https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/issue/feed วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ 2025-01-02T12:02:36+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร. รุ่งภัสสรณ์ ศรัทธาธนพัฒน์ Assoc.Prof.Dr.Rungbhassorn Satthathanabhat rungbhassorn.s@rumail.ru.ac.th Open Journal Systems <p> วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />มีกำหนดเผยแพร่ราย 6 เดือน ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) ทั้งนี้อาจจะมีวารสารฉบับพิเศษ (Special issue) หรือฉบับที่ตีพิมพ์บทความจากการประชุมวิชาการ (Conference proceeding) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิชาการ ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ ภาษา ภาษาศาสตร์ วรรณคดี วรรณกรรม คติชนวิทยา วัฒนธรรม การท่องเที่ยว ปรัชญา ประวัติศาสตร์ บรรณารักษศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ผู้เขียนทุกท่านสามารถส่งบทความมาขอรับการพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่ได้ตลอดทั้งปี และกรุณาส่งต้นฉบับบทความตามช่องทางและรูปแบบที่กำหนดไว้ในคำแนะนำสำหรับผู้เขียน</p> <p><strong>กองบรรณาธิการวารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ </strong>ยินดีรับต้นฉบับผลงานวิชาการดังต่อไปนี้<br /> - บทความวิจัย (research article) บทความวิชาการ (academic article) บทความปริทัศน์ (review article) หรือบทวิจารณ์หนังสือ (book review) สำหรับบทความปริทัศน์ และบทวิจารณ์หนังสือจะไม่นำเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพ แต่จะพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหาโดยกองบรรณาธิการ<br /><strong> - </strong>บทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่นใดมาก่อน รวมถึงไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น<br /><strong> - </strong>บทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ทุกบทความจะต้องผ่านการกลั่นกรองคุณภาพแบบไม่เปิดเผยตัวตนสองทาง (double-blind review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ(peer review) ในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน และผลการพิจารณาจากกองบรรณาธิการถือเป็นที่สุด<br /><strong> - </strong>บทความที่เป็นบทความวิจัยที่ส่งมายังวารสารตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ต้องมีหลักฐานการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์แนบมาพร้อมกับบทความ (ยกเว้นได้รับการพิจารณาจากกองบรรณาธิการเป็นรายเฉพาะ)<br /> - หากเป็นงานแปลหรือเรียบเรียงจากภาษาต่างประเทศ ต้องมีหลักฐานการอนุญาตให้ตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของลิขสิทธิ์<br /><strong> - </strong>บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ผู้เขียนต้องตรวจสอบความถูกต้องทางไวยากรณ์ ก่อนขอรับการพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่จากวารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์</p> <p> ความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในบทความเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนเท่านั้น คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงและกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกับความคิดเห็นที่ปรากฎในบทความแต่อย่างใด และไม่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และกองบรรณาธิการ </p> <p> การปรับหลักเกณฑ์การประเมินคุณภาพบทความตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 เป็นต้นไป วารสารจะปรับหลักเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาคุณภาพบทความอย่างน้อย <strong>3</strong> ท่าน </p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277702 กลวิธีกระบวนรำแต่งตัวนางละครนอก 2024-12-25T14:03:03+07:00 จินตนา สายทองคำ ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ และจุฑามาศ อภิมหาเดชาพงศ์ Chuthamat.api@gmail.com <p>วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเป็นมา บทบาท ความสำคัญของตัวนางละครนอก และองค์ประกอบการแสดงรำแต่งตัวนางละครนอก 2) เพื่อวิเคราะห์กระบวนท่ารำและกลวิธีการแสดงรำแต่งตัวนางละครนอก โดยศึกษาการแสดงฉุยฉายยอพระกลิ่น ละครนอก เรื่องมณีพิชัย รับการถ่ายทอดท่ารำจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ คมคาย กลิ่นภักดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย ใช้วิธีการศึกษา ค้นคว้าจากเอกสาร ตำรา การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์การแสดง ตลอดจนการเข้ารับการถ่ายทอดกระบวนท่ารำจากผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยพบว่า ละครนอก เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา <br>มีบทบาท ความสำคัญของตัวนางละครนอก จากบทละคร ครั้งกรุงศรีอยุธยา จำนวน 14 เรื่อง <br>และบทพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จำนวน 5 เรื่อง กล่าวถึงบทแต่งตัวของตัวนาง 6 เรื่อง คือ นางสาวหยุด เรื่องการเกษ นางพิกุลทอง เรื่องพิกุลทอง นางแสงสุริยา เรื่องพิมพ์สวรรค์ นางเกศมาลี เรื่องสังข์ศิลป์ไชย นางยอพระกลิ่น เรื่องมณีพิชัย และนางคันธมาลี เรื่องคาวี</p> <p>โดยการแต่งตัวมีจุดประสงค์ 1. เพื่อเข้าพิธีสยุมพร 2. เพื่อเข้าเฝ้า 3. เพื่อชมอุทยาน 4. เพื่อล่อลวง <br>ลองใจ องค์ประกอบการแสดง ประกอบด้วย ผู้แสดง เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี เพลงร้อง สถานที่ <br>บทละคร และโอกาสที่ใช้ในการแสดง ฉุยฉายยอพระกลิ่น มีกระบวนท่ารำช่วงแรกสื่อถึงการแต่งตัวของตัวละคร โดยใช้ทำนองเพลงรัวและเพลงชมตลาด กระบวนท่ารำช่วงที่สองสื่อถึงการแปลงกาย โดยใช้ทำนองเพลงฉุยฉาย เพลงแม่ศรี และเพลงเร็ว - ลา การแสดง 2 ช่วงนี้ สื่อถึงการชื่นชมความงามของเครื่องแต่งกาย พัสตราภรณ์ ถนิมพิมพาภรณ์ และศิราภรณ์ และชื่นชมความสามารถการแปลงกายได้สวยงามเพื่อไปทำภารกิจ มีกลวิธีการแสดง ประกอบด้วย 1) กลวิธีการถ่ายทอด อารมณ์ความรู้สึก สีหน้า แววตา 2) การแสดงออกทางกระบวนท่ารำสื่อความหมายแทนคำพูด 3) นาฏยลักษณ์การใช้สไบในการแสดงที่มีลักษณะเฉพาะ</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277705 นวัตกรรมนิทานพื้นบ้าน 2 ภาษา : กรณีศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 2024-12-25T14:16:54+07:00 ธฤษวรรณ บัวศรีคำ อุดมลักษณ์ ระพีแสง พรโชค พิชญ อู๋สมบูรณ์ กันติทัต การเจริญ และถิรวรรณ ศรีรัตนโชติชัย taritsawan.b@rbru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย 1. เพื่อศึกษานิทานพื้นบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 2. เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาและออกแบบ โดยใช้กระบวนการสร้าง Story board <br>ในบริบทของนิทานพื้นบ้าน 2 ภาษา อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากการศึกษานิทานพื้นบ้านจังหวัดจันทบุรี พบแหล่งที่รวบรวมเนื้อหานิทานพื้นบ้านในจังหวัดจันทบุรี<br>มี 2 รูปแบบ จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ 1. ศึกษาจากเอกสาร ได้แก่ โครงการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับจันทบุรี สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน&nbsp; มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2. ศึกษาจากคำบอกเล่าคนในชุมชนที่มีภูมิรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี การสร้างเครื่องมือ<br>มีวิธีการดำเนินงาน 3 ขั้นตอนคือ 1. ขั้นตอนก่อนการผลิต 2. ขั้นตอนการออกแบบ 3. การสร้างและพัฒนานิทานพื้นบ้าน</p> <p>ผลการศึกษาทำให้ทราบเกี่ยวกับประวัติที่มาของนิทานพื้นบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยสร้างเป็นนวัตกรรมสื่อนิทานพื้นบ้าน 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องพระนางกาไว เรื่องตำนานบ้านบางกะจะ และเรื่องตำนานหมู่บ้านโป่งแรด และนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ เพื่อให้นักเรียนและบุคคลทั่วไปได้ศึกษาและเรียนรู้ประวัติท้องถิ่นของตน ผลจากการศึกษาครั้งนี้เป็นประโยชน์ทั้งเชิงวิชาการเชิงสาธารณะ <br>และเชิงชุมชน คือ ผู้อ่านได้รับความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น, สถานที่สำคัญในชุมชนจากนิทาน ส่งเสริมทักษะด้านการอ่าน อีกทั้งเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่นให้ชาวต่างชาติ ผ่านนิทานพื้นบ้าน 2 ภาษา (ภาษาไทย - ภาษาอังกฤษ)</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277707 วัฒนธรรมความปกติใหม่ในสังคม: กรณีศึกษาจากเรื่องสั้นไทยร่วมสมัย 2024-12-25T14:29:37+07:00 สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ saharot.k@rumail.ru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาการนำเสนอวัฒนธรรมความปกติใหม่ที่ปรากฏในสังคมไทยจากเรื่องสั้นในหนังสือ <em>สถาน ณ กาลไม่ปกติ</em> จำนวน 10 เรื่อง และเรื่องสั้นจากภาพจำนวน 2 เรื่อง <br>ในหนังสือเฉพาะกิจของนิตยสาร a day ปีที่ 21 ฉบับที่ 241 ประจำเดือนกันยายน พ.ศ.2563 ผลการวิจัยพบว่า วัฒนธรรมความปกติใหม่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีอิทธิพลต่อนักเขียนมานำเสนอเป็นเรื่องสั้น โดยกล่าวถึงภาพการดำเนินชีวิตก่อนและหลังการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมความปกติใหม่ นักเขียนได้ใช้กลวิธีการสร้างเรื่องให้เห็นถึงความหลอน ความกลัว ความท้อแท้สิ้นหวัง การโหยหาและรื้อฟื้นความทรงจำ การถูกธรรมชาติ<br>ทวงคืนความยุติธรรม รวมไปถึงการใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ในยุคโควิด-19 ยังนำเสนอถึงสังคมทุนนิยม สังคมบริโภคนิยม รวมทั้งสังคมโลกาภิวัตน์ที่มีผลต่อชีวิตของคนในสังคมเมือง ด้านทัศนะของนักเขียนต่อวัฒนธรรมความปกติใหม่ คือ แนวคิดเรื่องการสร้างวินัย การควบคุมร่างกายของคนจากรัฐและสาธารณสุขโดยผ่านอำนาจและวาทกรรมเรื่องการสาธารณสุข โรคภัยไข้เจ็บ และทัศนะอีกประการหนึ่ง คือการนำเสนอความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ความคิดเกี่ยวกับสังคมปัจเจกบุคคลผ่าน<br>เรื่องสั้นที่เป็นข้อมูลศึกษาด้วย</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277708 พิพิธภัณฑ์กับการปรับเปลี่ยนวิถีใหม่ในยุคนิวนอร์มัล 2024-12-25T14:36:44+07:00 นันทพร พุ่มมณี nantaporn.p@rumail.ru.ac.th <p>พิพิธภัณฑ์ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้รับผลกระทบหลายด้าน&nbsp;&nbsp; ทำให้พิพิธภัณฑ์ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถดำเนินงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดและเข้ากับการใช้ชีวิตในวิถีปกติใหม่ยุคนิวนอร์มัล (New Normal) โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อน ร่วมกับการป้องกันทางด้านสุขอนามัย งานวิจัยเรื่องนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการปรับตัวของพิพิธภัณฑ์ โดยมีกรณีศึกษา 2 แห่ง คือ มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (สพร.) และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จากการศึกษาพบว่าพิพิธภัณฑ์มีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับวิถีใหม่ในยุคนิวนอร์มัล ดังนี้ 1. การบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และบุคลากร มุ่งเน้นนโยบายการสื่อสารและการเข้าถึงในรูปแบบออนไลน์ การทำงานของบุคลากรเน้นการนำเสนอแนวคิดใหม่และการทำงานออนไลน์ และการพัฒนาการด้านดิจิทัล เทคนิค <br>2. นิทรรศการ กิจกรรม และการสื่อสารออนไลน์ เน้นประชาสัมพันธ์การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Virtual Museum) และการจัดทำชุดความรู้ กิจกรรม การจัดอบรมและสัมมนา ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน เช่น ยูทูบ (YouTube) เฟซบุ๊ก (Facebook) ซูม (Zoom) ไมโครซอฟท์ ทีม (Microsoft Teams) อินสตาแกรม (Instagram) ติ๊กต็อก (Tik-Tok) และพบว่านิยมใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางหลัก 3. มาตรการป้องกันด้านสุขอนามัย พิพิธภัณฑ์จัดอยู่ในกลุ่มอาคารสาธารณะจึงต้องปฏิบัติตามมาตรการของรัฐอย่างเคร่งครัด เช่น เรื่องความสะอาด การเว้นระยะ การสวมใส่หน้ากากอนามัย การตรวจเช็คอุณหภูมิ การยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน การจำกัดผู้เข้าชม ฯลฯ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ต้องปฏิบัติตามมาตรการเฉพาะของกรมศิลปากรซึ่งประกาศใช้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศด้วย&nbsp; จากสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ หากมองวิกฤตให้เป็นโอกาสถือได้ว่าเป็นการกระตุ้นให้พิพิธภัณฑ์เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งทางด้านบุคลากร เทคโนโลยีการจัดแสดง การสื่อสารในโลกดิจิทัล ฯลฯ นับเป็นการส่งต่อพิพิธภัณฑ์ในยุคนิวนอร์มัลสู่การพัฒนาพิพิธภัณฑ์ในอนาคตได้อย่างเหมาะสม</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277709 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยระหว่างผู้แปลที่เป็นมนุษย์และโปรแกรมแปลภาษา (Artificial Intelligence: AI ChatGPT) 2024-12-25T14:55:31+07:00 นรินทร์ทิพย์ ทองศรี Narinthip.tho@stou.ac.th <p>ปัจจุบันโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น<br>ในงานแขนงต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งการเรียนการสอนภาษาและงานแปล บทความนี้มีวัตถุประสงค์สองประการคือเพื่อศึกษาวิเคราะห์ประเภทของข้อบกพร่องจากการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยของข้อความที่กำหนดให้ โดยเปรียบเทียบระหว่างการแปลของนักศึกษากลุ่มหนึ่งและการแปลโดยโปรแกรม AI ChatGPT ซึ่งเป็น AI สำหรับแปลภาษาอัตโนมัติ วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่งคือเพื่อจัดกลุ่มของข้อบกพร่องจากการแปลดังกล่าว ข้อมูลแปลที่ใช้วิเคราะห์เปรียบเทียบในงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความในหัวข้อ <br>“Machine Translation” แปลโดยกลุ่มนักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต แขนงวิชาภาษาอังกฤษ <br>ภาคการศึกษา 2/2563 จำนวน 20 คนที่ลงทะเบียน เรียนในชุดวิชา 14319 ทักษะการแปลภาษาอังกฤษ <br>กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้ข้อความแปลจากภาษาอังกฤษเป็นไทยจำนวน 11 ข้อความเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ และเปรียบเทียบข้อความแปลโดยมนุษย์<br>และข้อความแปลโดย AI ChatGPT ตามกรอบแนวคิดการวิจัยประยุกต์มาจากแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะ<br>การแปลทางภาษาอังกฤษโดยอัจฉรา ไล่ศัตรูไกล (2554)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่ามีข้อบกพร่องในการแปลข้อความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยทั้งจากนักศึกษาและจากโปรแกรม AI ChatGPT จากการวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อน สามารถจัดกลุ่มเป็นปัญหาการแปล <br>3 ระดับ ได้แก่ การแปลผิดในระดับคำ ระดับวลี และระดับประโยค การศึกษานี้พบว่า การแปลผิด<br>โดยนักศึกษาเกิดขึ้นในร้อยละ 30 และการแปลผิดโดยโปรแกรม AI ChatGPT เกิดขึ้นในร้อยละ 70 <br>โดยมีตัวอย่างข้อความที่แปลผิดจากทั้งนักศึกษาและ AI แสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องในการแปลที่เกิดขึ้นจาก<br>ทั้งสองฝ่าย และมีข้อเสนอแนะว่าการแปลโดยมนุษย์และ AI ควรทำควบคู่กันไป</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277710 อิทธิพลของประเภทและเนื้อหาสื่อต่อพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารของประชากรปทุมธานีเพื่อการประชาสัมพันธ์ 2024-12-25T15:10:19+07:00 ณัฐพงศ์ สัมปหังสิต ฉัตราวุธ สุขเฉลิม ปรทิพย์ ฟักเจริญ เกสสุนี ทวีแก้ว และราเชนย์ กลมเกลี้ยง natbs25@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเภทสื่อกับพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสาร วิเคราะห์อิทธิพลของเนื้อหาสื่อที่มีต่อพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสาร และนำเสนอแนวทางในการวางแผนและดำเนินการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับประชากรในจังหวัดปทุมธานี</p> <p>การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 จากประชากรในจังหวัดปทุมธานีที่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,201,532 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยคำนึงถึงสัดส่วนประชากรทั้งในเขตเทศบาล (ร้อยละ 55.9) และนอกเขตเทศบาล (ร้อยละ 44.1) เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 58.5) อายุระหว่าง 18-24 ปี (ร้อยละ 46.8) สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรที่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน <br>จบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (ร้อยละ 74.0) เป็นนักเรียน/นักศึกษา (ร้อยละ 45.5) <br>สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะ Facebook, Line และ YouTube มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความถี่และระยะเวลาในการเปิดรับข่าวสารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เนื้อหาด้านความบันเทิง โดยเฉพาะเพลง/ดนตรี และภาพยนตร์/ละคร มีอิทธิพลต่อความสนใจในการเปิดรับข่าวสารมากที่สุด <br>การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแสดงให้เห็นว่า ประเภทสื่อและเนื้อหาสื่อสามารถทำนายพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารได้ร้อยละ 62 ผลการวิจัยนี้นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยควรเน้นการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางหลัก พัฒนาเนื้อหา<br>ที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย การวิจัยนี้มีส่วนสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างทางวิชาการเกี่ยวกับพฤติกรรมการเปิดรับสื่อในบริบทของจังหวัดปริมณฑล</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277711 ภาพสะท้อนปัญหาสังคมในนวนิยายเรื่องแค่อยากให้น้องไม่ต้องร้องไห้ และเด็กชายในกองขยะของอุเทน พรมแดง 2024-12-25T15:22:53+07:00 ธัญรดา แก้วประถม พัชลินจ์ จีนนุ่น และปิยธิดา คงวิมล phatchalinj@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาพสะท้อนปัญหาสังคมในนวนิยาย ของอุเทน พรมแดง เรื่อง<em>แค่อยากให้น้องไม่ต้องร้องไห้</em> และ<em>เด็กชายในกองขยะ</em> สำนักพิมพ์อินเทรนด์<br>พิมพ์เผยแพร่ปี 2565-2566 ใช้แนวคิดปัญหาสังคมเป็นแนวทางวิเคราะห์ นำเสนอด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า นวนิยายของอุเทน พรมแดง สะท้อนให้เห็นปัญหาสังคมอย่างเด่นชัด 6 ประการด้วยกัน ได้แก่ 1) ภาพสะท้อนปัญหาครอบครัวที่มีทั้งการหย่าร้าง การใช้ความรุนแรง<br>กับเด็ก การกระทำชำเราเด็ก และการทอดทิ้งเด็ก 2) ภาพสะท้อนปัญหาของสถาบันการศึกษา<br>ที่มองข้ามปัญหาของเด็ก 3) ภาพสะท้อนปัญหาการทุจริตและการประพฤติมิชอบของสถาบันการเมืองการปกครอง 4) ภาพสะท้อนปัญหาของมูลนิธิดูแลเด็กที่แสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก <br>5) ภาพสะท้อนปัญหาของสถาบันทางศาสนาที่ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน และ 6) ภาพสะท้อนปัญหาความเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจและศีลธรรมของคนในสังคม ผู้แต่งนำเสนอผ่านพฤติกรรมของตัวละครและฉากที่ชวนสลดหดหู่ เพื่อตอกย้ำให้เห็นปัญหาทางสังคมอย่างเด่นชัดมากขึ้น</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277714 Euphemismen in der Online-Berichterstattung deutschsprachiger Zeitungen: Eine korpusbasierte Analyse 2024-12-25T15:29:42+07:00 ประภาวดี กุศลรอด kusolrod_p@rumail.ru.ac.th <p>Hauptziel dieser Arbeit ist es, Themengebiete, Form und Funktion von Euphemismen in der Online-Berichterstattung ausgewählter deutschsprachiger Zeitungen zuuntersuchen. Die Ergebnisse der Studie zeigen, dass Euphemismen Auswirkungen auf unsere Alltagssprache haben. Sie beschönigen und umschreiben Unerfreuliches. Meist werden sie beispielsweise in Gebrauch genommen, um Tabuthemen zu umschiffen, anstatt sie direkt auszusprechen. Euphemismen finden sich in fast allen Bereichen des Lebens. Besonders häufig sind sie im gesellschaftlichen, politischen und wirtschaftlichen Sprachgebrauch anzutreffen. Euphemismen können auf unterschiedliche Art und Weise ausgedrückt werden, z.B. durch Umschreibung, Synonyme, Metaphern,Redewendungen, Abkürzungen und Anglizismen. Durch Euphemismen entstehen viele neue Wörter und Ausdrücke, die im Deutschunterricht vermittelt werden sollten. Der Einsatz von Euphemismen ermöglicht eine motivierende, lernzentrierte und handlungsorientierte Sprachvermittlung. Da Texte mit Euphemismen authentische Kulturprodukte sind, kann die Arbeit mit ihnen nicht nur zur Erweiterung der Lese- und Sprachkompetenz der Lernenden, &nbsp;sondern auch zur Förderung ihrer interkulturellen Medienkompetenz beitragen.</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277716 日本人のホタル観:江戸時代まで 2024-12-25T15:36:02+07:00 พรทิพย์ วาคาบายาชิ porntip.w@rumail.ru.ac.th <p>現在、日本人はホタルと多様な係わり方を持っている。大別すれば学芸面、観光面、自然保護面、研究面、教育面等になる。日本人のホタルとの係わりは江戸時代、特に後期に大きく変わる。そして、ホタルとの係わりが紆余曲折を経て現在の多面的な係わりに発展するが、この論考では変換点になる江戸後期までのホタル観の変遷を見て行く。中国の影響を受けたホタル観が日本的な思いを内に秘めるホタル観に代わり、庶民の暮らしの向上と共にホタルが行楽の対象になり、都市化された町では商品化されるまでの変化である。ホタルの光はどの国でも人を引き付ける魅力をもつものだが、日本ほど多面的な係わりをする国は世界にはないと考えられる。このことがこの論考を始めようと思った契機である。</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277717 ความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมจากชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในจังหวัดเชียงใหม่ 2024-12-25T15:48:28+07:00 ปฏิญญา บุญมาเลิศ และอัญชลี รัตนธรรม patinya@rumail.ru.ac.th <p>บทความนี้เป็นการศึกษาโครงสร้างของชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในจังหวัดเชียงใหม่ และศึกษาวัฒนธรรมที่สะท้อนจากชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในจังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า ชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในจังหวัดเชียงใหม่มีจำนวน 87 ชื่อสถานที่ สามารถจำแนกรูปแบบโครงสร้างของชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้ 5 รูปแบบ ดังนี้ 1) ภูมิประเทศ +ลักษณะเฉพาะ เช่น ดอยหัวสิงห์ ผาเงิบ 2) ภูมิประเทศ + ชื่อเฉพาะ เช่น ดอยปู่หมื่น น้ำตกสิริภูมิ 3) ภูมิประเทศ + ชุมชน เช่น น้ำพุร้อนบ้านหนองครก ถ้ำเมืองออน 4) ภูมิประเทศ + <em>คุณสมบัติ</em> เช่น ออบหลวง ป่าพันปี และ 5) ภูมิประเทศ + ลักษณะเฉพาะ + <em>คุณสมบัติ</em> เช่น น้ำตกห้วยทรายเหลือง ผาสิงห์เหลียว สำหรับ วัฒนธรรมที่สะท้อนจากชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในจังหวัดเชียงใหม่ สามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้ 1) ชื่อสะท้อนถึงลักษณะเด่นทางกายภาพในท้องถิ่น <br>ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศแบบแหล่งน้ำ พื้นที่สูง และป่าไม้ ที่มีความสำคัญและเป็นเอกลักษณ์<br>ที่โดดเด่นในจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ มีการบ่งบอกถึงลักษณะอันจำเพาะของพื้นที่ ด้วยการใช้ชื่อพืชพรรณ หรือการเปรียบเทียบ หรือการใช้จำนวนนับ ในการขยายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ 2) ชื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ กล่าวคือ จังหวัดเชียงใหม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนขยายเป็นชุมชนที่มีบทบาทต่อสังคมและวัฒนธรรมล้านนา และ 3) ชื่อสะท้อนถึงความเชื่อเรื่องพุทธ ผี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการหล่อหลอมความเชื่อเรื่องดังกล่าวเข้ากับการตั้งชื่อ</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277718 คำสัญญาเมื่อครารุ่งสาง ( La Promesse de l’aube) ของโรแมง การี 2024-12-25T15:54:37+07:00 พุฒิตา สงวนไทร เลอแพรงซ์ poottipan@yahoo.com <p>คงไม่เกินจริงนักถ้าเราจะกล่าวว่า “<em>คำสัญญาเมื่อครารุ่งสาง</em>” คือคำประกาศความรักของนักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งที่มีต่อมารดาของตนผ่านตัวอักษร ผลงานชิ้นนี้จัดอยู่ในกลุ่มงานประพันธ์ประเภทอัตชีวประวัติ (l’autobiographie) แม้ว่าผู้ประพันธ์มิได้ยอมรับหนักแน่นนัก แต่ต้องถือได้ว่าคู่ควรกับการได้รับพิจารณาในฐานะงานวรรณกรรมแนวอัตชีวประวัติที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งในศตวรรษ<br>ที่ ๒๐ นอกจากจะทำหน้าที่เป็นเอกสารบอกเล่าการเติบโตผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตของผู้เขียน ตามหน้าที่ที่งานประพันธ์แนวอัตชีวประวัติที่ดีพึงมี ผลงานชิ้นนี้ยังเปรียบเสมือนอนุสรณ์แห่งความรักที่มารดาคนหนึ่งมีต่อบุตรของตน และการสำนึกพระคุณของบุตรชายต่อมารดา</p> <p>โรแมง การีกล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัตชีวประวัติของตน แต่ไม่ใช่อัตชีวประวัติเสียทีเดียว “Ce livre est d’inspiration autobiographique, mais ce n’est pas une autobiographie.” <em>Autour du spectacle</em>.” [archive du 26 août 2018], sur www.abcdijon.org, 18 octobre 2011 (consulté le 28 mars 2223).</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277721 คำแนะนำสำหรับผู้เขียน 2024-12-25T16:07:21+07:00 บรรณาธิการ dulyawit.n@rumail.ru.ac.th <p>วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ โดยคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นวารสารวิชาการราย 6 เดือน ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) ทั้งนี้อาจจะมีวารสารฉบับพิเศษ (Special issue) หรือฉบับที่ตีพิมพ์บทความจากการประชุมวิชาการ (Conference proceeding) ผู้เขียนทุกท่านสามารถส่งบทความด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่&nbsp; ภาษา ภาษาศาสตร์ วรรณคดี วรรณกรรม คติชนวิทยา วัฒนธรรม การท่องเที่ยว ปรัชญา&nbsp; ประวัติศาสตร์ บรรณารักษศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มาขอรับการพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่ได้ตลอดทั้งปี</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/277872 บทบรรณาธิการ 2025-01-02T12:02:36+07:00 บรรณาธิการ rungbhassorn.s@rumail.ru.ac.th <p>วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีกำหนดเผยแพร่ราย 6 เดือน ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) &nbsp;ทั้งนี้อาจมีวารสารฉบับพิเศษ (Special issue) หรือฉบับที่ตีพิมพ์บทความจากการประชุมวิชาการ (Conference proceedings) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิชาการ ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ ภาษา ภาษาศาสตร์ วรรณคดี วรรณกรรม คติชนวิทยา วัฒนธรรม การท่องเที่ยว ปรัชญา&nbsp; ประวัติศาสตร์ บรรณารักษศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา</p> 2024-12-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025