https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/issue/feed วารสารวิจัยรำไพพรรณี 2024-09-03T09:58:47+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.สุรีย์มาศ สุขกสิ patcharin.r@rbru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิจัยรำไพพรรณี เป็นวารสารระดับชาติที่ผ่านการรับรองผลการประเมินคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 2 (พ.ศ.2563-2567) จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยของคณาจารย์ นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโท-เอก นักวิจัยจากหน่วยงานภายในและภายนอกต่าง ๆ สู่สาธารณชน รวมทั้งหน่วยงานอื่น ๆ ได้นำผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ไปใช้ประโยชน์ เปิดรับบทความวิจัยใน สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังคมและชุมชน โดยจัดทำเป็นวารสารราย 4 เดือน เผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ</p> <p>ฉบับที่ 1 (มกราคม - เมษายน) จำนวน 15 บทความ</p> <p>ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม - สิงหาคม) จำนวน 15 บทความ </p> <p>ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม) จำนวน 15 บทความ</p> <p>โดยบทความที่ตีพิมพ์ทุกบทความผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Reviewed) ในสาขาวิชานั้น ๆ <strong>ไม่น้อยกว่า 3 ท่าน</strong> โดยเป็นการประเมินแบบ double-blinded review</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275318 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาหลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา 2024-08-31T22:31:04+07:00 พิศิษฐ์ ชัยสุววรณถาวร pisit.c@rbru.ac.th สุรีย์พร พานิชอัตรา pisit.c@rbru.ac.th ธงชัย ศรีเบญจโชติ pisit.c@rbru.ac.th เพ็ญศิริ สมารักษ์ pisit.c@rbru.ac.th ฐิตา ชัยวิบูลย์ผล pisit.c@rbru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาหลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี ในมุมมองของผู้ใช้บัณฑิต บัณฑิต และศิษย์ปัจจุบัน การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มประชากรที่ใช้ จำนวน 78 คน โดยการใช้แบบสอบถามคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาหลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ความพึงพอใจโดยรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21 ระดับความพึงพอใจมากที่สุด เมื่อแยกตามด้านทั้ง 5 ด้าน ด้านคุณธรรมจริยธรรมด้านคุณธรรมจริยธรรมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 ระดับพึงพอใจมากที่สุด ด้านความรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ระดับพึงพอใจมากที่สุด ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 ระดับพึงพอใจมาก ด้านทักษะทางปัญญามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.01 ระดับพึงพอใจมาก และ ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.88 ระดับพึงพอใจมาก และลำดับความสำคัญคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ของนักศึกษาหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา 5 ด้าน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 5 อันดับแรก ให้มีความซื่อสัตย์สุจริตในการทำงาน เป็นอันดับที่ 1&nbsp; คุณสมบัติที่พึงประสงค์อันดับที่ 2 มีความรับผิดชอบต่อตนเอง อันดับที่ -3 &nbsp;มีวินัยและตรงต่อเวลา อันดับที่ 4 มีความรู้ความเข้าใจในแนวคิด หลักการ และทฤษฎีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และอันดับที่ 5 สามารถนำเอาแนวคิด หลักการ ทฤษฎีมาวิเคราะห์สถานการณ์&nbsp; ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจได้</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275321 การศึกษากระบวนการพัฒนาพื้นฐาน 4 ด้านของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา พ.ศ. 2560 2024-08-31T22:58:00+07:00 เจนวิทย์ วารีบ่อ janewit.w@rbru.ac.th วิวัฒน์ เพชรศรี janewit.w@rbru.ac.th ธีรพงษ์ จันเปรียง janewit.w@rbru.ac.th อติราช เกิดทอง janewit.w@rbru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษากระบวนการพัฒนาพื้นฐาน 4 ด้าน ตามพระบรมราโชบาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ด้านการศึกษา และ (2) พัฒนาตัวชี้วัดของโครงสร้างพื้นฐาน 4 ด้าน ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหาร และอาจารย์ จำนวน 12 คน บัณฑิตครู จำนวน 12 คน และนักศึกษา จำนวน 12 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ส่วนระยะที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ จำนวน 50 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสำหรับกระบวนการพัฒนานักศึกษา และแบบประเมินพื้นฐาน 4 ด้าน ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อความ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า (1) รูปแบบการพัฒนาของคณะครุศาสตร์ มี 2 ลักษณะ คือ การพัฒนาผ่านรายวิชาในหลักสูตร ประกอบด้วย หมวดวิชาการศึกษาทั่วไป และหมวดวิชาเฉพาะด้าน และการพัฒนาผ่านกิจกรรมเสริมหลักสูตร (2) ตัวชี้วัดของโครงสร้างพื้นฐาน 4 ด้าน ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ได้แก่ ด้านที่ 1 มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มี 5 ตัวชี้วัด 4 โครงสร้างย่อย ค่าเฉลี่ยความสอดคล้องอยู่ในช่วง 4.15-4.58 และค่าแอลฟาครอนบัค เท่ากับ 0.87 ด้านที่ 2 มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง-มีคุณธรรม มี 7 ตัวชี้วัด 4 โครงสร้างย่อย ค่าเฉลี่ยความสอดคล้องอยู่ในช่วง 4.52-4.75 และค่าแอลฟาครอนบัค เท่ากับ 0.91 ด้านที่ 3 มีงานทำ-มีอาชีพ มี 14 ตัวชี้วัด 2 โครงสร้างย่อย ค่าเฉลี่ยความสอดคล้องอยู่ในช่วง 4.43-4.78 และค่าแอลฟาครอนบัค เท่ากับ 0.95 และด้านที่ 4 เป็นพลเมืองดี มี 15 ตัวชี้วัด 3 โครงสร้างย่อย ค่าเฉลี่ยความสอดคล้องอยู่ในช่วง 4.52-4.88 และค่าแอลฟาครอนบัค เท่ากับ 0.94 เมื่อพิจารณาความเป็นเอกมิติ พบว่า ทุกโครงสร้างมีค่าไอเกนมากกว่า 1 เพียงค่าเดียว โดยมีค่าอยู่ในช่วง 1.83-5.59</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275322 การพัฒนาตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์เพื่อการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าทางการเกษตร ศูนย์ส่งเสริมการจัดการศึกษาตามพระบรมราโชบายบางระจัน มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2024-08-31T23:08:08+07:00 สาวิตรี จูเจี่ย sawitree.j@lawasri.tru.ac.th ภาสกร รอดแผลง sawitree.j@lawasri.tru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ 2) ศึกษาประสิทธิภาพ และ 3) ศึกษา ความพึงพอใจของผู้บริโภค กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน บุคลากรศูนย์ส่งเสริมการจัดการศึกษาตามพระบรมราโชบายบางระจัน จำนวน 7 คน และผู้บริโภค จำนวน 50 คน ขั้นตอนการดำเนินงาน คือ 1) ศึกษาข้อมูลจากเอกสารตำราที่เกี่ยวข้อง 2) สอบถามและสัมภาษณ์บุคลากรถึงความต้องการรูปแบบของตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;3) วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษา 4) สร้างแนวคิดในการออกแบบตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ 5) ดำเนินการออกแบบ ตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ 6) สร้างแบบประเมินประสิทธิภาพตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ 7) ประเมินประสิทธิภาพตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ 8) ปรับปรุงรูปแบบตามข้อเสนอแนะ/ข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 9) จัดทำตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ และ 10) ประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ &nbsp;&nbsp;3) แบบประเมินประสิทธิภาพ และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ (1) ตราสินค้าผักไฮโดรโปรนิกส์และข้าวสาร มีการระบุชื่อผลิตภัณฑ์ โลโก้ และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ (2) บรรจุภัณฑ์ผักไฮโดรโปรนิกส์ และข้าวสาร สามารถป้องกันตัวสินค้า สวยงาม สื่อความหมาย และมีรายละเอียดของผลิตภัณฑ์บนบรรจุภัณฑ์&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;2) ประสิทธิภาพของตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ (1) ตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ผักไฮโดรนิกส์ ชื่อ “ผักงอกงาม” บรรจุภัณฑ์ เป็นถุงซิบล็อกใส (2) ตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ข้าวสาร ชื่อ “ข้าวงอกงาม” บรรจุภัณฑ์แพ็คสุญญากาศ สายรัดระบุตราสินค้าข้าวงอกงาม มีภาพที่บอกถึงตัวผลิตภัณฑ์ และระบุประมาณสุทธิ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;3) ความพึงพอใจของผู้บริโภค (1) ต่อตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ผักไฮโดรโปรนิกส์ อยู่ในระดับมากที่สุด &nbsp;&nbsp;(2) ต่อตราสินค้าข้าวสารอยู่ในระดับมาก และบรรจุภัณฑ์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275323 การเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง 2024-09-01T10:30:58+07:00 เกศสุภางค์ คีรี mimew1529@gmail.com สุนทรี วรรณไพเราะ mimew1529@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง (2) เพื่อเปรียบเทียบการเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ตามตัวแปรเพศ ประสบการณ์การทำงาน วุฒิการศึกษาและขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีกำหนดตามสูตรของ Yamane ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 275 คน สุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของสถานศึกษาแล้วสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม จำนวน 60 ข้อ สถิติที่ใช้ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและค่าเอฟ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า (1) การเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ครูที่มีเพศและประสบการณ์การทำงานต่างกันมีความคิดเห็นโดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน ส่วนครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05&nbsp; ส่วนรายด้าน พบว่า ด้านการเป็นกัลยาณมิตรและด้านการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกันมีความคิดเห็นโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนรายด้าน พบว่า ด้านการเป็นกัลยาณมิตร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ด้านการร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมมือและด้านภาวะผู้นำร่วมแตกต่างกันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275324 การใช้ข้อมูลบัญชีบริหาร และการจัดการความรู้ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในจังหวัดเชียงใหม่ 2024-09-01T10:43:10+07:00 เบญญาภา กันทะวงศ์วาร katt.rmutl@gmail.com ภาคภูมิ ภัควิภาส katt.rmutl@gmail.com แคทรียา พร้อมเพรียง katt.rmutl@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วิจัยเรื่องการใช้ข้อมูลบัญชีบริหาร และการจัดการความรู้ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงแบบผสมผสาน(Mixed Methods Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ศึกษาอิทธิพลการใช้ข้อมูลบัญชีบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2) ศึกษาอิทธิพลการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม&nbsp; 3) สังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บัญชีบริหารและการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ เจ้าของกิจการ ผู้จัดการ หัวหน้างาน บุคลากรในองค์กร ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในจังหวัดเชียงใหม่จำนวน 9 คนและเชิงปริมาณ จำนวน 400 คน โดยใช้เครื่องมือวิจัย คือ การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) และเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล(Path analysis) โดยใช้โปรแกรม AMOS</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลวิจัยพบว่า ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ของงานวิจัยที่ 1 พบว่า การใช้บัญชีบริหารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดเชียงใหม่ ร้อยละ 37 ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์งานวิจัยที่ 2&nbsp; พบว่าการจัดการความรู้มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดเชียงใหม่&nbsp; ร้อยละ 79 &nbsp;ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์งานวิจัยที่ 3 ผลการสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บัญชีบริหารและการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดเชียงใหม่ การใช้บัญชีบริหารและการจัดการความรู้มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่ง การใช้บัญชีบริหารและการจัดการความรู้เป็นสองวิธีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้ SMEs พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน บัญชีบริหารช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าใจสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานได้ดีขึ้น ในขณะที่การจัดการความรู้ช่วยให้ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเก็บรักษา แบ่งปัน และใช้ประโยชน์จากความรู้ภายในธุรกิจ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;จากกรอบแนวความคิดงานวิจัย 1) กรอบแนวคิดรูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วยตัวแปรที่มีอิทธิพลเชิงบวกทางตรง 2 ตัวแปร คือ การใช้ข้อมูลบัญชีบริหาร และการจัดการความรู้&nbsp; 2) รูปแบบเชิง ผลการวิเคราะห์สมมติฐานพบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์พิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์ CMIN/df = 1.884 , RMSEA = 0.058, CFI = 0.946, NFI = 0.908, GFI = 0.860, AGFI = 0.849&nbsp; อิทธิพลรวมของตัวแปรสาเหตุที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มากที่สุด คือ การจัดการความรู้ รองลงมาคือการใช้ข้อมูลบัญชีบริหาร ทำให้เกิดประโยชน์ในการใช้ข้อมูลบัญชีบริหาร และการจัดการความรู้ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งพบว่าธุรกิจที่มีพื้นฐาน ความรู้ความเข้าใจและการใช้ข้อมูลบัญชีบริหาร การจัดการความรู้ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานธุรกิจได้ดี</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275331 การศึกษารูปแบบของผู้นำองค์กรที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงาน ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษาธุรกิจโรงแรม 2024-09-01T15:47:27+07:00 เขมิกา สงวนพวก khemika.s@lawasri.tru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของรูปแบบของผู้นำองค์กรกับผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานคร และศึกษารูปแบบของผู้นำองค์กรที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พนักงานระดับหัวหน้างานหรือผู้บริหารของธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบผู้นำของธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้นำแบบประชาธิปไตย ผู้นำแบบบารมี และผู้นำแบบแลกเปลี่ยน โดยมีคะแนนความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับมากทั้งในภาพรวม และประเด็นย่อยด้านการเงินและการตลาด และการปฏิบัติการ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของรูปแบบของผู้นำองค์กรกับผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้นำแบบบารมี ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้นำแบบแลกเปลี่ยน ผู้นำแบบประชาธิปไตย และผู้นำแบบเสรีนิยม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการดำเนินงานในระดับปานกลาง ผลการวิเคราะห์รูปแบบของผู้นำองค์กรที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้นำแบบบารมี ผู้นำแบบแลกเปลี่ยน ผู้นำแบบประชาธิปไตย และผู้นำแบบเสรีนิยม ส่งผลเชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน โดยร่วมกันพยากรณ์ผลการดำเนินงานได้ร้อยละ 53.2</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275342 ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 2024-09-01T20:03:35+07:00 ถิรดา รัตน์ตยวรา rattayawaratirada@gmail.com คึกฤทธิ์ ศิลาลาย rattayawaratirada@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาระดับทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 และ (2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จำนวน 357 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของโคเฮน และใช้การกำหนดตัวอย่างวิจัยแบบหลายขั้นตอน จากนั้นสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็นของข้าราชการครูเกี่ยวกับทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.965 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า (1) ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (2) ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน (4) ข้าราชการครูที่สังกัดขนาดสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275344 ปัจจัยความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยที่ส่งผลต่อการประเมินมูลค่าบ้านจัดสรร 2024-09-01T20:24:08+07:00 ภานุพงศ์ นิลตะโก vasana.d@mail.rmutk.ac.th วาสนา ดวงดี vasana.d@mail.rmutk.ac.th อธิยุต ทัตตมนัส vasana.d@mail.rmutk.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อทราบความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาบ้านจัดสรรของศาสตร์ฮวงจุ้ยและปัจจัยในการพิจารณามูลค่าตลาดบ้านจัดสรร ตามหลักการประเมินราคาทรัพย์สิน ด้วยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาด (2) เสนอแนะแนวทางการประเมินราคาทรัพย์สินในการคำนึงถึงปัจจัยด้านฮวงจุ้ย กลุ่มตัวอย่าง คือ (1) กลุ่มผู้แทนบริษัทชั้นนำที่รับจัดทำฮวงจุ้ยและผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยในอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครที่มีผลงานร่วมการทำงานกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 6 คน โดยการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (2) กลุ่มผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน จำนวนกลุ่มตัวอย่างคิดเป็น 320 คน โดยการเก็บแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัย ผลการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านด้านฮวงจุ้ย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาบ้านจัดสรร ได้แก่ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมของโครงการ และปัจจัยด้านองค์ประกอบของบ้านจัดสรร นำไปสู่การจัดทำแบบสอบถามได้ โดยมีผลการสอบถามปัจจัยที่มีผลต่อราคาบ้านจัดสรรโดยผู้ประเมินราคาทรัพย์สินในระดับ มากที่สุด คือ ขนาดเส้นทางในโครงการ ทำเลที่ตั้งของบ้านในโครงการ ขนาดพื้นที่บ้าน และวัสดุก่อสร้างบ้าน และติดตั้งภายในถาวร ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยในการพิจารณามูลค่าตลาดบ้านจัดสรรที่ผู้ประเมินราคาทรัพย์สินพบเห็นทุกครั้ง และสามารถอธิบายที่มาของมูลค่าได้</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275350 บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2024-09-01T21:48:57+07:00 จิรภิญญา ฉายแสง 6512470005@rumail.ru.ac.th สุภาวดี ลาภเจริญ 6512470005@rumail.ru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 และ (2) เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยจำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงานและขนาดสถานศึกษา จำนวน 360 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น 0.973 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า (1) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 (2) ครูที่มีวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน และ (3) ครูปฏิบัติงานในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกัน มีความคิดเห็นต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275351 การพัฒนานวัตกรรมกระบวนการการผลิต ชาดอกกาแฟด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่กาแฟ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ 2024-09-01T21:59:28+07:00 ฐากูร อนุสรณ์พาณิชกุล Thakurn.anu@pcru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์&nbsp; เพื่อพัฒนานวัตกรรมกระบวนการ การผลิตชาดอกกาแฟด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่กาแฟ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&amp;D) โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุมชน&nbsp; กลุ่มตัวอย่าง&nbsp; คือ สมาชิกกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่กาแฟ นักวิชาการ กลุ่มผู้นำชุมชน หน่วยงานราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่กาแฟ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์&nbsp; จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ การจัดเวทีประชาคม และการสนทนากลุ่ม&nbsp; สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย&nbsp; พบว่า การพัฒนานวัตกรรมกระบวนการการผลิตชาดอกกาแฟด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยการพัฒนา 2 ด้าน คือ 1) เครื่องตากชาดอกกาแฟ&nbsp; เป็นเครื่องตากชาดอกกาแฟแบบมิดชิดมีกระจกปิดเพื่ออบชาดอกกาแฟในระหว่างตาก ผลทำให้ดอกกาแฟแห้งและเหลือความชื้นในระดับที่ต้องการและเก็บรักษาได้นานขึ้น&nbsp; 2) เครื่องคั่วชาดอกกาแฟ&nbsp; ผลทำให้ดอกกาแฟแห้งและมีสีน้ำตาลทอง เพื่อที่ให้เกิดกระบวนการ (Caramelization) หรือการไหม้ของน้ำตาลให้มีความหวานมากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นต่อกลุ่ม คือ ลดระยะเวลาในการผลิตลง ลดการใช้แรงงานในการผลิตลดต้นทุนในการผลิต และเกิดนวัตกรรมกระบวนการการผลิตชาดอกกาแฟด้วยภูมิปัญญาที่มีผลต่อรสชาติชาดอกกาแฟที่มีมาตรฐาน ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์ชาดอกกาแฟ กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่กาแฟ เกิดการเผยแพร่นวัตกรรมกระบวนการการผลิตชาดอกกาแฟด้วยภูมิปัญญา</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275352 นิยามใหม่ของพื้นที่ภูเก็ตศึกษา: ความเป็นพลเมืองหลากหลายวัฒนธรรมในเกาะภูเก็ต 2024-09-01T22:06:25+07:00 วัลลภา อินทรงค์ wanlapa.i@pkru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;บทความนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ 1) เพื่อศึกษาบริบทเชิงพื้นที่ที่ส่งผลต่อการสร้างสรรค์อัตลักษณ์และความหลากหลายใหม่ในวัฒนธรรมภูเก็ต และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมความเป็นพลเมืองหลากหลายวัฒนธรรมในเกาะภูเก็ต โดยการศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่เป็นหนังสือ บทความวิชาการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างจากผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์การพัฒนา และนโยบายทางวัฒธรรมของจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 คน 2) กลุ่มนักวิชาการด้านความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก การส่งเสริมและพัฒนาพลเมืองในมิติต่าง ๆ จำนวน 2 คน และ3) กลุ่มนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจำนวน 2 คน ในประเด็นความเป็นพลเมืองหลากหลายวัฒนธรรม เพื่อการนิยามความหมายใหม่ของพลเมืองให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพทางภูมิศาสตร์และภูมิสังคมบนพื้นที่เกาะภูเก็ต ผลการศึกษาพบว่า คุณลักษณะความเป็นพลเมืองหลากหลายวัฒนธรรมในเกาะภูเก็ต ควรประกอบด้วย 1) ความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย 2) ความเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อม 3) ความเป็นพลเมือง “ตงห่อ” 4) ความเป็นพลเมืองสากล และ 5) ความเป็นพลเมืองดิจิทัล คุณลักษณะดังกล่าวสามารถนำไปสู่แนวทางการส่งเสริมความเป็นพลเมืองหลากหลายวัฒนธรรมในเกาะภูเก็ต ผ่านการขับเคลื่อนด้วยระบบการศึกษา โดยใช้หลักสูตรการศึกษาของชาติเป็นเครื่องมือหลัก ประกอบกับหลักสูตรท้องถิ่นรายวิชาภูเก็ตศึกษาที่มีสาระการเรียนรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะความเป็นพลเมืองหลากหลายวัฒนธรรมในเกาะภูเก็ตทั้ง 5 ด้าน โดยมีแนวทางในการส่งเสริมด้วยการจัดการเรียนการสอน ปรับกิจกรรมการเรียนการสอน จัดกิจกรรมเสริม หรือบูรณาการในรายวิชาต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นพลเมืองหลากหลายวัฒนธรรม และสามารถปรับตัวในการอยู่ร่วมกันบนพื้นที่เกาะอย่างมีคุณภาพ</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275353 ผลการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมต่อความเมตตากรุณาต่อตนเอง ของนิสิตหญิงที่มีความอับอายในภาพลักษณ์ 2024-09-01T22:17:04+07:00 ดุสิตา เมฆพิทักษ์กุล Dusita.mek@gmail.com ดลดาว วงศ์ธีระธรณ์ Dusita.mek@gmail.com สุรีพร อนุศาสนนันท์ Dusita.mek@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองเพื่อศึกษาผลการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมต่อความเมตตากรุณาต่อตนเองของนิสิตหญิงที่มีความอับอายในภาพลักษณ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตหญิงคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มีความอับอายในภาพลักษณ์ที่มีคะแนนความเมตตากรุณาต่อตนเองอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ (คะแนน 30 – 109) และมีความสมัครใจในการเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 16 คน โดยใช้วิธีจับคู่ของคะแนนความเมตตากรุณา<br>ต่อตนเองเพื่อเข้าสู่กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบวัดความเมตตากรุณาต่อตนเอง จำนวน 30 ข้อ มาตรวัด 5 ระดับที่มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาคทั้งฉบับเท่ากับ .94 2) โปรแกรมการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยม จำนวน 12 ครั้ง สำหรับกลุ่มทดลอง และมีระยะการเก็บข้อมูล 3 ระยะ โดยสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำสองทางและทดสอบความแตกต่างด้วยวิธีบอนเฟอร์โรนี ผลการวิจัยพบว่า 1) นิสิตหญิงที่มีความอับอายในภาพลักษณ์กลุ่มทดลองมีคะแนนความเมตตากรุณาต่อตนเอง ในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่านิสิตหญิงที่มีความอับอายในภาพลักษณ์กลุ่มควบคุมอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นิสิตหญิงที่มีความอับอายในภาพลักษณ์กลุ่มทดลองมีคะแนนความเมตตากรุณาต่อตนเองในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่าระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275354 ผลการปรึกษากลุ่มโดยใช้ฐานคิดของทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลางต่อความฉลาดด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นของนิสิตระดับปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ 2024-09-01T22:27:15+07:00 ญาณิศา กิติชัยชาญ drayakiti@gmail.com ดลดาว วงศ์ธีระธรณ์ drayakiti@gmail.com ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล drayakiti@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลการปรึกษากลุ่มโดยใช้ฐานคิดของทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลางต่อความฉลาดด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นของนิสิตระดับปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างคือนิสิตปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่มีคะแนนความฉลาดด้านสัมพันธ์กับผู้อื่นในระดับต่ำถึงปานกลางและมีความสมัครใจเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 16 คน และสุ่มอย่างง่ายแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมจำนวนกลุ่มละ 8 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ 1)แบบวัดความฉลาดด้านสัมพันธ์กับผู้อื่น จำนวน 26 ข้อ (แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ) มีค่าความเที่ยงทั้งฉบับเท่ากับ .92 2)โปรแกรมการปรึกษากลุ่มตามแนวคิดทฤษฎีการยึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง จำนวน 12 ครั้ง สำหรับกลุ่มทดลอง โดยใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ ผลการวิจัยพบว่า1) นิสิตกลุ่มทดลองมีคะแนนความฉลาดด้านสัมพันธ์กับผู้อื่นในระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามสูงกว่าก่อนการทดลอง 2) นิสิตกลุ่มทดลองมีคะแนนความฉลาดด้านสัมพันธ์กับผู้อื่นในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่ากลุ่มควบคุม</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275371 ผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อและการว่างงานต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย 2024-09-02T19:19:23+07:00 ประภัสสร คำสวัสดิ์ Praphatsorn.cu@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีศึกษา ผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงาน ที่ส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโนทางเศษฐกิจของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาผลกระทบของการว่างงานและเงินเฟ้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพื่อเสนอแนะนโยบายสำคัญบางประการเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ การว่างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ใช้ข้อมูลอนุกรมเวลาที่รวบรวมมาจาก World Bank data ตั้งแต่ปี 1971 – 2022 รวมทั้งสิ้น 52 ปี โดยทำการทดสอบความนิ่งของข้อมูล โดยวิธี Augmented Dickey-Fuller Test และทำการทดสอบความสัมพันธ์ระยะยาวด้วยวิธี Autoregressive Distribute Lag Bund Test of Cointegration ผลการศึกษาพบว่า ในระยะสั้น ความสัมพันธ์ของอัตราการว่างงานและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นไปตามทฤษฎี Okun’s law อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ในระยะยาว ไม่เป็นไปตามทฤษฎี Okun’s law อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ&nbsp; สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินฟ้อกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พบว่า อัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉพาะในระยะยาว อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/RRBR/article/view/275377 การศึกษาผลกระทบมูลค่าทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบการธุรกิจขายของฝาก จังหวัดจันทบุรีในช่วงโควิด-19 2024-09-03T09:58:47+07:00 ปัญญณัฐ ศิลาลาย panyanat.s@rbru.ac.th เอมอร หวานเสนาะ panyanat.s@rbru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบมูลค่าทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบการธุรกิจขายของฝากจังหวัดจันทบุรีและเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาของผู้ประกอบการธุรกิจขายของฝากจังหวัดจันทบุรีในช่วงหลังโควิด-19 เป็นการวิเคราะห์และสังเคราะห์โดยการใช้ PESTEL และ SWOT ผลการวิจัยกรณีศึกษาผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการ ร้อยละ 54.50 ใช้ทุนส่วนตัวในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวคนไทยช่วงสถานการณ์โควิด-19 ลูกค้าเข้าร้านน้อยลง ทำให้รายได้ลดลง 2 เท่า ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยผู้ประกอบการได้เพิ่มช่องทางการขายโดยการขยายฐานลูกค้า มีการประชาสัมพันธ์ทางออนไลน์ การลดรายจ่ายโดยการตัดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย บริหารจัดการหนี้สินโดยการจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย กรณีศึกษาลูกค้าที่ซื้อของฝาก พบว่า เหตุผลในการซื้อเพื่อเป็นของฝาก โดยซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ช่วงก่อนและช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 มีการซื้อของฝากน้อยลง ผลการตัดสินใจซื้อสินค้าเป็นเรื่องคุณภาพสินค้า ราคาเหมาะสม มีช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ และมีกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย จากการวิเคราะห์ PESTEL และ SWOT พบว่าจำเป็นต้องให้ความรู้กับผู้ประกอบการ ผู้บริโภค รวมถึงประชาชนในการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ และการปรับตัวของผู้ประกอบการเพื่อประคับประคองให้ผู้ประกอบการอยู่รอดและฟื้นตัวหลังเกิดภาวะวิกฤตของโควิด-19</p> 2024-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024