https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/issue/feed
วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
2025-08-04T03:42:33+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ อัศวริยธิปัติ
sompong_au@rmutto.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เป็น<strong>วารสารที่รวบรวมบทความวิจัย/วิชาการ</strong> ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ <strong>โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ</strong>เป็นสื่อ รวบรวม เผยแพร่ผลงานวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และส่งเสริมให้มีการนำผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลงานของงานวิจัย สู่ระดับมาตรฐานสากล เป็นสื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดระหว่างนักวิจัยทั้งใน และต่างประเทศ และเสริมสร้างให้เกิดผลงานวิจัยใหม่ๆ ทั้งทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย มีกำหนดเผยแพร่วารสาร ปีละ 2 ครั้ง (มกราคม - มิถุนายน และกรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p> </p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/273238
An Analysis of Strategies and Problems in English E-mail Writing of Employees Working on a Thai Commercial Bank in Bangkok, Thailand
2024-05-19T21:33:03+07:00
Thammawat Chamnan-asawakul
thammawatt.chamnan.asawakull@gmail.com
Sarinrat Sertpunya
thammawat.cham@northbkk.ac.th
Prasit Nakpathumswat
thammawat.cham@northbkk.ac.th
Pikun Ekwarangkoon
thammawat.cham@northbkk.ac.th
<pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjo_rr_9piGAxW8n2MGHQQtDe4Q3ewLegQIDhAU">This study utilized a mixed research design, integrating both quantitative and qualitative methods to investigate the challenges of English email writing among bank employees and to explore the strategies they employ to manage these difficulties. For data collection, the study analyzed 172 English emails sent and received by 63 bank employees between May 1, 2023, and July 31, 2023. The purpose was to classify email types and examine writing issues along with strategies for improvement. The data were analyzed using descriptive statistics including frequency, percentage, mean, and standard deviation, along with comparative analysis through t-tests and F-tests. The findings showed that the most frequently received email types were Informational emails (33 items, 19.19%), followed by Request emails (25 items, 14.53%), Updating emails (18 items, 10.47%), Invitation emails (17 items, 9.88%), and Attachment emails (16 items, 9.30%). An analysis of grammar, spelling, and punctuation errors revealed that the most common mistakes occurred in the use of adjectives, verbs, and spelling. No statistically significant difference (α = .05) was found in English email writing styles between male and female employees. However, at the sub-variable level, a significant difference was identified in how employees addressed the challenges of writing emails, especially regarding the clarity of using online resources to enhance writing and make a favorable impression on recipients. This was supported by post hoc analysis using the Least Significant Difference (LSD) method. Both male and female employees, from various experience levels, often used translation tools such as Google Translate, DeepL, Wordvice AI, Alexa Translations, and Bing Microsoft Translator to reduce errors. Employees with less than five years of experience generally reported higher accessibility to these tools than those with over fifteen years of experience. </pre>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/270669
การวิเคราะห์ปัญหาต้นทุนและวางแผนการจัดเส้นทางเดินรถขนส่งน้ำดื่ม กรณีศึกษา บริษัท เอ วอเตอร์ ริช จำกัด
2024-02-07T00:18:20+07:00
สุภาภรณ์ บุญเจริญ
Kunnida_ku@rmutto.ac.th
ชุติกาญจน์ อุมา
Kunnida_ku@rmutto.ac.th
โชติกา บูรณะ
Kunnida_ku@rmutto.ac.th
อมรรัตน์ เกียวจันทึก
Kunnida_ku@rmutto.ac.th
กุลนิดา กูลระวัง
kunnida_979@hotmail.com
<p>การวิจัยเชิงประยุกต์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการจัดการขนส่งในปัจจุบันและวิเคราะห์ปัญหาต้นทุนการขนส่งที่สูงโดยประยุกต์ใช้แผนผังก้างปลา 2) วิเคราะห์และวางแผนเส้นทางการขนส่งที่เหมาะสมโดยใช้ทฤษฎีการขนส่งแบบ Milk Run และ 3) เปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างรูปแบบการขนส่งเดิมกับรูปแบบการขนส่งรูปแบบใหม่ (ต่อสัปดาห์)ซึ่งทำการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเจ้าของกิจการและพนักงานขนส่งของบริษัทฯ จำนวน 3 ราย และลูกค้าที่ซื้อน้ำดื่มของบริษัทฯ เป็นประจำ จำนวน 23 ราย รวมทั้งสิ้น 26 ราย โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อรวบรวมข้อมูลด้านพฤติกรรมการขนส่งและต้นทุน และแอปพลิเคชัน Google Maps เพื่อวิเคราะห์เส้นทางการขนส่งและดูพิกัด จากการศึกษาพบปัญหาในกระบวนการขนส่งที่ไม่มีการวางแผนเส้นทางการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการขนส่งซ้ำซ้อน โดยมักเป็นการขนส่งแบบไป-กลับด้วยรถ 1 คันต่อลูกค้า 1 รายหรือ 2 ราย ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันแต่ขนส่งหลายรอบ ผลจากการวิเคราะห์ปัญหาด้วยแผนผังก้างปลาแสดงให้เห็นถึงสาเหตุสำคัญซึ่งเกิดจากปัจจัยด้านบุคลากร ยานพาหนะ วิธีการดำเนินงาน และจัดหาเส้นทางการขนส่งที่เหมาะสม โดยนำทฤษฎีการขนส่งแบบ Milk Run มาวิเคราะห์เพื่อจัดหาเส้นทางและต้นทุนที่เหมาะสมที่สุดโดยสามารถจัดกลุ่มลูกค้าออกเป็น 4 โซน จำนวน 4 เส้นทาง ผลการศึกษาพบว่าจำนวนรอบการขนส่งลดลงจาก 42 เหลือเพียง 20 รอบต่อสัปดาห์ และสามารถลดต้นทุนการขนส่งจาก 59,716.26 บาท เหลือ 21,978.12 บาทต่อสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 63.20</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/273543
แนวทางการออกแบบร้านอาหารวิถีใหม่ เพื่อสร้างมาตรฐานของการเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีให้ร้านอาหารในสภาวะเกิดโรคระบาดโควิด 19 (พ.ศ.2564-พ.ศ.2565) กรณีศึกษา : ร้านอาหารในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี
2024-06-06T14:02:56+07:00
ศรัณยู สว่างเมฆ
saranyoopalm@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ ได้แก่ (1) เพื่อศึกษาผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่มีต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ในส่วนของร้านอาหารเขตเมืองและชุมชนและ (2) พัฒนาแนวทางการออกแบบร้านอาหารที่สอดคล้องกับมาตรการด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยในภาวะโรคระบาด โดยเน้นการศึกษาร้านข้าวแกงในเขตกรุงเทพมหานครและนนทบุรีซึ่งยังได้รับความนิยมแม้ในช่วงโรคระบาด การเก็บข้อมูลดำเนินการทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างร้านอาหาร 120 แห่ง ผู้บริโภค 300 คน และผู้ใช้บริการร้านข้าวแกง 340 คน พร้อมผู้ให้ข้อมูลหลัก 15 คน ผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภคเลือกใช้บริการร้านระบบเปิด ใช้เวลารับประทานน้อยลง ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย และยังคงใช้เงินสดเป็นหลัก การวิเคราะห์นำไปสู่แนวทางปรับปรุงพื้นที่ร้านอาหาร 6 ด้าน ได้แก่ (1) การวางโซนพื้นที่โล่ง ระบายอากาศได้ดี (2) การวางผังร้านโดยเว้นระยะห่าง การกำหนดทางสัญจรและลดจุดสัมผัสร่วม (3) การจัดระบบระบายอากาศ เช่น HEPA filter และการเปิดหน้าต่าง (4) การลดการสัมผัสผ่านเมนู QR Code และจ่ายเงินออนไลน์ (5) การหมุนเวียนภายในร้านแบบทางเดียว พร้อมที่นั่งลดความสบายเพื่อลดเวลาการใช้บริการ และ (6) การจัดแสงสว่างที่ลดความเป็นส่วนตัวและส่งเสริมให้ใช้เวลาในร้าน สั้นลง ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวสามารถปรับใช้ได้ในร้านขนาดเล็กและกลางโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมากนัก ถือเป็นแนวทางเชิงรูปธรรมที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจผู้บริโภคและส่งเสริมสุขอนามัยในระยะยาว</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/277184
