https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/issue/feed
วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
2025-06-30T12:39:48+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาวิตรี สอาดเทียน
sawitree.sa@nsru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong> วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์</strong> มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และเพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นเชิงวิชาการ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิจัยให้แก่คณาจารย์ นักวิชาการ และผู้สนใจทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สู่สาธารณชนและแวดวงวิชาการ ซึ่งดำเนินการเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทัศน์หนังสือ ที่มีเนื้อหาในกลุ่มมนุษยศาสตร์และกลุ่มสังคมศาสตร์ เผยแพร่ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 มีการเผยแพร่ระบบออนไลน์ด้วย โดยมีหมายเลข ISSN 2985-1270 (Print) ISSN 2985-122X (Online) <u>เป็นวารสารที่เผยแพร่ตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง</u> เผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 ระหว่างมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 ระหว่างเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม โดยกองบรรณาธิการ และผู้ประเมินที่ทรงคุณวุฒิจากสถาบันภายนอกและจากสถาบันภายในที่หลากหลายสถาบัน ทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองบทความ <u>อย่างน้อย </u><u>3 ท่าน</u> โดยผู้ประเมินและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-blind peer review)</p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ</strong><br />บทความมีค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ ดังนี้ <br />1. บทความภาษาไทย บทความละ 4,500 บาท <br />2. บทความภาษาอังกฤษ บทความละ 5,500 บาท <br />โดยกองบรรณาธิการจะแจ้งการชำระเงินในขั้นตอน Submission หลังจากกองบรรณาธิการพิจารณาความสอดคล้องของบทความกับเกณฑ์และแบบฟอร์มของวารสารเบื้องต้นแล้ว</p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/276415
การพัฒนากฎหมายเพื่อการควบคุมดูแลการบริหารจัดการ ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร
2024-11-11T13:50:45+07:00
อนันต์ เพียรวัฒนะกุลชัย
anan3250700105061@gmail.com
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาการบริหารจัดการของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร <br />ในประเด็นการกำหนดความผิดและคุณสมบัติของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ประธานและคณะกรรมการนิติบุคลหมู่บ้านจัดสรรเกี่ยวกับการบริหารจัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร <br />รวมทั้งศึกษาสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกหรือผู้ซื้อที่ดินจัดสรรโดยนำพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาเปรียบเทียบศึกษาใช้วิทยาการวิจัยเอกสาร โดยการศึกษารวบรวม ค้นคว้าและสังเคราะห์เอกสารทางกฎหมายไทยและต่างประเทศ จากศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ไม่มีการกำหนดความผิดและคุณสมบัติของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ประธานและคณะกรรมการนิติบุคลหมู่บ้านจัดสรรในกรณีปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งแตกต่างจากพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่ได้กำหนดหน้าที่ของนิติบุคคลอาคารชุด ผู้จัดการและกรรมการไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการทุจริตต่อหน้าที่ จึงก่อให้เกิดปัญหาบริหารงานของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และการกำหนดสิทธิของสมาชิกหรือผู้ซื้อที่ดินจัดสรรเป็นการกำหนดสิทธิไว้ในข้อบังคับของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรที่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรแต่ละพื้นที่จะไปกำหนดสิทธิของสมาชิกเองจึงทำให้ขาดความแน่นอนในทางกฎหมายหรือไม่มีมาตรฐานกลางหรือมาตรฐานขั้นต่ำทางกฎหมาย ดังนั้นจึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ในส่วนของความผิดและคุณสมบัติของคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรและกำหนดสิทธิของสมาชิกหรือผู้ซื้อที่ดินจัดสรรไว้ในพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 แทนการที่แต่ละหมู่บ้านจัดสรรจะไปกำหนดเอง</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/277005
การสร้างสรรค์ประติมากรรมประยุกต์ด้วยกระดาษหยวกกล้วย กรณีศึกษา : ตำบลตกพรม อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
2024-12-23T17:03:03+07:00
กฤติยา โพธิ์ทอง
kittiya.p@rbru.ac.th
กิตติพล คำทวี
kittipol.c@rbru.ac.th
เอื้อมพร รุ่งศิริ
auemporn.r@rbru.ac.th
สิตางศ์ เจริญวงศ์
sitang.c@rbru.ac.th
