วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ <table width="624"> <tbody> <tr> <td width="624"> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> 1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์การบริหารกิจการสังคม และสหวิทยาการด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p> 2. เพื่อให้บริการวิชาการเกี่ยวกับการเสนอทางออกในการแก้ปัญหาสังคม</p> </td> </tr> <tr> <td width="624"> <p><strong>การพิจารณาคัดเลือกบทความ</strong> </p> <p> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบันและมิใช่สังกัดเดียวกับผู้นิพนธ์บทความ และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double - blind Peer Review)</p> </td> </tr> <tr> <td width="624"> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong> </p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม</p> <p> ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน</p> <p> ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table> วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ th-TH วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ 3027-6128 <p>ลิขสิทธิ์</p> ยุทธศาสตร์การพัฒนาการสร้างความร่วมมือของภาคส่วน เพื่อนำมวยไทยสู่การเป็นกีฬาโอลิมปิก การเป็นมรดกโลก และสนับสนุนพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้านการส่งออก และการท่องเที่ยว https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/265517 <p>การศึกษาวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อจัดทำยุทธ์ศาสตร์การพัฒนาการสร้างความร่วมมือของภาคส่วนเพื่อนำมวยไทยสู่การเป็นกีฬาโอลิมปิก 2) เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาการสร้างความร่วมมือของภาคส่วนเพื่อนำมวยไทยสู่การเป็นมรดกโลก 3) เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาการสร้างความร่วมมือของภาคส่วนเพื่อนำมวยไทยสู่การสนับสนุนพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้านการส่งออกและการท่องเที่ยว</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1) ยุทธศาสตร์การพัฒนาการสร้างความร่วมมือของภาคส่วนเพื่อ นำมวยไทยสู่การเป็นกีฬาโอลิมปิกได้ข้อเสนอที่เป็นยุทธศาสตร์ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ที่ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์เสริมสร้างอัตลักษณ์นักมวย การพัฒนาค่ายมวยให้มีมาตรฐานการพัฒนาศักยภาพครูมวยผู้ฝึกสอน การพัฒนาผู้จัดการนักมวยมืออาชีพ การพัฒนามาตรฐานการให้คะแนนการตัดสิน การพัฒนาศักยภาพผู้จัดการแข่งขัน และนายสนามมวยเชิงคุณค่า การบริหารจัดการและสร้างเครือข่าย ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการในระดับกระทรวง 3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาการสร้างความร่วมมือของภาคส่วนเพื่อนำมวยไทยสู่การเป็นมรดกโลก ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ การสังคายนาชำระประวัติศาสตร์มวยไทย การตอกย้ำร่องรอยมวยไทยวัฒนธรรมไทย การสร้างอัตลักษณ์คุณค่ามวยไทย การสืบสานต่อยอดพัฒนามวยไทยฐานะเป็นสิ่งหายาก การสร้างความร่วมมือของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมวยไทยไปสู่มรดกไทย และเพื่อนำมวยไทยสู่การสนับสนุนพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้านการส่งออกและการท่องเที่ยวได้ข้อเสนอที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ศิลปะมวยไทยเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์โดยรัฐ ความร่วมมือของภาคส่วนธุรกิจมวยไทยสู่การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ศิลปะมวยไทยเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ แบรนด์มวยไทยเพื่อสร้างสรรค์ และยุทธศาสตร์มวยไทยเพื่อสังคม</p> ธีรวัฒน์ ยิ้วยิ้ม ธรรมพร ตันตรา สุริยจรัส เตชะตันมีนสกุล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 1 14 บทบาททางการเมืองของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจทางการเมืองในทัศนะของประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/268420 <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของการแสดงบทบาททางการเมืองของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อศึกษาทัศนะของประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีต่อการแสดงบทบาททางการเมืองของชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจทางการเมืองและ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงบทบาททางการเมืองของชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจทางการเมืองกับทัศนะของประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นมาจากการทบทวนวรรณกรรม และนำไปรวบรวมความเห็นของประชาชนที่อยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์</p> <p><strong>ผลวิจัยพบว่า</strong></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. การแสดงบทบาททางการเมืองของชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจทางการเมืองโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การสังเกตการณ์ทางการเมือง