นิเทศสยามปริทัศน์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu
<p><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร</strong></p> <p><strong>วารสารนิเทศสยามปริทัศน์</strong> เป็นวารสารวิชาการสาขานิเทศศาสตร์และสังคมศาสตร์ ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม </p> <p>จัดทำเป็นวารสารราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ) ได้แก่ ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม–ธันวาคม</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>โดยมีวัตถุประสงค์</strong> <strong>ดังนี้</strong></p> <ol> <li>เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางด้านวิชาการในรูปแบบบทความวิจัยบทความวิชาการ บทปริทัศน์หนังสือ (Book Review) และประเด็นปัจจุบันที่ทำการศึกษาซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสารของมนุษย์ในทุกลักษณะ ตั้งแต่การสื่อสารภายในบุคคลและระหว่างบุคคล การสื่อสารสาธารณะ และการสื่อสารมวลชนไปจนถึงการสื่อสารในระยะไกล ขอบข่ายของบทความครอบคลุมกิจกรรมการสื่อสารทุกรูปแบบ อาทิเช่น การหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ สื่อดิจิทัล วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ การสื่อสารการแสดง การสื่อสารการตลาด รวมทั้งสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านนิเทศศาสตร์ และงานวิจัยหรืองานวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม</li> <li>เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสาร สาระสำคัญ ประสบการณ์แก่นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและบุคคลทั่วไปที่สนใจ</li> </ol> <p> </p> <p><strong>นโยบายการจัดพิมพ์ของวารสาร</strong></p> <ol> <li>ประเภทของบทความที่นำเสนอเพื่อตีพิมพ์ ต้องเป็นบทความวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทรรศน์ หรือบทวิจารณ์หนังสือซึ่งอาจเขียนได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</li> <li>บทความต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน (Redundant publication) และผู้เขียนบทความต้องไม่ละเมิด(Plagiarism) รวมถึงไม่ลอกเลียนผลงานตนเองโดยมิชอบ (Self Plagiarism) และไม่ส่งบทความตีพิมพ์มากกว่าหนึ่งวารสาร (Simultaneous submission) ทั้งนี้หากเกิดการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับเนื้อหา และข้อมูลส่วนใดส่วนหนึ่งที่ปรากฏในบทความ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่งและผู้แต่งร่วมแต่เพียงฝ่ายเดียว<strong>หากพบว่าผู้เขียนส่งหรือตีพิมพ์บทความในที่อื่น ๆ กองบรรณาธิการถือว่าเป็นการกระทำคัดลอกผลงานตนเอง (</strong><strong>Self Plagiarism) ซึ่งกองบรรณาธิการจะระงับการตีพิมพ์และแจ้งต้นสังกัดของผู้เขียนต่อไป</strong></li> <li>บทความที่ตีพิมพ์/เผยแพร่ทุกบทความในวารสารนิเทศสยามปริทัศน์ต้องผ่านการพิจารณาดังนี้ 1. กองบรรณาธิการ และ 2.ผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review) อย่างน้อย 2 ท่านต่อบทความ <strong><u>และตั้งแต่เล่มปีที่ </u></strong><strong><u>21 ฉบับที่ 1 ประจำปี 2565 เป็นต้นไป เพิ่มผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review) อย่างน้อย 3 ท่านต่อบทความ </u></strong>โดยผู้พิจารณาทราบชื่อผู้แต่ง แต่ผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา (Single-blind peer review) </li> </ol>
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
en-US
นิเทศสยามปริทัศน์
1513-2226
-
อิโมจิกับการสื่อความหมาย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281559
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบถึงลักษณะการสื่อความหมายของอิโมจิที่นิยมใช้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการวิจัยเอกสารร่วมกับการวิเคราะห์อิโมจิจำนวน 10 ตัว (😂🤣❤️🙏😭😍✨🔥😊🥰) ผลการวิจัยพบว่า อิโมจิสื่อความหมายได้จากความเป็นสัญรูป ดัชนี และสัญลักษณ์ โดยอิโมจิสามารถใช้ในเชิงอารมณ์เพื่อแสดงความรู้สึกและในเชิงหน้าที่เพื่อเป็นเครื่องหมายนำสายตาหรือเครื่องประดับข้อความตามความต้องการของผู้ส่งสารในรูปแบบการผสมผสานเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ ความหมายของอิโมจิไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับบริบทของการสื่อสารที่ทำหน้าที่เป็นรหัส</p>
สมเกียรติ ศรีเพ็ชร
ศิริชัย ศิริกายะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-15
2025-06-15
24 1
293
315
-
ตัวอักษรดิจิทัล: พัฒนาการและการสื่อสารในยุคเทคโนโลยี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281562
<p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาวิวัฒนาการของตัวอักษรดิจิทัลตั้งแต่จุดกำเนิดในยุคเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์จนถึงการเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติดิจิทัลโดยวิเคราะห์บทบาทของตัวอักษรดิจิทัลในฐานะตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมการศึกษาครอบคลุมทั้งมิติด้านการออกแบบ การประยุกต์ใช้ในสื่อต่างๆและอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการสื่อสารร่วมสมัยและพบว่าตัวอักษรดิจิทัลไม่เพียงสะท้อนข้อจำกัดและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแต่ยังเป็นประจักษ์พยานของการแข่งขันในยุคสงครามเย็นและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล</p>
กิตติธัช ศรีฟ้า
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-15
2025-06-15
24 1
316
333
-
การใช้อำนาจของครูต่อนักเรียนผ่านพื้นที่โรงเรียนในซีรีส์วัยรุ่นไทย พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2564
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281480
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์การนำเสนอภาพการใช้อำนาจของครูที่กระทำต่อนักเรียนผ่านพื้นที่โรงเรียนในซีรีส์วัยรุ่นไทย ผลการศึกษาพบว่าซีรีส์วัยรุ่นไทยนำเสนอการใช้อำนาจของครูผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การตรวจตราและบังคับใช้ระเบียบวินัยบริเวณหน้าประตูโรงเรียน การออกคำสั่งและลงโทษนักเรียนในพื้นที่หน้าเสาธง ห้องเรียน และห้องปกครอง รวมไปถึงห้องขังลงโทษนักเรียน เพื่อสะท้อนการใช้อำนาจที่เข้มงวดและการใช้ความรุนแรงของครูภายในโรงเรียน อย่างไรก็ดี ผลการศึกษายังพบว่าซีรีส์วัยรุ่นเหล่านี้มิได้นำเสนอภาพครูในฐานะผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ หากแต่สะท้อนการต่อต้านของนักเรียนผ่านการสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถาม การท้าทายกฎระเบียบ การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเปิดเผยการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าโรงเรียนในซีรีส์วัยรุ่นไทยเป็นพื้นที่ของการต่อรองเชิงอำนาจระหว่างครูและนักเรียน สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่โรงเรียนในซีรีส์วัยรุ่นไทยไม่ใช่พื้นที่การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของครูอีกต่อไป</p>
ธนพล เชาวน์วานิชย์
ปรีดา อัครจันทโชติ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
8
27
-
การสื่อสารเชิงกลยุทธ์ทางสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนขององค์การนอกภาครัฐในประเทศไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281481
<p>การศึกษาเรื่องการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ทางสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนขององค์การนอกภาครัฐในประเทศไทยมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ทางสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนขององค์การองค์การนอกภาครัฐในประเทศไทย 2. เพื่อศึกษาการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ทางสิ่งแวดล้อมเพื่อความอย่างยั่งยืนขององค์การนอกภาครัฐในประเทศไทย งานวิจัยชิ้นนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและเอกสารที่เกี่ยวข้องจากองค์การนอกภาครัฐ 4 แห่ง คือ มูลนิธิโลกสีเขียว สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย มูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำไทย และสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย โดยใช้ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ในการจัดการความขัดแย้งเชิงกลยุทธ์ และแนวคิดการสื่อสารเชิงกลยุทธ์เป็นกรอบการวิจัย พบว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องของการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ขององค์การนอกภาครัฐในประเทศไทยประกอบด้วยปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยปัจจัยภายนอกมี 5 ปัจจัย ประกอบด้วย 1) สภาพแวดล้อมมหภาค 2) สภาพแวดล้อมอุตสาหกรรม 3) ประเด็นปัญหา 4) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายนอก และ 5. อุปสรรค โดยปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุดซึ่งองค์การนอกภาครัฐใช้เพื่อทำให้การดำเนินงานและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ประสบความสำเร็จคือ ประเด็นปัญหาและกฎหมาย องค์การนอกภาครัฐจะดำเนินกิจกรรมตามประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องตามวิสัยทัศน์และพันธกิจทั้งตั้งไว้ แล้วทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่วนปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการสื่อสารเชิงกลยุทธ์มี 5 ปัจจัย ประกอบด้วย 1) ลักษณะของผู้นำ 2) ลักษณะองค์การ 3) ลักษณะแผนกที่ดูแลด้านการสื่อสาร 4) ลักษณะส่วนบุคคลของบุคลากร และ 5) ลักษณะความสัมพันธ์กับบุคลากรภายนอก โดยปัจจัยภายในที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการสื่อสาร ขององค์การนอกภาครัฐคือ ลักษณะของผู้นำและอุปสรรคภายใน เนื่องจากผู้นำองค์การเป็นผู้กำหนดปัจจัยภายในอื่นๆ ทั้งหมด และอุปสรรคภายในคือแหล่งเงินทุน การวิจัยยังพบว่าการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ ขององค์การนอกภาครัฐในประเทศไทยมี 8 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ 2) การกำหนด ปรัชญา วิสัยทัศน์ และพันธกิจ 3) การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ 4) การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 5) การกำหนดแกนความคิดและสาร 6) การกำหนดกลยุทธ์และกลวิธีการสื่อสาร 7) การดำเนินการ และ 8) การประเมินผล การสื่อสารเชิงกลยุทธ์ขององค์การนอกภาครัฐทั้ง 8 ขั้นตอนนี้จะปรับเปลี่ยนไปตามปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก</p>
บัณฑูร พานแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
28
49
-
การศึกษาข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคและการใช้วิดีโอการเรียนรู้ (Video Tutorial) เพื่อเพิ่มความเข้าใจ ในวิธีการใช้งานช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ Mastodon
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/276115
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลผู้บริโภคเชิงลึกของการใช้แพลตฟอร์ม Mastodon ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ทางเลือกของ Twitter (X), ศึกษาแนวทางการทำ Video tutorial สำหรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Mastodon และศึกษาประสิทธิผลของ YouTube tutorial ต่อความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์ม Mastodon โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลอง (experimental-based research)</p> <p>ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคได้มาจากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายที่ไม่เคยใช้ Mastodon มาก่อน จำนวน 11 ราย โดยเน้นศึกษาพฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์ม Twitter (X) เป็นหลัก เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่มีความคล้ายคลึงกับ Mastodon ผลการศึกษาพบว่าผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ใช้ Instagram เป็นแพลตฟอร์มหลัก ตามมาด้วย Twitter (X) และ TikTok โดยใช้ Twitter (X) เพื่อติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับดารานักแสดงและข่าวสารเป็นหลัก และต้องการให้ผลิตวิดีโอในลักษณะที่เข้าใจง่าย น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ</p> <p>จากการสัมภาษณ์เชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการสร้างวิดีโอสอนการใช้งาน พบว่าผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ต้องการวิดีโอที่มีความยาว 4-6 นาที เน้นเนื้อหาที่กระชับ ชัดเจน เข้าใจง่าย มีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ และไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าผู้พูด โดยเฉพาะการอธิบายจุดที่ต้องดำเนินการในแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจนและใช้สัญญาณภาพต่าง ๆ (เช่นการซูมและใช้ลูกศรเพื่อเน้นจุดที่ให้ผู้ชมดำเนินการ) ทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์สะท้อนในเชิงบวกว่าวิดีโอสามารถปฏิบัติตามได้ง่าย</p> <p>ผู้วิจัยได้สร้างวิดีโอสอนการใช้งาน (Video tutorial) บน YouTube ตามแนวทางที่ได้จากการสัมภาษณ์ และประเมินประสิทธิผลโดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลังการรับชมวิดีโอ (Pre-test และ Post-test) กับกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มขนาดเล็ก (9 ราย) และกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น (37 รายสำหรับ Pre-test และ 23 รายสำหรับ Post-test) ผลการทดสอบพบว่าคะแนนเฉลี่ยของทั้งสองกลุ่มเพิ่มขึ้นหลังจากการรับชมวิดีโอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Video tutorial มีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์ม Mastodon</p> <p>งานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและผู้ผลิตเนื้อหาที่ต้องการนำกลยุทธ์การตลาดด้วยเนื้อหาวิดีโอ (Video Content Marketing) และ Video tutorial มาใช้ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน Mastodon</p>
พงศ์ปณต ไพรัชเวชภัณฑ์
ปฐมา สตะเวทิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นิเทศสยามปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
50
63
-
การพัฒนาชุดดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์สำนักหอสมุด มจธ. บนแพลตฟอร์มออนไลน์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281515
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์สำนักหอสมุด มจธ. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 2) ประเมินคุณภาพชองชุดดิจิทัลคอนเทนต์ที่พัฒนาขึ้น 3) ประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อชุดดิจิทัลคอนเทนต์ที่พัฒนาขึ้น และ 4) ประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อชุดดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์ สำนักหอสมุด มจธ. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์สำนักหอสมุด มจธ. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 2) แบบประเมินคุณภาพของชุดดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์สำนักหอสมุด มจธ. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 3) แบบประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ติดตาม Instagram: kmuttlibrary ดำเนินการโดยวิธีเลือกแบบสุ่มแบบบังเอิญ จากผู้ติดตาม Instagram: kmuttlibrary ที่เคยรับชมชุดดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์สำนักหอสมุด มจธ. บนแพลตฟอร์มออนไลน์และยินดีตอบแบบสอบถาม จำนวน 50 คน โดยมีการเก็บข้อมูลในภาคการศึกษาที่ 1/2567 ผลการพัฒนาได้ออกแบบและพัฒาสื่อโปสเตอร์อินโฟกราฟิก 6 ชุด และสื่อวิดีโอสั้น 4 คลิป แล้วจึงนำสื่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพ ผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก ( X= 4.80, S.D. = 0.46) ผลการประเมินคุณภาพด้านสื่อการนำเสนออยู่ในระดับดีมาก ( x= 4.61, S.D. = 0.49) ผลการประเมินการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด ( X= 4.75, S.D. = 0.55) และผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด ( X= 4.85, S.D. = 0.36) ดังนั้น ชุดดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์สำนักหอสมุด มจธ. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริง</p>
กุลธิดา ธรรมวิภัชน์
พรปภัสสร ปริญชาญกล
Pongpatcharin Putwattana
อัญชลิยล ผลยา
วิภาณีย์ สายเสมาภควัฒน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
64
81
-
การสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของแบรนด์ผ่านวิดีโอคอนเทนต์บนเพจเฟซบุ๊ก
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281517
<p>การวิจัยนี้เรื่อง “การสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของแบรนด์ผ่านวิดีโอคอนเทนต์บนเพจ เฟซบุ๊ก” โดยมีวัถตุประสงค์หลักสองประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาการใช้ Short Video Content สื่อสารผ่านบน Facebook ที่สามารถสร้าง Brand Awareness ให้กับบริษัทบอลูน อาร์ท 2) เพื่อพัฒนาเนื้อหา Content บนเพจ Facebook Artinflate ของบริษัทบอลลูนอาร์ท โดยถ่ายทอดเบื้องหลังการทำงาน 3) เพื่อศึกษาหา Video Content แบบ Behind the scene และ แบบ Real time แบบใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าโดยวัดผลลัพธ์บนเพจเฟซบุ๊กของบริษัท บอลลูนอาร์ท ทั้งนี้การวิจัยใช้เครื่องมือรูปแบบวิจัยเชิงทดลอง (Experiment Research Method) โดยจะนำผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแคมเปญ Video Content เบื้องหลังการทำงานของบริษัทบอลลูน อาร์ท โดยวัดประสิทธิผลก่อนที่เริ่มแคมเปญว่าสามารถสร้างการรับรู้และการจดจำแบรนด์ และการมีส่วนร่วมกับผู้ชมบนแพลตฟอร์ม Facebook ใช้ Engaged และจำนวนผู้ติดตามบนเพจ Facebook เป็นตัวชี้วัดผล ซึ่งมีขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 การโพสต์โฆษณา Video Content แบบ Behind the scene โดยทำการรวบรวมข้อมูลเป็นเวลา 2 เดือน และระยะที่ 2 การโพสต์โฆษณาใช้การทำโฆษณา Video Content 2 แบบ คือ Behind the scene และ Real time เปรียบเทียบกัน โดยทำการรวบรวมข้อมูลเป็นเวลา 1 เดือน ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการใช้ Video Content ที่เหมาะสมกับเนื้อหาของงานสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการมีส่วนร่วมกับทางแบรนด์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเนื้อหาที่เป็น Viral บนสื่อโซเชียลมีเดีย แคมเปญ “Whale” ที่มีการเข้าถึงได้สูงสุด 14,859 คน การแสดงผลสูงสุด 25,304 คน</p> <p>จากผลการวิจัย แนะนำให้บริษัทมีการการถ่ายทำตั้งแต่ภาพเบื้องหลัง ของกระบวนการทำงานตั้งแต่การผลิตไปจนถึงวันที่ติดตั้งงานแสดงในสถานที่จริงเพื่อใช้ในการทำ Content ครั้งต่อๆไป และศึกษาแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากกว่าเดิม</p>
กิตติกานต์ สมัตถพันธุ์
มนฑิรา ธาดาอำนวยชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
82
99
-
การพัฒนาชุดวิดีโอคอนเทนต์โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์ KMUTT BOOK STORE บนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281519
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดวิดีโอคอนเทนต์โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อประชาสัมพันธ์ KMUTT BOOK STORE บนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก 2) ประเมินคุณภาพของชุดวิดีโอคอนเทนต์ที่พัฒนาขึ้น 3) ประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง และ 4) ประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อชุดวิดีโอคอนเทนต์โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์ KMUTT BOOK STORE บนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดวิดีโอคอนเทนต์โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อประชาสัมพันธ์ KMUTT BOOK STORE บนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก 2) แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและด้านสื่อการนำเสนอ 3) แบบประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก KMUTT BOOK STORE ดำเนินการโดยวิธีการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) จากผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก KMUTT BOOK STORE ที่เคยชมชุดวิดีโอคอนเทนต์ที่พัฒนาขึ้น และยินดีตอบแบบสอบถาม จำนวน 50 คน ซึ่งผลการออกแบบและพัฒนาได้วิดีโอคอนเทนต์จำนวน 4 เรื่อง หลังจากนั้นจึงนำสื่อที่พัฒนาขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพ ผลประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า มีผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก ( X= 4.80, S.D. = 0.41) ผลการประเมินคุณภาพด้านสื่อการนำเสนออยู่ในระดับดี (X= 4.42, S.D. = 0.55) ผลการประเมินการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด (X= 4.81, S.D. = 0.48) และผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด (X= 4.83, S.D. = 0.42) ดังนั้น ชุดวิดีโอคอนเทนต์ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริง</p>
พรปภัสสร ปริญชาญกล
กุลธิดา ธรรมวิภัชน์
พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ
คริษศา พรหมมา
ชลิดาวรรณ วงษ์น้อย
ธีรดา เอี่ยมสำอางค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
100
119
-
กระบวนการแก้ไขปัญหาการเป็นตัวละครและการอยู่กับความต้องการของตัวละคร : กรณีศึกษาการแสดงเป็นตัวละคร “มาช่า” ในละครเวทีเรื่อง วานย่า และ ซอนย่า และ มาช่า และ สไปค์ (2555) ของ คริสโตเฟอร์ ดูแรง
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281528
<p>บทความวิจัยนี้เป็นบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขปัญหาการเป็นตัวละครและการอยู่กับความต้องการของตัวละคร : กรณีศึกษาการแสดงเป็นตัวละคร “มาช่า” ในละครเวทีเรื่อง วานย่า และ ซอนย่า และ มาช่า และ สไปค์ (2555) ของ คริสโตเฟอร์ ดูแรง โดยมีวัตุประสงค์เพื่อฝึกฝนและพัฒนาทักษะการแสดงในการเป็นตัวละครและการอยู่กับความต้องการของตัวละครของนักแสดงและเพื่อค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาการเป็นตัวละครและการอยู่กับความต้องการตัวละครของนักแสดงในฐานะตัวละคร “มาช่า (Masha)” ในบทละครเวทีเรื่อง “Vanya and Sonia and Masha and Spike” เนื่องจากผู้วิจัยยังมีประสบการณ์ด้านการแสดงไม่มากพอทำให้ผู้วิจัยประสบปัญหาในการแสดง 2 เรื่อง คือ 1.) การเป็นตัวละครหรือการเข้าถึงบทบาทของตัวละคร และ 2.) การอยู่กับความต้องการของตัวละคร โดยมีคำถามงานวิจัยว่า ผู้วิจัยจะสามารถพัฒนาทักษะการแสดงเรื่องการเป็นตัวละครเเละการอยู่กับความต้องการของตัวละครของนักแสดงในการแสดงบทละครเวทีเรื่อง “Vanya and Sonia and Masha and Spike” ได้อย่างไรบ้าง ซึ่งในงานวิจัยชิ้นนี้ผู้วิจัยได้ค้นคว้าหาข้อมูล แนวคิด ทฤษฎี ของนักการละครตะวันตกที่ได้ร่ำเรียนจากศาสตร์ด้านการแสดงของหลักสูตรปริญญาโท ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยตั้ง ข้อสันนิษฐาน ของงานวิจัยไว้ว่าการเป็นตัวละครและการอยู่กับความต้องการของตัวละคร "มาช่า" จะช่วยให้ร่างกายของผู้วิจัยในฐานะนักแสดงสามารถตอบสนองออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้กระบวนการดำเนินงานวิจัยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 กระบวนการ คือ 1.) การทำงานวิเคราะห์บทละครและตัวละคร 2.) กระบวนการฝึกซ้อมการแสดง 3.) ช่วงระยะเวลาการทำงานก่อนวันแสดง และ 4.) ช่วงระยะเวลาการแสดงและหลังการแสดง นอกจากนี้ผู้วิจัยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเพื่อประเมินผลการวิจัย 2 แบบดังนี้ คือ 1.) แบบบันทึกวิดิโอการซ้อมการแสดงและการสังเกต ผู้วิจัยได้มีการจดบันทึกคำแนะนำจากผู้กำกับหลังการฝึกซ้อมทุกครั้ง พร้อมทั้งบันทึกภาพวิดิโอตอนช่วงฝึกซ้อมบางช่วงกับบันทึกวิดีโอรอบวันแสดงจริง และ 