วารสารพัฒนศาสตร์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu
<p><strong>"วารสารพัฒนศาสตร์"</strong> วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<strong> เปลี่ยนชื่อจาก "วารสารสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร"</strong> <strong>เผยแพร่ฉบับแรกในปี พ.ศ. </strong><strong>2548</strong> เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้และผลงานวิชาการที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของ "บัณฑิตอาสาสมัคร" ที่ได้เข้าไปเรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิต การศึกษา พัฒนาและรวบรวมองค์ความรู้จากในพื้นที่ชนบทที่บัณฑิตอาสาสมัครได้เข้าไปปฏิบัติงานภาคสนามร่วมกับประชาชนในพื้นที่ วารสารฯ ได้ดำเนินการพัฒนาและเผยแพร่ความรู้ด้านการพัฒนาทางด้านสังคมศาสตร์เรื่อยมา กระทั่งปี พ.ศ.2561 ที่สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร ได้ยกสถานะเป็นวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ วารสารจึงได้เปลี่ยนชื่อให้สอดคล้องกับชื่อของหน่วยงานและใช้มาจนถึงปัจจุบัน</p> <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต</strong></p> <p>วารสารพัฒนศาสตร์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ แลกเปลี่ยนแนวคิด ความรู้ ความก้าวหน้าใหม่ในลักษณะสหสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ พัฒนศาสตร์ โดยเปิดรับบทความวิชาการ บทความวิจัย และผลงานวิชาการลักษณะอื่น ๆ ที่ครอบคลุมประเด็น</p> <ul> <li>การศึกษาวิจัยและปฏิบัติการพัฒนาในระดับชุมชนท้องถิ่น/ชุมชนเมือง ทั้งในมิติทางวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ สังคม</li> <li>การบริหารจัดการทรัพยากร</li> <li>ทุนทางสังคม</li> <li>การศึกษาเพื่อการพัฒนา และ</li> <li>การสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนามนุษย์และสังคม</li> </ul> <p><strong>การพิจารณาและคัดเลือกบทความ</strong></p> <p>วารสารพัฒนศาสตร์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กำหนดเงื่อนไขการพิจารณาและคัดเลือกบทความ ดังนี้</p> <ol> <li>บทความที่เสนอเข้ามาเพื่อขอรับการตีพิมพ์ต้องไม่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของวารสารอื่น และไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน</li> <li>บทความมีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและขอบเขตของวารสารฯ</li> <li>บทความมีรูปแบบการเขียนเรียบเรียงที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ มีหลักฐานอ้างอิงที่ถูกต้องและเชื่อถือได้</li> <li>การพิจารณาบทความ ทำโดย<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิ</strong> <strong>(peer-reviewers) </strong>จากสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย <strong>จำนวน 3 ท่านต่อ 1 บทความ</strong></li> <li>รูปแบบ<strong>การพิจารณาบทความ ใช้รูปแบบ</strong> <strong>Double-Blinded Review</strong> <strong>โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้เขียนและผู้เขียนไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ</strong></li> <li>บทความจะได้รับการเผยแพร่เมื่อผู้เขียนได้ดำเนินการปรับปรุงตามข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิและผ่านการพิจารณารับรองจากกองบรรณาธิการวารสารฯ</li> <li>ทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความที่เผยแพร่ในวารสารพัฒนศาสตร์ฯ ถือเป็นของผู้นิพนธ์บทความ ผู้ประสงค์จะนำข้อความใด ๆ ไปพิมพ์เผยแพร่ต่อไปต้องได้รับอนุญาตจากผู้นิพนธ์และโปรดแจ้งให้ทางวารสารฯ ทราบ</li> </ol> <p><strong>ประเภทของบทความที่เผยแพร่ </strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย (Research article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic article)</li> </ol> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ </strong></p> <ul> <li>ภาษาไทย</li> <li>ภาษาอังกฤษ</li> </ul> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></p> <p>วารสารตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน เผยแพร่เดือนมิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม เผยแพร่เดือนธันวาคม</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>วารสาร<strong>ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </strong>ทุกขั้นตอน</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong></p> <p>วารสารพัฒนศาสตร์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์</p>
วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
th-TH
วารสารพัฒนศาสตร์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2630-0680
-
บทบรรณาธิการ
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/277824
ธิดารัตน์ ศักดิ์วีระกุล
Copyright (c) 2024 ธิดารัตน์ ศักดิ์วีระกุล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
-
การดำรงชีพของผู้ค้าและแรงงานข้ามแดนไทย-มาเลเซีย กับสถานการณ์โรคโควิด-19
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/273642
<p> งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาชาวมลายูมุสลิมชายแดนใต้ที่ดำรงชีพในมาเลเซียเพื่อทำความเข้าใจ 1) สภาพชีวิตและลักษณะการดำรงชีพข้ามแดนช่วงก่อนการเกิดสถานการณ์โรคโควิด-19 2) ผลกระทบของสถานการณ์โรคโควิด-19 ต่อการดำรงชีพข้ามแดน และ 3) ลักษณะการปรับตัวและการจัดการกับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ของผู้ดำรงชีพข้ามแดน งานวิจัยใช้มโนทัศน์การดำรงชีพ แนวคิดว่าด้วยการเคลื่อนย้าย แนวทางการศึกษาพื้นที่ชายแดนในทางมานุษยวิทยา และแนวทางการศึกษาอารมณ์/ความรู้สึกของกลุ่มคนชายขอบและเปราะบาง มาเป็นกรอบคิดในการศึกษา ในส่วนของระเบียบวิธีวิจัย งานชิ้นนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มย่อย และการสังเกตการณ์ <br />ผลการศึกษาพบว่า การข้ามแดนไปประกอบอาชีพในมาเลเซียเป็นทางออกของปัญหาความยากจนและการไม่มีงานทำของชาวมลายูมุสลิมชายแดนใต้ แม้ผลตอบแทนที่ได้จะเพียงพอแค่ระดับการยังชีพ อีกทั้งยังอยู่บนความเสี่ยงเนื่องจากส่วนใหญ่ลักลอบเข้าไปทำงาน กระนั้นการทำงานในมาเลเซียก็ยังจำเป็น โดยความเสี่ยงได้ถูกบรรเทาลงด้วยเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม การพึ่งพาและอุปถัมภ์ที่มีฐานมาจากชุมชนต้นทาง ต่อมาเมื่อเกิดโรคโควิด-19 ผู้ดำรงชีพข้ามแดนเดือดร้อนอย่างหนักจากมาตรการทั้งของไทยและมาเลเซียในการจัดการกับโรคโควิด-19 ต้องสูญเสียอาชีพ วิถีชีวิต และฐานความสัมพันธ์เดิมที่มี ขณะที่การช่วยเหลือจากรัฐก็จำกัดอย่างมาก ทั้งนี้ ผู้ดำรงชีพข้ามแดนได้ปรับตัวในด้านอารมณ์ความรู้สึก ด้านเศรษฐกิจ และมีการวางแผนสำหรับอนาคต แต่การปรับตัวเหล่านี้ก็เพียงเพื่อให้อยู่รอดได้เพื่อรอเวลากลับไปสู่วัฎจักรและความไม่มั่นคงแบบเดิมๆ ของการดำรงชีพข้ามแดนอีกครั้งเมื่อสถานการณ์โรคโควิด-19 ผ่านพ้นไป </p>
ชลิตา บัณฑุวงศ์
Copyright (c) 2024 ชลิตา บัญฑุวงศ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
1
28
-
ความเป็นผู้ประกอบการของชาวนารุ่นใหม่ในจ.อุบลราชธานี
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/272976
<p>ผู้ประกอบการแตกต่างจากการเป็นชาวนา เนื่องจากผู้ประกอบการกับชาวนามีวิถีชีวิตแตกต่างกันและมีเป้าหมายในการดำรงชีพต่างกัน ความเป็นผู้ประกอบการ หมายถึงบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีทุน มีความพร้อมในการลงทุน เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต สามารถแบกรับความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลกำไร บทความนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการของชาวนารุ่นใหม่ใน จ.อุบลราชธานี และ (2) เพื่อตรวจสอบความเป็นผู้ประกอบการของชาวนารุ่นใหม่ การศึกษาเป็นการศึกษาภาคสนาม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ และใช้กรณีศึกษาจำนวน 4 คน เพื่อเก็บข้อมูลเรื่องเล่าของชาวนาผู้ประกอบการ และทำการวิเคราะห์เรื่องเล่าของชาวนาผู้ประกอบการในเรื่องเหตุผลในการทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลังจากอพยพกลับคืนสู่ จ.อุบลราชธานี และแนวคิดความเป็นผู้ประกอบการในชนบท ที่ต้องใช้ทั้งความรู้ในด้านการเกษตร การจัดการ การประเมินความเสี่ยง และการวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาด ชาวนารุ่นใหม่ในจ.อุบลราชธานี ใช้หลักตลาดนำการผลิต การทำเกษตรที่มีมูลค่าสูง และการสร้างตลาดใหม่คือกุญแจสำคัญเพื่อความอยู่รอดในท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความเปลี่ยนแปลง ชาวนารุ่นใหม่สามารถปรับใช้นวัตกรรมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและผลกำไร</p>
เนตรดาว เถาถวิล
Copyright (c) 2024 เนตรดาว เถาถวิล
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
29
62
-
นวัตกรรมสังคมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/273000
<p>การศึกษาเรื่องนวัตกรรมสังคมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทย เป็นการศึกษาปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างความสำเร็จ กลไกและกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมสังคมขององค์กรชุมชนและกิจการธุรกิจ จำนวน 101 องค์กร เพื่อค้นหาตัวแบบของนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ชุมชนตามแนวทางของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง การศึกษาพบว่า ปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างความสำเร็จขององค์กรชุมชน คือ การสร้างความสามารถจัดการตนเองที่บวกรวมเข้ากับทุนทางสังคม และบวกรวมกับการจัดการธุรกิจ โดยมีวิสาหกิจชุมชนเป็นกลไกที่โดดเด่น ในขณะที่ปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างความสำเร็จของกิจการธุรกิจ คือ กรอบธุรกิจที่รวมประเด็นทางสังคมไว้ โดยมี Social enterprise เป็นกลไกที่โดดเด่น องค์กรชุมชน สร้างนวัตกรรมสังคมตามกระบวนการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบตลาด ในขณะที่กิจการธุรกิจก็สร้างขึ้นตามกรอบที่ขยายออกไป ปัจจุบัน มีการริเริ่มขยายผลความสำเร็จแล้วทั้งองค์กรชุมชนและกิจการธุรกิจ อันเป็นการแสดงถึงเศรษฐกิจ<br />ที่สร้างขึ้นใหม่และขับเคลื่อนจากพื้นที่ฐานรากและไปร่วมสร้างคุณค่าร่วมกับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากศูนย์กลาง</p>
สุนทร คุณชัยมัง
ธัชกร ธิติลักษณ์
Copyright (c) 2024 สุนทร คุณชัยมัง, ธัชกร ธิติลักษณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
63
93
-
การสร้างระเบียบและการตอบโต้วาทกรรมว่าด้วยที่ดิน ระหว่างรัฐและขบวนการเกษตรกรรายย่อย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/273713
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุเพื่อศึกษาการผลิตสร้าง กำหนดนิยามความหมายและการกลายเป็นตัวแทนของวาทกรรมสิทธิในที่ดินของภาครัฐและเพื่อศึกษาปฏิบัติการปะทะประสาน ช่วงชิงนิยามความหมายวาทกรรมสิทธิในที่ดินระหว่างรัฐกับขบวนการเกษตรกรรายย่อย โดยวิธีการศึกษาการเคลื่อนไหวสนามวาทกรรม ที่ปะทะประสานกันผ่านผู้แสดง ผลการศึกษาพบว่ารัฐกำหนดนิยามที่ดินผ่านระบบกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยเน้นผลตอบแทนสูงสุดจากการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และการวางแผนผังกำหนดเขตที่ดินเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งส่งผลให้ที่ดินกลายเป็นสินค้าในการเก็งกำไร และกีดกันเกษตรกรรายย่อยออกจากที่ดินอย่างเป็นระบบ ในขณะที่ขบวนการเกษตรกรรายย่อยตอบโต้ด้วยการรวมตัวเคลื่อนไหวทางสังคม ตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเรียกร้องการ "ปฏิรูปที่ดินโดยชุมชน" ผ่านการใช้สิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญในการจัดสรรที่ดินใหม่ด้วยระบบกรรมสิทธิ์ร่วมในรูปแบบ"โฉนดชุมชน" โดยใช้นิยาม "ผืนดินคือชีวิต" เป็นวาทกรรมตอบโต้ ที่เน้นความสำคัญของที่ดินต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงที่ดินของทุกคน</p>
เฉลิมชัย วัดจัง
Copyright (c) 2024 เฉลิมชัย วัดจัง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
94
109
-
การจัดการพื้นที่สาธารณะแบบมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชนบ้านละลมไผ่ ตำบลจันดุม อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/267087
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาองค์ความรู้การจัดการพื้นที่สาธารณะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนบ้านละลมไผ่ ตำบลจันดุม อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 2. เพื่อศึกษาการจัดการพื้นที่สาธารณะแบบมีส่วนร่วมกับสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชนบ้านละลมไผ่ ตำบลจันดุม อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้ศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เจาะลึก สนทนากลุ่ม การเดินสำรวจ และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม การจัดเวทีร่วมกับชุมชน ผลการศึกษา พบว่า การจัดการพื้นที่สาธารณะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนบ้านละลมไผ่ มีองค์ความรู้การจัดการพื้นที่สาธารณะแบบมีส่วนร่วม 6 ประการ คือ 1. การมีวิสัยทัศน์ของผู้นำ 2. การกำหนดขอบเขตการใช้ประโยชน์ 3. การมีกฎ กติกาของชุมชน 4. การมีส่วนร่วมของชุมชน 5. การกำกับติดตามการใช้ประโยชน์ 6. การจัดการความขัดแย้งที่มีประสิทธิภาพ 7. การช่วยเหลือสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับรูปแบบการจัดการพื้นที่สาธารณะแบบมีส่วนร่วมกับสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชนบ้านละลมไผ่นั้น มี 4 ประการ คือ 1. การมีอาหารเพียงพอ ชุมชนมุ่งเน้นที่การผลิตและการจัดหาอาหารภายในท้องถิ่นหรือภูมิภาคใกล้เคียงเป็นหลัก 2. การเข้าถึงอาหาร ชุมชนได้รับอาหารที่เพียงพอและมีคุณค่าทางโภชนาการดี 3. การใช้ประโยชน์จากอาหาร ชุมชนสามารถเข้าถึงแหล่งอาหารและมีการเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต 4. การมีเสถียรภาพด้านอาหาร ชุมชนสามารถสร้างแหล่งอาหารที่มั่นคงรอรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันยังส่งเสริมระบบนิเวศเกษตร ลดการพึ่งพาสารเคมี อนุรักษ์สุขภาพของดิน และลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอีกด้วย</p> <p> </p>
วิศวมาศ ปาลสาร
Copyright (c) 2024 วิศวมาศ ปาลสาร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
110
133
-
การติดตามประเมินผลการใช้กระบวนการ “การพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนเป็นหลัก (Community-Driven Development: CDD)” ในโครงการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูชายแดนภาคใต้ ระยะขยาย (ช.ช.ต.)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/272722
<p>เมื่อปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงดำเนินต่อไป โครงการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูชายแดนภาคใต้ ระยะขยาย (ช.ช.ต.) ได้ใช้แนวทางการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนเป็นหลัก เพื่อเพิ่มความไว้วางใจของชุมชนและความเชื่อมั่นระหว่างรัฐกับชุมชนดำเนินการใน 43 หมู่บ้านในสามจังหวัดชายแดนใต้ การวิจัยติดตามและประเมินผลโครงการใน 19 หมู่บ้านตามกรอบผลลัพธ์ พบว่า ตัวชี้วัดหลัก คือ ความสัมพันธ์ในชุมชน และความเชื่อมั่นระหว่างชุมชนกับรัฐเพิ่มมากขึ้นตามเป้าที่วางไว้ และได้ผลสูงขึ้นในการประเมินรอบที่ 2 ด้านผลลัพธ์กลุ่ม 1 คือ “เพิ่มกระบวนการมีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผนและงบประมาณของ อบต./เทศบาล” และผลลัพธ์กลุ่ม 3 “ทุนพัฒนาชุมชนและตำบลจะเพิ่มคุณภาพด้านสวัสดิการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม เพิ่มความสัมพันธ์ในชุมชน และความเชื่อมั่นระหว่างชุมชนกับรัฐ” ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดและมีทิศทางที่ดีขึ้น ด้านการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพล พบว่า ปัจจัยด้านศาสนา บทบาทในชุมชน และความถี่ในการเข้าร่วมงานโครงการ ช.ช.ต. มีความสัมพันธ์กับความไว้วางใจภายในหมู่บ้านและความเชื่อมั่นของชุมชนที่ทำงานกับรัฐท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการให้ทุนโครงการดำเนินการโดยชุมชนเป็นหลัก เชิญชวนหน่วยงานรัฐมาสนับสนุน และทำโครงการต่อเนื่อง จะเป็นเงื่อนไขสำหรับในการสร้างเพิ่มความไว้วางใจของคนในชุมชนกันเอง และระหว่างชุมชนกับรัฐท้องถิ่น</p>
พีรพัฒน์ โกศลศักดิ์สกุล
อัสรีย์ แดเบาะ
ฮัมดี เจะเฮาะ
Copyright (c) 2024 พีรพัฒน์ โกศลศักดิ์สกุล, อัสรีย์ แดเบาะ, ฮัมดี เจะเฮาะ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
134
159
-
การศึกษาอัตลักษณ์และการโต้ตอบทางสังคมของนักเรียนที่มีคุณแม่วัยใส ในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/273082
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตลักษณ์และการโต้ตอบทางสังคมของนักเรียนที่มีคุณแม่วัยใสในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยใช้การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพแบบของปรากฎการณ์วิทยา ใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ปกครองของนักเรียนที่มีคุณแม่วัยใส จำนวน 3 คน และครูประจำชั้นของนักเรียนที่มีคุณแม่วัยใส จำนวน 2 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า อัตลักษณ์ของนักเรียนเกิดจากการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมครอบครัวที่มีผลต่อการพัฒนาอัตลักษณ์ของเด็ก ความมั่นคงทางครอบครัวและการสนับสนุนด้านการเรียนรู้จากพ่อแม่ทำให้อัตลักษณ์ของเด็กมีความมั่นคงและสามารถปรับตัวในสังคม และการโต้ตอบทางสังคมของนักเรียนเกิดจากปัจจัยทางครอบครัวและการเลี้ยงดูมีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมการเข้าสังคมและการปรับตัวในสถานการณ์ทางสังคม ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ปัจจัยครอบครัวและการเลี้ยงดูเป็นสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาอัตลักษณ์และพฤติกรรมทางสังคมของเด็ก ทั้งนี้ ครอบครัวที่มีความมั่นคงและให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิดมีแนวโน้มที่จะช่วยสร้างอัตลักษณ์ที่ดีและการปรับตัวในสังคมที่เหมาะสม ขณะที่ครอบครัวที่มีปัญหาหรือขาดการดูแล ส่งผลให้เด็กมีอัตลักษณ์ที่สับสนและมีปัญหาในการโต้ตอบทางสังคม</p>
นฤมล วรรณศรี
ศานิตย์ ศรีคุณ
Copyright (c) 2024 ศานิตย์ ศรีคุณ, นฤมล วรรณศรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
160
179
-
การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมแบบสามเส้าเร้าพลัง (ครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน) เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยในจังหวัดมหาสารคาม
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/272650
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมของครอบครัวสถานศึกษาและชุมชนในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในจังหวัดมหาสารคาม 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมแบบสามเส้าเร้าพลัง (ครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน) ในการรส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในจังหวัดมหาสารคาม 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมแบบสามเส้าเร้าพลัง (ครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน) เพื่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในจังหวัดมหาสารคาม กลุ่มเป้าหมาย คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เข้าร่วมโดยสมัครใจ อำเภอละ 1 แห่ง จาก 13 อำเภอของจังหวัดมหาสารคาม เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจข้อมูลสภาพพื้นฐานทั่วไปของชุมชน แบบสำรวจสภาพปัญหาการส่งพัฒนาการของเด็กปฐมวัยในชุมชนจังหวัดมหาสารคาม แบบประเมินการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย และแบบสัมภาษณ์การมีส่วนร่วมของสถานศึกษา ครอบครัว และชุมชนในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย และแบบสำรวจการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย การวิจัยนี้ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า 1) การมีส่วนร่วมของครอบครัว สถานศึกษา และชุมชนส่วนใหญ่เป็นไปในรูปแบบที่สถานศึกษาเป็นผู้ประสาน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในกิจกรรมที่สถานศึกษากำหนด เช่น การประชุม การร่วมงานวันสำคัญ ส่วนการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นการจัดโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น การจัดกีฬาชุมชน การจัดงานวันสำคัญต่าง ๆ หรือการบริจาคเงินและสิ่งของให้กับสถานศึกษา มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นการริเริ่มจากชุมชนหรือกลุ่มผู้ปกครองโดยตรง 2) รูปแบบการมีส่วนร่วมแบบสามเส้าเร้าพลัง (ครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน) เพื่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในจังหวัดมหาสารคาม เป็นสาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 ลักษณะ คือ ส่วนสาระที่เป็นกระบวนการมีส่วนร่วม และส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระ โดยกระบวนการการสร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมแบบสามเส้าเร้าพลัง ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นการประสานและสร้างความสัมพันธ์กับพื้นที่ ขั้นการปฏิบัติการ เน้นการประชุมเชิงปฏิบัติการทั้งในส่วนของผู้ปกครอง ตัวแทนองค์กรในชุมชนและครูในสถานศึกษาเพื่อร่วมกันส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ขั้นติดตามประเมินผล และขั้นสรุปผลการดำเนินงาน และ 3) ผลการใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมแบบสามเส้าเร้าพลัง พบว่า ทั้ง 3 ภาคส่วน มีการประสานความร่วมมือโดยร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ และร่วมประเมินผล ลักษณะการร่วมมือ คือ มีการสื่อสารสร้างความเข้าใจ ร่วมสร้างสรรค์ การระดมทรัพยากร การเป็นอาสาสมัคร และการร่วมคิดร่วมตัดสินใจ ส่งผลให้เกิดความร่วมมือในการจัดจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม การจัดการเรียนรู้และการใช้แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญา ส่งผลให้เด็กปฐมวัยได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญาดีขึ้น</p>
รุ่งลาวัลย์ ละอำคา
อรนุช วงศ์วัฒนาเสถียร
พีระพร รัตนาเกียรติ์
กฤษกนก ดวงชาทม
วรรณษา โสภานะ
พวงเพชร วงค์ทิพย์
Copyright (c) 2024 รุ่งลาวัลย์ ละอำคา, อรนุช วงศ์วัฒนาเสถียร, พีระพร รัตนาเกียรติ์, กฤษกนก ดวงชาทม, วรรณษา โสภานะ, พวงเพชร วงค์ทิพย์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
180
210
-
ท่านเด็ดดอกไม้ทิ้งจะยิ่งบาน?: โครงสร้างโอกาสทางการเมืองและการเกิดขึ้นของขบวนการนักศึกษาในฮ่องกง ไต้หวัน และไทย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/272623
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างโอกาสทางการเมืองกับการก่อเกิด เติบโต และถดถอยของขบวนการนักศึกษา โดยใช้การศึกษาในเชิงเปรียบเทียบสามกรณีได้แก่ ขบวนการนักศึกษาในฮ่องกง ไต้หวัน และไทย ช่วงปี พ.ศ. 2550 – 2563 นำมาวิเคราะห์ภายใต้แนวทางการศึกษาโครงสร้างโอกาสทางการเมือง สำหรับการวิเคราะห์และอธิบายบทความชิ้นนี้กำหนดกรอบโครงสร้างทางการเมืองที่ส่งผลต่อขบวนการนักศึกษาเป็น 3 ประเด็นสำคัญคือ 1. การเปิดและปิดของระบบการเมือง 2. การปราบปรามของรัฐหรือฝ่ายตรงข้ามขบวนการเคลื่อนไหว และ 3. การสร้างเครือข่ายพันธมิตรและเครือข่ายชนชั้นนำ การศึกษาพบว่า ขบวนการนักศึกษาเกิดขึ้นได้ทั้งในช่วงเวลาที่ระบบการเมืองเริ่มเปิดเสรีมากขึ้น และเริ่มเบนไปในแนวทางอำนาจนิยม การเมืองที่ไร้เสถียรภาพเป็นเงื่อนไขสำคัญที่เอื้อให้ขบวนการนักศึกษาเติบโต การกดปราบของรัฐหรือฝ่ายตรงข้ามแบบรุนแรงฉับพลันไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาขบวนการนักศึกษา อย่างไรก็ตามการที่รัฐจับกุมแกนนำและปราบปรามอย่างค่อยเป็นค่อยไปกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อขบวนการเคลื่อนไหวของนักศึกษา นอกจากนี้ในแง่เครือข่ายขบวนการเคลื่อนไหวพบว่า การแสวงหาเครือข่ายอื่นนอกเหนือกลุ่มนักศึกษาเป็นเงื่อนไขสำคัญให้ขบวนการนักศึกษาเติบโตขึ้น และการแสวงหาเครือข่ายชนชั้นนำทางการเมืองในประเทศหรือพื้นที่นั้นมีส่วนสำคัญในการทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาประสบผลสำเร็จ</p>
วสุชน รักษ์ประชาไท
บัวชมพู มนต์ลักษณ์
Copyright (c) 2024 วสุชน รักษ์ประชาไท, บัวชมพู มนต์ลักษณ์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
211
233
-
กระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูยุคใหม่ตามแนวคิดพลเมืองดิจิทัล: กุญแจสู่การเตรียมความพร้อมสำหรับโลกอนาคต
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/272401
<p>การศึกษาในยุคปัจจุบันต้องตอบสนองต่อความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลกระทบจากการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูยุคใหม่ตามแนวคิดพลเมืองดิจิทัลจึงมุ่งเน้นที่กระบวนการ NEO-COACH ซึ่งออกแบบมาเพื่อส่งเสริมทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นให้กับเยาวชน เพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมของโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้งได้ โดยกระบวนการ NEO-COACH รวมถึงขั้นตอนที่ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการเรียนรู้ของตนเอง อันได้แก่ 3 หลักการ ได้แก่ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การพัฒนาทักษะดิจิทัลและการตัดสินใจ การเชื่อมโยงกับโลกจริง 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นศูนย์กลางผู้เรียน การใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม การประเมินแบบรวมภาพ และ 8 ขั้นตอน ดังนี้ การนำเข้า การสำรวจ การจัดระเบียบ การทำงานร่วมกัน การปฏิบัติ การประเมินผล การแก้ไขและปรับปรุง จนถึงการฝึกฝน รูปแบบนี้จะช่วยพัฒนาความเป็นพลเมืองที่ดีของโลกดิจิทัล การใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม และสนับสนุนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ส่งผลให้นักเรียนได้รับความรู้ สามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาปรับใช้ในชีวิตจริงและอาชีพในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
วรพล ศรีเทพ
นรินทร์ วัฒนบัญชา
Copyright (c) 2024 วรพล ศรีเทพ, นรินทร์ วัฒนบัญชา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
7 2 กรกฎาคม - ธันวาคม
234
253