รองลงมา คือ การเข้าเป็นหุ้นส่วนทางการเมือง และน้อยที่สุด คือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ทัศนะของประชาชนต่อการแสดงบทบาททางการเมืองของชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจทางการเมืองโดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ควรทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ รองลงมา คือ ควรมีจิตสำนึก มีคุณธรรมจริยธรรม และน้อยที่สุด คือ การปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ความสัมพันธ์ระหว่างชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจทางการเมืองกับการแสดงบทบาททางการเมืองในทัศนะของประชาชน มีความสัมพันธ์ในทิศทางบวก ในระดับสูงมากที่สุด r = 0.809 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p> พรเทพ โฆษิตวรวุฒิ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 15 31 ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายและความร่วมมือเครือข่ายย่านเมืองเก่าจังหวัดเชียงรายภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือกับการเป็นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/271440 <p>งานวิจัยเรื่อง ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบาย และความร่วมมือเครือข่ายย่านเมืองเก่า จังหวัดเชียงราย ภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือกับการเป็นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) วิเคราะห์ศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือกับการเป็นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 2) พัฒนายุทธศาสตร์และขับเคลื่อนนโยบายความร่วมมือเครือข่ายย่านเมืองเก่าจังหวัดเชียงรายภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือกับการเป็นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาย่านเมืองเก่าในอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน และอำเภอเวียงป่าเป้า จำนวน 30 คน นักท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองเก่าจำนวน 400 คน และ กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่เมืองเก่าทั้ง 3 อำเภอ จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ คือแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการประชุมกลุ่มย่อย</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong> ย่านเมืองเก่าของจังหวัดเชียงรายมีศักยภาพด้านความเป็นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และด้านความเป็นอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านย่านเมืองเก่าต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือของจังหวัดเชียงราย มีทั้งหมด 6 ประเด็น ประกอบด้วย 1) การยกระดับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยวและบริการเพื่อให้สอดรับกับความต้องการในยุค Next Normal 2) การส่งเสริมการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับความพร้อมของจังหวัดเชียงรายในการเป็นประตูสู่ความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 3) การพัฒนามาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มการท่องเที่ยวในปัจจุบัน 4) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาย่านเมืองเก่าในจังหวัดเชียงรายเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ 5) การพัฒนาฐานข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนจังหวัดเชียงรายภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ และ 6) การยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญา ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรรมและปศุสัตว์ และงานศิลปะ</p> วิกรม บุญนุ่น Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 32 50 การนำแนวทางการปฏิรูประบบภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติ กับความเป็นธรรมในทัศนะของผู้ครอบครองทรัพย์สิน กรณีศึกษาพื้นที่เขต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/268921 <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการนำแนวทางการปฏิรูประบบภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติ 2) เพื่อศึกษาความเป็นธรรมในทัศนะของผู้ครอบครองทรัพย์สิน และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการนำแนวทางการปฏิรูประบบภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติ กับความเป็นธรรมในทัศนะของผู้ครอบครองทรัพย์สินโดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นมาจากการทบทวนวรรณกรรม และนำไปรวบรวมความเห็นของผู้บริหารท้องถิ่นในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เป็นข้าราชการเจ้าพนักงานของรัฐผู้ดำเนินการจัดเก็บภาษี และประชาชนผู้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างผู้เสียภาษีให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จำนวน 400 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารท้องถิ่นในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เป็นข้าราชการเจ้าพนักงานของรัฐผู้ดำเนินการจัดเก็บภาษี จำนวน 100 คน และประชาชนผู้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 300 คน แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />, S.D. และ Pearson Correlation</p> <p><strong> ผลวิจัยพบว่า</strong></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ความพึงพอใจในการนำแนวทางการปฏิรูประบบภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติ ของการดำเนินการโดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านงบประมาณ รองลงมา คือ ด้านผู้บริหาร และน้อยที่สุด คือ ด้านการประชาสัมพันธ์</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความเป็นธรรมในทัศนะของผู้ครอบครองทรัพย์สิน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การใช้อัตราภาษีก้าวหน้า รองลงมา คือ การเพิ่มอัตราภาษีสำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่า และน้อยที่สุด คือ การกำหนดอัตราภาษีตามการใช้ประโยชน์ของที่ดิน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. การนำแนวทางการปฏิรูประบบภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติ มีความสัมพันธ์กับความเป็นธรรมในทัศนะของผู้ครอบครองทรัพย์สิน ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p> วีระกิตติ์ เอกอัครวิจิตร Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 51 69 บทบาทของโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) : การสร้างพื้นที่สาธารณะทางการเมือง ในสังคมไทย ช่วง พ.ศ. 2552-2563 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/267909 <p>บทความนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่สาธารณะ และผลกระทบของกฎหมายต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ. 2552 –2563 2) ศึกษาโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ที่มีบทบาท ส่งเสริม รวบรวมข้อคิดเห็น หรือตรวจสอบกฎหมายในการเมืองไทย มีบทบาทในส่งเสริมการเมืองภาคประชาชนการศึกษาวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Quality research) ด้วยการวิจัยเอกสาร (Documentary research) และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) การบัญญัติ การบังคับใช้ และการแก้ไขกฎหมาย รวมทั้งสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) 6 คน นักวิชาการ 4 คน และประชาชนทั่วไป 20 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong> 1) กฎหมายควบคุมพื้นที่สาธารณะทางการเมืองในช่วง พ.ศ. 2552 –2563 จำนวนมาก แบ่งได้ดังนี้ (1) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมบนพื้นที่สาธารณะ (2) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์และภาพยนตร์ (3) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสังคมออนไลน์ (4) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง 2) โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) มีบทบาทในการสนับสนุนต่อการเมืองภาคประชาสังคมอย่างต่อเนื่องในการสร้างองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายกับประชาชนและเป็นองค์กรที่รวบรวมความคิดเห็น รายชื่อ ประชาชนในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อแสดงออกทางการเมือง ต่อรองกับรัฐ นอกจากนี้ยังมีบทบาทดังต่อไปนี้ 1) บทบาทในการสนับสนุนและแสดงออกทางการเมือง 2) สนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง 3) บทบาทในการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ รวบรวมข้อคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ</p> พงษ์กฤษฏิ์ จิโน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 70 87 การยอมรับบทบาทของผู้นำสตรีในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นของชนเผ่ากะเหรี่ยงปกาเกอะญอ บ้านแม่แดดน้อย ตำบลแม่แดด อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/265481 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทที่สำคัญของผู้นำสตรีในการพัฒนาชุมชนชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ บ้านแม่แดดน้อย 2) ศึกษาระดับการยอมรับบทบาทและวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในการพัฒนาชุมชนชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ บ้านแม่แดดน้อย และ 3) เสนอบทบาทที่เหมาะสมของผู้นำชุมชนสตรีท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ศึกษาด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสมการถดถอยพหุคูณ ร่วมกับการวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้นำสตรี ชาวบ้าน และผู้ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</strong> บทบาทที่สำคัญของผู้นำสตรีในการพัฒนาชุมชนชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ บ้านแม่แดดน้อย มี 6 ด้าน คือ 1) การปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อย 2) การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ 3) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4) ความยุติธรรมและการจัดการความขัดแย้ง 5) การบริการ และ 6) ด้านจิตวิญญาณ โดยระดับการยอมรับบทบาทของผู้นำสตรีอยู่ในระดับมากที่สุดในทุกด้าน การศึกษาพบว่า ปัจจัยภาวะผู้นำ ปัจจัยด้านอาชีพ และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมจะส่งผลต่อการยอมรับบทบาทของผู้นำสตรีในการพัฒนาชุมชนชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการวิจัยได้ข้อเสนอว่า ผู้นำสตรีควรแสดงบทบาทการพัฒนาทั้ง 6 ด้านอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมอาชีพและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์การเกษตรที่สอดคล้องกับบริบทชุมชน อีกทั้งควรมีการพัฒนาภาวะผู้นำและส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนาต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อสร้างการยอมรับของบทบาทของผู้นำสตรีในการพัฒนาชุมชนชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ</p> <p> </p> บงกชมาศ เอกเอี่ยม Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 88 105 ผู้นำสตรีกับการบริหารจัดการและการพัฒนาชุมชน ในตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/267025 <p>บทความนี้ศึกษาเรื่อง ผู้นำสตรีกับการบริหารจัดการและการพัฒนาชุมชนในตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) บทบาทของผู้นำสตรีด้านการบริหารจัดการและการพัฒนาชุมชน 2) กลยุทธ เทคนิค เครื่องมือทางการบริหารจัดการที่ผู้นำสตรีนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการและพัฒนาชุมชน 3) เงื่อนไขปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการบริหารจัดการและการพัฒนาชุมชนของผู้นำสตรี และ 4) แนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการและพัฒนาชุมชนของผู้นำสตรี</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> ผู้นำสตรีมีอยู่ 6 ประเภท คือ ผู้นำสตรีท้องที่ ท้องถิ่น ผู้นำสตรีกลุ่มผู้นำชุมชน ผู้นำสตรีภาคราชการ ผู้นำสตรีภาคเอกชน และผู้นำสตรีปราชญ์ชุมชน ซึ่งทำหน้าที่ 2 ลักษณะคือทำตามระเบียบกฎหมายและทำตามบทบาททางสังคม โดยนำกลยุทธ์ เทคนิค เครื่องมือทางการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ กลยุทธ์ทางการสื่อสารเพื่อการรับรู้และเข้าใจ กลยุทธ์ผู้นำทำก่อน กลยุทธ์การบริหารจัดการเชิงบูรณาการ เทคนิคเครื่องมือการทำงานเป็นทีม กลยุทธ์สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ การบริหารจัดการเชิงสถานการณ์สู่การเปลี่ยนแปลง และการบริหารจัดการความขัดแย้ง ทางด้านปัจจัยที่สนับสนุนการบริหารจัดการและการพัฒนาชุมชนของผู้นำสตรีให้ประสบผลสำเร็จ ประกอบด้วย ภาวะผู้นำ พฤติกรรมการแสดงออก ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์การทำงานด้านการพัฒนา ความพร้อมของครอบครัว การได้โอกาสในการทำงาน และการได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และข้อเสนอที่เป็นแนวทางในการบริหารจัดการการพัฒนาชุมชนที่เหมาะสม คือ 1) รัฐบาลมีนโยบายยุทธศาสตร์การปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพบทบาทสตรี 2) ควรมีการสนับสนุนให้เกิดผู้นำสตรีให้มากขึ้น 3) ควรมีการสร้างสังคมการให้โอกาส 4) ควรมีการตั้งสภาสตรีชุมชน 5) ควรเพิ่มศักยภาพด้านเครือข่ายสตรีทุกระดับ 6) ควรสร้างผู้นำสตรีแห่งการเรียนรู้ 7) ควรสร้างกลไกกระบวนการมีส่วนร่วมชุมชน 8) ควรมีคณะกรรมการสมานฉันท์ชุมชน 9) ควรมีการจัดตั้งกองทุนกองบุญชุมชน 10) ควรสร้างแรงจูงใจในการทำงาน</p> อุบลรัตน์ ลอยมี ธรรมพร ตันตรา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 106 120 รูปแบบนวัตกรรมธุรกิจเพื่อสังคมสู่ความยั่งยืน ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/267763 <p>เกษตรกรรุ่นใหม่ Young Smart Farmer (YSF) ในปัจจุบันมีความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคมเพื่อนำกำไรที่เกิดขึ้นไปสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคม โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความตั้งใจของเกษตรกร รุ่นใหม่ในการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม 2) ศึกษารูปแบบนวัตกรรมธุรกิจเพื่อสังคมของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ดำเนินกิจการเพื่อสังคมใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) คือ เกษตรกรรุ่นใหม่ผู้มีประสบการณ์ในการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม เป็นเวลา 5 ปี โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 8 คน ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong> ความตั้งใจของผู้ประกอบการเพื่อสังคมเกิดจากความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาสังคมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งมีการวางรูปแบบนวัตกรรมธุรกิจเพื่อสังคมโดยการนำเอาการแก้ปัญหาสังคมมาเป็นเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ผู้ประกอบการเพื่อสังคมยังนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน มีการสร้างเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กันจนเกิดการพัฒนาสู่การสร้างรูปแบบนวัตกรรมธุรกิจเพื่อสังคมที่ยั่งยืน</p> สุธาวัลย์ สัจจสมบูรณ์ ภูษณิศา เตชะเถกิง ปรีดา ศรีนฤวรรณ จักรพงษ์ สุขพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 121 137 