https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/issue/feed วารสาร มทร.อีสาน ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2025-11-13T15:22:32+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสาวลักษณ์ จิตต์น้อม saowaluk1968@hotmail.com Open Journal Systems <p><img src="https://so05.tci-thaijo.org/public/site/images/saowaluk_ji/issn.jpg" alt="" width="750" height="155" /></p> <h2 style="text-align: center;"><span style="color: red;">เปิดรับบทความตลอดทั้งปี</span></h2> <p><strong>ประเภทบทความที่รับพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ คือ บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article) จากผู้นิพนธ์หลากหลายหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยเน้นรับบทความด้าน Social Sciences ในสาขาวิชาดังนี้</strong></p> <ul> <li>General Arts and Humanities</li> <li>General Business</li> <li>Management and Accounting, Marketing</li> <li>Organizational Behavior and Human Resource Management</li> <li>General Social Sciences</li> </ul> <p><strong>เป็นวารสารราย 6 เดือน ตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ ได้แก่</strong></p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</li> </ul> <h2 style="text-align: center;"><span style="color: blue;">กระบวนการพิจารณาบทความ</span></h2> <h5 style="text-align: center;"><span style="color: blue;"><em>การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องและมีความเชี่ยวชาญที่มาจากหลากหลายสถาบัน <br />และไม่ได้สังกัดเดียวกันกับผู้นิพนธ์จำนวน 3 ท่าน ประเมินแบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</em></span></h5> <h4 style="text-align: center;"><span style="color: red;">ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</span></h4> <h4 style="text-align: center;"><span style="color: red;"><em>ไม่มีนโยบายเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ จากผู้นิพนธ์ในทุกขั้นตอน<br />ของการประเมินคุณภาพและการเผยแพร่บทความ</em></span></h4> <h4 style="text-align: center;"><span style="color: blue;">การอ้างอิง APA 7th</span></h4> <h5 style="text-align: center;"><em>ขอแจ้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการอ้างอิงจากเดิม IEEE ปรับเป็น APA 7th โดยจะมีการปรับใช้ในวารสารตีพิมพ์เผยแพร่ ตั้งแต่ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 (เดือนมกราคม - มิถุนายน 2568) เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการอ้างอิงอีกครั้งจาก the American Psychological Association (APA)</em></h5> <h2 style="text-align: center;"><span style="color: black;">วัตถุประสงค์ของวารสาร</span></h2> <ul> <li> <p>จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการ ด้านงานวิจัย และสิ่งประดิษฐ์ระหว่างนักวิชาการ และนักวิจัยกับผู้ที่สนใจทั่วไป</p> </li> <li> <p>เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ของนักวิชาการและนักวิจัยสู่สาธารณชน</p> </li> </ul> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/279253 การวิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะองค์กรดิจิทัลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง 2025-04-10T14:00:56+07:00 อภิชาติ กังวาล 65036046@kmitl.ac.th บุญจันทร์ สีสันต์ 65036046@kmitl.ac.th ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์ 65036046@kmitl.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะองค์กรดิจิทัลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 13 คน และครูจำนวน 287 คน รวม 300 คน ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง โดยผู้วิจัยใช้การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการพิจารณานํ้าหนักองค์ประกอบตามแนวคิดของ Hair ที่เสนอไว้ว่าหากค่านํ้าหนักองค์ประกอบมีค่า 0.35 จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยต้องไม่ตํ่ากว่า 250 และผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างเพิ่มร้อยละ 20 รวมเป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 300 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับคุณลักษณะองค์กรดิจิทัลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60 - 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจด้วยวิธีองค์ประกอบหลักและหมุนแกนแบบมุมฉากด้วยวิธีวาริแมกซ์ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบคุณลักษณะองค์กรดิจิทัลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง มีจำนวน 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การจัดการองค์กรดิจิทัล 2) กำลังคนดิจิทัล 3) การยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัล และ 4) การทำงานร่วมกันโดยใช้ข้อมูลขับเคลื่อน โดยทั้ง 4 องค์ประกอบสามารถอธิบายค่าความแปรปรวนสะสมได้ร้อยละ 64.093 โดยแต่ละองค์ประกอบอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 17.883 16.569 16.099 และ 13.543 ตามลำดับ โดยจากผลการวิจัยพบว่า การจัดการองค์กรดิจิทัล เป็นองค์ประกอบที่มีค่านํ้าหนักองค์ประกอบมากที่สุด ซึ่งสามารถนำผลการวิจัยไปศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมหรือพัฒนาให้สถานศึกษาเป็นองค์กรดิจิทัลที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมในยุคดิจิทัลต่อไป</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/278160 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผ่านระบบออนไลน์ของผู้สูงอายุในจังหวัดสุพรรณบุรี 2025-03-06T09:55:26+07:00 ลัดดาวัลย์ สำราญ laddawan.s@rmutsb.ac.th ภัททิรา จีนขี saran.w@rmutsb.ac.th เบญจวรรณ แจ้งสุข saran.w@rmutsb.ac.th ศศิประภา ลาภสาร saran.w@rmutsb.ac.th นัทธ์หทัย สระทองแป้น saran.w@rmutsb.ac.th ศศิวิมล หอมชื่น saran.w@rmutsb.ac.th วิศรุต นาคใหม่ saran.w@rmutsb.ac.th ศรัณย์ วงษ์หิรัญ saran.w@rmutsb.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผ่านระบบออนไลน์ของผู้สูงอายุในจังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้สูงอายุจำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีรายได้ตํ่ากว่า 10,000 บาทต่อเดือน และระดับการศึกษาตํ่ากว่าปริญญาตรี โดยมีระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ส่วนปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยี และการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด รวมถึงปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยี ด้านการรับรู้ความง่ายในการใช้งานมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผ่านระบบออนไลน์ของผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดและการส่งเสริมการยอมรับเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผ่านระบบออนไลน์ของผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/279846 แรงจูงใจที่ส่งเสริมการบอกต่อปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของธุรกิจร้านกาแฟแบบเนิบช้า ในจังหวัดขอนแก่น 2025-06-11T09:15:04+07:00 จิราวรรณ ใสวันหวั่ง jirawan.sa@rmuti.ac.th ภัทราภรณ์ ผันสว่าง Pattaraporn.ph@rmuti.ac.th วัชระ เชียงกูล watchara.ch@rmuti.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปและพฤติกรรมการใช้บริการร้านกาแฟแบบเนิบช้าในจังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการใช้บริการและการบอกต่อปากต่อปากผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของร้านกาแฟแบบเนิบช้า ในจังหวัดขอนแก่น และ 3) เพื่อวิเคราะห์แรงจูงใจที่ส่งเสริมการบอกต่อปากต่อผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของร้านกาแฟแบบเนิบช้าในจังหวัดขอนแก่น โดยกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ใช้บริการร้านกาแฟแบบเนิบช้าในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายมีอายุระหว่าง 18 - 25 ปี เป็นนักเรียน/นักศึกษามีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 9,001 - 15,000 บาท มีความถี่ในการใช้บริการ 1 - 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 100 บาทต่อครั้ง ผลการศึกษาด้านแรงจูงใจในการใช้บริการร้านกาแฟแบบเนิบช้า พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ ด้านการรับรู้ถึงคุณภาพ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.36) ด้านความรู้สึกดื่มดํ่าในบรรยากาศ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.14) และด้านความรู้สึกที่ชีวิตช้าลง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.02) ตามลำดับ ผลการศึกษาด้านการบอกต่อปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ของผู้ใช้บริการร้านกาแฟแบบเนิบช้า พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.13) ทั้งนี้ ผลจากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธี Enter พบว่า แรงจูงใจด้านการรับรู้ถึงคุณภาพ ด้านความรู้สึกดื่มดํ่าในบรรยากาศ และด้านความรู้สึกที่ชีวิตช้าลง ส่งผลต่อแรงจูงใจในการบอกต่อปากต่อผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ระดับนัยสถิติที่ 0.001 และ 0.05 ซึ่งตัวแปรอิสระทั้ง 3 ปัจจัย สามารถร่วมกันอธิบายตัวแปรตามร้อยละได้ 54.1 (R<sup>2</sup> = 0.541)</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/280038 ส่วนประสมการตลาดบริการและคุณภาพการบริการส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารจากร้านอาหารภายในมหาวิทยาลัยในจังหวัดจันทบุรี 2025-06-11T09:17:41+07:00 กัลป์ชยาพร กลัดทอง phlalaert.d@gmail.com ขวัญจิรา จำปี phlalaert.d@gmail.com พรเสน่ห์ อำผ่อง phlalaert.d@gmail.com สุดธิดา บุญมารอง phlalaert.d@gmail.com เดชา พละเลิศ phalalert.d@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารจากร้านอาหารภายในมหาวิทยาลัย ในจังหวัดจันทบุรี 2) เพื่อศึกษาคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารจากร้านอาหารภายในมหาวิทยาลัย ในจังหวัดจันทบุรี เก็บกลุ่มตัวอย่างจากนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจันทบุรี เนื่องจากทราบจำนวนประชากร จึงกำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยการคำนวณด้วยสูตรของ Cochran ได้จำนวนทั้งสิ้น 305 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา เช่น ค่าความถี่ และค่าร้อยละ เพื่ออธิบายลักษณะข้อมูลทางประชากรศาสตร์ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการ ปัจจัยคุณภาพการบริการ และปัจจัยการตัดสินใจซื้อ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมานเพื่อศึกษาอิทธิพลระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ระดับความเชื่อมั่นที่ 95 % ในการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการด้านบุคลากร ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านส่งเสริมการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านราคา ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารจากร้านอาหารในมหาวิทยาลัย ในจังหวัดจันทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและด้านกระบวนการไม่ส่งผล 2) ปัจจัยคุณภาพการบริการด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการให้ความมั่นใจ ด้านการเอาใจใส่ และด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารจากร้านอาหารในมหาวิทยาลัย ในจังหวัดจันทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านความน่าเชื่อถือไม่ส่งผล ผลการวิจัยสะท้อนว่าปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการด้านบุคลากรส่งผลได้มากสุดต่อความพึงพอใจ ขณะที่การตอบสนองลูกค้า เป็นปัจจัยคุณภาพการบริการที่สำคัญที่สุด ข้อค้นพบนี้ผู้ประกอบการนำไปประยุกต์เป็นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในอนาคตได้</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/281264 ผลกระทบของการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ : หลักฐานเชิงประจักษ์ จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 2025-07-17T09:39:30+07:00 หทัยกาญจน์ ไชยวงค์ hataikan63@gmail.com กิตติมา อัครนุพงศ์ kittima_aca@utcc.ac.th ษิรินุช นิ่มตระกูล Sirinuch_min@utcc.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยพิจารณาบทบาทของความเชื่อมั่นของนักลงทุนในฐานะตัวแปรคั่นกลางกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จำนวน 116 บริษัท ระหว่างปี พ.ศ. 2564 - 2566 รวมทั้งสิ้น 348 รายปีรายบริษัท โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากรายงานแบบ 56-1 รายงานความยั่งยืน และฐานข้อมูล SETTRADE การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การถดถอยพหุคูณ และ PROCESS Macro Model 4 พร้อมเทคนิค Bootstrapping ผลการวิจัยพบว่า การเปิดเผยข้อมูล ESG ส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อ<br />ความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ไม่มีอิทธิพลโดยตรงต่อมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีอิทธิพลต่อมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ในระดับนัยสำคัญที่ 0.10 และทำหน้าที่เป็นตัวแปรคั่นกลางอย่างสมบูรณ์ในความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดเผยข้อมูล ESG กับมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ งานวิจัยนี้มีส่วนเสริมในวรรณกรรมที่มีอยู่โดยให้มุมมองใหม่เกี่ยวกับบทบาทของการเปิดเผยข้อมูล ESG ในการกำหนดมูลค่าองค์กร โดยเฉพาะในบริบทของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าทั้งภาคธุรกิจและนักลงทุนควรพิจารณาประเด็น ESG ในการตัดสินใจลงทุน และให้เห็นถึงความสำคัญของการรายงานที่โปร่งใส ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของผู้มีส่วนได้เสีย สนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูลครบถ้วนและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/281305 แนวโน้มด้านกลยุทธ์และเทคนิคการสร้างสรรค์ภาพโฆษณาสำหรับสื่อดิจิทัล 2025-07-29T11:06:44+07:00 อัญชลี พิเชษฐพันธ์ anchalee_pic@utcc.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสื่อที่ส่งผลต่อวิธีการใช้ภาพในงานโฆษณา และวิเคราะห์แนวโน้มของกลยุทธ์การใช้ภาพในสื่อดิจิทัลในบริบทของความคิดสร้างสรรค์และเทคนิคการผลิตภาพโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาที่มีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี จำนวน 6 คน ผลการวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะแพลตฟอร์มสื่อสังคมได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต ความเร็วในการทำงาน งบประมาณต่อชิ้นงาน รวมถึงแนวทางการออกแบบภาพอย่างสิ้นเชิงภาพในงานโฆษณายุคดิจิทัลจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น ชัดเจน เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับบริบทเฉพาะของแพลตฟอร์มและกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นการเล่าเรื่องผ่านภาพ การสร้างภาพหลัก (Key Visual) ที่สื่อสารอัตลักษณ์ของแบรนด์ และการออกแบบภาพตามเส้นทางของผู้บริโภค (Customer Journey) นอกจากนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังส่งผลต่อรูปแบบการผลิตภาพและการออกแบบกลยุทธ์ในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น งานวิจัยนี้นำเสนอข้อเสนอแนะสำหรับนักโฆษณาและนักวิชาการในการพัฒนากลยุทธ์การใช้ภาพเพื่อให้สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/282064 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 2025-07-21T11:26:22+07:00 ดวงใจ จันทร์มาลา Duangjai.Ju@rmuti.ac.th จักเรศ เมตตะธำรงค์ kkai6688@gmail.com เพชรไพรริน อุปปิง Phetphrairin.Up@rmuti.ac.th ชารินี ไชยชนะ Charinee.Ch@rmuti.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยจูงใจ ปัจจัยคํ้าจุน ความเสี่ยง และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 2) ศึกษาปัจจัยจูงใจ ปัจจัยคํ้าจุน และปัจจัยความเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ทั้ง 4 วิทยาเขตประกอบด้วย วิทยาเขตนครราชสีมา ขอนแก่น สกลนคร และสุรินทร์ จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดำเนินการวิเคราะห์โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย 4.23 ประกอบด้วย คุณภาพของงาน ปริมาณงาน ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และความคุ้มค่า ปัจจัยความเสี่ยงมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย 4.16 ประกอบด้วย กลยุทธ์ การดำเนินงาน การเงิน และกฎระเบียบ ปัจจัยจูงใจมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย 4.14 ประกอบด้วย ความก้าวหน้า ลักษณะของงาน ความสำเร็จของงาน ความรับผิดชอบ และการยอมรับนับถือ และปัจจัยคํ้าจุนมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย 4.09 ประกอบด้วย สวัสดิการ ความมั่นคงในงาน ความสัมพันธ์ และความปลอดภัย และ 2) ผลการศึกษาปัจจัยจูงใจ ปัจจัยคํ้าจุน และปัจจัยความเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานพบว่า ปัจจัยจูงใจและปัจจัยคํ้าจุนมีอิทธิพลทางอ้อมผ่านความเสี่ยง และปัจจัยความเสี่ยงมีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน แต่ปัจจัยจูงใจและปัจจัยคํ้าจุนไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/281054 อิทธิพลของสมรรถนะปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมการสอนของครูที่ส่งผลต่อผลลัพธ์การเรียน 2025-07-09T13:45:45+07:00 พศวัต คำเติม supapornth2366@gmail.com ภานุมาศ จินารัตน์ Supapornth2366@gmail.com สิริพร แสนทวีสุข Supapornth2366@gmail.com สมานจิต ภิรมย์รื่น Supapornth2366@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์วิจัยเพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของสมรรถนะปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมการสอนของครูที่ส่งผลต่ผลลัพธ์การเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบสอบถาม และผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและครูจำนวน 702 คน แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่าสมรรถนะปัญญาประดิษฐ์ในด้านความรู้การเรียนการสอน เทคโนโลยีเนื้อหาความรู้ รู้เทคโนโลยี เทคโนโลยีการเรียนการสอนความรู้ และความรู้เนื้อหา สามารถพยากรณ์นวัตกรรมการสอนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่ .89 มีผลทดสอบ F = 9.34 (Sig. 002) นอกจากนี้ วัตกรรมการสอนมีผลต่อการทำนายผลลัพธ์การเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .00 มีผลทดสอบ F = 15.09 (Sig. 000) และมีสัมประสิทธิ์พยากรณ์ที่ .89 อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยได้สรุปว่าการยกระดับผลลัพธ์การเรียนของนักเรียนเป็นผลเกิดจากการพัฒนานวัตกรรมการสอนซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากการพัฒนาสมรรถนะปัญญาประดิษฐ์ของครู </p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/281179 Logistics as a Brand Lever: Exploring Service Delivery and Perception in Bangkok’s Luxury Hotel Sector 2025-08-25T15:51:19+07:00 Thawit Somrak somrak.ws19@gmail.com Chaimongkol Srijuntra thawit.s@bu.ac.th <p>This research explored the relationship between logistics practices and brand perception in the luxury hotel industry in Bangkok, Thailand. The study focused on how logistical elements such as supply chain coordination, service responsiveness, and back-of-house operations which influence guest’s perceptions of luxury and brand value. Using a qualitative content analysis approach, data were collected from the official websites, social media pages (e.g., Hotel’s Facebook page), and online reviews (e.g., Agoda, hotels.com, booking.com) of more than 10 prominent luxury hotels in Bangkok, complemented by review of over 15 related academic publications both research papers and academic papers. The findings reveal that effective logistics practices, especially those related to consistent service delivery, personalisation, and responsiveness which play a critical role in enhancing brand trust, uniqueness, and perceived worth. Furthermore, the study highlighted the tension between global standards and local cultural expectations, requiring hotels to balance brand consistency with authentic Thai hospitality. The study contributes to the existing literature by applying logistics theory in a service-oriented luxury context and offering practical insights into strategic logistics planning to reinforce brand identity.</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RMUTI_SS/article/view/268747 กลยุทธ์และนวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย 2025-04-09T13:37:27+07:00 พรนภา ธนโพธิวิรัตน์ vanessaploy@gmail.com วันวิสาข์ พลอย อินสว่าง vanessaploy@gmail.com ชิษณุพงศ์ ศิริโชตินิศากร vanessaploy@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์และนวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย สร้างประสบการณ์ และเพิ่มมูลค่าการบริการให้แก่ธุรกิจโรงแรม นับว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจโรงแรมอยู่รอดได้ในยุคดิจิทัล ด้วยการนำเสนอรูปแบบทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์ที่ครอบคลุมการทำการตลาดผ่านมุมมองของอินฟลูเอนเซอร์ รวมไปถึงการร่วมมือกันระหว่างธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างเครือข่ายและขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งการต่อยอดธุรกิจโดยอาศัยความมีชื่อเสียง และคุณภาพจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมพัฒนาให้เป็นธุรกิจในรูปแบบใหม่ เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ดังนั้น รูปแบบของนวัตกรรมทางธุรกิจที่อาศัยวิธีการทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์แบบใหม่นี้ก่อเกิดให้เป็นกลยุทธ์ที่สามารถเพิ่มรายได้และสร้างกำไรในการดำเนินงานให้แก่ธุรกิจโรงแรมในยุคดิจิทัลพร้อมทั้งสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เข้ารับบริการซึ่งถือเป็นผลลัพธ์สูงสุดในการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรม</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน