วารสารพิกุล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun <p>วารสารพิกุล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร รับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน ทำขึ้นเพื่อส่งเสริมและรองรับการตีพิมพ์ เผยแพร่ ผลงานวิชาการ ในรูปแบบบทความวิชาการ บทความวิจัย บทความวิทยานิพนธ์ และบทวิจารณ์หนังสือ ที่เป็นองค์ความรู้ทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารจะต้องผ่านการตรวจพิจารณาจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review) และจะต้องค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ จำนวน 3,500 บาท/เรื่อง ทางวารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในขั้นตอน Peer Review</p> <p>ISSN : XXXX-XXXX (Print) </p> <p>ISSN : 3027-6462 (Online)</p> th-TH <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารพิกุล ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ<br>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารพิกุล ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพิกุล หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารพิกุล ก่อนเท่านั้น</p> [email protected] (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กมลวัฒน์ ภูวิชิต) [email protected] (นางสาวรุ่งทิวา ฉัตรชัยสุริยา) Thu, 28 Dec 2023 17:15:03 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ศิลปะการเข้าใจคนแต่ละประเภทตาม “DISC Model” เพื่อความสำเร็จขององค์กร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269994 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของ 4 บุคลิกภาพที่แตกต่างกันของมนุษย์ เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาทักษะการเข้าใจตนเองและผู้อื่น พร้อมทั้งการปรับตัวรับมือกับคนแต่ละประเภท และเพื่อสามารถนำไปต่อยอดการพัฒนาตนเอง รวมถึงการทำงานแบบทีมเวิร์ค ซึ่งเป็น Soft Skill ที่สำคัญในยุคปัจจุบันที่ทุกองค์กรควรให้ความสำคัญ &nbsp;“DISC Model” คือ ลักษณะบุคลิกภาพของคนแต่ละประเภทที่สังเกตได้จากนิสัยการทำงานและสภาพแวดล้อมของคนแต่ละประเภท&nbsp; ซึ่งได้มีการจำแนกพฤติกรรมของมนุษย์ออกเป็น 4 ประเภทตามตัวอักษร DISC&nbsp; ได้แก่ D (dominance), I (influence), S (steadiness), C (conscientiousness)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความนี้มีการนำ “DISC Model” มาประยุกต์เปรียบเทียบกับสัญลักษณ์ของสัตว์ 4 ชนิด เรียกว่า “DISC Personality” คือ คุณลักษณะที่ใช้ทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์จากสัญลักษณ์ของสัตว์ต่างๆ เป็นการเปรียบเทียบลักษณะบุคลิกภาพของสัตว์ 4 ชนิด ได้แก่ กระทิง, นกอินทรี, หนู, และหมี ทั้งนี้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ DISC จะสามารถจับคู่ได้ ดังต่อไปนี้ 1) กระทิง (Dominance) 2) อินทรี (Influence) 3) หนู (Steadiness) และ 4) หมี (Compliance) ซึ่งเห็นว่าการแบ่งเป็น 4 รูปแบบ ไม่ได้เป็นการบอกว่าแบบใดดีกว่าหรือแย่กว่า ไม่ได้มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ดียอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแต่ละรูปแบบล้วนแล้วแต่มีจุดเด่นและจุดด้อยที่ต่างกัน ฉะนั้นแล้วผู้ที่นำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้จึงควรใช้ประโยชน์จากจุดเด่นจุดด้อยที่พบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานให้กับองค์กรให้มากที่สุด</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความนี้เป็นบทความทางวิชาการ ที่ต้องการศึกษาความแตกต่างของบุคลิกภาพของมนุษย์เพื่อการประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการรับรู้และเข้าใจตนเองและผู้อื่น ในส่วนของประโยชน์ที่ได้จากการศึกษา “DISC Model” ในแง่มุมของผู้บริหาร ผู้บริหารสามารถใช้ประโยชน์กับ “DISC Model” ในการพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากร รู้จักและเข้าใจพนักงานในองค์กรมากขึ้นว่าแต่ละคนมีบุคลิกลักษณะแบบใดมีจุดแข็งที่สามารถดึงมาสร้างประโยชน์ และรู้จุดอ่อนที่ควรหาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ในแง่ของการมอบหมายงานที่ตรงกับบุคลิกลักษณะและความถนัดของแต่ละคน สามารถใช้วิธีการจูงใจคนได้ถูก และที่สำคัญเป็นเรื่องของการ “อ่านคนออกบอกคนเป็น” ในแง่มุมของพนักงาน&nbsp; แต่ละคนจะได้เรียนรู้จุดเด่น จุดด้อยและลักษณนิสัยของเพื่อนร่วมงานก็เหมือนเป็นการได้รู้จักตัวตนของเพื่อนร่วมมากขึ้น ทำให้เข้าใจและยอมรับในลักษณะนิสัยของกันและกัน ส่งผลให้การทำงานราบรื่นมากขึ้น ลดปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นต่อการทำงาน สร้างบรรยากาศการทำงานเป็นทีม ในแง่ของฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HR) ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ สามารถใช้ “DISC Model” ในการบริหารดูแลพนักงาน เพิ่มศักยภาพและพัฒนาประสิทธิภาพของบุคคากร ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์สามารถที่จะจัดหลักสูตรการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กรได้อีกด้วย นอกเหนือจากนั้นในแวดวงการศึกษาในฐานะครู อาจารย์ สามารถประยุกต์ใช้แนวคิดดังกล่าวเพื่อเรียนรู้ผู้เรียนแต่ละคน ทำให้สามารถเข้าใจลักษณะพฤติกรรม บุคลิกลักษณะของผู้เรียนของตนเองได้ เป็นประโยชน์ในแง่ของการมอบหมายงาน ฝึกให้นักศึกษาได้มีทักษะในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำงานร่วมกัน และค้นพบตัวตนของตัวเองได้เร็วมากขึ้น</p> สุวภัทร หนุ่มคำ, จุมพล หนิมพานิช Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269994 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์และอิทธิพลของอุดมการณ์ทางการเมือง ความรู้ทางการเมือง ความไว้วางใจทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีผลต่อการเลือกตั้งของเยาวชนในประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269888 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอิทธิพลการพยากรณ์ขององค์ประกอบความรู้ทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง ความไว้วางใจทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีต่อการเลือกตั้ง โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามจากการทบทวนวรรณกรรมแล้ว และเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวน 440 คน แล้วนำมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ความสัมพันธ์และสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่า ความรู้ทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง ความไว้วางใจทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความไว้วางใจทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองมีความสัมพันธ์กับการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ความรู้ทางการเมืองและความไว้วางใจมีอิทธิพลพยากรณ์ร่วมกันต่อการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กับมีสัมประสิทธิ์อิทธิพลที่ .28 และ .32</p> วีระศักดิ์ จินารัตน์ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269888 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 การสื่อสารเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวอุทยานธรณีโลกสตูล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269894 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>การสื่อสารมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะการสื่อสารเปรียบเสมือนตัวกลางในการเชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางสังคม และมีบทบาทในการกระตุ้นให้กลุ่มบุคคลในระดับสังคมหรือ ชุมชนที่มีการจัดการการท่องเที่ยวให้เกิดการรวมตัวกัน เกิดจิตสำนึก ความสามัคคี และความเข้าใจที่ตรงกันต่อ ประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการการท่องเที่ยว จนสามารถประสานความร่วมมือ ร่วมใจ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อันนำมาสู่การพัฒนาความเป็นชุมชนเข้มแข็ง และพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความนี้ผู้เขียนมีความสนใจที่จะนำเสนอความหมายของอุทยานธรณีโลกสตูล แหล่งธรณีวิทยาที่ ได้รับการบริหารจัดการแบบองค์รวม ซึ่งประกอบด้วย การคุ้มครองหรือการอนุรักษ์ การให้การศึกษา และการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีลักษณะการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นรูปแบบ กระบวนการการสื่อสารเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหา และร่วมตัดสินใจ เกิดการเรียนรู้ในปัญหาและผลกระทบจากการท่องเที่ยวซึ่งจะนำไปสู่การหาแนวทางการในการพัฒนาการท่องเที่ยวได้ การมีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติ การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรม ร่วมบริหารงาน พัฒนาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การมีส่วนร่วมในการร่วมรับผลปะโยชน์ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม ร่วมควบคุมติดตามตรวจสอบ และประเมินผล การดำเนินกิจกรรมนั้นๆ</p> ชัยพร เอ้งฉ้วน Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269894 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 แนวทางพัฒนาการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม ในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269898 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 2) หาแนวทางพัฒนาการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 96 คนและครูผู้สอนจำนวน 201 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ แบบสอบถามเลือกตอบมากกว่า 1 และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test F-test ค่าร้อยละ การวิเคราะห์เนื้อหา การแจกแจงความถี่และจัดลำดับความสำคัญ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า</p> <ol> <li class="show">สภาพการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีสภาพการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมมากที่สุด ได้แก่ ด้านการให้ข้อมูลข่าวสารข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์</li> <li class="show">2. ปัญหาการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 ด้านที่มีปัญหามากที่สุด ได้แก่ ด้านการกระจายอำนาจและการมอบอำนาจตัดสินใจ</li> <li class="show">การเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 จำแนกตามสถานภาพการปฏิบัติงาน ประสบการณ์ในการทำงาน วุฒิการศึกษา และขนาดสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;4. แนวทางพัฒนาการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ศึกษากำแพงเพชร เขต 2 พบว่าสถานศึกษา ควรให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน กำหนดกิจกรรมหรือ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;โครงการ ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนกับสถานศึกษาและควรมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใสเพื่อให้เกิดการสนับสนุนสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง</p> ชนากานต์ เมฆยะ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269898 Sun, 31 Dec 2023 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ในจังหวัดนราธิวาส https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269949 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง และความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดนราธิวาสต่อประสิทธิผลการบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดนราธิวาสต่อประสิทธิผลการบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองกับความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดนราธิวาสต่อประสิทธิผลการบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปในจังหวัดนราธิวาส จำนวน 312 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์จำแนกพหุ และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์คาโนนิคัล โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัย พบว่า การรับรู้ข่าวสารทางการเมืองในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีการรับรู้จากสื่อดั้งเดิมมากที่สุด รองลงมาได้แก่ สื่อบุคคล และสื่อสังคมออนไลน์น้อยที่สุด ส่วนความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดนราธิวาสต่อประสิทธิผลการบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในภาพรวมและรายด้าน ได้แก่ ผลงานด้านความมั่งคั่ง ผลงานความยั่งยืน และผลงานด้านความมั่นคงจากวิกฤตโรคระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 อยู่ในระดับต่ำ จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุของกลุ่มตัวอย่างมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะที่เพศ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน อาชีพ และศาสนา ไม่มีอิทธิพล&nbsp; นอกจากนี้ยังพบว่า การรับรู้ข่าวสารทางการเมืองมีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา</p> วัลลภ รัฐฉัตรานนท์, วัชรินทร์ ชาญศิลป์ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269949 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาบรรจุภัณฑ์น้ำพริกเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/263966 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มแม่บ้านเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร 2) พัฒนาบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มแม่บ้านเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ในวัตถุประสงค์ที่ 1 และ 2 ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงและเก็บรวมรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการสังเกต และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ซึ่งสรุปประเด็นในการพัฒนาให้ครบคลุม 3 ด้าน ได้แก 1. ด้านตัวบรรจุภัณฑ์ 2.ด้านตราสินค้า 3.ด้านการแสดงข้อมูลบนตราสินค้า ผลการศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ พบว่า บรรจุภัณฑ์เดิมเป็นรูปแบบถุงพลาสติกอ่อนที่แตกง่าย หกเลอะเทอะง่าย ขนาดใหญ่ ไม่มีจุดเด่นเป็นของตนเอง และความต้องการของกลุ่ม คือ ต้องการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ที่มีความแข็งแรงมากกว่าเดิม เก็บรักษาได้ดียิ่งขึ้น มีฝาปิดมิดชิด และแสดงตราสัญลักษณ์ที่เป็นรูปแบบของกลุ่ม ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์น้ำพริกของกลุ่มแม่บ้านเขาคีริสได้ทำการเปลี่ยนเป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่เป็นกระปุกพลาสติกแข็งใสขนาดเหมาะสมกับการบริโภค มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปกระต่าย และสำหรับด้านความพึงพอใจของผู้บริโภค จำนวน 466 ราย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ไนระดับมาก โดยด้านที่มากที่สุดได้แก่ บรรจุภัณฑ์มีเหมาะสมในการนำไปเป็นของฝาก สินค้าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำเป็นอาชีพเสริมรายได้ บรรจุภัณฑ์สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก และสินค้ามีคุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอย เช่น การนำบรรจุภัณฑ์มาใช้ซ้ำ ตามลำดับ</p> พลอยณัชชา เดชะเศรษฐ์ศิริ, เพ็ญศรี ยวงแก้ว Copyright (c) 2023 วารสารพิกุล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/263966 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาวิศวกรสังคมด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยใช้ภูมิสารสนเทศ ตำบลนาบ่อคำ อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269951 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างกระบวนการคัดเลือกและพัฒนาวิศวกรสังคม ให้มีความสามารถด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยใช้<br>ภูมิสารสนเทศ และ (2) สร้างกระบวนการพัฒนาโจทย์และดำเนินงานวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยกลุ่มวิศวกรสังคม พื้นที่ตำบลนาบ่อคำ อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร มีระเบียบวิธีวิจัยโดยการคัดเลือกและพัฒนาวิศวกรสังคมให้มีความรู้ด้านการสำรวจและเรียนรู้ชุมชน วิศวกรสังคม ภูมิสารสนเทศ และการวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ จากนั้น พัฒนาโจทย์และดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยกลุ่มวิศวกรสังคม บนพื้นฐานของปัญหาที่พบและความต้องการของชุมชน จำนวน 5 เรื่อง ผลการศึกษา พบว่า สามารถคัดเลือกและพัฒนาวิศวกรสังคม ได้ 74 ราย แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ เด็กและเยาวชน (ร้อยละ 32.43) ชุมชนและผู้นำชุมชน (ร้อยละ 25.68) องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (ร้อยละ 6.76) และมหาวิทยาลัยเชิงพื้นที่ (ร้อยละ 35.13) โดยกลุ่มวิศวกรดังกล่าวได้รับการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีขอบเขตของการพัฒนาทักษะ 4 ด้าน 12 ประเด็น การประเมินผลความพึงพอใจในการพัฒนาวิศวกรสังคมจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม พบว่า มีภาพรวมความพึงพอใจในระดับมาก ( =4.36, =0.73) และมีผลการประเมินการเรียนรู้ด้านความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นในทุกด้าน ทั้งนี้ การพัฒนาดังกล่าวทำให้วิศวกรสังคมสามารถดำเนินงานวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ บนพื้นฐานการประยุกต์ใช้ภูมิสารสนเทศได้ 5 เรื่อง ได้แก่ แผนที่ปัญหาชุมชน แผนที่ความภาคภูมิใจ พื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และพื้นที่เหมาะสมในการปลูกพืช</p> สุภาสพงษ์ รู้ทำนอง Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269951 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/264331 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของแผนปฏิบัติราชการประจำปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (3) เพื่อเสนอแนะกลยุทธ์ของการบริหารแผนปฏิบัติราชการประจำปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากร คือ (1) บุคลากรสายวิชาการและสายสนับสนุนของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จำนวน 615 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 242 คน ใช้สูตรทาโรยามาเน่ และ(2) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นกลุ่มบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับแผนปฏิบัติราชการประจำปีโดยตรง จำนวน 24 คน กลุ่มตัวอย่าง 5 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่ใช้กับบุคลากรสายวิชาการและสายสนับสนุนของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร และแบบสัมภาษณ์ใช้กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทีเทส เอฟเทส และวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรมีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ปัจจัยการนำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยกระบวนการบริหารแผนส่งผลต่อประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร มีความสามารถในการพยากรณ์ได้ร้อยละ 52.2 (3) กลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้ ได้แก่ การขยายเครือข่ายความร่วมมือเพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมให้จัดกระบวนการบริหารแผนในรูปแบบออนไลน์ ทบทวนปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด และส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรได้รับการพัฒนาศักยภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>:&nbsp; ประสิทธิผลของแผนปฏิบัติการ แผนปฏิบัติราชการประจำปี มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร</p> Kittiya Lateh, เทพศักดิ์ บุณยรัตพันธุ์ Copyright (c) 2023 วารสารพิกุล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/264331 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269953 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 2) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน และ 3) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครูผู้สอนคณิตศาสตร์ นักศึกษาวิชาชีพครูสาขาคณิตศาสตร์ และนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ แบบวัดเจตคติต่อคณิตศาสตร์ และแบบวัดความใฝ่เรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้าแสดงออก ที่มีความแปลกใหม่ แตกต่างไปจากเดิมและแตกต่างจากคนอื่น หรือมีการปรับปรุงวิธีคิดตลอดเวลาโดยพิจารณาถึงวิธีการคิดหาคำตอบหลายๆ วิธี และสามารถหาคำตอบหลายๆ คำตอบได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่กำหนด มี 7 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างความสนใจ การสร้างความรู้ การสร้างการเรียนรู้เป็นกลุ่ม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การสรุปความรู้ การฝึกทักษะ และการชื่นชม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ในระดับดี มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 73.53 รองลงมาเป็นระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 16.18 และระดับปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ 5.88 ตามลำดับ นักเรียนมีเจตคติต่อคณิตศาสตร์และความใฝ่เรียนรู้หลังการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติรายบุคคลและกิจกรรมกลุ่มที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนแสดงวิธีคิดและนำเสนอแนวคิดการแก้ปัญหาในสถานการณ์ปัญหาใหม่ สามารถคิดหาคำตอบหลายๆ วิธี ได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่กำหนด และแตกต่างจากคนอื่น มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างความสนใจ การสร้างความรู้ การสร้างการเรียนรู้เป็นกลุ่ม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และชื่นชม และการสรุปความรู้</p> อุไรวรรณ ปานทโชติ, ยุภาดี ปณะราช Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269953 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 วิธีการสกัดข้อมูลการรับรู้จากระยะไกลเพื่อการจำแนกการใช้ที่ดินบนพื้นฐานความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของกระบวนการแบบจำลองเชิงอรรถศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269954 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ข้อมูลการใช้ที่ดินเป็นชั้นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์เพื่อการจัดการปัญหาเชิงพื้นที่ที่หลากหลาย เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการภัยพิบัติ ฯลฯ อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ การขาดความเป็นปัจจุบันของข้อมูล เนื่องจากไม่มีการจัดทำใหม่ให้ทันต่อการประยุกต์ใช้ วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือ เพื่อสร้างแบบจำลองเชิงอรรถศาสตร์สำหรับจำแนกการใช้ที่ดินจากภาพถ่ายดาวเทียม และเพื่อจำแนกประเภทการใช้ที่ดินในจังหวัดกำแพงเพชรด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลภาพเชิงเลข โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) รวบรวมข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ปี 2564 2) เตรียมข้อมูลปรับความคมชัดของภาพ Pan-sharpening ด้วยวิธีการ High Pass Featuring (HPF)&nbsp; 3) สกัดข้อมูลการใช้ที่ดินด้วยการสร้างแบบจำลองเชิงอรรถศาสตร์ และ 4) กระบวนการเปรียบเทียบผลการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน ผลลัพธ์ของการศึกษาพบว่า แบบจำลองเชิงอรรถศาสตร์ที่ได้ประกอบด้วย ค่าการสะท้อนในแต่ละแบนด์ ค่าดัชนีพืชพรรณและลายผิว และค่าความถูกต้องโดยรวมและสัมประสิทธิ์แคปปา 84.31 และ 0.80 ตามลำดับ ทั้งนี้พบว่าผลการจำแนกด้วยภาพถ่ายดาวเทียม Landsat8 มีข้อจำกัดในการจำแนกเมืองได้เพียงบางส่วน ซึ่งเป็นผลจากความละเอียดเชิงพื้นที่ (Spatial Resolution) โดยแบบจำลองเชิงอรรถศาสตร์นี้ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของรูปแบบการใช้ที่ดินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสมผสานกับเทคโนโลยีด้านการสำรวจของภาพถ่ายจากดาวเทียม และโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการจำแนกการใช้ที่ดิน ที่มีความสามารถในการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อจำลองประสบการณ์ผู้แปลตีความภาพจากองค์ประกอบการแปลตีความภาพ ให้มีความแม่นยำและสามารถสร้างสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในกรณีเร่งด่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยข้อมูลที่เผยแพร่สาธารณะและเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย</p> พิรฎา ทองประเสริฐ, ภาวิณี ภูจริต, ภัสร์ศศิร์ พลายละหาร Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269954 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ กลุ่มเย็บผ้าแม่บ้านร่มเกล้าเจริญสุข ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269956 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมาของชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ บ้านร่มเกล้าเจริญสุข ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก 2) พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ กลุ่มเย็บผ้าแม่บ้านร่มเกล้าเจริญสุข ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก 3) ประเมินความพึงพอใจและศึกษาผลกระทบที่มีต่อรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การศึกษาความเป็นมาของชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ดำเนินการโดย การสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม โดยใช้วิธีเลือกแบบเฉพาะเจาะจง พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกับสมาชิกกลุ่มเย็บผ้าแม่บ้านร่มเกล้าเจริญสุข ประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่จากสมาชิกกลุ่มเย็บผ้าแม่บ้านร่มเกล้าเจริญสุข จำนวน 10 คน สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และศึกษาผลกระทบที่เกิดกับชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ด้วยการสัมภาษณ์</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า ชาวลาหู่มีการย้ายถิ่นฐานมาจากจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อราวปี พ.ศ. 2520 และมาตั้งฐานถิ่นอาศัย ณ ที่ปัจจุบัน การจัดตั้งกลุ่มเย็บผ้าในปี พ.ศ. 2535 จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครั้งเมื่อเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรพื้นที่อำเภอพบพระ สมาชิกกลุ่มเย็บผ้าแม่บ้านร่มเกล้าเจริญสุขได้ร่วมกับผู้วิจัยพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื้อคลุมลาหู่ได้มีลวดลายและสีสันตามเอกลักษณ์ของชาวลาหู่เอาไว้ แต่ให้มีความเป็นยุคสมัยมากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีการพัฒนาองค์ความรู้และแนวทางการพัฒนาด้านการตลาดและการบัญชีด้วยการฝึกอบรมการออกแบบตราผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ต้นทุนทางบัญชี และการส่งเสริม การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า กลุ่มเย็บผ้าแม่บ้านร่มเกล้าเจริญสุขมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ใหม่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.27 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านหน้าที่ใช้สอยมี ความพึงพอใจมากที่สุดอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉลี่ย 5.00 รองลงมา ได้แก่ ด้านความสะดวกสบายในการใช้ ค่าเฉลี่ย 4.62 ด้านวัสดุ ค่าเฉลี่ย 4.39 ด้านความสวยงามน่าใช้ ค่าเฉลี่ย 4.25 ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ได้แก่ ด้านราคาและด้านกรรมวิธีการผลิต มีค่าเฉลี่ยเท่ากันที่ 3.43 ผลกระทบที่เกิดกับชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่ พบว่า รูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่สามารถสร้างยอดขาย เพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มเย็บผ้าแม่บ้านร่มเกล้าเจริญสุขมากขึ้น มีช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้น รวมถึงเกิดแนวคิดในการพัฒนาต่อยอดรูปแบบของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่พบว่ามีผลกระทบในด้านความเด่นชัดในเอกลักษณ์ดั้งเดิมลดลง เนื่องจากมีการลดลวดลาย สีสัน และการใช้วัสดุสำเร็จรูปแทนการปักด้วยมือลงเพื่อลดต้นทุนให้สามารถตั้งราคาให้เหมาะกับบุคคลทั่วไปหรือนักท่องเที่ยวที่จะสามารถสวมใส่ได้</p> ธนวิทย์ ฟองสมุทร์ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269956 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของประชากรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล Online Marketing Strategy Affecting Healthy Food Purchase Behavior of the Population in Bangkok Metropolitan Region https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/265811 <h4>บทคัดย่อ</h4> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของประชากรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชากรที่บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 385 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล นำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ประชากรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพโดยมีประสบการณ์สั่งซื้ออาหารทางออนไลน์ ที่ทำการศึกษาส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคโดยภาพรวมผู้ซื้อให้ความสำคัญในระดับมาก การนำกลยุทธ์การตลาดออนไลน์มาใช้ในการดำเนินการทางธุรกิจเพื่อจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก&nbsp; และองค์ประกอบกลยุทธ์การตลาดออนไลน์มีอิทธิพลทางบวกต่อพฤติกรรมการซื้ออาหารเพื่อสุขภาพของประชากรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>:&nbsp; กลยุทธ์การตลาดออนไลน์,&nbsp; อาหารเพื่อสุขภาพ, พฤติกรรมการซื้อ, พฤติกรรมผู้บริโภค</p> <p>&nbsp;</p> Thitimas Juntrapirom, Laddawan Munkkunk, Niwarat Wijitkulsawat, Nattaya Jariamphan Copyright (c) 2023 วารสารพิกุล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/265811 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification) เพื่อส่งเสริมความสามารถการอ่านคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269957 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification Techniques) เพื่อส่งเสริมความสามารถการอ่านคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางการอ่านภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification Techniques) 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification Techniques) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนโรงเรียนราษฎร์บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียน 23 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) ชุดฝึกทักษะการอ่านคำภาษาไทย โดยใช้คำพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3) แบบทดสอบความสามารถทางการอ่านคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ของชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทย โดยใช้สูตร E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> สถิติ (t-test) ชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระจากกัน (Dependent Samples) ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification Techniques) เพื่อส่งเสริมความสามารถการอ่านคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเฉลี่ย 83.08/85.07 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบความสามารถทางการอ่านภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification Techniques) พบว่า ความสามารถทางการอ่านคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยการใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification Techniques) หลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 ที่ตั้งไว้ 3) ความพึงพอใจต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านร่วมกับเทคนิคเกมิฟิเคชัน (Gamification Techniques) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp; </strong></p> ขนิษฐา โลหะประเสริฐ, เฉลิมชัย มนูเสวต, ชุติมา ทัศโร Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269957 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเพื่อการใช้โปรแกรมบันทึกการซื้อจ้างระบบ 3D-GF Login มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269958 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพของบุคลากรเพื่อการใช้โปรแกรมบันทึกการซื้อจ้างระบบ 3D-GF Login 2) เพื่อศึกษาปัญหาของบุคลากรเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมบันทึกการซื้อจ้างระบบ 3D-GF Login 3) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเพื่อการใช้โปรแกรมบันทึกการซื้อจ้างระบบ 3D-GF Login มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ประชากร ได้แก่ ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จำนวน 42 คน เครื่องที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ซึ่งมีได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.970 โดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า ศักยภาพของบุคลากรเพื่อการใช้โปรแกรมบันทึกการซื้อจ้างระบบ 3D-GF Login มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร โดยภาพรวมทั้ง 2 ด้าน มีศักยภาพอยู่ในระดับมาก ( = 3.82) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.= .99)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ปัญหาของบุคลากรเพื่อการใช้โปรแกรมบันทึกการซื้อจ้างระบบ 3D-GF Login มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร โดยภาพรวมทั้ง 2 ด้าน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ( =2.73) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=1.00)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แนวทางการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเพื่อการใช้โปรแกรมบันทึกการซื้อจ้างระบบ 3D-GF Login มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร คือ การเรียนรู้ระเบียบเพิ่มเติมเพื่อลดข้อผิดพลาดและเพื่อความชัดเจนในตัวระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ในระบบฯ และลดขั้นตอนที่ทำให้ระบบล่าช้า</p> สุมาพร จั่นศรี Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Phikun/article/view/269958 Thu, 28 Dec 2023 00:00:00 +0700