2.) การประเมินผลจากการแสดงจริงของช่วงระยะหลังการแสดง ซึ่งผู้วิจัยได้จัดทำแบบสอบถามจากผู้รับชมการแสดงและคำแนะนำจากผู้กำกับและครูที่ปรึกษาหลักด้านการแสดง ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า การเป็นตัวละครและการอยู่กับความต้องการของตัวละครนั้นต้องเริ่มจากการเข้าใจตัวละครโดยการที่นักแสดงต้องมีความรู้สึกนึกคิดแบบตัวละคร พร้อมทั้งการปล่อยวางตนเองให้อยู่กับปัจจุบันขณะ (Moment) จะสามารถช่วยให้ผู้วิจัยสามารถสื่อสารการแสดงถ่ายทอดบทบาท และสามารถตอบสนองปรับเปลี่ยนวิธีการการแสดงที่มีมิติหลากหลายพร้อมทั้งแสดงตามสถานการณ์ในฉากได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้วิจัยได้นำ แนวคิด ทฤษฎี เทคนิคการแสดงของผู้เชี่ยวชาญการแสดงชื่อดังทั้ง 3 ท่านคือ 1.) แซนฟอร์ด ไมส์เนอร์ 2.) คอนแสตนติน สตานิสลาฟสกี และ 3.) ลี สตราสเบิร์ก ถึงแม้ว่าทั้ง 3 ท่านจะมีหลักการการแสดงที่แตกต่างกันแต่ทั้ง 3 มีเป้าหมายเดียวกันคือเรื่อง การช่วยให้นักแสดงสร้างผลงานการแสดงที่สมจริงและมีชีวิตชีวาโดยใช้วิธีการเข้าถึงอารมณ์และเชื่อมโยงพฤติกรรมของตัวละครอย่างลึกซึ้งในทางด้านอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการแสดง</p>
นวฉัตร เสนวิรัช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
120
139
-
พฤติกรรมของผู้บริโภคในการรับชมซีรีส์เกาหลีเรื่อง "Moving" บนเฟซบุ๊กแฟนเพจซีรีส์เกาหลี เรื่อง Moving ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281529
<p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยเพื่อศึกษาเนื้อหาและวิธีการนำเสนอการเขียนรีวิวของเฟซบุ๊กแฟนเพจ “วันวันของคนดูซีรี่ย์ก็งี้แหละ” โดยเฉพาะการรีวิวซีรีส์เกาหลีเรื่อง Moving ศึกษาเนื้อหาและวิธีการนำเสนอการเขียนรีวิวของเฟซบุ๊กแฟนเพจ วันวันของคนดู ซีรี่ย์ก็งี้แหละ โดยเฉพาะการรีวิวซีรีส์เกาหลีเรื่อง Moving เท่านั้น และศึกษาเฉพาะส่วนที่เป็นงานเขียนรีวิวในกระดานข้อความ (Wall) ของเฟซบุ๊กแฟนเพจ วันวันของคนดูซีรี่ย์ก็งี้แหละ โดยใช้แนวคิดเรื่อง User Generated Content และแนวคิดเรื่องการเล่าเรื่องมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา เป็นเนื้อหาในโพสต์ของเฟซบุ๊กที่เขียนรีวิวซีรีส์ Moving ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2566 จนถึงวันที่ 21 กันยายน 2566 รวมทั้งสิ้น 24 คอนเทนต์</p> <p>ผลวิจัยพบว่า ลักษณะเนื้อหาการรีวิวคนเทนต์แบ่งออกเป็นทั้งหมด 11 ลักษณะ ได้แก่ คอนเทนต์รีวิวตัวละคร ความสามารถพิเศษของตัวละคร คอนเทนต์ที่พูดถึงคู่รักในซีรีส์ คอนเทนต์ที่พูดถึงนักแสดงหลักในซีรีส์เป็นภาพรวม คอนเทนต์สรุปภาพรวมของซีรีส์ทั้ง 20 ตอน คอนเทนต์ภาพคู่ที่เน้นการแสดงความรักและโรแมนติกของตัวละคร คอนเทนต์ที่แสดงบทบาทความเป็นผู้หญิง คอนเทนต์ที่แสดงการสื่อสารระหว่างแม่และลูก คอนเทนต์ที่แสดงการปฏิบัติภารกิจ คอนเทนต์ข้อมูลของซีรีส์ Moving เป็นข้อมูลอย่างเดียว คอนเทนต์ของการขึ้นอันดับ 1 ของ Disney+ ทั่วโลก และคอนเทนต์เป็นภาพเบื้องหลังของการถ่ายทำ</p>
มนฑิรา ธาดาอำนวยชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
140
155
-
ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดและสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงามด้านผิวพรรณของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281530
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) ศึกษาพฤติกรรมการใช้บริการคลินิกเสริมความงามของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงามของประชากร และ 3) ศึกษาสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงามด้านผิวพรรณของผู้บริโภค การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาคือประชาชนที่มีประสบการณ์ใช้บริการคลินิกเสริมความงามในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลและใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ และค่าเฉลี่ย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 21-30 ปี เป็นนักเรียน/นักศึกษา มีระดับการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 15,001 – 35,000 บาท โดยพฤติกรรมการใช้บริการคลินิกเสริมความงามด้านผิวพรรณของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลรักษาสภาพผิวพรรณและมีปัญหาผิวพรรณที่อยากรักษากับเรื่องผิวหมองคล้ำและใช้บริการโปรแกรมกดสิวหรือฉีดสิว (Acne) มากที่สุด ส่วนใหญ่ไปใช้บริการช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ในช่วงเวลา 16.01 – 19.00 น.เฉลี่ย 1 ครั้งต่อเดือนและมีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการแต่ละครั้งประมาณ 1,001 – 3,000 บาท ส่วนการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงามด้านผิวพรรณของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มาจากการได้รับข้อมูลการโฆษณาของคลินิกบนโซเชียลมีเดีย</p> <p>สำหรับปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความสำคัญมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ด้านบุคคลากรคือแพทย์ผู้รักษามีความเชี่ยวชาญและชำนาญ ด้านพนักงานสามารถให้คำแนะนำก่อนและหลังการใช้บริการ ด้านนำเสนอทางกายภาพคือบริเวณคลินิกสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านการติดประกาศรับรองถูกต้องตามกฎหมายของคลินิก และด้านผลิตภัณฑ์ในการรักษาที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ส่วนปัจจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของกลุ่มตัวอย่าง 5 อันดับแรก ได้แก่ ด้านชนชั้นทางสังคมซึ่งส่วนใหญ่คำนึงถึงความมั่นใจในการดำเนินชีวิตในสังคม ด้านบทบาทของคนที่มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียลมีเดีย ด้านครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่คำนึงถึง รายได้รวมของครอบครัว ด้านข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์หรือผลลัพธ์ของผู้ที่เคยใช้บริการที่คลีนิกแห่งนั้น และด้านความคาดหวังถึงความปลอดภัยจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม</p>
ชัญญาณัฏฐ์ สุพัฒน์สิริกุล
ศศิพรรณ บิลมาโนชญ์
กรกช แสนจิตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
156
173
-
การศึกษาประสิทธิผลการทำ Infographics บนแพลตฟอร์ม Facebook ของเกม Grand Theft Auto V (GTAV) FiveM ภายใต้ Sv. Apocalypse Universe Fivem
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281534
<p>งานวิจัยเรื่อง “วัดประสิทธิผลการทำ Infographics บนแพลตฟอร์ม Facebook ของเกม Grand Theft Auto V (GTAV) FiveM ภายใต้ Sv. Apocalypse Universe Fivem” มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดประสิทธิผลของการใช้ Infographics บนแพลตฟอร์ม Facebook ในการส่งเสริมการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้เล่นในเซิร์ฟเวอร์ Sv. Apocalypse Universe ของเกม Grand Theft Auto V (GTAV) ผ่าน FiveM. งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการสื่อสารและโปรโมตผ่าน Facebook ADS และการใช้ Infographics Content เพื่อเพิ่มยอดผู้เล่นใหม่ และรักษาฐานผู้เล่นเดิม โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลองเพื่อวัดผลจากการติดตามตัวชี้วัด ได้แก่ Follow, Reach, Impression, และ Engagement ผ่านเครื่องมือ Facebook Ads Manager</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การใช้ Infographics ในการโปรโมตบน Facebook ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมสูงสุดที่ 91 ครั้ง จากแคมเปญโฆษณาที่มีการแสดงผลสูงสุดที่ 6,124 ครั้ง โดยการโปรโมตผ่าน Facebook ADS ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและเพิ่มจำนวนผู้เล่นใหม่ อีกทั้งกิจกรรมและเนื้อหา Infographics ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เล่นในเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>จากผลการวิจัย ผู้วิจัยแนะนำให้มีการปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหา Infographics ให้มีความน่าสนใจและทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการวางแผนการทำโฆษณาผ่าน Facebook ADS อย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
ชาญเมธา เพ็ชรตาหนู
มนฑิรา ธาดาอำนวยชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
174
187
-
การศึกษาประสิทธิผลการสื่อสารการตลาดด้วยกลยุทธ์กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลดิจิทัลบนแพลตฟอร์มดิจิทัล กรณีศึกษา งานมหกรรมบ้าน และคอนโด ครั้งที่ 44 บริษัท เคทูแอล แอดเวอร์ไทซิ่ง เอเจนซี่ จำกัด
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/278392
<p>จากการศึกษาวิจัยในเรื่องของการศึกษาประสิทธิผลการสื่อสารการตลาดด้วยกลยุทธ์กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยมุ่งเน้นกรณีศึกษาที่งานมหกรรมบ้าน และคอนโด ครั้งที่ 44 บริษัท เคทูแอล แอดเวอร์ไทซิ่ง เอเจนซี่ จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ คือ1.เพื่อศึกษาการสื่อสารทางการตลาด และรูปแบบกลยุทธ์กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลในการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 44 และ 2.)เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการดำเนินการสื่อสารทางการตลาดดิจิทัล ผ่านกลยุทธ์กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลที่ส่งผลต่อการรับรู้จำนวนเข้าร่วมงานล่วงหน้า งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 44 โดยใช้ระเบียบวิธีในการศึกษาวิจัยคือ การใช้การการใช้กลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดดิจิทัลและกลยุทธ์กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลผ่าน Facebook</p> <p>จากการศึกษาพบว่ากลยุทธ์กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลสำหรับการจัด งานมหกรรม มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการสร้างการรับรู้และเข้ามามีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายนั้นถือเป็นกลยุทธ์การสื่อสารมีความสอดคล้องกับแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และกิจกรรมต่างๆ ของงานมหกรรมบ้าน และคอนโดที่เกิดขึ้นได้ดี รวมทั้งกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในทุก กิจกรรมต่างๆ ทั้งช่องส่วนทางออนไลน์ผู้เข้าชมงานมหกรรมส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและตัดสินใจจองในงานทันที โดยกลุ่มผู้เข้าชมส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y ในช่วงอายุ 21-30 ปี รองลงมาในช่วงอายุ 31-40 ปี นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่ม Gen Z ที่เกิดระหว่างปี 2540-2555 เข้าชมงานเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน ๆ ซึ่งได้รับการส่งเสริมผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Meta Ads, @Line, Google Ads, YouTube Ads, และ TikTok Ads กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายและกระตุ้นให้ผู้สนใจเข้าร่วมงาน ซึ่งกลยุทธ์กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดิจิทัลในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการสร้างความร่วมมือและการยอมรับในกิจกรรมต่างๆ ผ่านการใช้กลยุทธ์สื่อสารที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
จิรวดี เกวียนโคกกรวด
ปฐมา สตะเวทิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นิเทศสยามปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
188
204
-
การคิดเชิงออกแบบเพื่อสร้างสรรค์สื่อกราฟิกเคลื่อนไหวเพื่อใช้การเรียนการสอนด้านดิจิทัล สำหรับผู้สูงอายุ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281535
