วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou <p> สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชริเริ่มจัดทำวารสารทางวิชาการของสาขาวิชา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา เป็นวารสารวิชาการราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิชาการ โดยที่ผลงานวิชาการดังกล่าวต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น ทั้งนี้ทุกบทความจะได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ และจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนอย่างน้อย 2 ท่านต่อบทความ โดยการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้เขียนบทความ (Double-Blind Peer Review)<br /><br /></p> <p>ISSN 3057-1294 (Online)</p> Sukhothai Thammathirat Open University en-US วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. 3057-1294 - https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/281822 เก็จกนก เอื้อวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 AI for Educators: Learning Strategies, Teacher Efficiencies, and a Vision for an Artificial Intelligence Future https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/280770 วรางคณา โตโพธิ์ไทย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 189 194 - https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/281788 Ketkanok Urwonge ลิขสิทธิ์ (c) 2025 2025-06-27 2025-06-27 18 1 การประยุกต์ใช้การปรึกษากลุ่มจิตวิทยาแนวพุทธเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตในนักศึกษาปริญญาตรีจิตวิทยา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/274120 <p>สุขภาวะทางจิตมีความหมายครอบคลุมถึงสุขภาพจิต อารมณ์ สังคม และความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของบุคคล บทความนี้เป็นการนำเสนอแนวทางการพัฒนาสุขภาวะทางจิตผ่านโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มจิตวิทยาแนวพุทธเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตสำหรับนักศึกษาคณะจิตวิทยาระดับปริญญาตรีที่กำลังเตรียมเป็นผู้ปฏิบัติการทางจิตวิทยาในอนาคต โดยใช้แนวคิดจิตวิทยาการปรึกษาแนวพุทธที่มุ่งเน้นให้ผู้รับคำปรึกษาสามารถดำเนินชีวิตในโลกได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับความเป็นจริงของชีวิตด้วยใจที่ไม่เป็นทุกข์ พร้อมทั้งรวบรวมประสบการณ์การใช้โปรแกรมการปรึกษากลุ่มจิตวิทยาแนวพุทธเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตของนักศึกษาที่เตรียมเป็นผู้ปฏิบัติการทางจิตวิทยา มาอธิปรายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการปรึกษากลุ่ม และสรุปข้อเสนอแนะสำหรับการประยุกต์ใช้ในบริบทอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการให้บริการทางสุขภาพจิตสำหรับนักศึกษากลุ่มดังกล่าวต่อไป</p> ชนิตา แดงอุดม อธิวัฒน์ ยิ่งสูง กุลธิดา สีบัวบาน จิรวุฒิ พงษ์โสภณ อุมาพร กฤชกระพัน สิทธิพร ครามานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 1 15 Can “Adversity Quotient” Be Taught to Drive Student Achievement? https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/271850 <p><strong>The paper aims to identify the concept of the adversity quotient, where it originated, and what it means. This paper also addresses its importance in education and key critiques, examines the use of Adversity Quotient (AQ) in education, and reviews the evidence for AQ’s influence on educational outcomes, including academic and employability outcomes. Furthermore, the article examines how AQ can be taught, reviewing the evidence on different teaching practices and techniques. The conclusion section summarizes the findings and provides a final conclusion regarding the use of AQ to drive student achievement and how it can be taught. It concludes that even though there are some valid theoretical critiques, there are teaching techniques that can increase students’ AQ, and that furthermore this can drive student achievement, increasing both subject matter knowledge and employability.</strong></p> เอกนรินทร์ จิรชีวีวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 16 26 - https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/281789 เก็จกนก เอื้อวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะทางปัญญา ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/274943 <p><strong>การวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะทางปัญญา ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏ และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนการวิจัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาและสังเคราะห์กรอบแนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอน จากผู้บริหาร และผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไปจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ด้วยการสุ่มอย่างง่าย รวม 114 คน โดยใช้แบบสอบถามการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน และการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนกับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 34 คน และขั้นตอนที่ 2 การศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนกับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิต จากการสุ่มแบบกลุ่ม เป็นกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม จำนวน 33 คน และกลุ่มควบคุม 1 กลุ่ม จำนวน 30 คน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบวัดทักษะทางปัญญา แล้วหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการเรียนการสอน ประกอบด้วย (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ </strong><strong>(3) กระบวนการจัดการเรียนการสอน 6 ขั้น ได้แก่ เร้าความสนใจ สำรวจความรู้ สร้างและขยายความรู้ สะท้อนความคิด สรุปความรู้ และ ประมวลผล และ (4) การวัดและประเมินผล และ 2) ประสิทธิผลของรูปแบบ พบว่า กลุ่มทดลอง มีทักษะทางปัญญา สูงกว่ากลุ่มควบคุม และ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</strong></p> กานต์ธิดา บุญมา ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ ดวงเดือน สุวรรณจินดา ณสรรค์ ผลโภค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 27 43 ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง ของไหล ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม จังหวัดกำแพงเพชร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/277050 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ของไหล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษากับจัดการเรียนรู้แบบปกติ และ 2) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 86 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ให้กลุ่มทดลองใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา และกลุ่มควบคุมใช้การจัดการเรียนรู้แบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง ของไหล จำนวน 5 แผน รวมเวลา 20 ชั่วโมง (2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง ของไหล จำนวน 5 แผน รวมเวลา 20 ชั่วโมง (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ของไหล จำนวน 30 ข้อ และ (4) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1)นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ของไหล สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2)นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา มีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> สุริยัน ใจคำติ๊บ ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ ชำนาญ เชาวกีรติพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 44 58 การพัฒนามโนมติ เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้ยุทธศาสตร์การสอน ของฮิวสันและฮิวสันและการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคอล์บ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/275736 <p><strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบมโนมติ เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ยุทธศาสตร์การสอนของฮิวสันและฮิวสันร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคอล์บของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มศึกษาที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์–คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 32 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 7 แผน และ 2) แบบทดสอบวัดมโนมติ เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบวิลคอกซันสำหรับกลุ่มที่ศึกษาที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า คะแนนความเข้าใจมโนมติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาระดับความเข้าใจมโนมติก่อนและหลังเรียนพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจมโนมติในระดับความไม่เข้าใจหรือไม่มีมโนมติ (NU/NC) ระดับที่คลาดเคลื่อน (AC) และระดับที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (PS) ลดลง แต่มีระดับที่ถูกต้องแต่ไม่สมบูรณ์ (PU) และระดับที่สมบูรณ์ (CU) เพิ่มขึ้นทั้ง 7 มโนมติหลัก</strong></p> ณัฐพงศ์ สกุลกิจโภคานนท์ สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 59 80 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รายงานเชิงวิชาการ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/278612 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รายงานเชิงวิชาการ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยกิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รายงานเชิงวิชาการ ระหว่างนักศึกษาที่เรียนด้วยกิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์ กับนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีปกติ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่ใช้กิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์ในการเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสารในยุคดิจิทัล ภาคเรียนที่ 1.1 ปีการศึกษา 2567 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองที่ใช้กิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์ จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุมที่เรียนด้วยวิธีปกติ จำนวน 30 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องรายงานเชิงวิชาการ แบบจดบันทึกคอร์เนลล์ แบบประเมินการทำรายงานเชิงวิชาการ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่ใช้กิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์ ผลการวิจัย พบว่า1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านความรู้และด้านทักษะ เรื่อง รายงานเชิงวิชาการ ของกลุ่มทดลอง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รายงานเชิงวิชาการหลังเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยกิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์สูงกว่านักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีปกติ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ 3) นักศึกษามีความพึงพอใจที่ใช้กิจกรรมจดบันทึกคอร์เนลล์ในการเรียน คิดเป็นร้อยละ 98.76 มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก</p> สุธาสินี พ่วงพลับ เมษ รอบรู้ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 81 94 การวิจัยติดตามและประเมินผลการพัฒนาครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/277268 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ ปัญหาอุปสรรค และปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) ประเมินผลการพัฒนาครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 3) จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านการพัฒนาครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครู 6,428 คน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ 126 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม จำนวน 2 ฉบับ และแนวคําถามการสนทนากลุ่ม จำนวน 4 ฉบับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นโยบายและแผนการพัฒนาครูมีความชัดเจน มีการสื่อสารนโยบาย และมีระบบการติดตามประเมินผลการพัฒนาครู แต่ยังคงมีปัญหาด้านนโยบายที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง และขาดการตั้งเป้าหมายการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของครูและสถานศึกษา 2) ผลการพัฒนาครู พบว่า ครูทุกสังกัดมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นครูและการจัดเรียนรู้ ความสามารถ/ทักษะในการจัดการเรียนรู้ และมีคุณลักษณะของความเป็นครูอยู่ในระดับมาก และ 3) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย พบว่า (1) ควรมีการกำหนดนโยบายการพัฒนาครูในภาพรวมระดับประเทศ (2) ควรมีการจัดทำหลักสูตรการพัฒนาครูที่มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของครูและสถานศึกษาเป็นสำคัญ (3) ควรมีการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการพัฒนาครูอย่างคุ้มค่า และควรส่งเสริมสนับสนุนให้ครูพัฒนาตนเอง (4) ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีความสามารถในการจัดการตนเองอย่างเหมาะสม และ (5)ควรมีการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาครูให้สอดคล้องนโยบายและแผนยุทธศาสตร์หลักที่กำหนดไว้</p> กุลชลี จงเจริญ พิชิต ฤทธิ์จรูญ ชูชาติ พ่วงสมจิตร์ เก็จกนก เอื้อวงศ์ นงเยาว์ อุทุมพร ฐิติกรณ์ ยาวิไชย จารึกศิลป์ วินิตา แก้วเกื้อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 95 112 ปัจจัยของพฤติกรรมการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/277871 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยของพฤติกรรมการบริหาร 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ปัจจัยของพฤติกรรมการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาและครู จำนวน 390 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปของเครจซีและมอร์แกน จากนั้นสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นของปัจจัยของพฤติกรรมการบริหาร เท่ากับ .88 และประสิทธิผลของสถานศึกษา เท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) ปัจจัยของพฤติกรรมการบริหาร พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ3) ปัจจัยของพฤติกรรมการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ได้แก่ ด้านการเป็นผู้นำ ด้านการติดต่อสื่อสาร และด้านการควบคุมการปฏิบัติงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถทำนายประสิทธิผลของสถานศึกษาได้ร้อยละ 67.40</p> ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 113 126 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/271252 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 291 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า เกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่น .97 และแบบสอบถามองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน มีค่าความเชื่อมั่น .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (r) ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย คือ การสื่อสารดิจิทัล ความรู้และทักษะดิจิทัล ความเป็นมืออาชีพด้านดิจิทัล วิสัยทัศน์ดิจิทัล และการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหาร 2) การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการเสริมสร้างความรู้แก่บุคลากร มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับ ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ร่วม การคิดเชิงระบบ การมีวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ การจัดการความรู้ และการใช้เทคโนโลยี 3) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .89</p> มุนี เฮงยศมาก สรรฤดี ดีปู่ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 127 142 ปัจจัยทางการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการอาชีวศึกษาของวิทยาลัย สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/279887 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการอาชีวศึกษาของวิทยาลัย สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัย สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง ปีการศึกษา 2567 จำนวน 186 คน ได้มาจากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซีและมอร์แกน จากนั้นทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยทางการบริหารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาชีวศึกษา จำนวน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านนโยบายการบริหารและการปฏิบัติงาน ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านศักยภาพของบุคลากร และด้านสภาพแวดล้อม มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .90, .97, .95, .96 และ .90 ตามลำดับ และแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลในการจัดการอาชีวศึกษาของวิทยาลัย มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยทางการบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลในการจัดการอาชีวศึกษาของวิทยาลัยในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ปัจจัยทางการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการอาชีวศึกษาของวิทยาลัย สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง ได้แก่ ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านสภาพแวดล้อม และด้านนโยบายการบริหารและการปฏิบัติงานมีอิทธิพลทางบวก และสามารถร่วมกันทำนายประสิทธิผลในการจัดการอาชีวศึกษาได้ร้อยละ 68.20</p> นัฐวุฒิ วิเศษโสภา กุลชลี จงเจริญ มนพันธ์ ชาญศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 143 158 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการบริการแนะแนวของนักเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษาของประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/275529 <p><strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับของความต้องการบริการแนะแนวของนักเรียนในระดับประถมศึกษาของประเทศไทย 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการบริการแนะแนวของนักเรียน และ 3) อำนาจพยากรณ์ความต้องการบริการแนะแนวของนักเรียน รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนประถมศึกษา จำนวน 410 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรทาโรยามาเนที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ เกี่ยวกับ 1) ความต้องการบริการแนะแนวของนักเรียน และ 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการบริการแนะแนว มีค่า</strong><strong>ความเที่ยงเท่ากับ .92 และ .97 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </strong><strong>ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการบริการแนะแนวของนักเรียนอยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและบริการแนะแนว 5 ด้าน คือ บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล บริการสนเทศ บริการปรึกษา บริการจัดวางตัวบุคคล และบริการติดตามและประเมินผล 2) ปัจจัยด้านกายภาพ ลักษณะของนักเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ความคาดหวังของพ่อแม่หรือผู้ปกครองต่อการศึกษาของบุตร และสัมพันธภาพของครูกับนักเรียนมีความสัมพันธ์กับบริการแนะแนว 5 ด้านอยู่ในระดับปานกลาง และ 3) ความต้องการบริการแนะแนวสามารถพยากรณ์ได้ด้วยปัจจัยลักษณะของนักเรียน (X<sub>2</sub>) ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง (X<sub>3</sub>) ความคาดหวังของพ่อแม่หรือผู้ปกครองต่อการศึกษาของบุตร (X<sub>4</sub>) และสัมพันธภาพของครูกับนักเรียน (X<sub>5</sub>) โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 51.70 และเขียนสมการทำนายความต้องการบริการแนะแนวของนักเรียนเป็นคะแนนมาตรฐานคือ <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\acute{Z}" alt="equation" />=+.233(X<sub>5</sub>) + .205(X<sub>3</sub>) + .184(X<sub>2</sub>) + .170(X<sub>4</sub>)</strong></p> วัลภา สบายยิ่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 159 172 ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของครูโรงเรียนรัฐบาล ระดับชั้นมัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/275815 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของครูโรงเรียนรัฐบาลระดับชั้นมัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างของการศึกษานี้ คือ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งหมด 436 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยมีโรงเรียนทั้งหมด 10 โรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จากนั้นทำการเก็บข้อมูลกับครูในโรงเรียนทุกคนที่สะดวกในการเข้าร่วมในการศึกษานี้ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามภาวะหมดไฟในการทำงาน และแบบสอบถามความฉลาดทางอารมณ์ โดยแบบสอบถามทั้งหมดผ่านการวิเคราะห์ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบและมีค่าความเชื่อมั่นในระดับที่ยอมรับได้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) การทดสอบค่าที 2) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว 3) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และ 4) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของครู ได้แก่ อายุเฉลี่ย สถานภาพการทำงานที่เป็นข้าราชการ และความฉลาดทางอารมณ์ โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของครูมากที่สุด คือ ความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะหมดไฟในการทำงานของครู</p> กันต์ชานนท์ ขาวดา ชัยชนะ นิ่มนวล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1 173 188 - https://so05.tci-thaijo.org/index.php/edjour_stou/article/view/281786 เก็จกนก เอื้อวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-06-27 2025-06-27 18 1