วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ
<table width="624"> <tbody> <tr> <td width="624"> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> 1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์การบริหารกิจการสังคม และสหวิทยาการด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p> 2. เพื่อให้บริการวิชาการเกี่ยวกับการเสนอทางออกในการแก้ปัญหาสังคม</p> </td> </tr> <tr> <td width="624"> <p><strong>การพิจารณาคัดเลือกบทความ</strong> </p> <p> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบันและมิใช่สังกัดเดียวกับผู้นิพนธ์บทความ และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double - blind Peer Review)</p> </td> </tr> <tr> <td width="624"> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong> </p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม</p> <p> ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน</p> <p> ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table>
วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
th-TH
วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
3027-6128
<p>ลิขสิทธิ์</p>
-
การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำตำบลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/277052
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้าประจำตำบลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพแบบสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลายทั้งในด้านศาสนาและฐานะ ได้แก่ ปลัดอำเภอที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม รวม 14 คน นักวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐ 5 คน และผู้นำศาสนาและประชาชนจากทั้งสองศาสนา 15 คน รวมทั้งหมด 34 คน การวิจัยใช้เครื่องมือการสังเกต การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และอภิปรายอย่างละเอียดเพื่อพัฒนาแนวทางการนำที่เหมาะสมกับบริบทพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ชายแดนใต้</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า </strong>ภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของปลัดอำเภอมี 5 รูปแบบสำคัญ ได้แก่ 1) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งต้องการความซื่อสัตย์และความจริงใจในการทำงานร่วมกับชุมชน 2) การมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง 3) ทักษะการสื่อสารที่ละเอียดอ่อนและมีประสิทธิภาพในการลดความขัดแย้ง 4) การมีทัศนคติที่เปิดกว้างและเป็นกลางในทุกสถานการณ์ 5) การประยุกต์ใช้ศาสตร์พระราชทานในงานภาครัฐ โดยเน้นการพัฒนานโยบายที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชุมชน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสมานฉันท์และเสริมสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้</p>
นิพนธ์ ชายใหญ่
ปัญญา เทพสิงห์
เกษตรชัย และหีม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
1
19
-
แนวทางการพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/275608
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสถานการณ์คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและระดับความต้องการด้านคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ 2) วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุของเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธีการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี จำนวน 354 คน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเก็บข้อมูลจากตัวแทนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและตัวแทนกลุ่มผู้สูงอายุ จำนวน 30 คน และการสนทนากุล่มจากผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ใช้วิธีการวิเคราะห์สรุปเนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>1) สถานการณ์คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโดยทั่วไป ผู้สูงอายุส่วนใหญ่สามารถช่วยเหลือตนเองและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ส่วนระดับความต้องการด้านคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุมีความต้องการพัฒนาด้านร่างกายมากที่สุด 2) การวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุพบว่า เทศบาลนครสุราษฎร์ธานีมียุทธศาสตร์การพัฒนาด้านสวัสดิการสังคมและคุณภาพของผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ได้รับความพึงพอใจจากประชาชนในพื้นที่มากที่สุด เพราะการดำเนินงานบางโครงการยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ตามความต้องการอย่างแท้จริง และ 3) แนวทางการพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุพบว่า ควรจะมีนวัตกรรมส่งเสริมให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตนเอง นวัตกรรมกลไกความร่วมมือการพัฒนา และนวัตกรรมการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุได้</p>
วิภาวี ศรีวัง
ชนัญชิดา ทิพย์ญาณ
วาสนา จาตุรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
20
33
-
กระบวนการสร้างความเข้มแข็งแบบมีส่วนร่วมภายในชุมชนผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ กรณีศึกษา ตำบลหันทราย อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/275775
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านเกษตรอินทรีย์ 2) นำเสนอรูปแบบความเข้มแข็งภายในชุมชนผ่านกระบวนการการถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรอินทรีย์ ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิจัยเชิงเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก รวมถึงการจัดประชุมระดมความคิดเห็น โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญมีจำนวนทั้งสิ้น 30 ท่าน ได้แก่ 1) ภาครัฐ (มหาวิทยาลัย) 2) ภาครัฐระดับท้องถิ่น และ 3) ตัวแทนจากชุมชนและชุมชนตำบลหันทราย งานวิจัยได้วิเคราะห์ด้วยการพรรณนาเรื่องราวและการสังเคราะห์ข้อมูล</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>บทบาทผู้มีส่วนได้เสีย ภาครัฐและปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้นำความคิดด้านเกษตรอินทรีย์ของชุมชนได้ร่วมกันดำเนินกิจกรรมที่สร้างความเข้มแข็งผ่านการถ่ายทอด องค์ความรู้ทางด้านเกษตรอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยบทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและการดำเนินกิจกรรมทั้ง 2 ส่วน ในส่วนแรกกระบวนการสร้างความเข้มแข็งนั้นเริ่มจากบทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ภาครัฐ (ตัวแทนมหาวิทยาลัย) ภาครัฐท้องถิ่น ตัวแทนชุมชน และชุมชนตำบลหันทราย เข้าร่วมสร้างการพัฒนาองค์ความรู้เกษตรอินทรีย์ในระดับปัจเจกบุคคลทั้งในส่วนของการสร้างความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความรู้ และการถ่ายทอดองค์ความรู้ ตลอดจนไปสู่กิจกรรมส่วนที่สอง รูปแบบการสร้างความเข้มแข็งการดำเนินกิจกรรมตั้งแต่การระบุวัตถุประสงค์ การดำเนินการรวบรวมสมาชิกกลุ่ม และการจัดประเมินผลเพื่อสร้างรูปแบบของกระบวนการในการดำเนินกิจกรรมสร้างความเข้มแข็งภายในชุมชนผ่านองค์ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์</p>
ผกามาศ เลียงธนะฤกษ์
พิศิษฐ์ พิภพพรพงศ์
ธัชชัย อินทะสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
34
49
-
การเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่นโดยใช้กระบวนการวิศวกรสังคม กรณีศึกษา: ตำบลหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/275995
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาทักษะวิศวกรสังคมสู่การเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่น และ 2) เพื่อศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะในการใช้เครื่องมือวิศวกรสังคม เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ (Mixed Methods Research) มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาภาคปกติ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิขานิติศาสตร์และสาขาวิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง จำนวน 272 คน ที่มาจากการคำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ โดยใช้สูตร ทาโร่ ยามาเน่ ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ที่มาจากการสุ่มใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น(Stratified Radom sampling) แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วยค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) วิจัยเชิงคุณภาพ นำข้อมูลที่รวบรวมได้จากเอกสาร วรรณกรรม แบบสัมภาษณ์ มาวิเคราะห์แบบเชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1) นักศึกษามีความรู้พัฒนาทักษะการใช้เครื่องมือวิศวกรสังคมในภาพรวมระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.61, S.D.= 0.62) โดยผ่านการใช้เครื่องมือวิศวกรสังคม 5 เครื่องมือ ได้แก่ ได้แก่ 1.ฟ้าประทาน 2.นาฬิกาชีวิต 3.Timeline พัฒนาการ 4.Timelineกระบวนการ และ 5.M.I.C Model โดยมีระดับความรู้มากที่สุดคือ เครื่องมือนาฬิกาชีวิต มีทักษะการคิด วิเคราะห์เชิงเหตุผลบนฐานข้อมูล และมีระดับความรู้น้อยที่สุด คือ เครื่องมือ M.I.C Model ทักษะการพัฒนาเพื่อต่อยอดและสร้างความยั่งยืน และพัฒนาเป็นชุดการเรียนรู้ 4 ชุดการเรียนรู้ 2) ปัญหาการใช้เครื่องมือวิศวกรสังคม ได้แก่ เวลาในการให้ข้อมูลของชาวบ้านและการลงพื้นที่ของนักวิจัยยังจำกัด และการใช้คำถามในการสื่อสารเพื่อให้ได้คำตอบชัดเจน ต้องฝึกภาษาท้องถิ่น (ภาษาลาว เขมร ส่วย เยอ) ให้กับนักศึกษา ข้อเสนอแนะ ควรมีการทบทวนการใช้เครื่องมือวิศวกรสังคมก่อนออกเก็บข้อมูลในพื้นที่ และ ควรมีการจัดอบรมโดยเชิญวิทยากรที่ผ่านการอบรมจากหน่วย SEAL ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ Up skill ให้กับนักศึกษาเพื่อนำมาใช้ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม</p>
สุเทวี คงคูณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
50
66
-
ปัญหา และแนวทางแก้ไข: ผลจากการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/278650
<p>บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานหลังการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) และ 2) ศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขจากการดำเนินงานหลังการถ่ายโอนรพ.สต. ให้แก่ อบจ.สงขลา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 19 คน จาก 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยวิธีสามเส้า จากนั้นนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า</strong> 1) การดำเนินงานหลังการถ่ายโอน รพ.สต. ให้แก่ อบจ.สงขลา นั้น ทาง รพ.สต. มีความตื่นตัวค่อนข้างสูง ด้วยต้องการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานและความก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ รวมไปถึง เป็นการขับเคลื่อนกระบวนการทำงานของภาคประชาชนที่สามารถสร้างเครือข่ายการทำงาน และ รพ.สต. ยังคงดำเนินงานตามปกติ แม้จะมีข้อจำกัดทางด้านกำลังคน ซึ่งต้องการถ่ายโอนอัตรากำลังในการดำเนินงานด้านดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น และ 2) ปัญหาและแนวทางแก้ไขจากการดำเนินงานหลังการถ่ายโอน รพ.สต. ให้แก่ อบจ.สงขลา พบว่า ยังคงมีปัญหาในเรื่องของการปรับวิธีการทำงาน เช่น ระบบงานหนังสือ กระบวนการทางพัสดุ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ทาง อบจ.สงขลา ยังไม่สามารถจัดซื้อได้ การจัดทำเอกสารการเงินแตกต่างกันไปตามแหล่งงบประมาณ รวมไปถึงความกังวลในเรื่องของค่าหัวในการรักษาที่จะถูกนำไปใช้ยังโรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิขึ้นไป แนวทางแก้ไขที่สำคัญ คือ อบจ.สงขลา ต้องจัดตั้งคณะกรรมการในระดับพื้นที่ขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการสร้างระบบการทำงานของ รพ.สต. และสร้างภาคีเครือข่ายการทำงาน รวมทั้ง การปรับเปลี่ยนลักษณะการทำงานของ รพ.สต. ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น</p>
ปรีดา แต้อารักษ์
ศดานนท์ วัตตธรรม
ชนกนาถ พูลสวัสดิ์
บุณิกา จันทร์เกตุ
กรณิภา ศรีวรเดชไพศาล
วีระศักดิ์ เครือเทพ
รามาวดี ปั้นทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
67
90
-
การเสริมสร้างความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบ้านแม่แดดน้อย ตำบลแม่แดด อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/271085
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบสถานการณ์ปัญหาและความต้องการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบ้านแม่แดดน้อย ตำบลแม่แดด อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการวิจัย ได้แก่ 1) ผู้นำชุมชนพื้นที่ จำนวน 3 คน 2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 6 คน 3) ตัวแทนกลุ่มผู้ใช้น้ำในชุมชน จำนวน 40 คน 4) องค์กร/หน่วยงานภาคนอก จำนวน 3 คน และ 5) กลุ่มนักวิชาการและผู้เชียวชาญที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 คน รวมทั้งหมด 56 คน การวิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและเชิงพรรณนาโดยการตรวจสอบความเที่ยงตรงของข้อมูลด้วยวิธีตรวจสอบแบบสามเส้า</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>สถานการณ์ปัญหาของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประกอบด้วย 1) ปัญหาการใช้ทรัพยากรน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค 2) ปัญหาการใช้ทรัพยากรน้ำเพื่อเกษตรกรรม และ ส่วนความต้องการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประกอบด้วย 1) ความต้องการให้ปรับปรุงแหล่งน้ำที่เป็นของสาธารณะ 2) ความต้องการปรับเปลี่ยนการใช้น้ำมาใช้เป็นบ่อน้ำบาดาล 3) ความต้องการตรวจสอบคุณภาพของแหล่งน้ำ 4) ความต้องการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้การเสริมสร้างความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบนพื้นที่สูง โดยแบ่งออกเป็น 6 ประเด็น ได้แก่ 1) ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน 2) ปฏิทินฤดูกาลผลผลิตทางการเกษตรกรรม 3) การทำแผนที่ชุมชนรอบในและแผนที่ชุมชนรอบนอกชุมชน 4) การสร้างความเข้าใจและให้ความรู้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกฎระเบียบประปาภูเขา 5) การจัดตั้งคณะกรรมการบริการจัดการน้ำในระดับหมู่บ้าน และ 6) การจัดทำแผนพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ</p>
สมคิด แก้วทิพย์
ปรารถนา ยศสุข
สถาพร แสงสุโพธิ์
พงศกร กาวิชัย
สิทธิชัย ธรรมขัน
กริช สุริยะชัยพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
91
109
-
ถ่านหินกับการช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติในตำบลบ้านบอม อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/275748