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการคิดเชิงออกแบบเพื่อสร้างสรรค์กราฟิกเคลื่อนไหวในการเรียนการสอนด้านดิจิทัลสำหรับผู้สูงอายุ โดยนำแนวคิดการคิดเชิงออกแบบเพื่อสร้างสรรค์มาทำตามขั้นตอนคือ 1) การทำความเข้าใจ 2) การนิยาม 3) การสร้างสรรค์ 4) การจำลอง 5) การทดสอบ จากการเก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 20 ท่าน แบ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 10 ท่าน กลุ่มนักวิชาชีพ 5 ท่าน และกลุ่มนักวิชาการ 5 ท่าน เพื่อผลิตสื่อกราฟิกเคลื่อนไหวในการเรียนการสอนสำหรับผู้สูงอายุ วิเคราะห์ในข้อมูล ในประเด็นที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การคิดเชิงออกแบบสามารถช่วยในการสร้างสื่อที่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงอายุ ทำให้สื่อการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการส่งเสริมการเรียนรู้ การวิจัยได้นำกระบวนการคิดเชิงออกแบบมาปรับใช้ โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจ ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุพบว่าผู้สูงอายุมีปัญหาทางกายภาพเป็นหลัก จากนั้นนิยามปัญหาอย่างชัดเจนวิเคราะห์จากการทำความเข้าใจเพื่อสร้างสื่อกราฟิกเคลื่อนไหว 5 ประเด็นได้แก่ ภาพ เสียง ฉาก ตัวอักษร เพื่อนำไปสร้างสรรค์นำไปสู่กระบวนการการผลิตสื่อวิดิทัศน์ แนวทางแก้ไขที่เหมาะสม ผ่านการจำลองโดยลงผ่านยูทูป และทดสอบโดยวิเคราะห์ผลการประเมินของกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 ประเด็น คือ 1) ด้านกราฟิกเคลื่อนไหวในการเรียนการสอนด้านดิจิทัลสำหรับผู้สูงอายุ พบว่าผลการประเมินอยู่ในระดับดี 2) ด้านคุณภาพงานของกราฟฟิกเคลื่อนไหวในการเรียนการสอนด้านดิจิทัลสำหรับผู้สูงอายุ พบว่ากลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 กลุ่ม มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่ประเด็นที่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดคือเรื่องของนักลงเสียงมีเสียงที่ชัดเจน อักขระถูกต้อง ส่วนประเด็นที่ได้ผลลัพธ์ต่ำที่สุดคือเรื่องของการใช้สี</p>
พิชพล เงินเรืองโรจน์
ณัฐพงค์ แย้มเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
205
221
-
การศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาทักษะการสร้างสรรค์สื่อออนไลน์สำหรับนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/277880
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจปัญหา ความต้องการ และกำหนดแนวทางในการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ สำหรับการสร้างสรรค์สื่อออนไลน์ของนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงผสม กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลโดยการสำรวจ ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 10 แห่ง รวมจำนวน 400 คน กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มตัวแทนอาจารย์ ตัวแทนนักศึกษา ตัวแทนผู้ใช้บัณฑิต และตัวแทนบัณฑิต ผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักศึกษานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดหวังที่จะประกอบอาชีพด้านออนไลน์ยูทูเบอร์ / ติ๊กตอกเกอร์ / บล็อกเกอร์ / อินฟลูเอนเซอร์ / นักสร้างสรรค์เนื้อหามากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 54.5 ในด้านความต้องการพัฒนาทักษะของนักศึกษามากที่สุดคือ ทักษะด้านการใช้โปรแกรมตัดต่อภาพ / กราฟิก / ตกแต่งภาพ / วาดภาพ (x̄ = 4.19, S.D.= .902) ผลการสนทนากลุ่มพบว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรนิเทศศาสตร์เห็นว่าปัญหาของหลักสูตรนิเทศศาสตร์คือความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ล้าสมัยเร็วและการต้องพัฒนาผู้สอนให้ทันต่อเทคโนโลยี แนวทางในการพัฒนาทักษะการสร้างสรรค์สื่อออนไลน์ของนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าควรพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ให้ตั้งอยู่บนการใช้เทคโนโลยีแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาสร้างสรรค์เนื้อหา การคิดสร้างสรรค์ รวมถึงพัฒนาการใช้ทักษะสื่อออนไลน์และการผลิตสื่อสำหรับช่องทางออนไลน์ เนื่องจากเป็นแนวโน้มงานสมัยใหม่ที่ตอบสนองต่อบุคคลและองค์การสมัยใหม่</p>
ปณิสญา อธิจิตตา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นิเทศสยามปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
222
236
-
แนวทางการบริหารจัดการสำหรับผู้ทดลองออกอากาศวิทยุกระจายเสียงสถานีวิทยุกระจายเสียงประเภทบริการสาธารณะและบริการชุมชนที่มีคุณภาพในประเทศไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281537
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงประเภทบริการสาธารณะและชุมชนในประเทศไทย ผ่านการวิเคราะห์แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานีวิทยุกระจายเสียงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง และแบบสำรวจประชากร จำนวน 1,010 ชุด ใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ</p> <p>ผลการศึกษาจากการประชุมรับฟังความคิดเห็นภายใต้ 8 ประเด็นที่จะทำให้สถานีวิทยุกระจายเสียงประเภทบริการสาธารณะและบริการชุมชนมีคุณภาพ คือ 1. นโยบาย/แนวทาง 2. การกำกับดูแล 3. การบริหารจัดการสถานีวิทยุกระจายเสียง 4. เนื้อหา 5. รูปแบบรายการ 6. การเงินและแหล่งทุน/การหารายได้ 7. หลักการของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่มีคุณภาพ และ 8. ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้านผลการศึกษาจากแบบสำรวจ พบแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ดีและน่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยแตกต่างจากการรับฟังความคิดเห็น ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. การบริหารจัดการองค์กร 2. เนื้อหารายการ 3. รูปแบบรายการ 4. การหารายได้และแหล่งทุน และ 5. หลักการของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่มีความปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ No one size fits all, Force/Drive, Upskill & Reskill, Partnership, Great Value, Excellent Relationships, Mentors และ Guide</p>
พรรษา รอดอาตม์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
237
248
-
เเรงจูงใจที่มีผลต่อการเลือกบริโภคอาหารเสริมชนิดทดเเทนมื้ออาหารหลักของผู้บริโภค เจเนอร์เรชั่น Z ในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281538