รูปแบบการบริหารจัดการชุมชนพึ่งตนเองในการน้อมนำ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิต: กรณีตำบลป่าแดด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/268808 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิสังคมเพื่อศึกษาการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชนชุมชนเมือง เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารจัดการชุมชนพึ่งตนเองในการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิต ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ในการศึกษาบริบทภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิสังคม ได้กำหนดคุณลักษณะมีภูมิลำเนาและอาศัยอยู่ในพื้นที่ ไม่น้อยกว่า 20 ปี จำนวน 130 คน ส่วนการศึกษาการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิต เป็นผู้ที่ได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิต รวม 390 คน และในส่วนการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการชุมชนพึ่งตนเอง จำนวนผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวม 28 คน เครื่องมือที่ใช้ ทบทวนเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต การสนทนากลุ่ม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหายึดแนวเชิงพรรณนา</p> <p><strong> ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. บริบทภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิสังคม พบว่า ชุมชนป่าแดดเป็นสังคมเมืองเกิดปัญหาด้านสังคมและวัฒนธรรม การเพิ่มขึ้นของแหล่งอบายมุข และความเสื่อมถอยด้านความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม มลพิษทางอากาศที่มาจากฝุ่นควันของเครื่องจักรและยานพาหนะ ด้านเศรษฐกิจ ขาดการจัดการในเชิงธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ชุมชน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ศึกษาการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชนชุมชนเมือง ตำบลป่าแดด พบว่า ผู้นำชุนชนมีบทบาทสำคัญทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม มีการร่วมกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน เพื่อสร้างแหล่งเรียนรู้ และร่วมกันบริหารจัดการปัญหาของชุมชนอย่างยั่งยืน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. รูปแบบการบริหารจัดการชุมชนพึ่งตนเองในการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชนชุมชนเมือง ตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า การดำเนินการในรูปของ “คณะกรรมการ” หรือ “COMMITTEE” 9 ขั้นตอน นำไปใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชนชุมชนเมืองและการบริหารจัดการชุมชนพึ่งตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างเหมาะสมที่สุด</span></p> วีระชัย ไชยมงคล มนัส สุวรรณ รัชพล สัมพุทธานนท์ นครินทร์ พริบไหว Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 138 154 ความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทย ในช่วงเวลาระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/268962 <p>ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเกิดจากการที่สัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากผลจากการที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในนโยบายด้านประชากรและการวางแผนครอบครัว โดยผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่ดำรงชีวิตประจำวันอยู่ได้ด้วยแหล่งเกื้อหนุนรายได้ของผู้สูงอายุที่มาจากตัวผู้สูงอายุเองจึงทำให้มีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ยังคงทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตนเอง ในขณะที่การระบาดของโรคโควิด-19 นั้นได้ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุในด้านเศรษฐกิจโดยพบว่ามีผู้สูงอายุที่ว่างงานเพิ่มขึ้น การวิจัยเรื่องความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทยในช่วงเวลาระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านสังคมและประชากร ปัจจัยด้านสุขภาพ และปัจจัยด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทยในช่วงระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้ง 38,975 คน เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่มีต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทยโดยใช้แบบจําลองการถดถอย โลจิสติคทวิ (binary logit model) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p><strong>จากการทดสอบสมมติฐานพบว่า</strong> ในช่วงระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยด้านสังคมและประชากร ปัจจัยด้านสุขภาพ และปัจจัยด้านเศรษฐกิจ มีผลต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทย</p> วรชาติ โชครัศมีดาว ยศ อมรกิจวิกัย Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 155 171 การรับรู้ผลกระทบและการปรับตัวของผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อปรากฏการณ์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/267172 <p>เศรษฐกิจเมืองเชียงใหม่พึ่งพากับภาคการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และโรงแรมที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่เกือบครึ่งหนึ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็ก ด้วยปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงในทุกมิติทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี ทำให้สถานการณ์ท่องเที่ยวมีความไม่แน่นอนตามการเปลี่ยนแปลงตลอด การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้ผลกระทบจากปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาการปรับตัวของผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ต่อปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และ 3) ระบุความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ผลกระทบต่อการปรับตัวต่อปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีการรับรู้ผลกระทบต่อปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระดับมาก และ มีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับมากที่สุด สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้และการปรับตัวต่อปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าการรับรู้ผลกระทบต่อปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในด้านการตลาดที่เปลี่ยนแปลง ด้านพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง และด้านฤดูกาลท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และผลการวิจัยยังพบว่า การรับรู้ผลกระทบต่อปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในด้านกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ด้านต้นทุนธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง และด้านรูปแบบการประชาสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่</p> Yameng Luo มนสิชา อินทจักร กวินรัตน์ อัฐวงศ์ชยากร กีรติ ตระการศิริวานิช Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 172 186 แนวทางการจัดการร่วมของการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/268580 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว และประเมินความเข้มแข็งในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน ในอำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา 2) กำหนดแนวทางการจัดการร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวในอำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลักด้วยวิธีการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 50 คน ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวและประเมินความเข้มแข็งในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน พบว่า อำเภอกระแสสินธุ์มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว มีทรัพยากรการท่องเที่ยวประเภทโบราณสถาน มีตำนานท้องถิ่นเชื่อมโยงคุณค่าทางด้านจิตใจ มีทรัพยากรท่องเที่ยวประเภทกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณีเชื่อมโยงกับการประกอบอาชีพและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สำหรับแนวทางการจัดการร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในการพัฒนาการท่องเที่ยวอำเภอกระแสสินธุ์ พบว่า ควรมีการจัดทำแผนแม่บทของการวางแผนพัฒนาการท่องเที่ยวระดับอำเภอ โดยประกอบด้วย ตัวแทนภาครัฐจากหน่วยงานในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มอาชีพ มาร่วมจัดทำแผนงาน แผนโครงการ และแผนงบประมาณ โดยจัดทำแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในรูปแบบกิจกรรม/โครงการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว การจัดทำปฏิทินกิจกรรมประจำปี การวางแผนงบประมาณผ่านหน่วยงานภาครัฐ และการประชาสัมพันธ์ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง</p> โยธิน ทองเนื้อแข็ง สมเกียรติ สายธนู Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 187 204 การส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำประมงพื้นบ้าน พื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด การใช้ประโยชน์ทรัพยากร อย่างชาญฉลาดและยั่งยืน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/267854 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิเคราะห์กฎหมายไทย กฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำ 2) หาเเนวทางการมีส่วนร่วมภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำประมงพื้นบ้านของพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดร่วมกันระหว่างประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3) หารูปแบบการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำประมงพื้นบ้านพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดและจัดทำคู่มือ (BB-Model Law) ในการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยมีวิธีวิทยาการวิจัยเป็นวิจัยเชิงคุณภาพประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการการสนทนากลุ่ม เพื่อนำคำตอบไปจัดทำเป็นกฎหมายท้องถิ่นต้นแบบ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>1) ฐานอำนาจตามกฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดมาจากกฎหมายว่าด้วยกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 2) ได้รูปแบบ แนวทาง และมาตรการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่การทำประมงพื้นบ้านพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด 3) ได้โครงสร้างการจัดทำร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นต้นแบบว่าด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดในการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำประมงพื้นบ้านขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดอำนาจหน้าที่แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในรูปแบบของนวัตกรรม คือ คู่มือบึงบอระเพ็ดโมเดล BB–Model Law</p> <p>ข้อเสนอแนะการวิจัย การวิจัยนี้ควรให้มีการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นว่าด้วยการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำประมงพื้นบ้านพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566</p> ฐิตาภรณ์ น้อยนาลุ่ม นนทพัทธ์ ตรีณรงค์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 205 220 แนวทางการสืบทอดภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเครื่องจักสานจากไม้ไผ่ในอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/269201 <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแนวทางการสืบทอดภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเครื่องจักสานจากไม้ไผ่ในอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการสืบทอดภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเครื่องจักสานจากไม้ไผ่ในอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน 2) เพื่อศึกษาและพัฒนากระบวนการผลิตและขั้นตอนในงานหัตถกรรมจักสานของอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน เพื่อหาประสิทธิภาพ ด้านประโยชน์ใช้สอย ด้านความงาม ด้านการใช้งาน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1) ผลการศึกษาสภาพการสืบทอดภูมิปัญญาหัตถกรรมท้องถิ่นเกี่ยวกับเครื่องจักสานจากไม้ไผ่ในอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน พบว่า ภูมิปัญญา และประสบการณ์การทำเครื่องจักสานด้วยไม้ไผ่ได้รับการสืบทอดอย่างต่อเนื่องในชุมชนนี้ ในการรักษาและส่งต่อวัฒนธรรม ความรู้ และความเชื่อของชุมชนไปในรุ่นถัด และ 2) ผลการศึกษาและพัฒนากระบวนการผลิตและขั้นตอนในงานหัตถกรรมจักสานของอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน เพื่อหาประสิทธิภาพ ด้านประโยชน์ใช้สอย ด้านความงาม ด้านการใช้งานพบว่า การศึกษาและพัฒนากระบวนการผลิตและขั้นตอนในงานหัตถกรรมจักสานของอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูนได้ผลลัพธ์ดังนี้ 1) ประสิทธิภาพในการใช้สอย กระบวนการผลิตและขั้นตอนในงานหัตถกรรมจักสานได้รับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้สอยของผลิตภัณฑ์ 2) ความงาม การพัฒนากระบวนการผลิตได้ช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีความงามมากยิ่งขึ้น 3) การใช้งาน ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมีความหลากหลายในการใช้งาน 4) การสร้างมูลค่า การพัฒนากระบวนการผลิตทาให้สามารถสร้างมูลค่า 5) การส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น การพัฒนาหัตถกรรมจักสานช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นและสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนในชุมชน และ 6) การเผยแพร่และการขยายตลาดสินค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจักสานทำให้สามารถขยายตลาดสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> </p> พันธุ์นิภา แย้มชุติ ปทุมวัลย์ เตโช ณัฐพล จอมขันเงิน ธีรวัฒน์ ธวัลรัตน์โภคิน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 221 232 Taiwan’s New Southbound Policy: A Shape of Chinese Democracy and Southeast Aisa https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/view/268910 <p>After Tsai Ing-wen took office in 2016 until present, Taiwan’s foreign policy has heavily relied and implemented on the New Southbound Policy (NSP). This paper tried to answer the question that how Taiwan’s New Southbound Policy shaped Taiwan position in Southeast Asia. Documentary review, foreign policy, and soft power were conducted as a qualitative research methodology. Thus, the New Southbound Policy shaped Taiwan in jeopardized between Taiwan and China relations. However, it reconnected Southeast Asia people through Taiwan’s soft power. Also, it gained more sympathy and created an alliances which was favor democratic system and against China on social media and international relations as well. Therefore, the cross-strait relations no longer only two government conflict but also it pulled other countries more involved as well.</p> นนท์ น้าประทานสุข วินิจ ผาเจริญ สุริยจรัส เตชะตันมีนสกุล ศราภา ศุทรินทร์ อัคราชัย เสมมณี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 7 2 233 248