https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/issue/feed วารสารบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ ราชมงคลล้านนา 2025-06-27T00:00:00+07:00 Assoc. Prof. Dr. Kanthana Ditkaew balajournal@rmutl.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ ราชมงคลล้านนา จัดทำโดย คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความที่ผ่านกระบวนการประเมินคุณภาพของบทความ (Double-blind peer-review) มีผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความอย่างน้อย 3 ท่าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมงานด้านวิชาการ และงานวิจัยที่สามารถใช้งานได้จริงในศาสตร์ด้านบริหารธุรกิจ ศิลปศาสตร์และสหวิทยาการสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วารสารนี้เปิดรับบทความวิจัยและบทความวิชาการของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา รวมทั้งสถาบันและหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ</p> <p>วารสารบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ ราชมงคลล้านนา จัดพิมพ์เป็นราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ; ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม ถึงเดือนมิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนธันวาคม) โดยมีการตีพิมพ์เผยแพร่ทั้งในรูปแบบรูปเล่มและออนไลน์</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/273391 การจัดการห่วงโซ่คุณค่าที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน ตำบลเพิ่มพูนทรัพย์ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2024-09-02T11:11:22+07:00 วิลาวรรณ วิเชียรครุฑ 65052515202@student.sru.ac.th วรรณวิชณีย์ ทองอินทราช wanwic@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการจัดการห่วงโซ่คุณค่าของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน 2) ระดับความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน 3) การจัดการห่วงโซ่คุณค่าที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการวิจัยเป็นเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน ตำบลเพิ่มพูนทรัพย์ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำหนดขนาดของตัวอย่างด้วยการใช้ตารางสำเร็จรูปของเครซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 175 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />และการวิเคราะห์สมการถดถอย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการห่วงโซ่คุณค่าของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน ตำบลเพิ่มพูนทรัพย์ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระดับความสำคัญของกิจกรรมหลักในการจัดการห่วงโซ่คุณค่า <br />โดยภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.04) พิจารณารายด้านพบว่า กิจกรรมที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ โลจิสติกส์ขาออก ระดับความสำคัญของกิจกรรมสนับสนุนในการจัดการห่วงโซ่คุณค่า โดยภาพรวมค่าเฉลี่ย<br />อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.71) พิจารณารายด้านพบว่ากิจกรรมที่ค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน 2) ระดับความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน โดยภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.84) พิจารณารายด้านพบว่า มุมมองด้านการเงิน มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และ 3) การจัดการห่วงโซ่คุณค่าที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียน การวิเคราะห์สมการถดถอย ผลการวิจัยพบว่ากิจกรรมการจัดการห่วงโซ่คุณค่าส่งผลต่อความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกเงาะโรงเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีทั้งหมด 4 กิจกรรม คือ โครงสร้างพื้นฐาน การจัดหา/การจัดซื้อ โลจิสติกส์ขาออก และการตลาดและการขาย สามารถเขียนสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ Y = 0.172 + 0.145 + 0.141 + 0.212 + 0.145 ซึ่งสามารถพยากรณ์ผลได้<br />ร้อยละ 67.60 (Adjusted R2 = 0.676)</p> 2025-06-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/273502 การบริหารจัดการธุรกิจด้วยนวัตกรรมของผู้ประกอบการอัจฉริยะ: กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหาร ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง 2024-06-24T10:26:38+07:00 กนกวรรณ เวชกามา kanokwanlp@rmutl.ac.th พวงทอง วังราษฎร์ pwangraj@hotmail.com ปัญจพร ศรีชนาพันธ์ punjaporn@rmutl.ac.th <p>การสร้างสิ่งใหม่ บริการใหม่ เพื่อสร้างมูลค่า สร้างนวัตกรรมให้กับธุรกิจ เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยเพิ่มช่องทางตอบสนองสิ่งใหม่ ตามความต้องการของลูกค้า ช่วยนำพาองค์กรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ การวิจัยการศึกษาการบริหารจัดการธุรกิจด้วยนวัตกรรมของผู้ประกอบการอัจฉริยะในจังหวัดลำปางมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการบริหารจัดการธุรกิจด้วยนวัตกรรม และสร้างรูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจด้วยนวัตกรรมของผู้ประกอบการอัจฉริยะในจังหวัดลำปาง โดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหาร ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง จำนวน 7 กลุ่ม มีสมาชิกโดยรวม 42 ราย เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการมีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มแต่ยังพบประเด็นปัญหาหลักคือ การดำเนินงานของกลุ่มไม่สามารถนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในการเก็บข้อมูลการดำเนินงาน<br />ด้านการบริหารจัดการ การเงิน การผลิต รวมถึงด้านการตลาดได้อย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบในการบริหารจัดการที่สามารถนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ ผู้วิจัยจึงได้ออกแบบรูปแบบการบริหารจัดการแบบใหม่ ในรูปแบบของการจัดทำหลักสูตรผู้ประกอบการบริหารธุรกิจสมัยใหม่ (Modern Entrepreneur) สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ประกอบด้วย โมดูลด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ โมดูลด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และโมดูลด้าน Marketing Technology เป็นต้นแบบการบริหารจัดการธุรกิจของผู้ประกอบการ สร้างความได้เปรียบในการดำเนินงาน และการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดลำปาง</p> 2025-06-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/274414 สมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ที่มีผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานด้านบัญชีภาครัฐ ของหน่วยงานของรัฐ ระดับหน่วยเบิกจ่าย ในเขตภาคเหนือตอนบน 2024-08-30T11:27:40+07:00 อัญชลี ปิ่นสร mju6506402010@mju.ac.th ชัยยศ สัมฤทธิ์สกุล Chaiyot_s@mju.ac.th อรุณี ยศบุตร yodbutr@mju.ac.th รัชนียา บังเมฆ ratchaneeya@mju.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ที่มีผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานด้านบัญชีภาครัฐ ของหน่วยงานของรัฐ ระดับหน่วยเบิกจ่าย ในเขตภาคเหนือตอนบน มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 372 คน คือผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ของหน่วยงานของรัฐ ระดับหน่วยเบิกจ่าย ในเขตภาคเหนือตอนบน ทั้งหมดที่มีจากการใช้สูตร ทาโร่ ยามาเน่ (1973) ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ประกอบไปด้วย ด้านความรู้ความสามารถ ด้านทักษะทางวิชาชีพบัญชี ด้านจริยธรรมในการปฏิบัติงาน ด้านทัศนคติในวิชาชีพบัญชี และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีผลเชิงบวกต่อคุณภาพการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีภาครัฐ ดังนั้น ผู้บริหารของหน่วยงานของรัฐ ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีภาครัฐ เข้ารับการฝึกอบรมและพัฒนาความรู้ด้านวิชาชีพบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีภาครัฐได้รับความรู้ ความเข้าใจ มีการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินงานด้านบัญชีภาครัฐเพิ่มขึ้นและควรมุ่งเน้นให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีภาครัฐตระหนักถึงจริยธรรมในการปฏิบัติงาน ทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสมและทันสมัย เพื่อเพิ่มคุณภาพในการบัญชีภาครัฐที่ให้เป็นไปตามเกณฑ์การประเมินผลและมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น</p> 2025-06-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/274478 การรับรู้คุณภาพการให้บริการของร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมันต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคและความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำ 2024-12-20T11:27:04+07:00 ธีราลักษณ์ สัจจะวาที theeralak@gmail.com จุรี วิชิตธนบดี juree.acpyu@gmail.com ฉัตรฤดี จองสุริยภาส Chatrudee.jon@mfu.ac.th พิกุล พงษ์กลาง pikoon_p@payap.ac.th วิภา จงรักษ์สัตย์ wipa_chongruksut@yahoo.com วิริยา จงรักษ์สัตย์ wiwiyachong@gmail.com อี้ ฉิน YeQingex@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการ 5 ด้าน ได้แก่ รูปลักษณ์ทางกายภาพ ความน่าเชื่อถือ การตอบสนองต่อลูกค้า การสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้า และความเอาใจใส่ต่อลูกค้ากับความพึงพอใจของลูกค้า และเพื่อศึกษาผลกระทบของความพึงพอใจของลูกค้ากับความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้าร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งเป็นแบรด์ประจำของสถานีบริการน้ำมัน ได้แก่ ร้านคาเฟ่ อเมซอน ร้านอินทนิล ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ร้านคอฟฟี่ เจอนี่ และร้านเดลี่ คาเฟ่ – เชลล์ คาเฟ่ ประชากรที่ศึกษาได้แก่ผู้ที่เคยใช้บริการร้านกาแฟดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 385 ตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย การเก็บข้อมูลใช้วิธีเก็บแบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการทดสอบสมมติฐานใช้สถิติเชิงอนุมานได้แก่ การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ และการวิเคราะห์ความถดถอยอย่างง่าย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพการให้บริการ 4 ด้าน (จาก 5 ด้าน) ได้แก่ รูปลักษณ์ทางกายภาพการตอบสนองต่อลูกค้า การสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้า และความเอาใจใส่ต่อลูกค้ามีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของลูกค้า ยกเว้นความน่าเชื่อถือ ความพึงพอใจของลูกค้ามีผลกระทบเชิงบวกต่อความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/278236 พฤติกรรมการตัดสินใจเลือกใช้บริการของลูกค้าในธุรกิจโฮมสเตย์ จังหวัดเชียงใหม่ 2025-03-25T11:34:40+07:00 เขมิกา ธนธำรงกุล kemika.t@rsu.ac.th อโนทัย พลภาณุมาศ anothaipol@gmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พฤติกรรมของลูกค้าในการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกิจโฮมสเตย์2) ระดับความคิดเห็นของส่วนประสมทางการตลาด และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการของลูกค้าในธุรกิจโฮมสเตย์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ลูกค้าที่เคยใช้บริการโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 404 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ<br />เชิงพรรณนา และการวิเคราะห์พหุถดถอย (Multiple regression) โดยใช้วิธีการแบบ Enter</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21-30 ปี มีระดับการศึกษาในระดับปริญญาตรี รายได้น้อยกว่า 10,000 บาท และมีสถานภาพโสด 2) พฤติกรรมของลูกค้า พบว่ามีวัตถุประสงค์ในการเดินทางเพื่อพักผ่อน เดินทางมาด้วยตนเอง จำนวนการเข้าพัก 2-3 วัน มีผู้ร่วมเดินทาง คือ เพื่อน จองโฮมสเตย์ผ่านแอพพลิเคชั่น เช่น Agoda ประเภทห้องพักแบบห้องเดี่ยว และความถี่ในการเข้าพัก คือ จำนวน 2-3 ครั้ง 3) ผู้ให้ข้อมูลให้ความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาด โดยรวมอยู่ในระดับมาก(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.370) และ4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการของลูกค้าในธุรกิจโฮมสเตย์ ปัจจัยที่มีผล<br />เชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีจำนวน 5 ตัวแปร ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา จำนวนวันที่เข้าพัก ผู้ร่วมเดินทาง และประเภทห้องพักของโฮมสเตย์ที่เข้าพัก ปัจจัยที่มีผลเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีจำนวน 4 ตัวแปร ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการจัดจำหน่าย ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการ ในขณะเดียวกันปัจจัยที่มีผลเชิงลบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ด้านราคา</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/278248 วาทกรรมทางการเมืองบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ “การเมืองไทยในกะลา” 2025-04-10T15:25:44+07:00 ธัญญาลักษณ์ ชาญเชี่ยว thanya646411@gmail.com บัณฑิต ทิพย์เดช bandid.th@up.ac.th <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวาทกรรมทางการเมืองบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ “การเมืองไทยในกะลา” โดยใช้แนวทางการศึกษาผ่านหลักการจากการศึกษาเอกสาร และข้อความจากการสื่อสารหรือโพสต์ (Post) ในแฟนเพจ การตอบโต้ หรือคอมเมนต์ (Comment) โดยเลือกศึกษาเฉพาะสเตตัสที่เกี่ยวกับ การนำเสนอข้อมูลเพื่อจูงใจโดยตรงเท่านั้น ผลจากการวิเคราะห์สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1) ความคิดเกี่ยวกับพรรคการเมืองของประชาชน โดยเน้นความคิดเชิงบวกเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย เกิดจากความคาดหวังที่อยากเห็นประเทศไทยไปสู่ความเจริญ ถูกต้อง และตัวแทนที่มาจากการคัดเลือกจากประชาชนซึ่งบริหารประเทศด้วยความเป็นประชาธิปไตย และแนวความคิดเชิงลบเกี่ยวกับรัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งมีความเผด็จการในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ส่งผลต่อภาพรวมของประเทศที่ไม่ถูกต้อง โดยอาศัยข้อได้เปรียบของจำนวนสมาชิกรัฐสภาฝ่ายรัฐบาลที่มีจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจตามกลไกรัฐสภาได้ 2) ความคิดเกี่ยวกับการต่อต้านเผด็จการ โดยมีความคิดเชิงบวกเกี่ยวกับพรรครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยแท้จริง มีจุดยืนทางการเมืองที่มีต่อความเป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนด้วยความเป็นประชาธิปไตย และแนวความคิดเชิงลบเกี่ยวกับรัฐบาล ชุดปัจจุบันซึ่งเป็นระบอบรัฐประหารที่นำรูปแบบผู้นำทหารเข้าสู่อำนาจการเป็นนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงกลไกทางการเมืองที่เอื้อต่อคณะทหารในการยึดอำนาจ และ 3) ความคิดเห็นเกี่ยวกับจริยธรรมทางการเมือง ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นในรูปแบบของการต่อต้านกลุ่มคณะรัฐบาลจากการทุจริตของรัฐมนตรี และข้อได้เปรียบจากการเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากจนเกินไป ส่งผลให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีจริยธรรมทางการเมืองตามกลไกรัฐสภาในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมือง และการไม่สามารถทำหน้าที่ตามกลไกการตรวจสอบได้</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/278558 The Current State and Future Development of Tourism and Hospitality Higher Education in Taiwan 2025-03-07T16:27:07+07:00 Chih-Feng Ko teacher5488@mail.vnu.edu.tw Weerapon Thongma weerapon.mju@gmail.com Chin-Fa Tsai cftsai@mail.ncyu.edu.tw Winitra Leelapattana w.leelapattana@gmail.com <p>Taiwan's transition to a knowledge-based economy has necessitated the development of high-quality human resources, particularly in service sectors like tourism and hospitality. This study investigates the effectiveness of flipped learning in enhancing students' learning outcomes and attitudes within hospitality and tourism higher education. A quasi-experimental design involving 60 undergraduate students from a Taiwanese university was employed. Participants were divided into control (traditional learning) and experimental (flipped learning) groups. Data collection tools included pre/post-tests and a 15-item attitude questionnaire assessing cognitive, affective, and behavioral dimensions. Results revealed that the flipped learning group significantly outperformed the control group in learning outcomes and attitudes. These findings support integrating flipped learning into hospitality education to enhance academic performance, student engagement, and workforce readiness.</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/278660 การวิเคราะห์ความพึงพอใจนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อเป็นแนวทางการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2025-03-10T16:55:26+07:00 ธัญวดี สุจริตธรรม thunyawadee@edu.rmutl.ac.th ศตวรรษ วรรณพันธ์ lionz1988@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายที่จะทำการสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้เสียอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทย จำนวน 4 กลุ่ม อันได้แก่ กลุ่มผู้กำหนดนโยบาย กลุ่มผู้ใช้นโยบาย กลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มนักวิชาการทั้งภาคในประเทศและภาคนอกประเทศของ 1) นโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา 2) แผนแม่บทด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ 3) นโยบายที่รัฐบาลควรสนับสนุนเป็นเรื่องเร่งด่วน/สนับสนุหลักสูงสุด และนโยบายที่รัฐบาลควรสนับสนุนเป็น 3 นโยบายหลัก โดยการการสัมภาษณ์เชิงลึกพร้อมทั้งนำเสนอแบบสถิติเชิงพรรณ แสดงตารางค่าสถิติ ในรูปแบบความถี่ และร้อยละ พร้อมทั้งการวิเคราะห์แบบลิเคอร์ท (Likert Scale) เพื่อแสดงถึงระดับความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง สำหรับใช้เป็นแนวทางการกำหนดนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยในอนาคตให้กับผู้กำหนดนโยบาย จากการศึกษา พบว่านโยบายต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีระดับความพึงพอใจมาก และความพึงพอใจมากที่สุด ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายจึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยที่มิต้องยกเลิกนโยบายใดทิ้งไป และหากรัฐบาลมีงบประมาณมากเพียงพอที่จะสนับสนุนนโยบายทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รัฐบาลควรเลือกสนับสนุน นโยบายการเพิ่ม/พัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานด้านบริการสุขภาพและบริการสังคม เนื่องจาก เป็นนโยบายที่ผู้มีส่วนได้เสียกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสุขภาพของประเทศไทยเห็นชอบสูงสุดทั้งในการแสดงความเห็นสำหรับนโยบายที่รัฐบาลควรสนับสนุนเป็นเรื่องเร่งด่วน/สนับสนุหลักสูงสุด และนโยบายที่รัฐบาลควรสนับสนุนเป็น 3 นโยบายหลัก ซึ่งความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสุขภาพของประเทศไทย ย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายที่จะช่วยเพิ่มรายได้และมูลค่าของการท่องเที่ยวของประเทศไทย</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/278028 การตลาดเชิงประสบการณ์ ความพึงพอใจและการบอกต่อมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในภาคเหนือของประเทศไทย 2025-06-09T14:47:07+07:00 ดาวสวรรค์ ศุภธนศักดิ์สิริ daosawan.cm@gmail.com บุญฑวรรณ วิงวอน boonthawan2009@gmail.com จุฬารัตน์ ปัญญายืน Jurarat1404@gmail.com พิเชฐ ทองคำ mn_484@hotmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสำคัญของการตลาดเชิงประสบการณ์ ความพึงพอใจการบอกต่อ และการตัดสินใจซื้อ และ 2) ศึกษาปัจจัยด้านการตลาดเชิงประสบการณ์ ความพึงพอใจ การบอกต่อที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 454 คน ใช้เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยใช้สถิติพรรณนาเพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมานวิเคราะห์สมการโครงสร้าง ด้วยเทคนิค ADANCO</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ทุกปัจจัยมีความสำคัญระดับมากเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ความพึงพอใจ การตลาดเชิงประสบการณ์ การตัดสินใจซื้อและการบอกต่อ ผลการวิเคราะห์สมการโครงสร้าง พบว่าการตลาดเชิงประสบการณ์มีอิทธิพลทางตรงต่อความพึงพอใจมากที่สุด โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.803 รองลงมา คือ การตลาดเชิงประสบการณ์มีอิทธิพลทางตรงต่อการบอกต่อ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.728 การบอกต่อมีอิทธิพลทางตรงต่อการตัดสินใจซื้อมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.508 การตลาดเชิงประสบการณ์มีอิทธิพลทางตรงต่อการตัดสินใจซื้อมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.291 ความพึงพอใจมีอิทธิพลทางตรงต่อการตัดสินใจซื้อมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.120 ลำดับสุดท้ายความพึงพอใจมีอิทธิพลทางตรงต่อการบอกต่อมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.030 ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องพัฒนากลยุทธในการมุ่งเน้นและสรรหาแนวทางการสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการใช้บริการ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และนำมาซึ่งการกลับมาซื้อซ้ำอันจะนำไปสู่ความภักดีในระยะยาว</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/balajhss/article/view/274416 การเตรียมความพร้อมเพื่อการประยุกต์ใช้ A.I. ในการดำเนินธุรกิจ 2024-10-30T15:49:14+07:00 สายสุนีย์ เกษม t.kasem27@gmail.com นฤพร เต็งไตรรัตน์ naruephorn_t@payap.ac.th เบญจกัลยา วิริยะเมธี benjakanlaya.w@gmail.com <p>การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทางเทคโนโลยี (Technology Trend) เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลโลกและประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : A.I.) เป็นนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจ ซึ่งการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยในธุรกิจนั้นถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ และความอยู่รอดของธุรกิจต่าง ๆ A.I. ได้กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเสริมสร้างความสามารถและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การประยุกต์ใช้ A.I. สามารถช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็วในการตัดสินใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า อย่างไรก็ตามการนำ A.I. มาใช้ในภาคธุรกิจยังคงมีความท้าทายหลายประการ ดังนั้นบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความสำคัญของ A.I. การประยุกต์ใช้ A.I. ในทางธุรกิจ แนวโน้มทิศทางในประเทศไทย การเตรียมความพร้อมเพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ A.I. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อดีของการนำเทคโนโลยี A.I. มาใช้ในธุรกิจ และความเสี่ยงและข้อจำกัดของ A.I. อาทิ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา และปัญหาด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล อีกทั้งในบริบทของประเทศไทยแนวโน้มการนำ A.I. มาใช้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย และแรงงานที่มีทักษะสูง การศึกษาและวางแผนให้ดีก่อนดำเนินการ จะส่งผลให้การประยุกต์ใช้ A.I. เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน</p> 2025-06-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา