วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru <p>วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่บทความทางวิชาการและบทความวิจัยทางด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ แยกเป็นสาขาย่อย ทางการศึกษา และการพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือสาขาอื่นที่มีความเกี่ยวข้องของนักศึกษา อาจารย์ บุคลากรและผู้ที่สนใจทั่วไป ซึ่งพิมพ์ออกเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ (มกราคม-เมษายน, พฤษภาคม-สิงหาคม และ กันยายน-ธันวาคม) บทความทุกเรื่องจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-Blind Review)</p> en-US captpairop@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพรภ รัตนชูวงศ์) educrru2121@gmail.com (นางสาวกรนิกา เมืองมูล) Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ เรื่องชีวิตพืช ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/276868 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ชีวิตพืช ให้ผ่านเกณฑ์ระดับดีขึ้นไป ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านเหล็กกกกอกสามัคคี จำนวน 12 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ และ 2) ชุดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4 ทักษะ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ผลการศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ วงจรปฏิบัติการปฏิบัติที่ 1 พบว่านักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ระดับดี มีจำนวน 7 คน มีคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์รวมคิดเป็นร้อยละ 57.29 (x ̅ = 9.17, S.D. = 2.41) วงจรปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ระดับดี มีจำนวน 2 คน มีคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์รวมคิดเป็นร้อยละ 86.98 (x ̅ = 13.92, S.D. = 2.11) วงจรปฏิบัติการที่ 3 นักเรียนผ่านเกณฑ์ระดับดีทุกคน มีคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์รวมคิดเป็นร้อยละ 100 (x ̅ = 14.92, S.D. = 1.24)</p> จุฑามาศ มูลมณี, พรรณวิไล ดอกไม้ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/276868 Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับครอบครัว โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซักค้าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ค่ายนารายณ์ศึกษา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277142 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซักค้าน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจหลังการใช้รูปแบบการสอนแบบซักค้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาหน้าที่พลเมือง ภาคเรียนที่ 1/2567 โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ค่ายนารายณ์ศึกษา จำนวน 41 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงจากห้องเรียนที่มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเรื่อง กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับครอบครัว โดยเฉลี่ยต่ำที่สุด เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 แผน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับครอบครัว จำนวน 20 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่า t แบบ 2 กลุ่มสัมพันธ์กัน (Dependent Sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซักค้าน พบว่า ได้แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 15 แผน มีผลการประเมินความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.88, S.D. = 0.17) 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (𝑥̅ = 17.65, S.D. = 0.62) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจหลังการใช้รูปแบบการสอนแบบซักค้าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.38, S.D. = 0.64)</p> สิริยากร วงษ์ศรี, วีรวิชญ์ บุญส่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277142 Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบการตระหนักรู้ในตนเอง จากการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎี อัตถิภาวนิยมและชุดกิจกรรมแนะแนวแบบปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277205 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบการตระหนักรู้ในตนเองของนักเรียน ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมเพื่อพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเอง 2) เปรียบเทียบการตระหนักรู้ในตนเองของนักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมเพื่อพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเองกับนักเรียนที่ได้รับการแนะแนวแบบปกติ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ที่มีคะแนนเฉลี่ยการตระหนักรู้ในตนเองน้อยที่สุด 2 ห้องเรียน จากนั้นสุ่มอย่างง่ายเพื่อเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบวัดการตระหนักรู้ในตนเอง ชุดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมเพื่อพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเอง และการแนะแนวแบบปกติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน และการทดสอบค่าทีแบบเป็นอิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภายหลังการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมเพื่อพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเอง นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนการตระหนักรู้ในตนเองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) ภายหลังการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีอัตถิภาวนิยมเพื่อพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเอง นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนการตระหนักรู้ในตนเองสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการแนะแนวแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ธัญลักษณ์ แสนชัย, จุรีรัตน์ นิลจันทึก, นิรนาท แสนสา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277205 Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277433 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ผู้ทรงวุฒิจำนวน 9 คน และเก็บข้อมูลจากกกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 400 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามหลักเกณฑ์ของ แฮร์ (Hair, et al., 2006) ที่กล่าวว่า การวิเคราะห์พหุตัวแปร (Multivariate analysis) ที่ใช้ประมาณในพารามิเตอร์ควรใช้ขนาดตัวอย่าง 400 หน่วย ขึ้นไป เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง <br />มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจโดยการหมุนแกนด้วยวิธีแวริแมกซ์ ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> องค์ประกอบคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดนครสวรรค์ มีทั้งสิ้น 8 องค์ประกอบ สามารถอธิบายสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 83.060 มีค่าไอเกน ระหว่าง 1.124 – 26.103 แต่ละองค์ประกอบเรียงลำดับค่าน้ำหนักจากมากไปหาน้อย คือ <br />1) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหาร มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.984 - 0.657 2) การสร้างวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.970 - 0.798 3) การจัดการทรัพยากรเทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.960 - 0.852 4) การสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.972 - 0.939 5 ) การพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.980 – 0.73 6) บุคลิกภาพของผู้นำทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.967 - 0.731 7) การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศในองค์กร มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.939 - 0.652 8) คุณธรรม จริยธรรม และกฎหมายวิชาชีพในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.977- 0.93</p> นิดตา อุดมสารี, สายทิตย์ ยะฟู, ปพนสรรค์ โพธิพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277433 Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/273117 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 และ (2) นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่ดังกล่าว การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาระดับความต้องการจำเป็น โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 103 คนเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เลือกแบบสุ่มแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น = 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (Modified Priority Needs Index: PNI Modified) ขั้นตอนที่ 2 เสนอแนวทางการพัฒนา โดยสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับผู้ให้ข้อมูลหลัก 5 ท่าน และวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ดัชนีความต้องการจำเป็นโดยรวม (PNI Modified) เท่ากับ 0.20 ซึ่งอยู่ในระดับที่แสดงถึงความจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมในทุกด้าน แนวทางการพัฒนาที่ได้เสนอแบ่งออกเป็น 5 ด้าน รวม 19 แนวทาง ได้แก่ ด้านทักษะการสื่อสารและการจูงใจ (4 แนวทาง) เช่น ผู้บริหารควรเป็นนักสื่อสารและผู้รับฟังที่มีประสิทธิภาพ ด้านความรู้ความสามารถ (5 แนวทาง) เช่น ผู้บริหารควรศึกษาทำความเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนเอง และยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ด้านการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม (4 แนวทาง) เช่น เปิดใจรับฟังและเรียนรู้ความถนัดของบุคลากร ส่งเสริมการประเมินตนเองและเพื่อนร่วมงาน ด้านการสร้างเครือข่าย (3 แนวทาง) เช่น กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน ระดมทรัพยากรจากภาคีเครือข่ายและชุมชน ด้านบุคลิกภาพ (3 แนวทาง) เช่น มีเจตคติที่ดี มองโลกในแง่บวก ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง</p> ปริญญา นิสดล, ธีระวัฒน์ มอนไธสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/273117 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนเอกชนในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277434 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนเอกชนในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 400 คน โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามแนวคิดของ Hair (Hair, 2010) โดยใช้เทคนิคการสุ่มอย่างง่าย ผู้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เอกสาร และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจโดยการหมุนแกนด้วยวิธีแวริแมกซ์ <br />ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนเอกชนในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน มีค่าร้อยละของความแปรปรวนสะสม 75.796 มีจำนวน 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัลมีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.550-0.764 2) การจัดการทรัพยากรในยุคดิจิทัล มีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.507-0.750 <br />3) การพัฒนาบุคลากรในยุคดิจิทัล มีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.515-0.687 4) การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล มีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.583-0.674 5) การมีภาวะผู้นำดิจิทัล มีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.550-0.656 6) การติดตามและประเมินผลมีค่าน้ำหนักอยู่ระหว่าง 0.515-0.759</p> พณิชา สีเข้ม, ทินกร ชอัมพงษ์, ปพนสรรค์ โพธิพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277434 Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการอ่านอย่างมีวิจารณญาณจากแผนผังความคิดร่วมกับ เทคนิคการอ่านแบบเน้นมโนทัศน์ (CORI) สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/273220 <p>งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาคือ เพื่อพัฒนารูปแบบการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อศึกษาความสามารถด้านอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีและเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการอ่านอย่างมีวิจารณญาณจากแผนผังความคิดร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบเน้นมโนทัศน์ (CORI) โดยศึกษาจากนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 จำนวน 15 คน จากการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบการอ่านอย่างมีวิจารณญาณจากแผนผังความคิดร่วมกับ เทคนิคการอ่านแบบเน้นมโนทัศน์ (CORI) จัดทำแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านและจัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจทางการเรียน โดยใช้เครื่องมือในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถและแบบสอบถาม จากการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบการอ่านอย่างมีวิจารณญาณจากแผนผังความคิดร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบเน้นมโนทัศน์ (CORI) นักศึกษาปริญญาตรี ระดับชั้นปีที่ 1 จำนวน 4 แผน มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 78 /80</li> <li>ความสามารถด้านอ่านอย่างมีวิจารณญาณก่อนเรียนและหลังเรียน รูปแบบการอ่านอย่างมีวิจารณญาณจากแผนผังความคิดร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบเน้นมโนทัศน์ (CORI) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 แสดงว่า ความสามารถด้านอ่านอย่างมีวิจารณญาณก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้รูปแบบการอ่านอย่างมีวิจารณญาณจากแผนผังความคิดร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบเน้นมโนทัศน์ (CORI) แตกต่างกัน โดยที่ค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียน (15.21) สูงกว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนก่อน เรียน (11.17)</li> <li>ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แผนผังความคิดร่วมกับเทคนิคการอ่านแบบเน้นมโนทัศน์ (CORI) ของนักศึกษาปริญญาตรี ระดับชั้นปีที่ 1 อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.70</li> </ol> วรรธนะรัตน์ ไชยวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/273220 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาปัญหาและความต้องการ การพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้ของ โรงเรียนบ้านไม้ตะเคียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277858 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาในการการจัดการเรียนรู้ของครู และ 2) ศึกษาความต้องการในการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้ โรงเรียนบ้านไม้ตะเคียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารและครู จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้แบบบันทึกการประชุมระดมสมอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา จัดหมวดหมู่แล้วนำมาหาความถี่ ร้อยละ จัดเรียงลำดับ ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาที่พบมากสุด คือ ด้านการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ ซึ่งครูไม่สามารถจัดบรรยากาศในชั้นเรียนได้หลากหลายและเหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน รองลงมาคือ ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานและตัวชี้วัดของหลักสูตร ปัญหาที่พบน้อยที่สุดคือ ครูขาดทักษะการวิจัยเพื่อพัฒนาพฤติกรรมผู้เรียน 2) ความต้องการในการพัฒนาครู พบว่า ครูต้องการให้มีการส่งเสริมพัฒนาต้องการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและหลักสูตรรายวิชาให้มีความสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา และพัฒนาทักษะการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยวิธีการอบรม ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้นอกจากนี้ ยังต้องการการสนับสนุนจากผู้บริหารในการพัฒนาตนเองตามความสนใจ และแนวทางที่ชัดเจนในการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา</p> อนันต์ เตชะระ, สายฝน แสนใจพรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/277858 Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700 Digital Transformation of Human Resources Management in the Era of Artificial Intelligence https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/276953 <p> In the era of artificial intelligence, higher education human resource management faces new opportunities and challenges. As an important place for knowledge inheritance and innovation, the level of human resource management in universities is crucial for their development. The digital transformation of human resource management aims to break the limitations of traditional management models through digital means, achieve efficient information circulation and sharing, thereby improving management efficiency, and provide more high-quality and personalized services for teachers and students. This article analyzes the necessity of the digital transformation of human resource management in universities, discusses the challenges faced by the digital transformation of human resource management in universities, and proposes corresponding transformation strategies to improve the level of human resource management in universities.</p> Sukanya Somsuptrakul, Mattana Wangthanomsak , Yangruimin Yang ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jeducrru/article/view/276953 Sun, 07 Sep 2025 00:00:00 +0700