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การสื่อสารของแรงจูงใจที่มีผลต่อการเลือกบริโภคอาหารเสริมชนิดทดเเทนมื้ออาหารหลักของผู้บริโภคเจนเนอร์เรชั่น Z ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการศึกษาการวิจัยแบบเชิงปริมาณ ด้วยการเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามชนิดออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่างของเจเนอร์เรชั่น Z ในเขตกรุงเทพมหานคร ผลของการวิจัยพบว่า ความต้องการซื้ออาหารเสริมชนิดทดแทนมื้ออาหารหลักของกลุ่มตัวอย่างเจเนอร์เรชั่น Z ในส่วนของเพศ ไม่มีผลต่อการตัดสินใจที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้วิจัยได้อนุมานว่าอาจเป็นเพราะในปัจจุบันมีเพศสภาพที่มากกว่าเพศชายและเพศหญิง คือ กลุ่มเพศสภาพที่มาจาก LGBTQ+ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี้เองที่มีส่วนเป็นตัวแปรให้ทัศนคติของเพศชายนั้นมีความคิดที่แปรผันเปลี่ยนไปมากขึ้น และเป็นจุดที่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาว่าเพศที่ต่างกัน จะส่งผลต่อการเลือกบริโภคอาหารเสริมชนิดทดเเทนมื้ออาหารหลักที่ไม่แตกต่างกัน อีกทั้งในส่วนของความประหยัดก็เป็นหัวใจหลักในการตัดสินใจเช่นกัน โดยผลการวิจัยได้ชี้เป้าไปในทางที่ว่า ความประหยัดเป็นเหตุผลหลักในการเลือกตัดสินใจในการซื้ออาหารเสริมชนิดทนแทนมื้ออาหารหลักของกลุ่มตัวอย่างเจเนอเรชั่น Z ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยผลวิจัยในครั้งนี้สามารถนำไปปรับกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ประกอบการด้านอาหารเสริมได้ เนื่องจากสามารถทราบถึงข้อจำกัดและความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มเจเนอร์เรชั่น Z ได้จากผลของงานวิจัย และยังสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยปรับปรุงและสร้างความเข้าใจและทัศนคติระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย</p>
ณัฐพัชร์ หวังก่อเกียรติ
องอาจ สิงห์ลำพอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
249
260
-
การเขียนบทละครเวทีแนวสยองขวัญเชิงจิตวิทยาว่าด้วยเรื่องความโดดเดี่ยวจากการเพิกเฉยทางอารมณ์ในวัยเด็ก
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/278969
<p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาและค้นหากลวิธีการเขียนบทละครเวทีแนวสยองขวัญเชิงจิตวิทยาว่าด้วยเรื่องความโดดเดี่ยวจากการเพิกเฉยทางอารมณ์ในวัยเด็ก ผู้วิจัยเริ่มต้นจากการศึกษาแนวคิดและองค์ประกอบบทแนวสยองขวัญเชิงจิตวิทยาที่ปรากฏในบทความของ เจสัน เฮเลอร์แมน (2024) นักเขียนบทภาพยนต์และบทโทรทัศน์ และ ไอวี่ ลอฟเบิร์ก (2016) นักวารสารศาสตร์ด้านภาพยนต์ รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับการใช้องค์ประกอบละครเวทีในการเขียนบทละครเวทีแนวสยองขวัญจากงานวิจัยของ เอมิลี่ โอดันเนิล (2018) เพื่อค้นหากลวิธีในการเขียนบทละครเวทีแนวสยองขวัญเชิงจิตวิทยา โดยผู้วิจัยเลือกศึกษาข้อมูลทางจิตวิทยาเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวจากการเพิกเฉยทางอารมณ์ในวัยเด็กเพื่อใช้สภาวะดังกล่าวเป็นประเด็นหลักของเรื่อง (main theme) จากนั้นผู้วิจัยนำองค์ความรู้ที่ได้มาสร้างสรรค์บทละครเวทีแนวสยองขวัญเชิงจิตวิทยาเรื่อง <em>ว้าง</em> โดยมุ่งใช้แนวคิดและองค์ประกอบของบทแนวดังกล่าวในการทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจสภาวะดังกล่าวและตระหนักถึงผลเสียของการเพิกเฉยทางอารมณ์ในวัยเด็กได้ ผู้วิจัยจัดแสดงละครเวทีเรื่อง <em>ว้าง</em> ในรูปแบบการอ่านบท (staged reading) เพื่อเก็บความคิดเห็นของผู้ชมผ่านแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า ผู้ชมสามารถเข้าใจและตระหนักถึงผลเสียของการเพิกเฉยทางอารมณ์ในวัยเด็กได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ชมส่วนหนึ่งให้ความเห็นว่าความคลุมเครือของเรื่องและตัวละคร ‘ผี’ ส่งผลให้ประเด็นหลักไม่ชัดเจน จากการศึกษาและวิเคราะห์ผล ผู้วิจัยเห็นว่าความคลุมเครือดังกล่าวเป็นจุดเด่นของบทแนวนี้ที่ทำให้เกิดการตีความที่หลากหลาย หากผู้วิจัยจะพัฒนาบทละคร ผู้วิจัยจะเพิ่มการกระทำและคำพูดของตัวละครที่เสริมให้ประเด็นหลักของเรื่องมีความชัดเจนยิ่งขึ้นโดยคงความคลุมเครือของเรื่องและตัวละคร ‘ผี’ เอาไว้</p>
มนสิชา จาคะกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นิเทศสยามปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
261
281
-
การศึกษาความพึงพอใจต่อการเลือกรับชมภาพยนตร์และซีรีส์ เน็ตฟลิกซ์ ออริจินอล ที่มีผลต่อการตัดสินใจเป็นสมาชิกผู้ใช้บริการ เน็ตฟลิกซ์ ไทยแลนด์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/commartsreviewsiamu/article/view/281540
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างลักษณะประชากรศาสตร์ของสมาชิกผู้ใช้งาน Netflix Thailand 2. เพื่อศึกษาการตัดสินใจเป็นสมาชิก Netflix Thailand ของผู้ใช้บริการ 3. เพื่อศึกษาอิทธิพลของความพึงพอใจการเลือกรับชมภาพยนตร์และซีรีส์ Netflix Original ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเป็นสมาชิก Netflix Thailand โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณแบบสำรวจ กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงผ่านแบบสอบถามออนไลน์ พบว่าผู้ตอบส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง อายุ 31–40 ปี ระดับปริญญาตรี และทำงานภาคเอกชน ความสนใจในคอนเทนต์ Netflix Original โดยเฉพาะเนื้อหาใหม่ การลงทุนผลิต และคุณภาพ มีผลต่อการสมัครและต่ออายุสมาชิก ผู้ใช้ยังพิจารณาความคุ้มค่าจากการเปรียบเทียบกับสตรีมมิ่งอื่น รวมถึงการเข้าถึงสะดวก ราคาเหมาะสม และการโปรโมทบนโซเชียลมีเดีย ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ผู้ใช้มีแนวโน้มสมัครต่อเนื่องในระยะยาว</p>
นันทิชา ปติคม
องอาจ สิงห์ลำพอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-17
2025-06-17
24 1
282
292