https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/issue/feed
วารสารพัฒนศิลป์วิชาการ
2025-06-13T09:30:31+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมเกียรติ ภูมิภักดิ์
ksomkiat_1169@hotmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารพัฒนศิลป์วิชาการ ISSN 2539-5807 (Print) และ ISSN 2985-1785 (Online) รับตีพิมพ์บทความวิชาการ บทความวิจัย บทความงานสร้างสรรค์ และบทความปริทัศน์ในสาขาวิชาปรัชญากลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เน้นสาขาวิชาด้านศิลปวัฒนธรรม อาทิ นาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ อาทิ การจัดการเรียนรู้ การสอน การวัดและการประเมินผลทางการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม รวมถึงการบูรณาการศิลปวัฒนธรรมข้ามศาสตร์ </strong></p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong><strong> : </strong>บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารฯ จะต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็น ทบทวน และตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ ความถูกต้อง เหมาะสมทางวิชาการ จากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน ต่อบทความ ในรูปแบบพิชยพิจารณ์ (Peer-Review) ก่อนลงตีพิมพ์ และเป็นการประเมินแบบการปกปิดสองทาง (Double-Blind Review) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความลำเอียงหรืออคติหรือเรียกรับผลประโยชน์ใดใด ทั้งนี้หากผู้ประเมินบทความมีข้อเสนอแนะให้ผู้เขียนปรับปรุงเพิ่มเติมหรือแก้ไขบทความ ผู้เขียนบทความจะต้องดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับผลการประเมิน จากนั้นบรรณาธิการจะพิจารณารับหรือปฏิเสธในขั้นตอนสุดท้ายถือเป็นสิ้นสุด กระบวนการพิจารณาบทความจนถึงการเผยแพร่วารสาร ใช้เวลาประมาณ 12-22 สัปดาห์</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong><strong> : </strong>ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดออก</strong><strong> : </strong>วารสารตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน, ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>1. อัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความภาษาไทย ดังนี้</p> <p> (1) นักศึกษา บทความละ 1,500 บาท </p> <p> (2) บุคลากร บทความละ 2,000 บาท </p> <p> (3) บุคคลทั่วไป บทความละ 3,000 บาท</p> <p>2. อัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความภาษาอังกฤษ บทความละ 4,500 บาท</p> <p>หมายเหตุ: ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์จะเรียกเก็บเมื่อบทความเข้าสู่กระบวนการพิจารณาบทความ และค่าธรรมเนียมที่ชำระแล้วจะไม่คืนให้กับผู้เขียนไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong><strong> : </strong>สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม</p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271737
นวัตรังสรรค์ดุริยศิลป์ถิ่นปักษ์ใต้
2024-03-20T11:06:06+07:00
กิตติชัย รัตนพันธ์
shokun2516@gmail.com
<p> บทความงานสร้างสรรค์เรื่อง นวัตรังสรรค์ดุริยศิลป์ถิ่นปักษ์ใต้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยระดับปริญญาเอก หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์บทเพลงและดนตรีชุด นวัตรังสรรค์ดุริยศิลป์ถิ่นปักษ์ใต้ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจากกลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูล 3 กลุ่ม และศึกษาอัตลักษณ์ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ตอนบนและดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ตอนล่างตามองค์ประกอบหลัก ได้แก่ วงดนตรี เครื่องดนตรี จังหวะหน้าทับ ทำนองเพลง บทร้อง ระดับเสียง และโครงสร้างบทเพลงหรือคีตลักษณ์ นำมาวิเคราะห์สังเคราะห์และนำผลการศึกษาสร้างสรรค์บทเพลง และนำเสนอผลงานสร้างสรรค์</p> <p> นวัตรังสรรค์ดุริยศิลป์ถิ่นปักษ์ใต้ แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ดังนี้ 1) ปฐมบทดุริยศิลป์ถิ่นปักษ์ใต้ สื่อถึงการเคารพสิ่งศักดิ์ การบูชาครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้การดนตรี 2) สาธยายสืบสานงานสร้างสรรค์ สื่อให้เห็นถึงความเป็นมาความสำคัญของดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ 3) อัตลักษณ์เพลงทำนองกลองประชัน สื่อให้เห็นถึงอัตลักษณ์ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ที่ได้รับขนานนามว่า “เจ้าแห่งจังหวะ” 4) หฤหรรษ์ท้ายบทเพลงบรรเลงรมย์ สื่อให้เห็นถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมทางดนตรี ด้วยการนำดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เข้ามาผสมผสานรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน การสร้างสรรค์บทเพลงทั้ง 4 ช่วง ผู้วิจัยได้ประพันธ์ขึ้นเพื่อแสดงอัตลักษณ์ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ด้านวงดนตรี เครื่องดนตรี จังหวะหน้าทับ ทำนองเพลง บทร้อง ระดับเสียง และโครงสร้างบทเพลง ทำให้บทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเป็นเพลงพื้นบ้านภาคใต้มิติใหม่ ที่สะท้อนคุณค่าภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ตอบสนองความต้องการของผู้ชมผู้ฟังในยุคปัจจุบัน</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271741
กลวิธีการฝึกการบรรเลงระนาดเอก สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
2024-03-20T13:06:02+07:00
วัชรากร บุญเพ็ง
thank2uto@hotmail.com
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการฝึกการบรรเลงระนาดเอก สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โดยใช้หลักการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงพรรณนา เพื่อศึกษากลวิธีการฝึกการบรรเลงระนาดเอก สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลวิธีการฝึกการบรรเลงระนาดเอก สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ประกอบด้วย 6 กลวิธี ได้แก่ 1) การขยี้เป็นลักษณะคู่แปด เสมือนการเตรียมความพร้อมการบรรเลง และการเตรียมความพร้อมให้ร่างกาย 2) การสะเดาะ เสียงเดียว เป็นคู่ 8 ทำให้ผู้บรรเลงเกิดทักษะในการใช้กล้ามเนื้อ มือซ้ายและมือขวา 3) คาบลูกคาบดอกและการตีเหวี่ยงระหว่างคู่ 4 และคู่ 8 เพื่อเป็นการฝึกน้ำหนักมือทั้งขวาและซ้ายของผู้บรรเลง 4) การขยี้ในประโยคที่ยาวขึ้น ทำให้ผู้บรรเลงเกิดทักษะในการใช้กล้ามเนื้อมือซ้ายและมือขวา และเป็นการฝึกความคล่องของกล้ามเนื้อและความแม่นลูกของผู้บรรเลง 5) กลวิธีการตียืนเสียงสลับมือซ้ายและมือขวา ช่วยฝึกความแม่นลูกและแม่นเสียงของผู้บรรเลง 6) กลวิธีการเหวี่ยงเสียงในลักษณะคู่ 4 และคู่ 8 เพื่อเป็นการฝึกทักษะการแม่นลูกแม่นเสียงของผู้บรรเลง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิผล ผู้บรรเลงควรมีพื้นฐานการบรรเลงระนาดเอกและควรหมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/267740
การแสดงสร้างสรรค์ ชุด อาวุธยุทธศาสตรา
2023-10-16T12:24:36+07:00
กรกนก ทับจีน
kornkanok.t@fda.bpi.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมาและหลักการใช้อาวุธในสังคมไทย ทั้งในบริบทของการทหารและการแสดงละคร โดยเน้นการวิเคราะห์จากบทละคร ในเรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง เพื่อพัฒนาสู่การสร้างสรรค์การแสดงชุด “อาวุธยุทธศาสตรา” งานวิจัยอาศัยกระบวนการศึกษาจากเอกสาร หนังสือ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงคุณวุฒิ และประสบการณ์ตรงของผู้วิจัย</p> <p> การแสดงสร้างสรรค์ ชุด อาวุธยุทธศาตรา ดำเนินการตามหลักนาฏยประดิษฐ์ 7 ขั้นตอนของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ คือ 1) การกำหนดแนวคิด 2) การออบแบบร่าง 3) การพัฒนาแบบ 4) การก่อสร้าง 5) การเก็บรายละเอียด 6) การเสนอผลงาน 7) การประเมินผลงาน การแสดงประกอบด้วย ผู้แสดงหญิง จำนวน 4 คน การแต่งกายยืนเครื่องพระแขนยาว ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวมประกอบการแสดง แบ่งรูปแบบการแสดงออกเป็น 5 ช่วง ได้แก่ อาวุธโบราณการละคร กระบวนท่ารำอาวุธทวนกระบวนท่ารำอาวุธหอกซัด กระบวนท่ารำอาวุธกระบี่ และกระบวนท่ารำอาวุธกริช ลักษณะการใช้อาวุธแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ อาวุธที่ใช้รบบนหลังม้า คือ ทวนและหอกซัด สำหรับแทงหรือพุ่งเข้าใส่ศัตรู อาวุธที่ใช้รบบนพื้นราบในระยะประชิดตัว คือ กระบี่และกริช สำหรับแทงหรือฟัน โดยมีการสอดแทรกกระบวนท่ารำ “ตีเลาะ” ตามแบบนิยมในโขนละคร การแสดงชุดนี้เป็นการแสดงสร้างสรรค์ที่ต่อยอดจากองค์ความรู้ดั้งเดิมของบรมครูทางศิลปะการแสดงโขนละคร มุ่งพัฒนานำเสนอให้สอดคล้องกับบริบทสังคมไทยในปัจจุบันที่มีข้อจำกัดด้านเวลาและต้องการเนื้อหากระชับได้ใจความ งานวิจัยนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการอนุรักษ์และพัฒนาองค์ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมให้อยู่คู่สังคมไทยในรูปแบบใหม่</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271496
การสร้างสรรค์จิตรกรรม: การต่อสู้ดิ้นรนของสัตว์ เพื่อสะท้อนสภาวะแฝงของวิถีชีวิตมนุษย์
2024-03-13T13:41:37+07:00
ธีระวุฒิ เนียมสินธุ์
teerawut.ohmstudio@gmail.com
<p> บทความนี้เป็นการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมในหัวข้อ “การสร้างสรรค์จิตรกรรม: การต่อสู้ดิ้นรนของสัตว์ เพื่อสะท้อนสภาวะแฝงของวิถีชีวิตมนุษย์” เป็นผลงานจิตรกรรม ในเชิงสัญลักษณ์ที่ใช้สัตว์เป็นสัญญาลักษณ์มีลักษณะการต่อสู้ ดิ้นรน เพื่อเอาชีวิตรอด ในสังคม โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับกิเลส ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นต้นเหตุของความไม่รู้จักพอ การต่อสู้ชิงดีชิงเด่นเอาเปรียบซึ่งกันและกันของสังคมปัจจุบัน โดยสะท้อนผ่านรูปทรงของสัตว์ป่าที่ต่อสู้ เพื่อเอาชีวิตรอด ตามสัญชาตญาณ ตามวิสัยของสัตว์ที่ปราศจากความสำนึกผิดชอบชั่วดี เพื่อแฝงนัยยะให้เกิดความสะเทือนใจแก่มนุษย์ ใช้การตระหนักรู้มีสติยั้งคิดมีความละอายต่อการกระทำความชั่ว อันแสดงคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ที่แตกต่างจากสัตว์ ผลงานสร้างสรรค์เป็นกระบวนการทางศิลปะเทคนิคสีอะคริลิค สร้างพื้นผิวด้วยสี จนเกิดเป็นร่องรอย ผู้สร้างสรรค์ได้จินตนาการต่อจากร่องรอยเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ใช้น้ำสีในการเขียนทับซ้อนจนเกิดค่าน้ำหนักอ่อน กลาง แก่ ใช้ท่วงท่าทีแปรงที่ฉับไวแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ออกมาในรูปแบบเฉพาะของผู้สร้างสรรค์</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271498
ความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตในถิ่นกำเนิด
2024-03-13T14:06:13+07:00
นิตยา สีคง
srikongunittaya@gmail.com
<p> ผลงานการสร้างสรรค์ “ความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตในถิ่นกำเนิด” โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อสร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยแนวประเพณี เรื่อง ความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตในถิ่นกำเนิด 2. เพื่อถ่ายทอดภาพความทรงจำที่ประทับใจในถิ่นกำเนิดของตนเอง ในรูปแบบงานจิตรกรรมไทยแนว ประเพณี ด้วยเทคนิคสีฝุ่น บนพื้นดินสอพอง โดยมีแรงบันดาลใจมาจากถิ่นกำเนิดที่อยู่ในภาคใต้ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ความผูกพัน ความทรงจำ วิถีชีวิตและการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอันเป็นสภาพแวดล้อมที่สดชื่นอุดมไปด้วยทรัพยากรที่สมบูรณ์และหลากหลาย ใช้ความประทับใจในภาพความทรงจำนำมาสร้างสรรค์งานในรูปแบบจิตรกรรมไทยแนวประเพณี นำเสนอวิถีชีวิตที่หลากหลาย อันประกอบไปด้วยบ้านเรือน ผู้คน ต้นไม้ บรรยากาศของบ้านเกิด </p> <p> ผลของการสร้างสรรค์พบว่า จากการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมไทยแนวประเพณี เรื่อง ความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตในถิ่นกำเนิด สามารถถ่ายทอดภาพความทรงจำที่ประทับ ในถิ่นกำเนิดของตนเองได้ โดยการใช้มุมมองภาพแบบตานกมอง ทำให้สามารถใส่รายละเอียดองค์ประกอบของภาพความทรงจำได้อย่างหลากหลายและสมบูรณ์ เพื่อที่จะได้แสดงเอกลักษณ์ของถิ่นกำเนิดที่มีความหลากหลายและมีความสัมพันธ์กันระหว่างผู้คนกับสภาพพื้นที่ ผลงานยังแสดงออกถึงบรรยากาศยามเช้าของพื้นที่และกิจกรรมของผู้คนที่มีการเคลื่อนไหวของการใช้ชีวิตประจำวัน สื่อสารความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุขของบรรยากาศสภาพแวดล้อมในชุมชนไปสู่ผู้รับชม</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271872
การผันแปรของมิติโครงสร้างกับวิถีชีวิตในเมืองหลวง
2024-03-25T14:39:26+07:00
พณิช ผู้ปรารถนา
tonerower3@gmail.com
<p> การสร้างสรรค์ผลงานในโครงการ “การผันแปรของมิติโครงสร้างกับวิถีชีวิต ในเมืองหลวง” มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ เรื่องราวการดำรงชีวิตปัจจุบันในเมืองหลวง 2) เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสื่อผสม 3 มิติ ด้วยเทคนิคผสมและนำวัสดุมาสร้างพื้นผิว สร้างความสมจริงของความขรุขระ หยาบ เงา มันวาว ซึ่งสามารถอธิบายเรื่องราวของการแปรเปลี่ยนของสภาพแวดล้อม ที่ผ่านกาลเวลาของสิ่งปลูกสร้าง สะท้อนความเก่าและใหม่ในสังคมที่อยู่ร่วมกัน ด้วยการใช้สื่อและวิธีการทางศิลปะต่าง ๆ มาผสมผสานร่วมกันทั้งประติมากรรม จิตรกรรม ร่วมกับการใช้วัสดุ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในรูปแบบสัจนิยม แสดงให้เห็นภาพทิวทัศน์ในเมือง ที่สะท้อนเรื่องราว การเปลี่ยนแปลงของสิ่งปลูกสร้างในเมืองหลวง รวมไปถึงการใช้ศิลปะแบบจัดวางเพิ่มเติมในผลงานชิ้นนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ติดตั้งผลงาน และเน้นให้เห็นการเปรียบเทียบระหว่างผลงานสร้างสรรค์กับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ </p> <p> ผลการสร้างสรรค์พบว่าผู้สร้างสรรค์ได้ใช้สื่อและวิธีการต่าง ๆ ทางศิลปะหลากหลายแขนงมาผสมผสานทำให้เกิดผลงานสื่อผสม ในรูปแบบ 3 มิติ 1 ชุดผลงาน ผู้สร้างสรรค์ให้ความสำคัญกับเรื่องราวที่มากระทบกับความรู้สึกจากการใช้ชีวิตในเมือง เห็นความเจริญ ควบคู่ไปกับความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นไปพร้อมกันทั้งด้านสิ่งปลูกสร้างและการดำรงชีวิต ผู้สร้างสรรค์ได้จำลองความเป็นจริงของพื้นผิว โครงสร้าง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโครงสร้างลูกบาศก์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของอาคารบ้านเรือน ตึกระฟ้า มาเน้นเพื่อสร้างความชัดเจนของมิติที่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยน โดยใช้การจัดวางรูปทรงให้ค่อย ๆ เคลื่อนทีละนิด และสร้างความตระหนักถึงผู้ที่รับชมผลงานให้เข้าใจถึงสัจธรรมความจริง ในความไม่แน่นอนของชีวิต</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271878
จิตรกรรมสะท้อนความงามในสังขารของพืชพรรณ
2024-03-25T14:54:45+07:00
ฐิตา ครุฑชื่น
thita.je18@gmail.com
<p> ผลงาน “จิตรกรรมสะท้อนความงามในสังขารของพืชพรรณ<strong>” </strong>มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและสร้างสรรค์งานจิตรกรรมในรูปแบบธรรมชาตินิยมโดยใช้พืชพรรณเป็นต้นแบบ สื่อให้เห็นถึงความความงามในทุกสภาพของพืชพรรณและตระหนักถึงความ ไม่จีรังยั่งยืนในธรรมชาติและชีวิต โดยศึกษารูปแบบผลงานศิลปะธรรมชาตินิยมและหลักธรรม ไตรลักษณ์ ซึ่งประกอบด้วยลักษณะ 3 อย่าง ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มุ่งเน้นศึกษาข้ออนิจจัง ซึ่งสื่อถึงลักษณะที่ไม่จีรังของทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติเดียวกัน คือ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป</p> <p> ผลของการสร้างสรรค์พบว่า รูปแบบผลงานจิตรกรรมแบบธรรมชาตินิยมซึ่งอาศัยพืชพรรณเป็นต้นแบบ แสดงให้เห็นถึงความงามในลักษณะต่างสภาพของพืช ทั้งใบที่งอกใหม่ สวยสมบูรณ์ และเหี่ยวเฉา ผุพัง ย่อยสลาย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่จีรัง การเปลี่ยนแปลงตามกฎธรรมชาติ เกิดเป็นผลงานจิตรกรรมที่มีความสอดคล้องกับหลักธรรมไตรลักษณ์ สะท้อนให้ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตตนและสรรพชีวิตอื่น ๆ ณ ปัจจุบันขณะที่ยังคงมีการตั้งอยู่ของตัวตน ควรมีสติและระมัดระวังในการใช้ชีวิต รวมถึงการทำคุณประโยชน์ใด ๆ โดยไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจนไปถึงวันที่ชีวิตต้องดับสูญสลายไปจากโลกนี้</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/269173
การสร้างสรรค์ประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน 3 มิติด้วยเทคนิคการเอนโกบน้ำดินสี : วิถีอีสาน
2024-01-16T13:29:06+07:00
เด่น รักซ้อน
d.denday78@gmail.com
<p> การสร้างสรรค์ประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน 3 มิติด้วยเทคนิคการเอนโกบน้ำดินสี ด้วยเรื่องราววิถีอีสาน มีวัตถุประสงค์ในการสร้างสรรค์ดังนี้ 1) เพื่อสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาด้วยเรื่องราววิถีอีสาน 2) เพื่อสร้างสรรค์ผลงานด้วยกระบวนการทางเครื่องปั้นดินเผาด้วยเนื้อดินด่านเกวียนและการเอนโกบน้ำดินสี โดยการศึกษาข้อมูลแรงบันดาลใจ การสร้างแนวความคิด ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวประเพณี ศิลปวัฒนธรรม คติความเชื่อ ความศรัทธา การละเล่น อาชีพ วิถีชีวิตทางการเกษตร และกิจกรรมทางภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตต่าง ๆ ที่มีรูปแบบเฉพาะตนของชาวอีสาน โดยมีกระบวนการวิเคราะห์คัดเลือก เพื่อใช้ในการสังเคราะห์รูปแบบที่เป็นรูปธรรม นำมาใช้แสดงออกให้เห็นถึงเรื่องราว เนื้อหา รูปแบบผ่านประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาที่ให้สุนทรียศาสตร์ทางความงาม ในรูปแบบกราฟิกเชิงสัญญะ ผสมผสานอิทธิพลศิลปะ ป๊อบอาร์ต และคิวบิสม์ ที่แสดงออกทางรูปทรงและรูปแบบส่วนตนของผู้วิจัย ด้วยเทคนิคการทับซ้อนหักเหรูปแบบ ทำให้เกิดมิติที่น่าค้นหา มีความรู้สึกสนุกสนาน และน่าตื่นเต้น ตามจินตนาการ ขององค์ประกอบศิลป์และทัศนธาตุที่นำมาใช้ เพื่อใช้ในการสื่อสารเนื้อหา ผ่านกระบวนการทางเครื่องปั้นดินเผา ด้วยเนื้อดินพื้นบ้านด่านเกวียน ที่ทดลองและทดสอบคุณสมบัติให้เหมาะสมในการขึ้นรูปแบบแผ่น ลักษณะรูปทรง 3 มิติแบบลอยตัวและตกแต่งด้วยเทคนิคการเอนโกบน้ำดินสีที่ทดลองความเหมาะสมต่อการสร้างสรรค์และเผาเคลือบในอุณหภูมิ 1,200 องศาเซลเซียส</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/266292
ภาวะผู้นำทางการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตกรุงนครชล
2024-03-12T14:02:09+07:00
ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์
dr.thiwat@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับรูปแบบพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตกรุงนครชล และ 2) เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตกรุงนครชล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้แบบสำรวจ (Survey Research) ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรที่ปฏิบัติงานในกลุ่มโรงเรียน สหวิทยาเขตกรุงนครชล โดยจำแนกตามสถานภาพในการปฏิบัติงาน ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษา ซึ่งเป็นตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรที่ปฏิบัติงานกลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขต กรุงนครชล จำนวน 212 คน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage Sampling) โดยได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 136 คน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา 6 คน และบุคลากรปฏิบัติงานกลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตกรุงนครชล จำนวน 130 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพื่อตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 และใช้การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และตรวจสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffé's Post-Hoc Test) เพื่อตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับรูปแบบพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตกรุงนครชล โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบรูปแบบพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตกรุงนครชล พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตกรุงนครชล จำแนกตามสถานภาพในการปฏิบัติงาน มีรูปแบบพฤติกรรมการตัดสินใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จำแนกตามประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและจำแนกตามขนาดของสถานศึกษามีรูปแบบพฤติกรรมการตัดสินใจไม่แตกต่างกัน</p>
2025-06-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271713
การพัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงบูรณาการ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
2024-03-19T16:06:12+07:00
ฐปนี ภูมิพันธุ์
Tapanee_nan@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการพัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงบูรณาการ 2) พัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงบูรณาการ 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงบูรณาการของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โดยการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการและองค์ประกอบการพัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ทั้งสิ้น 13 แห่ง จำนวน 242 คน ใช้วิธีการสุ่มเชิงช่วงชั้นอย่างมีสัดส่วน ตามขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางของเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนออนไลน์ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินรูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ ระยะที่ 3 ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนออนไลน์ ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาลัย นาฏศิลปร้อยเอ็ด จำนวน 25 คน ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการจัดการเรียนรู้และการสอนนาฏศิลป์ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบวัดทักษะความคิดเชิงบูรณาการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. องค์ประกอบการพัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทาง</span><span style="font-size: 0.875rem;">คอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงบูรณาการของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ประกอบไปด้วย 1) หลักการ แนวคิด หรือทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของรูปแบบการเรียนออนไลน์ 2) วัตถุประสงค์ของการเรียนออนไลน์ 3) วิธีสอนและกิจกรรมที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ 4) การจัดระบบ และ 5) การวัดประเมินผลตามวัตถุประสงค์ </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">รูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรียมก่อนการเรียนการสอน 2) ขั้นการจัดกระบวนการเรียนการสอนและการพัฒนาทักษะการคิดเชิงบูรณาการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ประกอบไปด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การศึกษาเนื้อหา ขั้นที่ 2 การนำเสนอปัญหา ขั้นที่ 3 การวางแผนการแก้ปัญหาและกำหนดแนวทาง ขั้นที่ 4 รวบรวมข้อมูล ขั้นที่ 5 การวิเคราะห์ ขั้นที่ 6 การสรุปผล ขั้นที่ 7 การประเมินผล</span></p> <p> 3. ผลการใช้รูปแบบการเรียนออนไลน์ตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงบูรณาการของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ทำให้นักศึกษามีทักษะการคิดเชิงบูรณาการสูงขึ้น โดยมีคะแนนเฉลี่ย ครั้งที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 65.80 และครั้งที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 72.60</p>
2025-06-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/268843
การประเมินคุณลักษณะความเป็นครู และการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนิสิตหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
2023-11-23T09:01:32+07:00
นภาภรณ์ ธัญญา
tanyanapaporn9577@gmail.com
พัณบงกช ปาณมาลา
tanyanapaporn9577@gmail.com
สุภาพร แพรวพนิต
tanyanapaporn9577@gmail.com
ปวริศา จรดล
tanyanapaporn9577@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณลักษณะความเป็นครูและเพื่อประเมินการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนิสิตหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาวิจัย คือ ผู้อำนวยการ 15 คน รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ 15 คน ครูพี่เลี้ยง 15 คน และอาจารย์นิเทศก์ 5 คน รวมจำนวน 50 คน ที่อยู่ในสภานศึกษาที่นักศึกษาไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ได้มาแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณลักษณะความเป็นครูของนิสิตหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น โดยรวมและทุกด้าน อยู่ในระดับมาก 2) การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนิสิตหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ของนิสิตหลักสูตร ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น โดยรวมและทุกด้านอยู่ในระดับมาก</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271716
บทบาทพระอรชุนและกลวิธีในการแสดงเบิกโรงชุดรามสูรชิงแก้ว
2024-03-20T09:11:10+07:00
ณัฐพงษ์ ยลประเวส
adisakpromnok@gmail.com
จินตนา สายทองคำ
adisakpromnok@gmail.com
ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์
adisakpromnok@gmail.com
<p> บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา บทบาท ความสำคัญ องค์ประกอบการแสดง และวิเคราะห์กระบวนท่ารำกับกลวิธีการรำของพระอรชุนในการแสดงเบิกโรงชุดรามสูรชิงแก้ว โดยการศึกษาจากเอกสาร การสังเกตการณ์ และการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า เรื่องเมขลา-รามสูร พบหลักฐานในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา ต่อมาได้ประพันธ์เป็นบทเบิกโรงละครหลวง แต่บทสูญหายมาพบอีกครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ การแสดงเบิกโรง คือ การแสดงชุดสั้น ๆ ก่อนจะเริ่มการแสดง หลักการแสดงเบิกโรงรามสูรชิงแก้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับฤดูฝน องค์ประกอบ การแสดงมี 7 ส่วน ได้แก่ 1) ตัวละคร มีพระอรชุน นางเมขลา และรามสูร 2) การคัดเลือก ผู้แสดง เป็นโขนพระ (พระน้อย) 3) เครื่องแต่งกาย ยืนเครื่องพระแขนยาวสีเหลืองขลิบแดง 4) อุปกรณ์ คือพระขรรค์ 5) ฉาก เป็นท้องฟ้าบนสวรรค์ 6) บทร้องและทำนองเพลงใช้บทของอาจารย์ปัญญา นิตยสุวรรณ และ 7) วงดนตรี ใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่หลักสำคัญในการฝึกหัดมี 3 ประการ คือ การรำเพลงช้า-เพลงเร็ว นาฏยศัพท์กับภาษาท่า และการขึ้นลอย กระบวนท่ารำแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงจับระบำ มีท่ารำทั้งหมด 20 ท่า และช่วงพระอรชุนรบรามสูร มีท่ารำทั้งหมด 86 ท่า กลวิธีการแสดง มีทั้งหมด 3 กลวิธี ได้แก่ กลวิธีการใช้สีหน้ากับท่าทาง กลวิธีการใช้พระขรรค์ และกลวิธีการขึ้นลอย</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271731
การพัฒนาทักษะปฏิบัติเพลงไหว้ครูชาตรี ด้วยรูปแบบการสอนของเดวีส์ ร่วมกับเทคนิค STAD สำหรับนักศึกษาชั้นปริญญาตรีปีที่ 1 วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
2024-03-20T09:31:37+07:00
ปริญวัฒน์ ธนธนันทร์ธรณ์
parinyawatt@gmail.com
<p> บทความนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของการพัฒนาทักษะปฏิบัติเพลงไหว้ครูชาตรี ด้วยรูปแบบการสอนของเดวีส์ ร่วมกับเทคนิค STAD ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังการทดลองของนักศึกษาโดยใช้รูปแบบการสอนของเดวีส์ ร่วมกับเทคนิค STAD และเพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักศึกษา ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เพลงไหว้ครูชาตรี ด้วยรูปแบบการสอนของเดวีส์ ร่วมกับเทคนิค STAD กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 กลุ่มวิชานาฏศิลป์ไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ<strong>ำ</strong>นวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบประเมินทักษะปฏิบัติ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การหาประสิทธิภาพของการพัฒนาทักษะปฏิบัติเพลงไหว้ครูชาตรี พบว่า มีประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 83.40/84.20 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน และความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ พบว่า ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอนโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.65 ; S.D. = 0.53)</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271732
การพัฒนาชุดการสอนปี่ในขั้นพื้นฐาน ตามแนวทางสำนัก ครูเทียบ คงลายทอง สำหรับนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา
2024-03-20T09:55:27+07:00
เกียรติศักดิ์ โพศิริ
phosiri1234@gmail.com
พรพรรณ แก่นอำพรพันธ์
phosiri1234@gmail.com
จตุพร สีม่วง
phosiri1234@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการสอนปี่ในขั้นพื้นฐาน ตามแนวทางสำนักครูเทียบ คงลายทอง สำหรับนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนมีต่อใช้ชุดการสอนปี่ในขั้นพื้นฐาน ตามแนวทางสำนักครูเทียบ คงลายทอง สำหรับนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) คือ นักเรียนสาขาปี่พาทย์ วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา ปีการศึกษา 2566 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 และนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 – 3 รวมเป็นจำนวน 8 คน เก็บข้อมูลการวิจัยโดยใช้เครื่องมือชุดการสอนปี่ในขั้นพื้นฐาน ตามแนวทางสำนักครูเทียบ คงลายทอง สำหรับนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปะนครราชสีมา ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านความเที่ยงตรงของเนื้อหา นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ ชุดการสอนโดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และวิเคราะห์ความพึงพอใจโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของนักเรียน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดการสอนปี่ในขึ้นพื้นฐาน ตามแนวทางสำนักครูเทียบ คงลายทอง สำหรับนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.42/82.96 และ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ ชุดการสอนปี่ในขั้นพื้นฐาน ตามแนวทางสำนักครูเทียบ คงลายทอง สำหรับนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา อยู่ในระดับมาก<span style="font-size: 0.875rem;"> (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.43, S.D. = 0.22)</span></p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271733
กระบวนการถ่ายทอดการบรรเลงระนาดเอก ของ ดร.พิษณุ บุญศรีอนันต์
2024-03-20T10:37:11+07:00
สุชัญญา คงสิม
noonkongsim@gmail.com
จตุพร สีม่วง
noonkongsim@gmail.com
เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี
noonkongsim@gmail.com
<p> การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาประวัติและผลงาน ของ ดร.พิษณุ บุญศรีอนันต์ (2) ศึกษากระบวนการถ่ายทอดการบรรเลงระนาดเอกของ ดร.พิษณุ บุญศรีอนันต์ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการศึกษาจากเอกสาร และเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ด้วยวิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการบรรเลงระนาดเอก และเป็นที่ยอมรับในวงการดนตรีไทย ท่านมีแนวคิดด้านการสอนดนตรีในระดับมหาวิทยาลัย โดยใช้กระบวนการถ่ายทอดเนื้อหาสาระที่เป็นระบบ ชัดเจน มีหลักการ และสามารถบูรณาการการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนในยุคปัจจุบันได้อย่างมีคุณภาพ ในด้านกระบวนการถ่ายทอดการบรรเลงระนาดเอก แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านผู้สอน ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรม ท่านได้ยึดหลักกระบวนการสืบทอดจากคุณครูหลายท่านและเป็นครูที่ดีตามแบบแผนที่ได้ร่ำเรียนมา เพื่อนำมาปรับใช้ในการสอนดนตรี ในปัจจุบัน (2) ด้านผู้เรียน ท่านได้มีการถ่ายทอดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนแบบ “มุขปาฐะ” หรือการสอนแบบตัวต่อตัว มีการสาธิตเป็นตัวอย่างและให้ผู้เรียนปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (3) ด้านหลักสูตร มีการกำหนดเนื้อหาสาระในการจัดการเรียนการสอนตามเกณฑ์มาตรฐานสาขาวิชาและวิชาชีพดนตรีไทย สำนักมาตรฐานอุดมศึกษา สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เริ่มต้นฝึกหัดทักษะการบรรเลงระนาดเอก จนถึงกระบวนการบรรเลงเดี่ยวระนาดเอก (4) ด้านการเรียนการสอน เน้นการฝึกพื้นฐานเป็นสำคัญ ตั้งแต่การนั่ง จับไม้ การไล่มือ จากนั้นจึงต่อเพลงในหลักสูตร เริ่มต้นจากเพลงชุดโหมโรงเช้า เพลงชุดโหมโรงเย็น เป็นต้น ไปจนถึงเพลงเดี่ยว มีการสอดแทรกเทคนิคการตีระนาดเอกต่าง ๆ รวมไปถึงปลูกฝังการเป็นนักดนตรีที่ดี ท่านมีการปรับปรุงการเรียนการสอนอยู่เสมอโดยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ประโยชน์ในด้านการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Patanasilpa/article/view/271902
การวิเคราะห์เปรียบเทียบคำศัพท์ในแบบเรียน “สัมผัสภาษาจีนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเล่ม 1-6” กับประมวลคำศัพท์ในมาตรฐานการจัดระดับความสามารถภาษาจีนในการศึกษาภาษาจีนนานาชาติ ระดับ 1-9
2024-04-10T09:11:10+07:00
ยุวดี วรรณมูล
Yuwadee_Wannamoon@gmail.com
ณัฐกานต์ ทวีวัฒนเศรษฐ์
nathakarn.th@ku.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความเหมือน ความแตกต่าง ในคำศัพท์ดัชนีท้ายเล่ม และคำศัพท์ในบทเรียนของแบบเรียนสัมผัสภาษาจีนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเล่ม 1-6 กับประมวลคำศัพท์ ในมาตรฐานการจัดระดับความสามารถภาษาจีนในการศึกษาภาษาจีนนานาชาติ ระดับ 1-9 และเพื่อวิเคราะห์คำศัพท์ในดัชนีท้ายเล่มและคำศัพท์ในบทเรียนของแบบเรียนสัมผัสภาษาจีนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเล่มที่ 1-6 ที่ไม่ปรากฎในมาตรฐานการจัดระดับความสามารถภาษาจีนในการศึกษาภาษาจีนนานาชาติ ระดับ 1-9 ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. คำศัพท์ในดัชนีและคำศัพท์ในแบบเรียนสัมผัสภาษาจีนมัธยมศึกษาตอนปลายเล่ม 1-6 รวมทั้งสิ้น 3,051 คำ พบว่ามี 2,180 คำ คิดเป็น 71.45 เปอร์เซ็นต์ที่ตรงกับประมวลคำศัพท์ในมาตรฐานการจัดระดับความสามารถภาษาจีนในการศึกษาภาษาจีนนานาชาติ ระดับ 1-9 โดยมีคำศัพท์ 871 คำ ซึ่งคิดเป็น 28.55 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ตรงกับมาตรฐานภาษาจีน ทั้งนี้แบบเรียน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ทั้ง 6 เล่ม มีจำนวนคำศัพท์ที่ตรงกับมาตรฐานภาษาจีน ระดับ 1 มากที่สุด คิดเป็น 73.40 เปอร์เซ็นต์ ระดับ 2 คิดเป็น 54.79 เปอร์เซ็นต์ และระดับ 3 คิดเป็น 42.85 เปอร์เซ็นต์ ลดลงตามลำดับ</span></p> <p> 2. คำศัพท์ในดัชนีและคำศัพท์ในบทเรียนของแบบเรียนสัมผัสภาษาจีนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เล่มที่ 1-6 ที่ไม่ปรากฎในมาตรฐานการจัดระดับความสามารถภาษาจีนในการศึกษาภาษาจีนนานาชาติ ระดับ 1-9 จำนวน 871 คำ นั้น พบว่าแบบเรียนที่มีคำศัพท์ไม่ตรงกับมาตรฐานภาษาจีนมากที่สุดคือแบบเรียนเล่มที่ 6 มีจำนวน 272 คำ คิดเป็น 31.23 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือแบบเรียนที่ 5 มีจำนวน 208 คำ คิดเป็น 23.88 เปอร์เซ็นต์ และอันดับที่สามคือแบบเรียนที่ 4 มีจำนวน 168 คำ คิดเป็น 19.17 เปอร์เซ็นต์ โดยแบบเรียนที่ 1 มีคำศัพท์ไม่ตรงกับเกณฑ์น้อยที่สุด มีจำนวน 14 คำ คิดเป็น 1.61 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ ตามหลักการประสมคำของภาษาจีน เมื่อจำแนกแล้วพบว่าจากคำศัพท์จำนวน 871 คำ มีคำศัพท์ที่ปรากฎในมาตรฐานภาษาจีน ที่จำแนกตามหลักการสร้างคำภาษาจีนแล้วตรงกับคำศัพท์ในมาตรฐานภาษาจีนระดับอื่น 817 คำ คิดเป็น 93.80 เปอร์เซ็นต์</p>
2025-06-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 ฝ่ายผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และตำราวิชาการ กองส่งเสริมวิชาการและงานวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม