การพัฒนาเครื่องมือประเมินรูปแบบการรับความรู้สึกไทย สำหรับเด็กอายุ 3 – 12 ปี ฉบับโรงเรียน
DOI:
https://doi.org/10.14456/rcmrj.2020.235445คำสำคัญ:
รูปแบบการรับความรู้สึกไทย, พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าช้า, พฤติกรรมแสวงหาสิ่งเร้า, พฤติกรรมไวต่อสิ่งเร้า, พฤติกรรมแบบหลีกหนีสิ่งเร้า, เครื่องมือประเมินเด็กในโรงเรียนบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องมือประเมินรูปแบบการรับความรู้สึกไทยสำหรับเด็ก อายุ 3 – 12 ปี ฉบับโรงเรียน และตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยการทดสอบหาค่าความตรงเชิงเนื้อหา และค่าความเที่ยง จากการตรวจสอบความสอดคล้องภายใน และทดสอบความเที่ยงภายในผู้ประเมิน ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงพัฒนา (Development research) ทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นปฐมวัย และระดับชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีอายุ 3 – 12 ปี ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 408 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นเครื่องมือประเมินรูปแบบการรับความรู้สึกไทย สำหรับเด็กอายุ 3 – 12 ปี ฉบับโรงเรียน จำนวน 115 ข้อที่พัฒนาขึ้น โดยให้ครูเป็นผู้บันทึกความถี่ของพฤติกรรมเด็กที่แสดงออกทางการรับความรู้สึก 6 ด้าน ขณะเด็กอยู่ที่โรงเรียน ได้แก่ ด้านการมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่นและการรับรส กายสัมผัส การทรงตัว และความรู้สึกจากกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ โดยแบ่งพฤติกรรมการรับความรู้สึกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าช้า พฤติกรรมแสวงหาสิ่งเร้า พฤติกรรมไวต่อสิ่งเร้า และพฤติกรรมแบบหลีกหนีสิ่งเร้า ผลการศึกษาพบว่ามีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ระหว่าง 0.8 – 1.0 และมีค่า Cronbach’s alpha เท่ากับ 0.97 และค่าความเที่ยงภายในผู้ประเมิน มีค่า ICC เท่ากับ 0.96 ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่าครูสามารถนำเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นประเมินรูปแบบการรับความรู้สึกเพื่อออกแบบกิจกรรมการสอนและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับเด็กอายุ 3 – 12 ปี ในโรงเรียนได้ อีกทั้งยังเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครู ผู้ปกครอง และสหวิชาชีพเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือ ส่งเสริมเด็กให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับของชุมชน และสังคมต่อไป
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Chung, J. C. (2006). Measuring Sensory Processing Patterns of Older Chinese People: psychometric validation of the adult sensory profile. Aging Ment Health, 10(6), 648-55.
Cicchetti, D.V., & Sparrow, S.A. (1981). Developing Criteria for Establishing Interrater Reliability of Specific Items: Applications to Assessment of Adaptive Behavior. American Journal of Occupational Therapy, 86(2), 127-137.
Department of Children and Youth. (2017). Strategic Plan, Department of Children and Youth Affairs 2017-2021. Bangkok: Graphic Sundae. (In Thai)
Dunn, W. (2001). The Sensations of Everyday Life: Empirical, Theoretical, and Pragmatic Considerations, 2001 Eleanor Clarke Slagle Lecture. American Journal of Occupational Therapy, 55(6), 608–620.
Dunn, W. (2006). Sensory Profile School Companion: User’s Manual. San Antonio, TX: Psychological Corporation.
Glennon, T., Miller - Kuhaneck, H., Henry, D. A., Parham, L. D., & Ecker, C. (2007). Sensory processing measure manual. Los Angeles. CA: Western Psychological Services.
Goldstein, E. B. (2007). Sensation & perception. (7thed.). University of Pittsbergh, Thomson Wadsworth.
Kandel, E., Schwartz, J., & Jessell, T. (2001). Principles of Neural Science. New York: McGrow-Hill.
Kitpridaborisut, B. (2010). Techniques for Creating Data Collection Tools for Research. (7thed.). Bangkok: Sri Anan. (In Thai)
Olds, J. (1956). Pleasure Centers in the Brain. Scientific American, 195(4), 105-117.
Padilla, R. (2011). Effectiveness of Environment - Based Interventions for People with Alzheimer’s Disease and Related Dementias. American Journal of Occupational Therapy, 65(5), 514–522.
Pagliano, P. (2012). The Multisensory Handbook. USA and Canada: Taylor & Francis Group.
Portney, L.G., & Watkins, M.P. (2009). Foundations of Clinical Research: Applications to Practice (2nded.). Upper Saddle River: Pearson Education, Inc.
Sanwawi, A. (2014). Brain Learning Theory for Parents, Teachers and Administrators. (3rded.). Bangkok: Association for the Education of Young Children. (In Thai)
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
1. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน “Community and Social Development Journal” ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ Community and Social Development Journal มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และเพื่อให้เผยแพร่บทความได้อย่างเหมาะสมผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ ผู้เขียนยังคงถือครองลิขสิทธิ์บทความที่ตีพิมพ์ภายใต้ใบอนุญาต Creative Commons Attribution (CC BY) ซึ่งอนุญาตให้เผยแพร่บทความซ้ำในแหล่งอื่นได้ โดยอ้างอิงต้องอ้งอิงบทความในวารสาร ผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการขออนุญาตผลิตซ้ำเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์จากแหล่งอื่น
2. เนื้อหาบทความที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ



