และร่างกาย 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาจิตตามหลักการเจริญสุทธวิปัสสนาเพื่อลดละความเครียด โดยมีระเบียบวิธีการวิจัยวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 16 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า การเจริญสุทธวิปัสสนาเป็นการพัฒนาจิตเพื่อลดละความเครียด มุ่งแก้ไขสาเหตุความเครียดซึ่งเกิดจากจิตที่รู้ไม่เท่าทันการเกิด-ดับของอารมณ์และกิเลสปรุงแต่งจิต การกำหนดรู้ตัว รู้เท่าทันอารมณ์ รู้ปัจจุบันขณะ เป็นกลวิธีในการปรับปรุงจิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเพื่อเอื้อให้ระบบร่างกาย สมองทำงานปกติ การเจริญสุทธวิปัสสนาเป็นการรู้ทันความคิดปรุงแต่งทันที ซึ่งความคิดไม่มีการจัดระเบียบ และความคิดที่เกิดนั้นมักประกอบด้วยโทสะ โลภะ และโมหะซึ่งส่งผลให้เกิดความเครียด การเจริญสุทธวิปัสสนาช่วยให้สามารถแยกความคิดออกจากจิตด้วยสติปัญญา โดยการกำหนดรู้ความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวะความคิดที่กำลังเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลาตามความเป็นจริง ผลของการกำหนดรู้จะทำให้สติมีกำลัง รู้เท่าทันสภาวะ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ กลัว วิตกกังวล ตลอดจนถูกบีบคั้น ก็จะทำให้ภาวะความเครียดที่เกิดจากการยึดติดอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นทุเลาเบาบางลงและละขาดได้หากเจริญวิปัสสนาจนถึงมรรคญาณ ได้รูปแบบ 3 รู้ คือ รู้ตน รู้ทันอารมณ์ตามความจริง และ รู้ปัจจุบัน (STP-3 Model) S=Self knowing, T= Truth knowing, P= Present knowing.</p> พระชุติพนธ์ อิทฺธิโสภโณ (บุตรศรีมาตย์) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1023 1031 การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้าย ของศูนย์พุทธวิธีดูแลผู้ป่วย ระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด จังหวัดนครราชสีมา เชิงพุทธบูรณาการ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281374 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายของศูนย์พุทธวิธีดูแลผู้ป่วยระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้าย ของศูนย์พุทธวิธีดูแลผู้ป่วยระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด จังหวัดนครราชสีมา และ 3) เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้ายของศูนย์พุทธวิธีดูแลผู้ป่วยระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด จังหวัดนครราชสีมา เชิงพุทธบูรณาการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การวิจัยเอกสาร และการวิจัยภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกเชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 20 รูป/คน และการเข้าร่วมเสวนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และนำเสนอผลการวิจัยในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายของศูนย์ฯ ใช้หลัก “พุทธธรรมนำโลก” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาตนเองผ่านการปฏิบัติธรรม 3 เวลา และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 ในการพัฒนาให้มีสติ 3 ระดับ เป็นพื้นฐานให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิตตามกฎไตรลักษณ์ ภายใต้แนวทาง “กายป่วย ใจไม่ป่วย” เน้นการรักษาจิตใจด้วยธรรมะ ดูแลจิตวิญญาณให้เป็นกุศลโดยไม่ได้เน้นที่การรักษากาย หลักพุทธธรรมที่นำมาใช้ ได้แก่ หลักภาวนา 4 และหลักสติสัมปชัญญะ ส่งเสริมการพัฒนาตนเองทั้ง 4 มิติ ได้แก่ กาย จิต สังคม และปัญญา ทำให้ผู้ป่วยมีความตระหนักรู้ในธรรมชาติของชีวิต ลดความกลัวตาย ความวิตกกังวล และคลายความยึดมั่นถือมั่น รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้าย เน้นการมีสติ พัฒนาจิตวิญญาณให้เป็นกุศล อยู่บนพื้นฐานของหลักพุทธธรรม มุ่งสร้างความหมายและคุณค่าในช่วงท้ายของชีวิต และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้ายอย่างแท้จริง ทั้งในด้านจิตวิญญาณและในบริบทสังคมวัฒนธรรม</p> <p>ผลการวิจัยได้เสนอ LIVE Model เป็นแบบจำลองการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้ายเชิงพุทธบูรณาการ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ L (Learn the Truth) ศึกษาความจริงของชีวิตผ่านการปฏิบัติธรรม I (Integrate Holistic Well-being) บูรณาการสุขภาวะทั้ง 4 ด้านด้วยหลักภาวนา 4 V (Value Spiritual Development) พัฒนาจิตวิญญาณผ่านการเป็นอาจารย์ใหญ่ให้ธรรมทาน E (Enlighten to Let Go) เข้าถึงปัญญาและปล่อยวาง สามารถ “มีสติ อยู่ดี วิถีพุทธ” แบบจำลองนี้เป็นนวัตกรรมทางพุทธบูรณาการที่ช่วยให้ผู้ป่วยเผชิญความแก่ เจ็บ และตาย ได้อย่างไม่ทุกข์ อยู่กับปัจจุบันอย่างมีคุณค่า และสามารถจากไปอย่างมีศักดิ์ศรีในวิถีแห่งปัญญาของชาวพุทธ</p> ศศิวิมล พัฒเสมา พระแสนปราชญ์ ปญฺญาคโม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1032 1049 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281701 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แผนการวิจัยแบบ One Group Pretest-Posttest Design โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จำนวน 3 แผน 2) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนและหลังเรียน และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้กิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษ นำไปวิเคราะห์ทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนบ้านเขาคันทรง ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 25 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนหลังเรียนด้วยกิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นผลมาจากนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานที่มีขั้นตอนที่ชัดเจน เรียงลำดับจากง่ายไปยาก และให้นักเรียนสามารถคิดตามได้อย่างเป็นขั้นตอน อีกทั้งการใช้นิทานร่วมกับกิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานที่เหมาะสมกับผู้เรียนระดับประถมศึกษา รวมถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษ เป็นการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการอ่าน โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนอ่านเป็น ซึ่งผู้วิจัยให้ความสำคัญต่อการอ่านเพื่อความเข้าใจทั้ง 6 ทักษะ ได้แก่ 1) การอ่านเพื่อหาใจความสำคัญ 2) การอ่านเพื่อหารายละเอียด 3) การอ่านเพื่อคาดเดาความหมายของคำศัพท์จากบริบท 4) การอ่านเพื่อลำดับเหตุการณ์ 5) การอ่านเพื่อหาข้อสรุป และ 6) การอ่านเพื่อระบุคติหรือข้อคิดจากเรื่อง ช่วยส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2) เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงาน ร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมการอ่านแบบเน้นภาระงานร่วมกับการใช้นิทานภาษาอังกฤษ เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนในการส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและเพิ่มพูนความรู้ด้านการอ่าน โดยวิธีการประเมินความสามารถในการอ่านทั้งเป็นแบบทดสอบและแบบฝึก รวมถึงการประเมินในลักษณะอื่นๆ ที่หลากหลายในระหว่างทำการทดลอง เหมาะสมกับผู้เรียนในวัยประถมศึกษา อีกทั้งภาระงานในทุกขั้นตอนที่ผู้วิจัยกำหนดให้นักเรียนปฏิบัติสอดคล้องกับเรื่องที่อ่าน และเหมาะสมกับความสามารถทางการอ่านเพื่อความเข้าใจของผู้เรียน</p> ทวินันท์ จินตพิทักษ์กุล สุนีตา โฆษิตชัยวัฒน์ มัณฑนา พันธุ์ดี สุทธิญา คงใหญ่ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1050 1063 รูปแบบการศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา: กรณีศึกษาคัมภีร์อภิธัมมาวตาร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/283725 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพของรูปแบบการศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา: กรณีศึกษาในคัมภีร์อภิธัมมาวตาร 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา: กรณีศึกษาในคัมภีร์อภิธัมมาวตาร 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา: กรณีศึกษาในคัมภีร์อภิธัมมาวตาร วิจัยเอกสารเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาตามแนวคัมภีร์พระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ เป็นคำบรรยาย ซึ่งได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์อภิธัมมาวตารมีทั้งหมด 24 ปริเฉท กล่าวโดยสรุปมีเนื้อหาสำคัญอยู่ 4 ประเด็น คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน การอธิบายใช้ทั้งร้อยกรอง ร้อยแก้ว อย่างเป็นระบบ แม้จะใช้ถ้อยคำน้อยก็เก็บความไว้ได้มาก ลึกซึ้ง สุขุม คัมภีรภาพด้วยเนื้อหา ความคล้ายกับคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะของท่านอนุรุทธาจารย์ และคัมภีร์วิสุทธิมรรค ภาค 3 ปัญญานิทเทสของทานพุทธโฆสาจารย์ คัมภีร์อภิธัมมาวตารนี้ถือเป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถา โดยมีฎีกาแต่งแก้ขยายความอยู่ 2 คัมภีร์ คือ อรรถกถาเก่า และอภิธัมมัตถวิลาสินี ของพระสุมังคลาจารย์ ส่วนสรุปปัญญาวิมุตติ <strong> คือ </strong>หลุดพ้นด้วยปัญญา เป็นปัญญาวิมุติ เมื่อศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา จะพบ 2 คำนี้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาซึ่งมีความหมายหลายนัย ในบางแห่ง แสดงว่าฌานจิตทุกระดับเป็นเจโตวิมุตติ เป็นความหลุดพ้นด้วยกำลังแห่งฌานขั้นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นข่มกิเลสไว้ได้ ในบางแห่งหมายถึง สมาธิ (เอกัคคตาเจตสิก) ในอรหัตตผล ชื่อว่า เจโตวิมุตติ คำว่า ปัญญาวิมุตติ ในอรรถกถาบางแห่ง แสดงไว้ว่า หมายถึง ปัญญาในอรหัตตผล และในบางแห่งกล่าวถึง การบรรลุเป็นพระอรหันต์ โดยที่ไม่ประกอบด้วยฌานขั้นใดขั้นหนึ่งเลย เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ</p> พระราชรัตนมุนี สมบูรณ์ จารุณะ ธีร์ธวัช ภูมิประมาณ พระมหาโกมล กมโล พระมหาอุดร สุทฺธิญาโณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-02 2025-12-02 11 3 1064 1079 กระบวนการส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุด้วยหลักวิปัสสนากรรมฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/282326 <p>บทความวิจัยนี้ วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสุขภาวะกายกับจิต และกระบวนการส่งเสริมสุขภาวะทางกายกับจิตผู้สูงอายุ 2) ศึกษาหลักวิปัสสนากรรมฐานเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางกายกับจิตผู้สูงอายุ และ 3) ศึกษาและนำเสนอกระบวนการส่งเสริมสุขภาวะทางกายกับจิตผู้สูงอายุด้วยหลักวิปัสสนากรรมฐาน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ปฏิบัติธรรม ณ วัดพิชยญาติการาม จำนวน 15 ราย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สุขภาวะทางกายและจิตของผู้สูงอายุมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง การพัฒนาอย่างสมดุลในทั้งสองมิติส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน โดยสุขภาวะที่ดีเกิดจากการมีสติรู้ตน การยอมรับสภาวะของชีวิต และการจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้วยตนเองและการได้รับการสนับสนุนจากบุคคลรอบข้าง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานช่วยส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุในทุกมิติ ได้แก่ กาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ผู้สูงอายุมีความสามารถในการเผชิญปัญหาชีวิตด้วยจิตใจที่สงบ ลดความเครียด พัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัว และรู้สึกถึงคุณค่าและความหมายในชีวิต การฝึกวิปัสสนาในชีวิตประจำวันเป็นกระบวนการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างยั่งยืน กระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะของผู้สูงอายุด้วยวิปัสสนากรรมฐานอาศัยหลัก ภาวนา 4 ได้แก่ 1) กายภาวนา ฝึกกำหนดลมหายใจและเจริญสติในอิริยาบถ 2) ศีลภาวนา ประพฤติดี อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีเมตตา 3) จิตตภาวนา ฝึกสมาธิ เจริญเมตตาเพื่อลดความฟุ้งซ่านและความเหงา 4) ปัญญาภาวนา พิจารณาความไม่เที่ยงของชีวิต เข้าใจตนเองและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ผลการฝึกดังกล่าวก่อให้เกิดสุขภาวะทางกายที่ดี เช่น การนอนหลับดีขึ้น ลดอาการปวดเรื้อรัง สุขภาวะทางจิตใจมั่นคงขึ้น และมีทัศนคติที่เกื้อกูลต่อความแก่ เจ็บ และตาย โดยสรุป วิปัสสนากรรมฐานเป็นแนวทางการส่งเสริมสุขภาวะแบบองค์รวมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุในบริบทไทย ทั้งในเชิงปัจเจก ครอบครัว และชุมชน</p> พระครูวินัยธรจิรภัทรส์ จิตฺตโสภโณ (มีทองแสน) พระมหาโกมล กมโล กมโล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1080 1093 รูปแบบการเสริมการเสริมสร้างความสามัคคีเชิงพุทธบูรณาการในทัศนะ โรงเรียนโยธินบูรณะ กรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/282487 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเสริมสร้างความสามัคคีในทัศนะของโรงเรียนโยธินบูรณะ กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมการเสริมสร้างความสามัคคีในทัศนะของโรงเรียนโยธินบูรณะ กรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการเสริมสร้างความสามัคคีเชิงพุทธบูรณาการในทัศนะของโรงเรียนโยธินบูรณะ กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยค้นคว้าข้อมูลเอกสารและสัมภาษณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การเสริมสร้างความสามัคคีในทัศนะของโรงเรียนโยธินบูรณะ มีการวางแผนการจัดกิจกรรมของนักเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ มีการนำเข้าสู่กิจกรรม กำหนด และวิธีขั้นตอนการมีส่วนร่วมทำกิจกรรมของนักเรียนนั้น โดยใช้กระบวนการแบบ Active learning สื่อที่ใช้จูงใจให้นักเรียนต้องการเรียนรู้เพื่อทำกิจกรรม มีการวัดผลประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ และสรุปผลการร่วมทำกิจกรรมของนักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนในการเสริมสร้างความสามัคคีที่ดีขึ้น สำหรับหลักพุทธธรรมที่ใช้บูรณาการในการจัดกิจกรรมของนักเรียน เพื่อปลูกฝังคุณธรรมการเสริมสร้างความสามัคคี คือ หลักสาราณียธรรม 6 รูปแบบของการเสริมสร้างความสามัคคี คือ การจัดกิจกรรมของโรงเรียน ได้แก่ การเข้าค่ายคุณธรรมพุทธบุตร เข้าค่ายลูกเสือ กิจกรรมกีฬาสี และจิตอาสา เป็นต้น องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ คือ โมเดล PVS สร้างคนดีสู่สังคม ประกอบด้วย 1) P= Physical unity คือ การสามัคคีทางกาย 2) V= Verbal unity คือ การสามัคคีทางวาจา 3) S= Spiritual unity คือ การสามัคคีทางจิตใจ โดยการนำหลักพุทธธรรมเข้ามาเสริมสร้างความสามัคคีได้อย่างเป็นรูปธรรม สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัย ออกมาในรูปแบบ PVS Model</p> พระเฉลิมชัย อธิวชิรโย (มาตราช) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1094 1109 วิเคราะห์สังฆกรรมในอุโปสถขันธกะ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/277961 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาความเป็นมาเกี่ยวกับสังฆกรรมในอุโปสถขันธกะ 2) เพื่อวิเคราะห์สังฆกรรมในอุโปสถขันธกะ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สรุปวิเคราะห์ เรียบเรียง บรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นมาเกี่ยวกับสังฆกรรมในอุโปสถขันธกะนั้น พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์ประชุมกันเพื่อกล่าวธรรม ทรงอนุญาตให้ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่ภิกษุผู้พร้อมเพรียง ทรงอนุญาตสีมา โรงอุโบสถ การยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงโดยย่อ การถามการวิสัชนาพระวินัย การฟ้องร้อง การคัดค้านทำกรรมที่ไม่ชอบด้วยธรรม การอาราธนาผู้ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง การเรียนวิธีนับปักษ์ บุพพกรณ์และบุพพกิจ การมอบปาริสุทธิ การมอบฉันทะ วิธีแก้ไขอาบัติ วิธีเปิดเผยอาบัติ บุคคลที่ควรเว้นในอุโบสถกรรม วิเคราะห์สังฆกรรมในอุโปสถขันธกะ อุโบสถกรรมมีความเกี่ยวข้องกันกับสีมา เป็นสถานที่ทำสังฆกรรม เป็นเขตความพร้อมเพรียงของสงฆ์ในการทำสังฆกรรม โดยมีเครื่องหมายกำหนดเขตชัดเจน</p> ธีรเพชร มาตพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-03 2025-08-03 11 3 1110 1121 โวหารอภิธัมมมาติกาสำนวนล้านนา : การปริวรรต ตรวจชำระ และการศึกษาวิเคราะห์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281597 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพื่อปริวรรตคัมภีร์โวหารอภิธัมมมาติกาสำนวนล้านนา 2) เพื่อตรวจชำระภาษาบาลีในคัมภีร์โวหารอภิธัมมมาติกาสำนวนล้านนา และ 3) เพื่อวิเคราะห์คัมภีร์โวหารอภิธัมมมาติกาสำนวนล้านนา งานวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเอกสาร จากข้อมูลปฐมภูมิคือ โวหารอภิธัมมมาติกาสำนวนล้านนา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบโวหารและภาษาที่ใช้ในอภิธัมมมาติกาสำนวนล้านนา ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่ได้รับการถ่ายทอดและสืบทอดในภูมิภาคล้านนา คัมภีร์ โวหารอภิธัมมมาติกาสำนวนล้านนา เป็นเอกสารทางพระพุทธศาสนาที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการสืบทอดและเผยแพร่ภูมิปัญญาเชิงอภิธรรมในดินแดนล้านนา การปริวรรตคัมภีร์ดังกล่าวเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เนื้อหาสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับการศึกษาและทำความเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่ภาษาล้านนาโบราณอาจมีข้อจำกัดในการตีความซึ่งการปริวรรตเริ่มต้นจากการรวบรวมต้นฉบับที่มีอยู่ และทำการตรวจชำระเพื่อให้ได้เนื้อหาที่ถูกต้องและสมบูรณ์ จึงดำเนินการถอดความและแปลภาษาให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงปรับสำนวนให้เหมาะสมกับการศึกษาทางพระพุทธศาสนาและการใช้งานในบริบททางวิชาการ การศึกษาวิเคราะห์ในกระบวนการนี้ทำให้เห็นลักษณะเฉพาะของโวหารและสำนวนที่ใช้ในการสื่อสารหลักธรรมทางอภิธรรม ซึ่งแตกต่างจากภาษาพื้นบ้านและการแสดงเนื้อหาทางพระพุทธศาสนาในบริบทอื่น</p> พระครูชัยรัตนบรรพต ภูไทย สุรินดร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1122 1135 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม เพื่อพัฒนามโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความคงทนในการเรียนรู้ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281688 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) ศึกษาพัฒนาการด้านมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน3) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 4) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ด้านมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดพลอยกระจ่างศรี (บุญยังราษฎร์นาวีอุปถัมภ์) จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม จำนวน 5 แผน 2) แบบวัดมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นแบบวัดชนิดเลือกตอบ 2 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นตัวเลือกที่เป็นคำตอบและตัวลวง 4 ตัวเลือก และส่วนที่สองเป็นตัวเลือกที่เป็นเหตุผล 4 ตัวเลือก รวมทั้งหมด 25 ข้อ และ 3) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 5 สถานการณ์ แต่ละสถานการณ์ประกอบด้วยคำถาม 6 ทักษะขั้นบูรณาการ วิเคราะห์ข้อมูลสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที แบบกลุ่มตัวอย่างที่สัมพันธ์กัน และแบบหนึ่งกลุ่มตัวอย่าง และคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) มโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน <br />2) คะแนนพัฒนาการด้านมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม อยู่ในระดับสูง 3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 4) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับบอร์ด มีความคงทนในการเรียนรู้ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน โดยมีคะแนนมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนและหลังเรียนไปแล้ว 2 สัปดาห์ ไม่แตกต่างกัน</p> ปฐมวงศ์ คำบุศย์ ธนาวุฒิ ลาตวงษ์ สมศิริ สิงห์ลพ ลักษณ์มงคล ถาวรณา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1136 1152 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/282130 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงานและขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง .67–1.00 ค่าความเที่ยงเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและการทดสอบความแปรปรวนรายคู่ด้วยวิธี LSD </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล รองลงมา คือด้านการกระตุ้นทางปัญญา ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ตามลำดับ และ 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ทั้งภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 เมื่อจำแนกตามอายุ ระดับการศึกษาและประสบการณ์การทำงานทั้งภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยพบความแตกต่างระหว่างสถานศึกษาขนาดเล็กกับขนาดใหญ่ และในด้านการมีอิทธิผลอย่างมีอุดมการณ์พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ระหว่างสถานศึกษาขนาดเล็กกับขนาดกลาง ขนาดใหญ่และขนาดใหญ่พิเศษ </p> ภาริษา คงเจริญ วิณัฐธพัชร์ โพธิ์เพชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1153 1170 วิเคราะห์อนุปุพพิกถาเพื่อการบรรลุธรรม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/282647 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาอนุปุพพิกถาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท และ 2) เพื่อวิเคราะห์อนุปุพพิกถาเพื่อการบรรลุธรรม เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยการศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น คัมภีร์วิสุทธิมรรค เป็นต้น ตรวจสอบโดยอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญปรับปรุงแก้ไข เรียบเรียงบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p> จากการศึกษาพบว่า อนุปุพพิกถาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นการเทศนาค่อยเป็นค่อยไปที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สาวก เพื่อเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการเข้าใจอริยสัจ 4 โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ทาน ชี้ให้เห็นคุณค่าแห่งการให้ ทรัพย์ สติปัญญา และความเมตตา ว่าเป็นฐานสำคัญแห่งความสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต ศีล เน้นการรักษากาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์ หลักการละเว้นจากการกระทำที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สวรรค์ อธิบายผลบุญที่บริสุทธิ์จะนำไปสู่ภพภูมิสุขสวรรค์ กระตุ้นแรงจูงใจให้ยึดถือทานและศีลอย่างเด็ดเดี่ยว นิวรณ์ ชี้ให้เห็นคุณค่าของการถอนตัณหาและความยึดมั่นออกจากใจ เพื่อน้อมเข้าสู่ทางมรรค ปลดปล่อยจากความทุกข์ อริยสัจ 4 เมื่อปราศจากตัณหาและพร้อมด้วยศีลสมาธิ ก็ถึงขั้นสุดท้ายคือการเข้าใจทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และมรรคหนทางดับทุกข์ เชื่อมโยงการปฏิบัติพื้นฐาน ทาน ศีล ไปสู่แก่นแท้ของพุทธธรรม</p> <p> อนุปุพพิกถาเพื่อการบรรลุธรรม การแสดงธรรมโดยลำดับเพื่อชี้ให้เห็นสัจธรรม และเตรียมจิตใจของผู้ฟังให้พร้อมสำหรับการรับรู้ธรรมะที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุธรรมในที่สุด โดยปกติจะประกอบด้วยธรรม 5 หมวด อันได้แก่ 1. ทานกถา เรื่องทาน 2. สีลกถา เรื่องศีล 3. สัคคกถา เรื่องสวรรค์ 4. กามาทีนวกถา เรื่องโทษของกาม 5. เนกขัมมานิสังสกถา เรื่องอานิสงส์แห่งการออกบวช การไม่หมกมุ่นในกาม อนุปุพพิกถาจึงเป็นกระบวนการที่ค่อยๆ ปรับปรุงจิตใจของผู้ฟังจากขั้นหยาบไปสู่ขั้นละเอียด ทำให้จิตใจเปิดกว้างและพร้อมที่จะรับฟังธรรมะที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นั่นคือ อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ซึ่งเป็นหัวใจของการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา</p> พระภัทร์ไพบูลย์ อภิวฑฺฒโน (คำวิลานนท์) อำพล บุดดาสาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1219 1231 วิเคราะห์การเกิดขึ้นของอนุโลมญาณในการเจริญวิปัสสนาภาวนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/282714 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาอนุโลมญาณในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อวิเคราะห์การเกิดขึ้นของอนุโลมญาณในการเจริญวิปัสสนาภาวนา ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยการนำข้อมูลมาเรียบเรียง วิเคราะห์ สรุป และบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลจากการวิจัยพบว่า อนุโลมญาณในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้อริยสัจ เป็นญาณที่มีกิจเห็นพ้องต้องกับวิปัสสนาญาณเบื้องต้น เป็นปัญญาที่สามารถไตร่ตรองสภาวธรรมว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน โดยคล้อยตามหลักโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เป็นลำดับสุดท้ายของวิปัสสนาญาณในส่วนของโลกียะซึ่งจะนำให้บรรลุอริยมรรค อริยผลอย่างแท้จริง การเกิดขึ้นของอนุโลมญาณในการเจริญวิปัสสนาภาวนา เริ่มจากการเจริญสติปัฏฐาน 4 พิจารณารู้รูป-นามตามความเป็นจริง คือ การพิจารณากาย เช่น ดูลมหายใจเข้า-ออก เป็นต้น การพิจารณาเวทนา เช่น สุข ทุกข์ เฉย ๆ การพิจารณาจิต เช่น จิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ เป็นต้น และการพิจารณาธรรม เช่น การเข้าใจในอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือ การพิจารณารู้ตามลำดับขั้นตอนของวิสุทธิ 7 คือ วิธีชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ที่ทำให้ไตรสิกขาให้บริบูรณ์เป็นขั้น ๆ เมื่อถึงขั้นอนุโลมญาณ จิตจะพิจารณาเริ่มใหม่ในอุทยัพพยญาณ ไปจนถึง สังขารุเบกขาญาณ และเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าถึงวิปัสสนาญาณ 16 คือ มรรค ผล และนิพพาน ตามลำดับ</p> พระจารุพร ตปสีโล คงคาทิพย์ พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ประเวศ อินทองปาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1232 1246 ศึกษาการปฏิบัติเพื่อความสิ้นกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/282636 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษากรรมในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติเพื่อความสิ้นกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงเอกสาร โดยศึกษาข้อมูลจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยการนำข้อมูลมาเรียบเรียง วิเคราะห์ สรุป และบรรยายเชิงพรรณนา ผลจากการวิจัยพบว่า กรรม แบ่งเป็น 3 ประเภท 12 ชนิด ได้แก่ 1) จำแนกการให้ผล คือ ชนกกรรม กรรมนำไปเกิด, อุปัตถัมภกกรรม กรรมช่วยสนับสนุน, อุปปีฬกกรรม กรรมที่ให้ผล และอุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน 2) จำแนกลำดับให้ผล คือ ครุกกรรม กรรมที่ให้ผลก่อน, พหุลกรรม กรรมที่เคยชิน, อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน และ กตัตตากรรม กรรมสักว่าทำ 3) จำแนกเวลาให้ผล คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน, อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพหน้า, อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพต่อ ๆ ไป และ อโหสิกรรม กรรมที่เลิกให้ผล การปฏิบัติเพื่อความสิ้นกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ การปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 เพื่อความสิ้นกรรม สงเคราะห์เข้าในหลักไตรสิกขา ดังนี้ 1) อธิสีลสิกขา การฝึกในด้านศีล ได้แก่ สัมมาวาจา คือ ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย สัมมากัมมันตะ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และ สัมมาอาชีวะ คือ ไม่ประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรม 2) อธิจิตตสิกขา การฝึกจิตให้มั่นคง ได้แก่ สัมมาวายามะ คือ เพียรละอกุศล เพียรทำกุศลให้เจริญ สัมมาสติ คือ มีสติพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม และ สัมมาสมาธิ การเจริญฌานให้จิตสงบ และ 3) อธิปัญญาสิกขา การฝึกปัญญา เพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ คือ การกำหนดรู้ในอริยสัจจ์ 4 และ สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริเพื่อออกจากกาม ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน</p> สมคิด กลิ่นกันหา พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ อำพล บุดดาสาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-02 2025-12-02 11 3 1293 1306 การบริหารจัดการคณะสงฆ์ตามแผนยุทธศาสตร์ การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281459 <p> บทความเรื่อง “การบริหารจัดการคณะสงฆ์ตามแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา”เพื่อศึกษา วิเคราะห์การบริหารกิจการคณะสงฆ์ตามแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา 20 ปี แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2560-2564) เป็นปีแห่งการเริ่มการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา โดยเริ่มจากการปรับปรุงกระบวนการการทำงานให้โปร่งใส ตามหลักธรรมาภิบาล ได้รับการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ระยะที่ 2 (พ.ศ.2565-2569) เป็นการสร้างความเข้มแข็งขององค์กรพระพุทธศาสนา ด้วยการบูรณาการกระบวนการทำงานทุกด้านของคณะสงฆ์ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2570-2574) เป็นการเสริมความมั่นคงขององค์กรพระพุทธศาสนา ด้วยการเรียนรู้และพัฒนายกระดับสังคมให้มีคุณภาพ ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2575-2579) โดยใช้ 4 ยุทธศาสตร์ ในการดำเนินการ คือ (1) สร้างความมั่นคงด้านพระพุทธศาสนา (2) ยกระดับกระบวนการบริหารจัดการภายใน (3) พัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้เชิงพุทธ (4) มีทรัพยากรเพียงพอในการขับเคลื่อนกิจการพระพุทธศาสนา บัดนี้การขับเคลื่อนกิจการของการทำปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ มาถึง ระยะที่ 2 มีแนวโนมที่จะสัมฤทธิ์ผลตามบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการองค์กรสงฆ์ คือ (1) ด้านการปกครอง (2) ด้านการศาสนศึกษา (3) ด้านการศึกษาสงเคราะห์ (4) ด้านการเผยแผ่ระพุทธศาสนา (5) ด้านการสาธารณูปการ และ(6) ด้านการสาธารณสงเคราะห์ สมดังที่ตั้งวิสัยทัศนในแผนยุทธศาสตรฯ วา “พุทธศาสตรมั่นคง ดำรงศีลธรรม นำสังคมสันติสุขอย่างยั่งยืน”</p> พระมหาภาคภูมิ ภหฺหเมธี สมคิด เศษวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1171 1186 ญาณเห็นเกิดดับ: แก่นกลางของวิปัสสนาญาณในพระพุทธศาสนาเถรวาท https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281488 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ “อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ” หรือ “ญาณเห็นเกิดดับ” อันเป็นญาณขั้นที่สี่ในโสฬสญาณ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนาญาณที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยศึกษาผ่านการวิเคราะห์เชิงเอกสารจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา คัมภีร์วิสุทธิมรรค ตลอดจนวรรณกรรมของคณาจารย์สายวิปัสสนา พบว่า ญาณนี้มีบทบาทสำคัญในฐานะ "แก่นกลาง" ของกระบวนการเจริญปัญญา เพราะเป็นจุดเปลี่ยนจากการรู้ตามแนวคิดเชิงปริยัติ ไปสู่การรู้แจ้งเชิงประจักษ์ ผ่านการเห็นรูปนามตามความเป็นจริงในแง่ของไตรลักษณ์ ผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงญาณนี้จะเริ่มเห็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างต่อเนื่อง และสามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่เรียกว่า “วิปัสสนูปกิเลส” อันเป็นเครื่องเศร้าหมองที่เกิดร่วมกับญาณในช่วงต้น งานศึกษานี้จึงยืนยันว่า อุทยัพพยานุปัสสนาญาณมิใช่เพียงญาณขั้นหนึ่งในโสฬสญาณเท่านั้น หากแต่เป็นฐานที่มั่นในการเจริญมรรควิถีอย่างถูกต้อง ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ อันนำไปสู่การพ้นทุกข์ตามแนวทางของพระพุทธองค์</p> พระสมุห์ก้องณพัฒน์ ฐานากโร (วัฒนะบวรโยธิน) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1187 1201 การนำหลักพละ 5 ในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ ในการพัฒนาทักษะชีวิตในศตวรรษที่ 21 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281593 <p>การศึกษานี้มุ่งเน้นการนำหลักพละ 5 ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาทักษะชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยพละ 5 ประกอบด้วย ศรัทธา (ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดี) วิริยะ (ความเพียรในการปฏิบัติ) สติ (การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม) สมาธิ (ความตั้งมั่นของจิตใจ) และ ปัญญา (ความรู้และความเข้าใจในธรรมชาติของชีวิต) ซึ่งล้วนเป็นหลักธรรมที่สามารถส่งเสริมความสามารถของบุคคลให้เผชิญกับความท้าทายของโลกยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิตที่จำเป็น ได้แก่ การคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ, การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์, การบริหารจัดการอารมณ์ และความเครียด รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิผล การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า พละ 5 สามารถเป็นกรอบแนวคิดที่มีคุณค่าในการพัฒนาทักษะดังกล่าว โดยการเชื่อมโยงหลักธรรมแต่ละข้อกับทักษะชีวิตที่จำเป็น เช่น ศรัทธา ช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นในตนเอง และความยืดหยุ่นทางอารมณ์ วิริยะ ช่วยส่งเสริมความพากเพียร และความอดทนในการพัฒนาตนเอง สติ ช่วยเสริมสร้างการรับรู้และการจัดการอารมณ์ สมาธิ ช่วยเพิ่มสมรรถนะ การจดจ่อ และวางแผน และปัญญา ช่วยในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุผล การนำพละ 5 ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาทักษะชีวิต สามารถช่วยให้บุคคลสามารถปรับตัว และพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นแนวทางที่ช่วยเสริมสร้างความสุข และความสมดุลในชีวิตส่วนตัว และสังคม การศึกษานี้จึงเสนอแนะแนวทางปฏิบัติสำหรับการพัฒนาทักษะชีวิต โดยใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาเป็นฐาน เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี และยั่งยืนในยุคปัจจุบัน</p> พระชานุวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน ฉวีลักษณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-25 2025-11-25 11 3 1202 1218 บทบาทของหลักสาราณียธรรมในการจัดการความขัดแย้ง เพื่อการพัฒนาชุมชนสันติสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281594 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอหลักสาราณียธรรม 6 ประการที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท และวิเคราะห์บทบาทของหลักธรรมดังกล่าวในการจัดการความขัดแย้งและเสริมสร้างชุมชนสันติสุข หลักสาราณียธรรมประกอบด้วย 1) เมตตากายกรรม 2) เมตตาวจีกรรม 3) เมตตามโนกรรม 4) การแบ่งปันผลประโยชน์ 5) การมีศีลเสมอกัน และ 6) การมีความเห็นชอบร่วมกันในทางธรรม ล้วนเป็นหลักธรรมที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวบนพื้นฐานของความเมตตา ความไว้วางใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน การประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้สามารถลดความขัดแย้งภายในชุมชน ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้าง ความร่วมมือ และจิตสำนึกร่วมในการแก้ไขปัญหา หลักสาราณียธรรมมิใช่เพียงหลักการทางศีลธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือทางสังคมที่ทรงพลังในการสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลมเกลียวซึ่งส่งเสริมการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการรักษาศีลในระดับที่เท่าเทียมกันก่อให้เกิดมาตรฐานทางคุณธรรมร่วม ขณะที่การมีทิฏฐิร่วมกันในทางธรรมช่วยสร้างกรอบคิดที่สอดคล้อง ซึ่งเอื้อให้เกิดเอกภาพทางสังคม ลดความร้าวฉาน และหลีกเลี่ยงความเห็นต่างที่นำไปสู่ความแตกแยก จากกรณีศึกษาชุมชนที่มีการนำหลักสาราณียธรรมไปประยุกต์ใช้ในระดับนโยบายและกิจกรรมประจำชุมชน พบว่า ชุมชนสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่สงบสุข มีความสามัคคี และมีแนวโน้มในการแก้ไขปัญหาภายในได้อย่างสันติ สมาชิกมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีเจตนารมณ์ร่วมในการรักษาชุมชนให้น่าอยู่ และสามารถจัดการความขัดแย้งได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง ดังนั้น การใช้หลักสาราณียธรรม 6 เป็นกลไกในการพัฒนาชุมชนมิใช่เพียงการส่งเสริมคุณธรรมเฉพาะบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้าง “วัฒนธรรมแห่งความกลมเกลียว” ซึ่งสามารถยกระดับจิตใจและวิถีชีวิตของผู้คนให้มีความเข้าใจ เห็นใจ และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นคงและสันติสุข</p> พระครูวชิรคุณาภิวัฒน์ สมคิด ญาณทีโป ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-02 2025-12-02 11 3 1247 1262 การใช้หลักอริยสัจ ๔ ในการบำบัดทางจิตใจและการรักษาโรคทางจิต https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281595 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้หลักอริยสัจ 4 ในการบำบัดทางจิตใจ และการรักษาโรคทางจิต โดยเน้นการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาในการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าใจ และรับมือกับความทุกข์ได้อย่างมีสติ และปัญญา อริยสัจ 4 ซึ่งประกอบด้วยทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยเห็นต้นเหตุของความทุกข์ (สมุทัย) และการค้นหาวิธีการที่จะนำไปสู่การลดหรือดับทุกข์นั้น (นิโรธ) ผ่านการปฏิบัติตามมรรคที่นำไปสู่การพัฒนาจิตใจและการฟื้นฟูสุขภาพจิต การประยุกต์ใช้หลักอริยสัจ 4 สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจในธรรมชาติของความทุกข์ และสามารถจัดการกับปัญหาทางจิตใจอย่างมีสติ อีกทั้งยังช่วยลดความวิตกกังวล และความเครียดได้อย่างยั่งยืน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การฝึกฝน และการปฏิบัติตามหลักอริยสัจ 4 มีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพจิต และสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคทางจิตใจในยุคปัจจุบัน</p> <p>บทความนี้จะเน้นการศึกษาการใช้หลักอริยสัจ 4 เพราะในปัจจุบันการบำบัดทางจิตใจ และการรักษาโรคทางจิตได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในวงการแพทย์ และจิตวิทยา โดยมีวิธีการหลากหลายที่ใช้ในการช่วยบำบัด และรักษาผู้ป่วย หนึ่งในหลักธรรมที่มีศักยภาพในการบำบัด และรักษา คือ อริยสัจ 4 หลักการเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าใจ และจัดการกับความทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ปัญญา และการปฏิบัติทางจิตใจ เพื่อปลดปล่อยจากความทุกข์ และนำไปสู่สภาวะของการหายจากโรคทางจิต สามารถเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและลดปัญหาทางจิตใจในระยะยาว</p> พระครูสิทธิสรคุณ ถิรจิตโต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-02 2025-12-02 11 3 1263 1278 การประยุกต์ใช้หลักธรรมเรื่อง “สติ” ของพระพุทธเจ้า เพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตที่สมดุลของพุทธศาสนิกชนในสังคมไทยยุคปัจจุบัน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Palisueksabuddhaghosa/article/view/281596 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับสติ และการนำคำสอนดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ความเครียด และความไม่แน่นอนในชีวิตประจำวัน การดำเนินชีวิตด้วยความมี “สติ” จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สติในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นเพียงการมีสมาธิ หรือการรู้ตัวชั่วขณะเท่านั้น แต่เป็นองค์ธรรมสำคัญที่มีบทบาทในการนำพาจิตใจให้สงบ มีปัญญา และดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามหลักธรรม</p> <p>บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอแนวคิด และแนวทางในการประยุกต์ใช้ “สติ” ตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ในชีวิตประจำวันของพุทธศาสนิกชน เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อการดำรงชีวิต การงาน ความสัมพันธ์ และการเจริญภาวนาอย่างเรียบง่ายแต่มีคุณค่า หลัก “สติ” ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เพียงธรรมะเชิงทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะในการทำงาน การตัดสินใจ การบริหารอารมณ์ หรือการเผชิญกับความทุกข์ ด้วยการรู้เท่าทันและมีความตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน ทำให้จิตใจสงบ ไม่ตกเป็นทาสของความฟุ้งซ่านหรืออารมณ์ต่าง ๆ เมื่อพุทธศาสนิกชนสามารถนำสติมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ก็ย่อมจะนำไปสู่การมีชีวิตที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหมายเป็นทางนำไปสู่การพัฒนาตนเองทั้งด้านจิตใจ และปัญญา อันจะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริงตามแนวทางของพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนซึ่งยึดมั่นในพระธรรมคำสอน ย่อมมีแนวทางในการนำหลักสติมาปรับใช้กับวิถีชีวิตของตน ไม่ว่าจะในครอบครัว การทำงาน หรือแม้แต่ในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต ด้วยเหตุนี้ การประยุกต์ใช้หลักคำสอนเรื่อง “สติ” จึงมิใช่เพียงเรื่องของนักบวชหรือผู้ปฏิบัติธรรมในวัดเท่านั้น หากแต่เกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไปที่แสวงหาความสุข ความสมดุล และความเข้าใจในตนเองในทุกช่วงของชีวิต</p> พระธรรมนูญ อภิวฑฺฒโน โลหะเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-02 2025-12-02 11 3 1279 1292