<p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจบริบทและเงื่อนไขในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2565 ที่นำไปสู่การช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติของตัวแสดงที่เกี่ยวข้องในแหล่งถ่านหินลิกไนต์ ตำบลบ้านบอม อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กำหนดขั้นตอนการศึกษาด้วยการรวบรวมข้อมูลเอกสารและการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และลงพื้นที่เก็บข้อมูลโดยใช้วิธีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) การสำรวจพื้นที่ (Filed Observation) และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) ที่เป็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีบทบาทและมีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ที่ทำการศึกษา จากนั้นจึงทำการวิเคราะห์เนื้อหาผ่านมุมมองแนวคิดรัฐองค์รวม (Integral State) ของอันโตนิโอ กรัมชี่ (Antonio Gramsci) และนำเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบของการพรรณนา (Descriptive)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> จากการที่รัฐมีเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแนวทางของระบบทุนนิยมมีส่วนในการผลักดันให้รัฐถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรให้แก่ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนและแปรรูปทรัพยากรให้เป็นสินค้าเพื่อตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐใช้กลไกอำนาจรัฐผ่านการออกกฎหมายและกำหนดนโยบายเพื่อ สร้างการรับรู้ร่วมกันและสร้างภาวะการครองอำนาจนำ ควบคู่ไปกับภาคเอกชนที่สร้างความยินยอมและความเห็นพ้องของผู้คนในชุมชน ผ่านการเสนอผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับจากโครงการเหมืองแร่ดังกล่าวเพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนมีความคิดเป็นไปในทางที่รัฐและเอกชนต้องการ ในขณะที่กลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านโครงการเหมืองแร่ทำการช่วงชิงสิทธิการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ผ่านการให้ข้อมูลผลกระทบด้านมลพิษและปัญหาด้านสุขภาพจากโครงการเหมืองแร่แก่ชาวบ้านในชุมชน ซึ่งเป็นการสร้างชุดความคิด ความเชื่อขึ้นอีกชุดหนึ่งเพื่อทำการต่อสู้และช่วงชิงสภาวะการครอบงำของรัฐและเอกชน</p>
มุกรวี ฉิมพะเนาว์
วัชรพล พุทธรักษา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
110
128
-
แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/275990
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี 2) ศึกษาสภาพทั่วไปในการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี และ 3) พัฒนาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานีที่กำหนดเป็นผู้ร่วมวิจัยและให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความเข้าใจถึงบริบทในการทำงาน และจะสามารถนำแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานีไปใช้ได้จริง</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1) กระบวนการจัดเก็บค่าเช่าราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี คือ สำนักงานจะจัดส่งหนังสือแจ้งค่าเช่าและช่องทางการชำระเงินพร้อมวิธีการชำระค่าเช่าไปยังผู้เช่า ผู้เช่าสามารถเลือกวิธีการชำระค่าเช่าได้ตามความสะดวก 2) สภาพทั่วไปในการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ สุราษฎร์ธานี พบว่า ยังมีจำนวนผู้เช่าที่ค้างชำระ เจ้าหน้าที่ มีความรู้ความสามารถและมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สำนักงานมีสภาพแวดล้อม เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผู้เช่าส่วนใหญ่ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการชำระค่าเช่า 3) แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี สังเคราะห์ข้อค้นพบจากการวิจัยได้รูปแบบ PPCC แผนงาน TRD Smart Rent Collection ประกอบด้วย 1) ด้านการประชาสัมพันธ์ (P - Public Relation) เพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์ทั้งที่สำนักงานและผ่านสื่อโซเชี่ยล 2) ด้านระบบและช่องทางการชำระเงิน (P - Payment) จัดทำระบบ ตอบรับการชำระเงินและส่งใบเสร็จอัตโนมัติ 3) ด้านการตรวจสอบและจัดเก็บค่าเช่า (Check) โดยเพิ่มตารางในการลงพื้นที่เช่า เพื่อพบปะ ติดตาม สอบถาม รวมถึงเก็บค่าเช่า 4) ด้านการติดต่อสื่อสาร (C - Contact) เพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารให้ครอบคลุมสื่อออนไลน์ทุกประเภท ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ ได้แก่ 1) กรมธนารักษ์ควรมีการสนับสนุนให้สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ นำรูปแบบ TRD Smart Rent Collection : PPCC ไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุ 2) หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บรายได้ของรัฐ สามารถนำแนวคิด TRD Smart Rent Collection : PPCC ไปเป็นแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้</p>
ธัญชนก ศักรางกูล
อมร หวังอัครางกูร
วาสนา จาตุรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
129
149
-
การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนในโครงการวิจัยบางแก้วโมเดล: ประมงพื้นบ้านแก้จน
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/276790
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อนำเสนอข้อมูลโครงการวิจัยบางแก้วโมเดล: ประมงพื้นบ้านแก้จน และ 2) เพื่อประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนในโครงการวิจัยบางแก้วโมเดล: ประมงพื้นบ้านแก้จน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกต การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และการทำเวทีประชุมจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวมถึงการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการศึกษากรอบแนวคิดและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลตอบแทนทางสังคม แล้วดำเนินการวิเคราะห์ตัวชี้วัดความคุ้มค่าจากการลงทุนในโครงการ พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลในรูปตารางและการอธิบายเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> โครงการวิจัยบางแก้วโมเดล: ประมงพื้นบ้านแก้จน เป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 1,100,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนาโมเดลแก้จนระดับพื้นที่ที่เหมาะสมกับศักยภาพของคนจนกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และ 2) เพื่อยกระดับรายได้และฐานะทางสังคมของคนจนและครัวเรือนยากจน โดยการผนวกกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิต ผลการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนเมื่อเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการ พบว่า มูลค่าผลประโยชน์ปัจจุบันสุทธิของโครงการ มีค่าเท่ากับ 645,022.35 บาท ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน มีค่าเท่ากับ 1.59 เท่า ซึ่งหมายความว่า ทุกการลงทุน 1 บาท ในโครงการจะเกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจคืนกลับแก่สังคม 1.59 บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนของโครงการมีความคุ้มค่ากับการลงทุน โดยผลที่เกิดจากการดำเนินโครงการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของชุมชนในทิศทางที่ดีขึ้นใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านมนุษย์ ด้านกายภาพ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม สำหรับปัจจัยแห่งความสำเร็จจากการดำเนินโครงการมีด้วยกัน 3 ปัจจัย ได้แก่ การมีส่วนร่วม ภาคีเครือข่าย และกลไกความร่วมมือ</p>
ชลลดา แสงมณี ศิริสาธิตกิจ
ศันสนีย์ จันทร์อานุภาพ
วราภรณ์ ทนงศักดิ์
สุภฎา คีรีรัฐนิคม
ทวีเดช ไชยนาพงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
150
168
-
ข้อเสนอการแก้ไขกฎหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการที่พักในรูปแบบธุรกิจการแบ่งปัน สำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/274837
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบการอุตสาหกรรมที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันกับการประกอบการรูปแบบธุรกิจการแบ่งปัน (Sharing economy) และเพื่อเสนอแนวทางการปรับปรุงกฎหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการที่พักรูปแบบธุรกิจการแบ่งปัน (Sharing economy) สำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการจัดสนทนากลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย ผู้แทนสมาคม ผู้ประกอบการในพื้นที่ ผู้ใช้บริการในพื้นที่ และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย จำนวน 69 ท่าน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น และชลบุรี และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong> ปัจจุบันเจ้าของที่อยู่อาศัยหลายประเภทนำที่อยู่อาศัยของตนมาให้บริการที่พักระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่พักของประเทศไทยที่มีการจดทะเบียนดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายที่ยังคงต้องถูกควบคุมการดำเนินการและมีข้อกำหนดในการที่ต้องเสียภาษี ซึ่งต่างจากผู้ที่นำที่พักอาศัยของตนเข้ามาให้บริการผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยมีขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 หรือพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 รวมถึงกฎกระทรวง กำหนดประเภทและมาตรฐานในการประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ยังเกิดความไม่เท่าเทียมทางการแข่งขันของผู้ประกอบการและความเสี่ยงของผู้บริโภคในการใช้บริการ ดังนั้น จึงควรแก้ไขกฎหมายเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่พักระยะสั้นในรูปแบบเศรษฐกิจแบ่งปัน โดยปรับปรุงกฎกระทรวงให้ยืดหยุ่นสำหรับการนำบ้านและห้องชุดเข้าสู่ระบบ พร้อมเพิ่มมาตรการความปลอดภัยและระบบการยื่นขออนุญาตออนไลน์เพื่อลดความซับซ้อนและความล่าช้า ตลอดจนมีข้อเสนอในการเสริมสร้างบทบาทของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้มีบทบาทในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมที่พัก เพื่อให้การพัฒนาธุรกิจที่พักระยะสั้นมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบริบทการท่องเที่ยวสมัยใหม่ และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน</p>
โชคชัย สุเวชวัฒนกูล
ปุ่น วิชชุไตรภพ
เมธัส ณัฐชยพล
เกศรา สุกเพชร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
169
186
-
การบริหารการท่องเที่ยวในเขตทหาร กองพลทหารราบที่ 7 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/276645
<p>การวิจัยเรื่อง การบริหารการท่องเที่ยวในเขตทหาร กองพลทหารราบที่ 7 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทพื้นที่ของกองพลทหารราบที่ 7 ในด้านการท่องเที่ยว 2) วิเคราะห์สภาพแวดล้อมการบริหารการท่องเที่ยวของ กองพลทหารราบที่7 และ 3) กำหนดกลยุทธ์การบริหารการท่องเที่ยวในเขตทหารของกองพลทหารราบที่ 7 ผู้ให้ข้อมูล คือ1) กลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการพลเรือนและหัวหน้าฝ่าย จำนวน 12 ราย และ 2) กลุ่มเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานฝ่ายดูแลพื้นที่ จำนวน 25 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และ TOWS Matrix พบว่า แหล่งท่องเที่ยวในเขตทหารฯ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดแข็งและข้อจำกัด แนวทางการบริหารการท่องเที่ยวจึงต้องใช้กลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST) ซึ่งวิธีการที่มีความเหมาะสม คือ 1) ดึงอัตลักษณ์ทางทหารและทรัพยากรที่มีออกมาใช้ 2) จัดสรรการท่องเที่ยวให้เต็มศักยภาพในการรองรับ 3) นำกระแสการท่องเที่ยวสายมูเตลู เข้ามาใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว 4) ประชาสัมพันธ์และจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว ให้หน่วยงานและผู้ที่สนใจศาสตร์พระราชา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการทหารพันธุ์ดี เข้ามาศึกษาดูงานและนำไปปรับใช้ 5) จัดกิจกรรมตามเทศกาลหรือวันสำคัญ 6) ใช้แอพพลิเคชั่นเข้ามาช่วยเพิ่มการจอง 7) ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการจอง 8) จัดชุดรักษาความปลอดภัยทางน้ำ ดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว 9) จัดซุ้มหรือป้ายสำหรับถ่ายภาพ ให้ส่วนลดหรือของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ถ่ายรูปเช็คอิน เพื่อเพิ่มการบอกต่อ และ 10) ประชาสัมพันธ์กิจกรรมการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด “สนุกสนาน ท้าทาย คุ้มค่าและปลอดภัย” ของสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวและกีฬากองทัพบก</p>
ภาณุพงศ์ ปราบชนะ
ยุทธการ ไวยอาภา
กวินรัตน์ อัฐวงศ์ชยากร
กีรติ ตระการศิริวานิช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
187
211
-
การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของแบบวัดความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ภาคเหนือของประเทศไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/275277
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบความสอดคล้ององค์ประกอบเชิงยืนยันของแบบวัดความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ภาคเหนือของประเทศไทยตามภาวะสันนิษฐานกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้บริหารและกลุ่มสมาชิกของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ภาคเหนือของประเทศไทย ใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ได้จำนวน 1,020 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันด้วยโปรแกรม AMOS</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>ทุกองค์ประกอบสามารถนำไปใช้ได้โดยมีความสอดคล้องกลมกลืนกับกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ดังนี้ 1) องค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยวมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเท่ากับ .894, .796, .782, และ .765 ผลการตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลองค์ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่า x<sup>2 </sup>= 56.610 ; df = 44 ; Relative chi-square = 1.287 ; p-value = .096 ; GFI = .992 ; AGFI = .981 ; NFI = .989 ; PNFI = .478 ; TLI = .995 ; CFI = .998 ; RMSEA = .017 ; RMR = .010 2) การจัดการการท่องเที่ยวมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเท่ากับ .928, .860, .834, .815, .758 และ .671, ผลการตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลองค์ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่า x<sup>2 =</sup> 94.791 ; df = 77 ; Relative chi-square = 1.231 ; p-value = .082 ; GFI = .991 ; AGFI = .974 ; NFI = .992 ; PNFI = .402 ; TLI = .996 ; CFI = .999 ; RMSEA = .015 ; RMR = .010 และ 3) ภาวะผู้นำมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเท่ากับ .962, .951 และ .922 ผลการตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลองค์ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่า x<sup>2 </sup>= 30.091 ; df = 21 ; Relative chi-square = 1.433 ; p-value = .090 ; GFI = .994 ; AGFI = .984 ; NFI = .992 ; PNFI = .463 ; TLI = .995 ; CFI = .998 ; RMSEA = .021 ; RMR = .006 โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าทั้ง 3 องค์ประกอบสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ภาคเหนือของประเทศไทยได้</p>
ธนากร ทั่งเรือง
เฉลิมเกียรติ เฟื่องแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
212
229
-
แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา: ชุมชนบ้านบ่อสวก จังหวัดน่าน
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/275923
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาอัตลักษณ์และวิเคราะห์ความพร้อมของชุมชนบ้านบ่อสวก จังหวัดน่านในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG และการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดน่าน และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านบ่อสวก จังหวัดน่าน เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้นำชุมชน ปราชญ์ชุมชน และสมาชิกภายในชุมชนบ้านบ่อสวก จังหวัดน่าน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ การสนทนากลุ่ม (Focus Group) และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า </strong>อัตลักษณ์และวิเคราะห์ความพร้อมของชุมชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG และการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดน่าน ประกอบด้วย อัตลักษณ์ด้านอาหาร อัตลักษณ์ด้านผลิตภัณฑ์ อัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประเพณี อัตลักษณ์ด้านเครื่องแต่งกาย และอัตลักษณ์ของชุมชน และแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านบ่อสวก จังหวัดน่านประกอบด้วย 1) เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเน้นการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง 2) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และ 3) เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนสืบไป</p>
นนท์ลฉัตร วีรานุวัตติ์
ณัฐกานศ์ ตันมิ่ง
ปฏิพัทธ์ ตันมิ่ง
ราณี อิสิชัยกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
230
249
-
Impact of Travel Behavior on Travel Motivation and Perceived Risk: Exploring COVID-19 Risk Factors in the Post-Pandemic Era
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/276229
<p>This study explores the impact of COVID-19 on travel motivation, perceived risk, and travel behavior in the post-pandemic era. The pandemic has significantly reshaped global travel, influencing individuals' travel motivations, destination choices, and behavior. This research examines how COVID-19 risk perception has altered travelers' decisions, including their use of online travel agencies and information-seeking behaviors. Using a quantitative survey and statistical analysis, the findings reveal that risk perception plays a key role in shaping travel choices, emphasizing the importance of health and safety. </p> <p><strong>The study offers</strong> valuable insights for the tourism industry in adapting to evolving traveler preferences in the wake of global health crises.</p>
Yu-Lun Hsu
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
250
265
-
วัฒนธรรมการทำงานหนัก: ความเป็นมา ผลกระทบ และความท้าทาย ในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/276050
<p>ประเด็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจในการศึกษาแม้ว่าบริบททางสังคมจะเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมการทำงานนั้นถือเป็นรากฐานสำคัญขององค์กร สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของบุคลากร สภาพแวดล้อมในการทำงาน ตลอดจนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกำลังแรงงาน บทความนี้มุ่งนำเสนอแง่มุมที่น่าสนใจของวัฒนธรรมการทำงานหนัก ผ่านการทบทวนวรรณกรรมจากเอกสาร บทความวิจัย และบทความวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ</p> <p><strong>ข้อสรุปของการศึกษา</strong>แสดงถึงมุมมองที่หลากหลายครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ ต่อไปนี้ 1) นิยามและความเป็นมาของวัฒนธรรมการทำงานหนัก 2) ผลกระทบของวัฒนธรรมการทำงานหนักต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต และ 3) ความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร องค์กรในปัจจุบันต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวโดยเน้นที่การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยั่งยืนและสมดุล ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน แนวทางนี้สอดคล้องกับหลักการของวัฒนธรรมต่อต้านการทำงาน</p>
ธารทิพย์ พจน์สุภาพ
ธรรมรัตน์ จังศิริวัฒนา
อาจารีย์ ประจวบเหมาะ
ทศพร มะหะหมัด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
8 3
266
284