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์ประติมากรรมประยุกต์ด้วยกระดาษหยวกกล้วยในรูปแบบใหม่ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ 1) ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานผลิตภัณฑ์จากกระดาษหยวกกล้วยที่ทราบประวัติความเป็นมา กระบวนการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ จำนวน 3 คน 2) ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในด้าน<br />การผลิต ผลิตภัณฑ์จากกระดาษหยวกกล้วย จำนวน 4 คน 3) ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพ สิ่งแวดล้อมของชุมชนตกพรม จำนวน 1 คน 4) อาจารย์ผู้สอนในสาขาวิชา<br />ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะที่มีความรู้เกี่ยวกับงานด้านทัศนศิลป์ หรือประติมากรรมประยุกต์ จำนวน 2 คน 5) นักออกแบบผลิตภัณฑ์มีประสบการณ์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อทำเป็นของที่ระลึก<br />ในรูปแบบ ต่าง ๆ จำนวน 2 คน 6) ผู้เชี่ยวชาญตอบแบบสอบถามประเมินหาความเหมาะสม<br />ของผลิตภัณฑ์ จำนวน 3 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาวิเคราะห์ (Description Analysis) ค่าเฉลี่ย <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> และค่าร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าการสร้างสรรค์ประติมากรรมประยุกต์ด้วยกระดาษหยวกกล้วย<br />ในรูปแบบใหม่ สามารถสรุปแนวทางในการสร้างสรรค์รูปแบบของผลิตภัณฑ์ดังนี้ 1) ผลงานต้นแบบเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทนาฬิกาตั้งโต๊ะ 2) ออกแบบผลงานให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์<br />ของชุมชนตกพรม ได้แก่ เครื่องแยกพลอย 3) ผลงานต้นแบบเป็นงานประติมากรรมนูนต่ำ และได้รับการประเมินหาความเหมาะสมของประติมากรรมประยุกต์ด้วยกระดาษหยวกกล้วย<br />จากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนมีคะแนนความเหมาะสมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> เท่ากับ 4.48 ค่าร้อยละ 89.60</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/277096
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
2025-03-31T10:11:57+07:00
กรณิศ ไพฑูรย์
nun.koranit@gmail.com
รจนา สุนทรานนท์
rojana_s@rmutt.ac.th
คำรณ สุนทรานนท์
kamron_s@rmutt.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาคุณภาพของหลักสูตรฝึกอบรมศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านความรู้ศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะปฏิบัติศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีต่อหลักสูตรฝึกอบรมศิลปะการแสดง<br />ชุดเอ็งกอ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แบบศึกษากลุ่มเดียวสอบก่อนสอบหลัง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสลกบาตรวิทยา จำนวน 30 คน <br />โดยได้มาจากการสมัครใจเข้ารับการอบรมของนักเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย <br />1) แบบสอบถามความต้องการ 2) แบบประเมินคุณภาพของหลักสูตร 3) แผนการจัดการเรียนรู้ <br />4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบประเมินทักษะปฏิบัติ และ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าคะแนนร้อยละ <br />และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรฝึกอบรมศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอ <br />มีความเหมาะสมโดยรวมในระดับมากที่สุด 2) นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านความรู้ศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะปฏิบัติศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอ โดยรวมในระดับดีมาก <br />และ4) นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมีความพึงพอใจต่อหลักสูตรฝึกอบรมศิลปะการแสดงชุดเอ็งกอ ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/278088
การพัฒนาศักยภาพการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์อย่างยั่งยืนในจังหวัดนครปฐม
2025-04-21T10:20:10+07:00
นิพล เชื้อเมืองพาน
allnippono@gmail.com
กฤติยา ทองคุ้ม
krittiya_tk@mju.ac.th
วันวสา วิโรจน์นารมย์
wanwasa@mju.ac.th
ศิริพร กิรติการกุล
siripornk@mju.ac.th
<p>บทความวิจัยเรื่อง “การพัฒนาศักยภาพการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์อย่างยั่งยืนในจังหวัดนครปฐม” มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยวเพื่อรองรับการท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ 2) เพื่อหาแนวทางการจัดการท่องเที่ยวชุมชนสำหรับไมซ์อย่างยั่งยืน ในแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดนครปฐม ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเชิงปฏิบัติการ โดยศึกษาจากประชากรในพื้นที่ 2 แห่ง ได้แก่ ชุมชนคลอง<br />มหาสวัสดิ์ และชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไทย-จีน บางหลวง จังหวัดนครปฐม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบประชุมกลุ่มย่อย แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสังเกตการณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์และสรุปผลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า<br />ทั้ง 2 ชุมชน มีศักยภาพทางการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน (5A's) ประกอบด้วย สิ่งดึงดูดใจด้านธรรมชาติ และวัฒนธรรม การเข้าถึงที่สะดวก กิจกรรมที่หลากหลาย สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และที่พักแรมที่เพียงพอ นอกจากนี้พบว่า แนวทางการจัดการท่องเที่ยวชุมชนเพื่อไมซ์อย่างยั่งยืน ควรพิจารณาการจัดการใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) ความปลอดภัยและการเข้าถึง 2) การต้อนรับและประสบการณ์ที่น่าประทับใจ 3) การจัดการภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวก 4) ความคิดสร้างสรรค์ในการจัดกิจกรรม และ 5) การส่งกลับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ยังพบว่าชุมชนท่องเที่ยวควรสร้างความเชื่อมโยงในเส้นทางและกิจกรรมท่องเที่ยวเพื่อเกิดความหลากหลายในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวผ่านการประสานงานจากเครือข่ายและการคำนึกถึงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อเกิดการท่องเที่ยวชุมชนไมซ์อย่างยั่งยืน</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/278738
อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยีและส่วนประสมทางการตลาด ในมุมมองของผู้บริโภคที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจีน ของผู้บริโภคชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-04-18T12:24:48+07:00
พาณุวงศ์ คัมภิรารักษ์
panuwong@tbs.tu.ac.th
ณัฐพล เด่นยุกต์
nattapon.denyuk@gmail.com
อิงเหวย หวัง
ihuang@tu.ac.th
คมน์ พันธรักษ์
komn@tbs.tu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยี และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภค ที่มีผลต่อการตัดสินใจ<br />ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจีนของผู้บริโภคชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บตัวอย่างจำนวน 406 คน ในเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2565 และใช้กระบวนการทางสถิติเพื่อทดสอบความเหมาะสมของเครื่องมือและข้อมูล ข้อมูลจากการเก็บแบบสอบถามออนไลน์ถูกนำไปใช้วิเคราะห์เชิงพรรณนา และเชิงอนุมานด้วยการพิสูจน์สมมติฐานเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม การวิเคราะห์ปัจจัยกลุ่มตัวแปรอิสระ และการวิเคราะห์การถดถอย เพื่อทดสอบอิทธิพลของตัวแปรอิสระที่มีต่อตัวแปรตามที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าช่วงอายุที่แตกต่างกัน มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่แตกต่างกัน ปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีจำนวน 3 ปัจจัย ประกอบด้วย การรับรู้ถึงประโยชน์และความง่าย<br />ในการใช้เทคโนโลยี อิทธิพลทางสังคมต่อการใช้เทคโนโลยี และความกังวลต่อการใช้เทคโนโลยี ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภค <br />ความคุ้มค่าของผู้บริโภคส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยี<br />และด้านส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภค ทั้ง 4 ปัจจัยข้างต้น สามารถอธิบายความแปรปรวนของการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจีน ได้ร้อยละ 66.4 ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าค่ายต่าง ๆ สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนากลยุทธ์การออกแบบและพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการซื้อและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/276724
การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกสำหรับความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการ ของนักศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
2025-01-13T10:53:10+07:00
สุธาทิพย์ เลิศวิวัฒน์ชัยพร
sutathip.kibkae@gmail.com
ประสพชัย พสุนนท์
sutathip.kibkae@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อจำแนกความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการ<br />ของนักศึกษา และ 2) เพื่อทำนายความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการของนักศึกษา เป็นการรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ จำนวน 276 คน ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจาก ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก(Binary Logistic Regression) ผลการวิจัยพบว่า การจำแนกความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็น<br />เพศชาย จำนวน 206 คน คิดเป็นร้อยละ 74.6 เพศหญิง จำนวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 25.4 หลังจากสำเร็จการศึกษาไม่มีความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการ จำนวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 14.1 และหลังสำเร็จการศึกษามีความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการ จำนวน 237 คน คิดเป็นร้อยละ 85.9 และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า (1) ด้านความคิดริเริ่มเชิงนวัตกรรม (Innovativeness) <br />อยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.40 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.40 S.D<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 0.53) (2) ด้านการแบกรับความเสี่ยง (Risk-Taking) อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.52 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.52 S.D = 0.51) (3) ด้านอำนาจการควบคุมภายใน (Internal Locus of Control) อยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 3.92 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.92 S.D <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 0.56) (4) ด้านความต้องการความสำเร็จ (Need for Achievement) อยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 3.98 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.98 S.D <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 0.47) (5) ด้านภูมิหลังของครอบครัว (Family Background) อยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 3.99 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.99 S.D=0.42) และผลการทำนายความตั้งใจของการเป็นผู้ประกอบการ พบว่ามี 3 ตัวแปร ได้แก่ ด้านความคิดริเริ่มเชิงนวัตกรรม (Sig.=.000) ด้านการยอมรับความเสี่ยง (Sig.=.034) และด้านต้องการความสำเร็จ (Sig.=.021) ส่งผลเชิงบวกต่อตัวแปรที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 การทำนายที่ส่งผลเชิงบวกทำให้นักศึกษาที่ตั้งใจเป็นผู้ประกอบการต้องมีทักษะเหล่านี้ จะทำให้เป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จได้</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/276237
ปัจจัยแรงจูงใจที่มีอิทธิพลต่อการเป็นผู้ประกอบการของนิสิต ระดับปริญญาตรี กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ และมหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก
2024-11-11T13:22:06+07:00
พนิดา วัชระรังษี
pavash@rpu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ระดับแรงจูงใจในการเป็นผู้ประกอบการ<br />ของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ และมหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก <br />2) เพื่อเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจภายใน และแรงจูงใจภายนอกในการเป็นผู้ประกอบการ<br />ของนิสิตระดับปริญญาตรี 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยแรงจูงใจภายใน (ปัจจัยผลักดัน) <br />และแรงจูงใจภายนอก (ปัจจัยดึงดูด) ที่มีต่อความตั้งใจในการเป็นผู้ประกอบการของนิสิตระดับปริญญาตรี เป็นวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ และ มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก จำนวน 312 คน ใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัย <br />คือ แบบสอบถาม ผลการวิจัย พบว่าแรงจูงใจภายนอกในการทำธุรกิจเพราะมองเห็นโอกาส และแรงจูงใจภายใน ในการทำธุรกิจเพราะความจำเป็น มีอิทธิพลต่อคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการ มีการแปรผันร่วมกันทั้ง 2 ตัวแปร ของปัจจัยแรงจูงใจ ได้แก่แรงจูงใจภายนอกในการทำธุรกิจเพราะมองเห็นโอกาส มีอิทธิพลทางบวกต่อคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลการทดสอบทางสถิติ พบว่าแรงจูงใจภายนอกด้านการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจมีอิทธิพลทางบวก (β = 0.674, p < .01) ต่อคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการ ในขณะที่แรงจูงใจภายในด้านความจำเป็นมีอิทธิพลทางลบ (β = -0.524, p < .01) โดยทั้งสองปัจจัยร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการได้ร้อยละ 52.2 จากผลการวิจัย แสดงให้เห็นว่าการส่งเสริมการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจมีความสำคัญมากกว่าการผลักดันเพราะความจำเป็น</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/hssnsru/article/view/276720
Optimizing First and Last-Mile Processes for SMEs in Thailand : Implementing a TMS with Lean Concept and SCOR Model for Measurement Efficiency, a Case Study
2025-01-13T10:53:40+07:00
Suratin Tunyaplin
suratin.tn@spu.ac.th
Suwat Janyapoon
ja@spu.ac.th
<p>This research focuses on improving operational efficiency in small transportation companies. The primary objectives are creating a model for SMEs in the transport industry, developing appropriate performance indicators, and implementing a Transportation Management System (TMS) to reduce work redundancies. The study applied the TMS concept based on LEAN and SCOR principles. Results showed that executing TMS reduced working time by 53 minutes for certain activities. However, issuing delivery orders increased from 70 to 120 seconds per bill for 150. Some processes could not be reduced due to legal constraints. The SCOR model helped identify 14 crucial " A Focusing Set of KPIs" suitable for the company's limited resources. The study involved a sample of 12 participants, ranging from operational staff to company owners, using observation and focus group discussions to extract practical indicators for the business. This study demonstrates the feasibility of improving operational efficiency in small transportation companies despite resource and knowledge limitations, using internationally recognized tools and concepts. The results can be applied to other SMEs in the transport industry with similar characteristics and constraints to enhance operational efficiency and competitiveness</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์