รูปแบบการเข้าถึงและรับรู้กระบวนการส่งเสริมการเกษตร และการถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมการผลิต การเพิ่มมูลค่าข้าวของเกษตรกรจังหวัดสงขลา
2024-12-02T09:10:18+07:00
ภาวนา พุ่มไสว
pawana.p@rmutsv.ac.th
วันประชา นวนสร้อย
Pawana.p@rmutsv.ac.th
ศิวดล นวลนพดล
Pawana.p@rmutsv.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบ วิธีการเข้าถึงและรับรู้การส่งเสริมการเกษตร และการถ่ายทอดเทคโนโลยี 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์จากการส่งเสริมการเกษตร และการถ่ายทอดเทคโนโลยี 3) สำรวจปัญหาและอุปสรรคการส่งเสริมการเกษตร และการถ่ายทอดเทคโนโลยี 4) นำเสนอรูปแบบ แนวทาง และวิธีการส่งเสริมการเกษตร การถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เกษตรกรกลุ่มการทำนา และแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวจังหวัดสงขลา ใช้การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ด้วยแบบสำรวจ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการประชุมกลุ่มย่อย ประชากรเป็นเกษตรกรผู้ทำนา จังหวัดสงขลา กำหนดเป็นกลุ่มตัวอย่าง เพื่อทำการวิจัย 4 อำเภอ ได้แก่ ระโนด สทิงพระ สิงหนคร และรัตภูมิ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่าเกษตรกรมีการรับรู้ และเข้าถึงการการส่งเสริมการเกษตร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ครอบครัวขนาดปานกลาง มีรายได้เฉลี่ยต่อปีระหว่าง 70,000-100,000 บาท พฤติกรรม การรับรู้ และการเข้าถึงการส่งเสริมเกษตรตามความต้องการของเกษตรกรเป็นสื่อที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผ่านวิธีการฝึกอบรม และการสาธิต ผลสัมฤทธิ์การส่งเสริมการเกษตรเห็นผลจากการที่เกษตรกรมีความพึงพอใจ และความต้องการเกี่ยวกับการส่งเสริมเกษตร ในระดับมาก เกษตรกรสามารถนำวิธีการส่งเสริมการเกษตรที่ได้รับไปปรับใช้ได้จริง แต่ปัญหาเกี่ยวกับการส่งเสริมเกษตรทุกปัจจัยเป็นปัญหาระดับน้อย รูปแบบใหม่ของการส่งเสริมเกษตร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกร และมีความเป็นไปได้ คือ การส่งเสริมเกษตรภายใต้กิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ได้ทดลองและลงมือทำ เป็นเรื่องที่เกษตรกรต้องการและร้องขอ ตามเวลาที่เกษตรกรสะดวก และเป็นกิจกรรมที่สามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/257533
การบริหารจัดการสถาบันการเงินชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของสมาชิก อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
2022-03-04T22:54:59+07:00
ธีรวัฒน์ หินแก้ว
tttoei.2520@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการบริหารจัดการและเพื่อหาแนวทางพัฒนาการบริหารจัดการสถาบันการเงินชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของสมาชิก อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี สำหรับการวิจัย เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 31 คน และวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 375 คน ซึ่งได้กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารจัดการสถาบันการเงินชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของสมาชิกในอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x ̅=4.37) (S.D.=0.68) โดยเรียงลำดับมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการรับฝากเงินชุมชน (x ̅ = 4.82, S.D. = 0.42) ด้านการให้คำปรึกษาทางด้านการเงิน ((x ) ̅= 4.77, S.D. = 0.49) ด้านการส่งเสริมการออมเงินชุมชน (x ̅ = 4.68, S.D. = 0.58) ด้านสวัสดิการชุมชน (x ̅ = 4.03, S.D. = 0.52) และด้านการให้สินเชื่อแก่สมาชิก (x ̅ = 3.56, S.D. = 0.49) 2) แนวทางพัฒนาการบริหารจัดการสถาบันการเงินชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของสมาชิกในอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี พบว่า สถาบันการเงินควรเปิดบริการการรับฝากเงินให้มีความหลากหลาย ควรให้รางวัลแก่สมาชิกผู้เปิดบัญชีเงินออมครั้งแรก เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ เจ้าหน้าที่รับฝากเงินต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ควรมีพี่เลี้ยงประจำสถาบันการเงินชุมชน เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ สถาบันการเงินควรพัฒนาการรับฝากเงินผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน สำหรับดอกเบี้ยในการขอสินเชื่อควรถูกกว่าธนาคารทั่วไป และสถาบันควรมีการแนะนำการวางแผนทางการเงินให้แก่สมาชิก และต่อยอดการพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน เพื่อเปิดโอกาสสร้างรายได้แก่สมาชิกและควรมีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการแก่สมาชิก เช่น กองทุนอาหารกลางวันสำหรับเด็ก กองทุนการศึกษาสำหรับบุตรหลานสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับบุตรหลานสมาชิกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงหกปี</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/272809
การศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยในแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียวแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติกรุงเทพมหานคร
2024-04-30T21:27:47+07:00
มนต์ศิระ จรูญสิทธิ์
jaroonsit@yahoo.com
เชียง เภาชิต
jaroonsit@yahoo.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ในกรุงเทพมหานครด้านท่องเที่ยวสีเขียว และ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติในกรุงเทพมหานครให้เป็นพื้นที่สีเขียว การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยรวบรวมข้อมูลคือ แบบคำถามที่ใช้สัมภาษณ์ ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผู้ให้ข้อมูลหลักในการวิจัยครั้งนี้คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 15 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก โดยผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาจำแนก วิเคราะห์ออกตามประเด็น พร้อมกับตรวจสอบและประมวลความสมบูรณ์ของข้อมูลที่ได้โดยการดูจากวัตถุประสงค์ของการวิจัย ทั้ง 2 ข้อ โดยนำมาสรุปเป็นผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1) การรณรงค์ท่องเที่ยวสีเขียวยังไม่ทั่วถึงในหลายๆสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติในกรุงเทพมหานครและนักท่องเที่ยวบางคนยังเข้าใจว่าธรรมชาติมีน้อยนักท่องเที่ยวบางคนยังคิดว่า กรุงเทพมหานครยังไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสีเขียวเนื่องจากยานพาหนะขนส่งในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นรถยนต์เชื้อเพลิง และมีรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ประหยัดพลังงานน้อยมาก 2) ควรทำให้แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติทุกแห่งในกรุงเทพมหานครเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ร่มรื่นสะอาดและเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นภาพลักษณ์ที่ดีจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวสีเขียวที่มาจากหัวใจที่เป็นสีเขียว รวมถึงมีการลดการใช้รถยนต์แล้วหันมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้นและเพิ่มพื้นที่สีเขียวมากขึ้นซึ่งการท่องเที่ยวสีเขียวจะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/273016
การออกแบบตราสัญลักษณ์น้ำพริกเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนตำบลนายม จังหวัดเพชรบูรณ์
2024-05-09T08:25:37+07:00
กัญญ์กุลณัช พีรชาอัครชัย
kankulnat.pee@pcru.ac.th
รุ่งทิพย์ กันยา
kankulnat.pee@pcru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาตราสัญลักษณ์น้ำพริกเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนตำบลนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อตราสัญลักษณ์น้ำพริกเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนตำบลนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญด้วยผู้นำชุมชนและตัวแทนชุมชน 15 หมู่บ้าน จำนวน 45 คน โดยการสุ่มแบบกำหนดโควตา ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา โดยใช้แบบสอบถามกับผู้บริโภค จำนวน 100 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ออกแบบและพัฒนาตราสัญลักษณ์น้ำพริกเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนตำบลนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยการศึกษาถึงปัญหาและความต้องการพบว่า ไม่มีตราสัญลักษณ์น้ำพริกที่ สามารถบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชุมชนและยังขาดความรู้ในการออกแบบตราสัญลักษณ์สินค้า ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนขาดการสร้างความจดจำให้กับผู้บริโภค ซึ่งในการออกแบบและพัฒนาตราสัญลักษณ์โดยมีส่วนร่วมกับชุมชนในการแสดงความคิดเห็น การให้คำแนะนำ การใช้สี สัญลักษณ์ ตัวอักษร รูปภาพที่สื่อความหมายถึงผลิตภัณฑ์ และการส่งเสริมภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ในชุมชน โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพตราสัญลักษณ์ อยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.34, S.D. = 0.48) ที่ได้รับการออกแบบตราสัญลักษณ์สามารถสร้างการจดจำแก่ผู้บริโภคหรือผู้พบเห็นได้ และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มี ต่อตราสัญลักษณ์น้ำพริกเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนตำบลนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ พบว่า มีความพึงพอใจโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.32, S.D. = 0.59)</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/274926
การพัฒนาบรรจุภัณฑ์โดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นเป็นฐานสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปของชุมชนผู้สูงอายุบ้านหนองขาว จังหวัดกาญจนบุรี
2025-08-04T03:42:33+07:00
สุรภา วงศ์สุวรรณ
surapa.w@rmutp.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีเพื่อ 1) ศึกษาอัตลักษณ์ มรดกภูมิปัญญา ทุนทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นสำหรับออกแบบบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปของกลุ่มผู้สูงอายุ 2) สังเคราะห์อัตลักษณ์สู่กระบวนการออกแบบงานบรรจุภัณฑ์ และ 3) สร้างต้นแบบบรรจุภัณฑ์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติแบบมีส่วนร่วมสะท้อนความจริงให้สอดคล้องกับการปฏิบัติในบริบทของกรอบแนวคิดของชุมชน โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่าง 1) เก็บข้อมูลก่อนการออกแบบร่าง จำนวน 150 คน และ 2) พัฒนารูปแบบและประเมินประสิทธิภาพ ความพึงพอใจ หลังการออกแบบ จากกลุ่มตัวอย่าง 340 คน ได้แก่ ประชากรชุมชนหนองขาว นักท่องเที่ยว ผู้เชี่ยวชาญและนักออกแบบ สรุปผลแบบการบรรยาย โดยใช้การวิเคราะห์ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอผลงานการออกแบบและจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า อัตลักษณ์ท้องถิ่นสะท้อนผ่านผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ตาล ข้าว และพริก โดยผ้าขาวม้าร้อยสีและลวดลายเรขาคณิตแสดงถึงวัฒนธรรมการแต่งกาย สีประจำถิ่นคือสีแดงหรือแสด สู่การออกแบบผลิตภัณฑ์ ได้แก่ น้ำตาลสด ขนมตาล ข้าว พริกแกง และขนมกง พัฒนาเป็นแบบร่าง 17 แบบ โดยกราฟิกใช้ภาพถ่ายผสมภาพลายเส้น และตัวอักษรไทยร่วมสมัยที่อ่านง่าย ใช้สีสื่อถึงตัวสินค้า ส่วนโครงสร้างใช้วัสดุกระดาษ พลาสติก และแก้ว ที่คำนึงถึงการปกป้องคุณภาพและต้นทุน การประเมินความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่ค่าเฉลี่ย 𝑥̅ = 3.91 (S.D. = 0.84) การสร้างต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถผลิตได้จริง พร้อมทั้งจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่กลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีระดับความพึงพอใจโดยรวมในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 90 และสามารถต่อยอดใช้ในเชิงพาณิชย์ได้จริง</p> <p> </p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/270578
หลัก SERVQUAL ที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการให้บริการของตำรวจนครบาล 4
2024-02-02T18:20:24+07:00
พิชศาล พันธุ์วัฒนา
pitsarn_ph@rpca.ac.th
วิโรจน์ วิลัยรัตน์
pitsarn_ph@rpca.ac.th
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพทั่วไปของตัวแปรความเป็นรูปธรรม ความเชื่อถือ การให้ความเชื่อมั่น การตอบสนอง การเข้าใจ และคุณภาพการให้บริการ และ 2) อิทธิพลของความเป็นรูปธรรม ความเชื่อถือ การให้ความเชื่อมั่น การตอบสนอง การเข้าใจที่มีต่อคุณภาพการให้บริการ ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามจำนวน 240 คน ใช้การวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์ท างตรงและทางอ้อม ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสนทนากลุ่ม และการบันทึกสนามกับประชาชนที่ใช้บริการบนสถานีตำรวจจำนวน 12 ราย ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกดีต่อคุณภาพการให้บริการของตำรวจนครบาล 4 (ร้อยละ 30.8) เมื่อพิจารณารายละเอียดพบว่า การตอบสนองเป็นด้านที่ประชาชนพึงพอใจในคุณภาพการให้บริการของตำรวจนครบาล 4 มากที่สุด (3.71 จากคะแนนเต็ม 5.00) รองลงมาไล่เรียงตามลำดับได้แก่ ด้านการเข้าใจ (3.56) ด้านความเชื่อถือ (3.47) ด้านความเป็นรูปธรรม (3.31) และด้านสร้าง ความมั่นใจเป็นลำดับท้าย (3.09) และ 2) ปัจจัยด้านการเข้าใจมีอิทธิพลทางตรงต่อคุณภาพการให้บริการมากที่สุด (.887) ส่วนความเป็นรูปธรรมมีอิทธิพลทางอ้อมต่อคุณภาพการให้บริการมากที่สุด (1.592) และความเชื่อถือมีอิทธิพลผลรวมต่อคุณภาพการให้บริการมากที่สุด (2.227)</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/269049
พฤติกรรมผู้บริโภคภายใต้วิถีความปกติใหม่ต่อการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นออนไลน์จากร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
2025-08-04T03:32:52+07:00
ภาวิณีย์ มาตแม้น
pavinee_tun@hotmail.com
สมเกียรติ ขำสำราญ
somkiat-kum@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของลูกค้าที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคภายใต้วิถีความปกติใหม่ต่อการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นออนไลน์จากร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11) ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และวิธีการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าเป็นเพศหญิงร้อยละ 64 เพศชาย 36 มีอายุระหว่าง 25 – 35 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี เป็นพนักงานบริษัทเอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001- 25,000 บาท สมาชิกในครอบครัวจำนวน 3 คน และบ้านคือสถานที่จัดส่งสินค้ามากที่สุด ซึ่งผลการวิเคราะห์ด้านประชากรศาสตร์ พบว่า มีเพียงปัจจัยด้านรายได้ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคภายใต้วิถีความปกติใหม่ที่ซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นออนไลน์จากร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11) และจากผลการวิเคราะห์ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคภายใต้วิถีความปกติใหม่ต่อการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นออนไลน์จากร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11) ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ด้วยวิธีการถดถอยเชิงพหุคูณ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า มีปัจจัยด้านคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ รองลงมา คือ ด้านความสะดวก ด้านความสบายและด้านความพึงพอใจในการตอบสนองความต้องการลูกค้า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/270218
การเปรียบต่างการใช้คำ “ไว้” ในภาษาไทยและไวยากรณ์เรื่อง ておく
2024-01-12T23:29:00+07:00
กิตปกรณ์ ศรีกิตติวรรณา
kitpakorn.s@ku.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความเหมือนกันกับความแตกต่างของการใช้งาน “ไว้” ในไวยากรณ์เรื่อง Te-oku ในด้านความหมายและการใช้งานหน้าที่ทางไวยากรณ์ งานวิจัยฉบับนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยนำเสนอผ่านการอ่านวิเคราะห์ประกอบตารางประเด็นวิเคราะห์ เพื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบโดยละเอียดในด้านความหมาย หน้าที่ทางไวยากรณ์ ด้วยการเขียนบรรยายพรรณนาประกอบตัวอย่าง โดยที่ศึกษาเฉพาะความแตกต่างในด้านความหมายและหน้าที่ทางไวยากรณ์ของคำ ไว้ และ Te-oku ของคำหลังกริยาเท่านั้น ผู้วิจัยกำหนดขอบเขตการวิจัยเพียงแค่เพลงไทยจำนวน 18 เพลง โดยจัดเรียงตามปีคริสต์ศักราช 1992 - 2021 และแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น โดยอิงตามความหมายและใจความของเนื้อเพลงไว้ ผลการวิจัย พบว่า คำว่า เก็บ อดทน ขุด ผูก เป็นกริยาของผู้พูด ซึ่งสอดคล้องกับการใช้ Te-oku ในภาษาญี่ปุ่นที่สามารถใช้ได้กับผู้พูดเท่านั้น และมีความหมายเชิงตระเตรียมการล่วงหน้า จึงสอดคล้องกับความหมายของ Te-oku ในเชิงการเตรียมการนั่นเอง อีกทั้งพบว่า ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นชาวไทยยังสับสนในกริยาที่เกิดร่วมกับการใช้ไวยากรณ์ Te-oku เนื่องจากภาษาไทยสามารถใช้คำ ไว้ ได้เกือบกริยาทุกตัว เช่น มีไว้ ได้ไว้ ลืมไว้ เข้าใจไว้ เป็นต้น ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นกริยาเหล่านี้เป็นกริยาแสดงสภาพ อีกทั้งไม่ได้มีปรากฎในคำอธิบายในหนังสือเรียน จึงเกิดปัญหาในการแปลกริยาที่เกิดร่วมกับ Te-oku จึงนำเสนอผ่านวิจัยเปรียบต่างเพื่อนำเสนอการใช้รูปประโยค Te-oku ให้ถูกต้อง และสามารถนำไปพัฒนาและปรับปรุงด้านการใช้งานภาษาไทยและญี่ปุ่นได้</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/270196
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมรูปแบบการเรียนแบบสะเต็มศึกษา
2024-01-12T12:22:23+07:00
ธีรภัทร โคตรบรรเทา
teerapat.kho@neu.ac.th
ปิยวรรณ โคตรบรรเทา
teerapat.kho@neu.ac.th
บุญเพ็ง สิทธิวงษา
boonpeng.sit@neu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา รายวิชาวิทยาศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มที่ 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.896 3) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STEM เป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x ̅ = 4.80, S.D. = 0.56) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากระดับมากไปหาน้อย คือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับ (x ̅ = 4.84, S.D.= 0.45) และด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (x ̅ = 4.79, S.D.= 0.62) ด้านบรรยากาศในการเรียน (x ̅ = 4.76, S.D.= 0.53)</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/271075
แนวทางการออกแบบประสบการณ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่
2024-02-24T15:26:04+07:00
มนษิรดา ทองเกิด
Monsirada_th@rmutto.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ในการเลือกพักโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำเสนอแนวทางการออกแบบประสบการณ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ข้อมูลเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารหรือผู้ประกอบการด้านการโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน 4 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ข้อมูลแบบพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ T-test และ F-test ผลการศึกษาพบว่า 1) พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ในการเลือกพักโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีความต้องการในการเข้าพักจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีความต้องการในการเข้าพักแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนเพศ อายุและสถานภาพการสมรสที่แตกต่างกัน มีความต้องการในการเข้าพักไม่แตกต่างกัน 2) ความต้องการในการเข้าพักโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจำแนกตามวัตถุประสงค์การเดินทาง ระยะเวลาในการใช้บริการ และช่องทางการเข้าถึงที่พักแตกต่างกันมีความต้องการในการเข้าพักแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจแตกต่างกันมีความต้องการในการเข้าพักไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการออกแบบประสบการณ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ความต้องการในการเข้าพักนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงธรรมชาติ สร้างมุมมองใหม่ให้กับลูกค้า และการสร้างความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม สรุปได้แนวคิดในการออกแบบประสบการณ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ เรียกว่า “SPA Concept”</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/270033
การส่งเสริมศักยภาพเยาวชนชุมชนเทศบาลตำบลท่าข้าม อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล Line bot
2025-08-04T03:40:53+07:00
ไพรสันต์ สุวรรณศรี
praisuns@gmail.com
พิมพ์ชนก สุวรรณศรี
praisun_suw@g.cmru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนชุมชนเทศบาลตำบลท่าข้าม อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล Line bot 2) ประเมินความพึงพอใจในการใช้เทคโนโลยี Line bot กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้เป็นเยาวชนชุมชนเทศบาลตำบลท่าข้าม อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 90 คน ได้มาแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) Line bot น้องฮอด 2) แบบประเมินคุณภาพ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ ซึ่งมีผลการวิจัยดังนี้ 1) นวัตกรรมระบบส่งเสริมศักยภาพเยาวชนชุมชนเทศบาลตำบลท่าข้าม อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล Line bot ที่นำเสนอเนื้อหาสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลผลงานของเยาวชนชุมชนเทศบาลตำบลท่าข้าม จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเรื่อง เยาวชนชุมชนท่าข้ามรักษ์น้ำและป่าชุมชน, สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเรื่อง เยาวชนชุมชนท่าข้ามรักษ์วัฒนธรรมชุมชน และสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเรื่อง วัดท่าข้าม (วัดชัยชนะ) แหล่งเรียนรู้วิถีชุมชน บนเว็บไซต์และแพลตฟอร์มเทคโนโลยี Line Application 2) นวัตกรรมมีคุณภาพโดยรวมเฉลี่ยเท่ากับ 4.93 (S.D.=0.10) ซึ่งอยู่ในระดับคุณภาพดีมาก และ 3) ความพึงพอใจในการใช้งานนวัตกรรมในภาพรวมโดยเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 (S.D. = 0.74) ซึ่งอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SocialJournal2rmutto/article/view/273858
Comparative Analysis of Tonal Systems in Chinese and Thai and Teaching Strategies for Chinese Tonal Patterns
2024-06-21T16:47:01+07:00
Supaporn Aroonawongsa
supaporn.aro@mail.pbru.ac.th
Pornpen Juraiyanon
supaporn.aro@mail.pbru.ac.th
Thanuttha Larblerd
supaporn.aro@mail.pbru.ac.th
<p>Thai and Chinese are both tonal languages. Compared with Chinese learners in non-tonal language areas, Thai students can learn Chinese tones relatively easily. However, in my teaching practice, I found that a large number of Thai Chinese learners exhibit the phenomenon of "foreign tones." This study conducts a comparative analysis of Chinese and Thai tonal systems through classroom observation and phonetic comparison, identifying the causes of tonal errors among Thai learners. Based on the analysis, specific teaching strategies, such as gesture-assisted learning and modified tonal teaching sequences, are proposed. The effectiveness of these strategies is supported by pre and post-test results from classroom implementation. The findings highlight the importance of addressing tonal differences in teaching Chinese to Thai learners.</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย