ศิลปกรรมสาร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal <p> ศิลปกรรมสาร เป็นวารสารวิชาการราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน, ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม) มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่และเป็นสื่<wbr />อกลางผลงานทางวิชาการ งานวิจัย ทรรศนวิจารณ์และงานสร้างสรรค์<wbr />ทางศิลปกรรมศาสตร์ ในแขนงต่างๆ ทั้งด้านทัศนศิลป์ การออกแบบ ดนตรี ศิลปะการแสดง และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง บทความหรือข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่ปรากฏในวารสารนี้จะต้องผ่<wbr />านการกลั่นกรองคุณภาพจากผู้<wbr />ทรงคุณวุฒิ และได้รับความเห็<wbr />นชอบจากกองบรรณาธิการ รายละเอียดและเนื้อหาที่ปรากฏ ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตั<wbr />วและความรับผิดชอบเฉพาะของผู้<wbr />เขียน ไม่จำเป็นต้องตรงกับความคิดเห็<wbr />นหรือเป็นความรับผิ<wbr />ดชอบของคณะบรรณาธิการผู้จัดทำ<br /><strong>ISSN 2822-0447</strong> (Print)<br /><strong>ISSN 2822-0439</strong> (Online)</p> คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ th-TH ศิลปกรรมสาร 2822-0439 การเชิดสิงโตพื้นและดนตรีประกอบการเชิดสิงโตพื้นรูปแบบเห้อซาน กรณีศึกษา คณะหลงเฉียนไทยแลนด์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/270848 <p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเชิดสิงโตพื้นรูปแบบเห้อซานและพัฒนาชุดความรู้ฝึกทักษะการเชิดสิงโตให้กับชุมชนฝั่งธนบุรี และเพื่อศึกษาดนตรีประกอบการเชิดสิงโตพื้นรูปแบบเห้อซาน และรวบรวมวิธีการบรรเลงในรูปแบบโน้ตสากลโดยใช้โปรแกรมดนตรีสำเร็จ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) สัมภาษณ์และรวบรวมข้อมูลโดยใช้กรณีศึกษา คณะหลงเฉียนไทยแลนด์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การเชิดสิงโตพื้นรูปแบบเห้อซาน คณะหลงเฉียนไทยแลนด์ นิยมใช้แสดงเป็นวิธีการสมัยใหม่ที่พบในสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และประเทศไทย มีลักษณะท่าทางที่เลียนแบบอากัปกิริยาของแมวเป็นนาฏยลักษณ์ นิยมใช้เมื่อแสดงการเชิดสิงโตพื้นในโอกาสมงคล กระบวนท่าเริ่มต้น ประกอบด้วย ท่าฉี่ซือ คือ การเดินของสิงโต และ ท่าสิงหลี่ คือ สิงโตโค้งคำนับไหว้ มีท่าพื้นฐานทั้งหมด 7 ท่า เรียกว่า Seven Flowers ได้แก่ ท่าชีปู้ ท่าเสียวเจี่ยน ท่าจงเจี่ยน ท่าต้าเจี่ยน ท่าฉาปู้ ท่าทั่นปู้ และท่าเหอปู้</p> <p> การพัฒนาชุดความรู้ฝึกทักษะการเชิดสิงโตให้กับชุมชนฝั่งธนบุรี ผู้วิจัยได้ จัดทำเป็นรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 50 หน้า เนื้อหาประกอบด้วย ประวัติความเป็นมาของการเชิดสิงโตในฝั่งธนบุรี ลักษณะหัวสิงโต กระบวนท่าเชิดสิงโตพื้นรูปแบบเห้อซาน และโน้ตดนตรีประกอบการแสดง และมีการนำไปใช้ประโยชน์ทางการศึกษาให้กับโรงเรียนในฝั่งธนบุรี ผ่านการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการแสดงสิงโตฝั่งธนบุรีให้กับนักเรียน เยาวชนของชุมชนวัดอินทาราม และตลาดพลู<br /> 2. ดนตรีประกอบการเชิดสิงโตพื้นรูปแบบเห้อซาน คณะหลงเฉียนไทยแลนด์ ใช้เครื่องดนตรี 3 ชนิด คือ 1) กลองสิงโตเป็นเครื่องดนตรีหลักในการบรรเลงประกอบการเชิดสิงโต 2) ฉาบ ใช้บรรเลงเสริมเข้ากับกลองสิงโต เพื่อให้มีจังหวะที่ตื่นเต้นเร้าใจ และ 3) เม้ง ใช้บรรเลงกำกับจังหวะให้กับกลองและฉาบ โดยเรียกการบรรเลงรวมวงนี้ว่า วงมโหรีการรวบรวมวิธีการบรรเลงในรูปแบบโน้ตสากลโดยใช้โปรแกรมดนตรีสำเร็จ ผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดนตรี (Sibelius) เขียนเป็นโน้ตสากล เพื่อบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เริ่มด้วยจังหวะเริ่มต้นเพื่อส่งสัญญาณให้กับผู้เชิดสิงโตรู้ว่าจะเริ่มแสดงแล้ว และต่อด้วยจังหวะเชิด จังหวะไหว้ จังหวะเชิด จังหวะมอง จังหวะเต้นของหัวใจ แล้วจึงจะเริ่มบรรเลงจังหวะที่ 1 ถึงจังหวะที่ 7 ในระหว่างการบรรเลงจังหวะที่ 1 ถึงจังหวะที่ 7 จะคั่นด้วยจังหวะมอง จังหวะเต้นของหัวใจเสมอ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนท่าการเชิดในแต่ละท่านั้น หลังจากบรรเลงจบท่าที่ 7 จะบรรเลงจังหวะไห้วอีกครั้ง และจบด้วยจังหวะลงจบ ตามด้วยการบรรเลงจังหวะกินของมงคล เช่น ส้ม ผักหรือผลไม้ต่าง ๆ ที่เป็นของมงคล และแจกจ่ายให้กับเจ้าภาพ เพื่อความเจริญรุ่งเรือง</p> สันติภาพ สีเผือก ถาวร วัฒนบุญญา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 175 200 การออกแบบศูนย์อาหารหาบเร่จากอาคารพาณิชย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/275886 <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและจัดทำแผนธุรกิจสำหรับศูนย์อาหารหาบเร่จากอาคารพาณิชย์ โดยใช้พื้นที่กรณีศึกษาจากอาคารพาณิชย์ริมถนน ลาดพร้าวซอย 80 เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นต้นแบบที่สามารถใช้แก้ปัญหาและดำเนินธุรกิจได้จริง ในขั้นตอนแรกเป็นการสำรวจเก็บข้อมูลเบื้องต้นจากกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มผู้ขายจากในบริเวณพื้นที่กรณีศึกษาและตลาดที่ได้รับความนิยมในระยะรัศมี 2.5 กิโลเมตร ทั้งหมด 4 พื้นที่ รวมเป็นผู้ขาย 20 ร้าน และผู้ซื้อ 20 คน เพื่อนำมาวิเคราะห์ความต้องการและปัญหาเพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการออกแบบร่างขั้นต้นและจัดทำแผนธุรกิจ ในขั้นตอนที่ 2 เป็นการนำแบบร่างขั้นต้นมาสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 4 กลุ่ม เช่น ผู้ขาย ผู้ซื้อ นักลงทุน และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำข้อมูลไปออกแบบในขั้นพัฒนาและปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกัน </p> <p> จากที่ได้วิเคราะห์บทสรุปจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 4 กลุ่ม และได้ทำแผนธุรกิจในเบื้องต้นพบว่าปัญหาและอุปสรรคหลักในนำอาคารพาณิชย์มาปรับปรุงเป็นศูนย์อาหารหาบเร่คือเรื่องของต้นทุนที่สูงจากการปรับปรุงอาคาร และการกำหนดค่าเช่าในราคาถูกเพื่อช่วยเหลือผู้ขายอาหารหาบเร่ที่มีรายได้น้อย จึงจำเป็นต้องมีการหารายได้เพิ่มจากการเก็บค่าเช่าพื้นที่โฆษณาต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นรายได้หลักในการสนับสนุนโครงการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้</p> <p> โดยปัจจัยหลักในการออกแบบศูนย์อาหารหาบเร่จากอาคารพาณิชย์คือ ทำเลที่ตั้ง ใกล้ป้ายรถเมล์ สถานีรถไฟฟ้า อยู่ในพื้นที่ชุมชน ใกล้ที่พัก สถานศึกษา และที่ทำงาน ตัวอาคารมีศักยภาพในการปรับปรุงเป็นศูนย์อาหารและเตรียมระบบสาธารณูปโภครองรับได้ การจัดผังภายในมีลักษณะเปิดโล่งให้รถเข็นสามารถเข้าออกได้สะดวก และการออกแบบตกแต่งภายในมีแนวคิดในการออกแบบที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานและบริบทพื้นที่ในเขตวังทองหลาง </p> <p> จากที่ผู้วิจัยได้ประเมินผลการออกแบบและการทำแผนธุรกิจทั้งหมดแล้วพบว่า อาคารพาณิชย์มีความเหมาะสมในการนำมาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์เป็นศูนย์อาหารหาบเร่เพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมของเมืองได้</p> <p> </p> ปริญญา เปรมพูลสวัสดิ์ ภาสกร อินทุมาร วิรุฬห์ วุฒิฤทธากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 101 134 พุทธศาสนากับสื่อศิลปะการแสดงไทยในช่วงปี พ.ศ. 2548 – 2558 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/276256 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจความหลากหลายในการสร้างงาน รวมถึงรูปแบบและวิธีการนำเสนอของสื่อศิลปะการแสดงแนวพุทธของไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2548 - 2558 โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จากละครเวที ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ จำนวน 30 ชิ้นงาน (สื่อละ 10 ชิ้นงาน) ผลการวิจัยพบว่า 1. สื่อละครเวที โทรทัศน์ และภาพยนตร์ มี “เสรีภาพในการคิดงาน” ต่างกัน 2. ธรรมชาติของสื่อทั้ง 3 แขนงมีผลต่อ “การทดลอง” และ “การใช้ความคิดสร้างสรรค์” 3. ธรรมชาติของสื่อทั้ง 3 แขนงมีผลต่อ “วิธีถ่ายทอดธรรมะ” จึงอาจกล่าวได้ว่า สื่อศิลปะการแสดงสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารพุทธศาสนาได้ หากแต่สิ่งที่ต้องพึงระวังคือการผลิตซ้ำความเชื่อนอกศาสนา ในขณะที่เนื้อหาสาระทางพุทธที่พบในสื่อส่วนใหญ่จะเป็นธรรมะระดับโลกียธรรม (หรือฆราวาสธรรม) มากกว่าโลกุตรธรรม (หรือสัจจธรรม) เนื่องจากได้ผ่านกระบวนการทำให้เป็น “โลกฆราวาส” (secularization) งานวิจัยนี้ มีข้อเสนอสำหรับสื่อที่นำเสนองานด้านศาสนา 3 ประการ ได้แก่ 1)ละครศาสนาต้องทำให้สนุกและสร้างสรรค์ 2) ผู้สร้างละครศาสนาต้องศึกษาให้รู้จริง นำเสนอให้ถูกต้องตามหลักศาสนา 3) ละครไม่ควรแบ่งแยกขั้วความดี – ความชั่วออกจากกัน เพราะนอกจากจะไม่ใช่แนวทางสัจจธรรมตามคำสอนในพุทธศาสนาที่แท้แล้ว ยังจะผลเสียต่อศาสนามากกว่าผลดี </p> ชุติมา มณีวัฒนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 26 62 การพัฒนาสร้างสรรค์จิตรกรรมภาพทิวทัศน์โดยใช้ชาร์โคลและสีน้ำ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/277538 <p> งานวิจัยสร้างสรรค์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาเทคนิคจิตรกรรมภาพทิวทัศน์โดยใช้ชาร์โคลและสีน้ำ 2) เพื่อสร้างสรรค์จิตรกรรมภาพทิวทัศน์โดยใช้ชาร์โคลและสีน้ำแบบโทนัลลิสต์ 3) เพื่อเป็นแนวทางในการสอนจิตรกรรมภาพทิวทัศน์โดยใช้ชาร์โคลและสีน้ำ เป็นการวิจัยสร้างสรรค์และนำเสนอเทคนิควิธีการสร้างสรรค์สู่แนวทางการเรียนการสอน พบว่า เทคนิคการสร้างสรรค์จิตรกรรมภาพทิวทัศน์โดยใช้ชาร์โคลและสีน้ำมี 6 เทคนิค ได้แก่ สีน้ำบนชาร์โคล ชาร์โคลบนสีน้ำ สีน้ำบนชาร์โคลผง สีน้ำบนชาร์โคลเปียก ชาร์โคลผงในสีน้ำ และผสมผสาน ซึ่งสามารถนำมาสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้ทั้งหมด 7 ภาพ โดยใช้เทคนิคทั้ง 6 เทคนิค ผลการประเมินคุณภาพแนวทางในการสอนจิตรกรรมภาพทิวทัศน์โดยใช้ชาร์โคลและสีน้ำจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.8 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก แนวทางการสอนจิตรกรรมภาพทิวทัศน์โดยใช้ชาร์โคลและสีน้ำ นำแนวคิดการจัดการเรียนการสอนเชิงรุก ในรูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ โดยใช้การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา การสอนแบบการสาธิต เทคนิคการสอนแบบเน้นฝึกปฏิบัติ การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด และการสอนแบบโครงงาน ทั้งหมด 8 หัวข้อ รวม 42 ชั่วโมง</p> อธิพัชร์ วิจิตสถิตรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 201 219 คุณ ค่า(ฆ่า) คน เดอะมิวสิคัล : การสร้างสรรค์ละครเวทีในรูปแบบละครเพลงผ่านประเด็น การลดทอนคุณค่าในตัวเอง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/271394 <p> บทความนี้นำเสนอผลงานสร้างสรรค์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการสร้างสรรค์ละครเวทีในรูปแบบละครเพลง เรื่อง "คุณ ค่า(ฆ่า) คน เดอะมิวสิคัล" ที่เสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งเป็นประเด็นทางสังคมที่สำคัญในปัจจุบัน การศึกษาครั้งนี้เริ่มต้นจากการสำรวจวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงและดนตรี ตลอดจนการเก็บข้อมูลผ่านการสังเกตการณ์และการเข้าร่วมเวิร์กชอป กระบวนการสร้างสรรค์มุ่งเน้นการออกแบบการแสดง การประพันธ์เพลง และองค์ประกอบศิลป์ที่สะท้อนปัญหาการลดทอนคุณค่าในตนเอง ผสานแนวคิดและลักษณะเฉพาะของยุค 90’s เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมกับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เยาวชน ผลการศึกษาพบว่า การสร้างสรรค์ละครเพลงเรื่องนี้สามารถถ่ายทอดประเด็นปัญหาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการลดทอนคุณค่าในตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านตัวละครและบทเพลงที่ออกแบบให้สะท้อนปัญหาที่แท้จริงของผู้คนในสังคม เทคนิคการร้องเพลง การเต้น และการแสดงในลักษณะเฉพาะของละครเพลง ถูกนำมาใช้เพื่อสื่อสารประเด็นอย่างชัดเจนและตรงไปยังผู้ชม พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันให้ผู้ชมเกิดการตระหนักถึงความสำคัญของการยอมรับและมองเห็นคุณค่าในตนเอง การสร้างสรรค์ผลงานครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนปัญหาสังคมผ่านการแสดง แต่ยังเปิดโอกาสให้เกิดการพูดคุยและสร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนมุมมองในกลุ่มเยาวชน บทเรียนจากกระบวนการสร้างสรรค์ละครเพลงเรื่องนี้สามารถเป็นแนวทางในการนำเสนอประเด็นทางสังคมในรูปแบบที่เข้าถึงได้และส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อกลุ่มเป้าหมาย</p> พงศธร ยอดดำเนิน พลอยประภา เวชประสิทธิ์ พัชรมัย ภิญโญทรัพย์ พรรณิษา เจริญชัย กรวิชญ์ วันสืบเชื้อ วิทวัส ทิพย์สุทธิ์ ณัฐกานต์ คณะบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 135 157 หัตถศิลป์ผ้าปักโบราณ การสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายแฟชั่นเชิงวัฒนธรรม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/272019 <p> บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาศิลปะการออกแบบเชิงวัฒนธรรม จากการศึกษารวบรวมข้อมูลทั้งภาคเอกสาร การสัมภาษณ์ และการลงพื้นที่ นำองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญาหัตถศิลป์ผ้าปักโบราณ ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ออกแบบเครื่องแต่งกายสตรีเชิงวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างสรรค์ 1) เพื่อสื่อสารคุณค่าความงามของหัตถศิลป์ผ้าปักโบราณ 2) เพื่อทดลองแนวทางสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายแฟชั่นเชิงวัฒนธรรม </p> <p> นำเสนองานหัตถศิลป์ผ้าปักโบราณผ่านงานสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายสตรีเชิงวัฒนธรรม โดยใช้แนวคิดทางด้านการออกแบบความดั้งเดิมในความร่วมสมัย ประกอบด้วย 3 แนวทาง คือ 1) คุณค่าความงดงามของหัตถศิลป์ผ้าปักโบราณ 2) ชนชั้นวรรณะทางสังคมของงานหัตถศิลป์ผ้าปักโบราณ 3) การสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายแฟชั่นเชิงวัฒนธรรม นำเทคนิคการปักแบบดั้งเดิม วัสดุดั้งเดิม การพัฒนาลวดลาย ในโครงร่างชุดเครื่องแต่งกายแฟชั่นปัจจุบัน</p> <p> ผลงานทดลองการสร้างสรรค์นี้ นำอัตลักษณ์ภูมิปัญญาหัตถศิลป์ผ้าปักโบราณ มาประยุกต์ในการออกแบบเครื่องแต่งกายแฟชั่นเชิงวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดการส่งต่อ สืบสาน พัฒนาต่อยอดงานเชิงวัฒนธรรมตามสมัยนิยม สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์</p> จิรัชญา วันจันทร์ อนุชา แพ่งเกษร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 1 25 การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะการแสดงในพื้นที่สาธารณะเชิงวัฒนธรรมจากการตีความผ่านอัตชีวประวัติและผลงานของ Galileo Chini นายช่างอิตาเลียนในราชสำนักสยาม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/272756 <p> บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ ได้แก่ 1) เพื่อผลิตผลงานสร้างสรรค์ในรูปแบบศิลปะการแสดงที่เกิดจากการตีความ สังเคราะห์ และประกอบสร้างผลงานจากอัตชีวประวัติและผลงานการออกแบบฉากอุปรากรเรื่องทูรันโดต์ (Turandot) โดย กาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) และ 2) เพื่อสร้างประสบการณ์เชิงสุนทรีย์เพื่อเพิ่มทุนด้านการสร้างสรรค์แก่ชุมชนวัดสามพระยา</p> <p> วิธีการศึกษา: ศึกษาอัตชีวประวัติและผลงานของ กาลิเลโอ คินี รวมถึงภาพการออกแบบฉากอุปรากรเรื่องทูรันโดต์ ของคีตกวีปุชชินี (Puccini) ที่กาลิเลโอ คินี เป็นผู้ออกแบบซึ่งเกิดจากแรงบัลดาลใจที่เขาได้รับจากการมาพำนักอยู่ในสยามศึกษาอุปรากรเรื่องทูรันโดต์ ของคีตกวีปุชชินี จากนั้นนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตีความใหม่ (Reinterpretation) โดยกระบวนการรื้อสร้าง (Deconstruction) ด้วยการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (Devised) เพื่อสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงร่วมสมัยชื่อ “คินีและทูรันโดต์” (Chini And Turandot) จากนั้นนำไปจัดแสดงในพื้นที่ชุมชนวัดสามพระยา</p> <p> ผลการศึกษา: เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2566 ผู้วิจัยได้นำเสนอผลงานการสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงเรื่อง “คินีและทูรันโดต์” (Chini And Turandot) รวมถึงได้จัดการเสวนาเพื่อคืนข้อมูลทางประวัติศาสตร์ให้กับชุมชน วัดสามพระยา ณ พื้นที่โล่งกว้างริมฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยาที่เคยเป็นบ้านของเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) โดยจากผลการศึกษาพบว่าเป็นสถานที่ซึ่ง<br />กาลิเลโอ คินี เคยพำนักเมื่อร้อยกว่าปีก่อนการ </p> <p> ประยุกต์ใช้: ชุมชนวัดสามพระยาได้รับการถ่ายทอดข้อมูลทางประวัติศาสตร์เรื่องอัตชีวประวัติและผลงานของศิลปินชาวอิตาเลี่ยนกาลิเลโอ คินี ผู้ที่ได้รับการว่าจ้างให้มาภาพวาดภายในโดมของพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยเขาได้มาพักอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านของเจ้าพระยายมราชซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งของชุมชนวัดสามพระยา</p> ภัธทรา โต๊ะบุรินร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 158 174 การสังเคราะห์องค์ความรู้การเขียนบทละครเวทีสำหรับเด็กประถมวัย (6-12 ปี) กรณีศึกษานักเขียนบทละครเวทีสำหรับเด็กชาวตะวันตก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/fineartstujournal/article/view/276615 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษา จำแนกประเด็นสำคัญ และสังเคราะห์องค์ความรู้จากการสร้างสรรค์บทละครเวทีเด็กประถมวัย (6-12 ปี) โดยนักเขียนบทละครตะวันตก 2) เพื่อศึกษาการนำองค์ความรู้ที่บูรณาการจากนักเขียนบทละครเด็กชาวตะวันตกมาสร้างสรรค์บทละครเวทีสำหรับเด็กในโครงการละครสัญจร จากวิชาละครเด็ก จำนวน 2 เรื่อง โดยบทละครได้ถูกสร้างสรรค์เป็นละครเวทีและนำไปจัดแสดงให้ผู้ชมที่เป็นเด็กอายุ 9-12 ปี จำนวน 30 คน ที่สถานแรกรับเด็กชายปากเกร็ด (บ้านภูมิเวท) และเด็กอายุ 6-8 ปี จำนวน 50 คน ซึ่งเป็นนักเรียนของโรงเรียนดวงพร บทละครเวทีสำหรับเด็กถูกสร้างสรรค์และพัฒนาโดยนักศึกษาสาขาวิชาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 16 คน ผู้ศึกษาใช้วิธีการสังเคราะห์องค์ความรู้เชิงคุณภาพ ด้วยการเก็บข้อมูลจากบทละคร บทความเชิงวิชาการ และหนังสือที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้เขียนบทละครเวทีในโครงการละครสัญจร จากวิชาละครเด็ก และการสังเกตการซ้อมการแสดงและการจัดการแสดง เพื่อนำมาวิเคราะห์และสรุปผลการนำบทละครเวทีสำหรับเด็กที่นำเอาการ บูรณาการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเขียนบทละครเวทีสำหรับเด็กมาจัดแสดง<br /> ผลการศึกษาพบว่าการออกแบบการบูรณาการหลักการเขียนบทละครสำหรับเด็กสามารถแบ่งเป็น 7 ขั้นตอนคือ 1) การวิเคราะห์ผู้ชมที่เป็นเด็กและศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาสำหรับเด็กประถมวัย (6-12 ปี) 2) การประชุมร่วมกับอาจารย์ นักการศึกษาและผู้ที่ใกล้ชิดกับเด็ก 3) ออกแบบแก่นของเรื่องและรูปแบบของบทละครให้เหมาะสมกับความสนใจและบริบทของเด็ก 4) สร้างโครงเรื่องและตัวละครผ่านการด้นสด 5) ออกแบบให้ผู้ชมที่เป็นเด็กได้มีส่วนร่วมในละครในทุกฉาก 6) การใช้ภาษา องค์ประกอบทางละคร และเทคนิคพิเศษ 7) การทดลองจัดแสดงเพื่อรับคำแนะนำจากผู้ชมซึ่งเป็นอาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชาการละคอน นอกจากนี้จากการนำหลักการบูรณาการไปใช้พบว่าผู้ชมที่เป็นเด็กส่วนใหญ่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร ผู้ชมเอาใจช่วย ตัวละคร และให้ความสนใจตัวละครที่เป็นตัวหลัก อีกทั้งเด็กยังสนุกสนานกับการมีส่วนร่วมกับละครเวที ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับกระบวนการสุดท้าย คือการทดลองจัดแสดงเพื่อรับคำแนะนำจากผู้ชม หากสามารถเชิญผู้ชมที่เป็นเด็กในวัยเดียวกันมาร่วมชมและให้คำแนะนำจะช่วยเสริมให้ละครได้แก้ไขปรับปรุงบทละครให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น</p> ณวดี เศรษฐเมธีกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศิลปกรรมสาร 2025-06-26 2025-06-26 18 1 63 100