วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต</strong><br />วารสารนโยบายและกฎหมายสาธารณสุข (PH.PL) จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำเพื่อให้บริการแก่นักวิจัย</p> <p>จุดมุ่งหมายคือการเผยแพร่ผลงานวิจัยคุณภาพสูงในสาขาต่างๆ ของงานสาขาสังคมศาสตร์ เช่น นโยบายสุขภาพ กฎหมายสุขภาพ สังคมศาสตร์การแพทย์ เศรษฐศาสตร์สุขภาพ ระบบสุขภาพ การบริหารงานสาธารณสุข <span style="font-size: 0.875rem;"> </span><span style="font-size: 0.875rem;">สุขศึกษาและการสื่อสารนโยบายทางสุขภาพ</span><span style="font-size: 0.875rem;"> </span><span style="font-size: 0.875rem;">และเรื่องที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขทุกประเภท การสนับสนุนวารสาร สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบบทความวิจัยหรือบทความวิชาการ วารสารนี้จัดพิมพ์ปีละสามฉบับในเดือนมกราคม พฤษภาคม และกันยายน</span></p> <p><strong>ประเภทบทความที่ผู้สนใจ</strong> ได้แก่ บทความวิจัย บทความวิชาการ มุมมองทางวิชาการด้านสาธารณสุข และกฎหมายที่น่าสนใจ</p> <p><strong>ระยะเวลา: </strong>พิจารณาบทความไม่น้อยกว่า 7-10 วัน</p> <p><strong>คุณภาพของบทความ: </strong>คุณภาพของบทความได้รับการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่านจากสถาบันต่างๆ</p> <p>วารสารที่เผยแพร่ความรู้ ผลงานวิจัย ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในทางวิชาการด้านกฎหมาย นโยบายสาธารณสุข ระบบสุขภาพ การบริหารงานสาธารณสุข และงานที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขทุกประเภท</p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong>ที่ผู้สนใจสามารถลงได้ ได้แก่ บทความวิจัย บทความวิชาการ มุมมองทางวิชาการเกี่ยวกับสาธารณสุข และกฎหมายที่น่าสนใจ</p> <p><strong>ระยะเวลา</strong>ในการพิจารณาบทความ ไม่น้อยกว่า 7-10 วัน </p> <p><strong>การตรวจสอบคุณภาพบทความก่อนลงในวารสาร </strong></p> <p>มีการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (peer reviewer) ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน </p> <p> </p> en-US <p><strong>Disclaimer and Copyright Notice</strong></p> <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงเสมอ</p> nithat.sir@gmail.com (Research Institute for Community Happiness and Leadership Foundation) phlaw.journal@gmail.com (Khun Anongnut Boonrueangnam) Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 สารบัญ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/283330 ศ.ดร.นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/283330 Tue, 02 Sep 2025 00:00:00 +0700 การถอดบทเรียนการเรียนรู้ระบบสุขภาพปฐมภูมิแบบสหวิชาชีพ สถาบันพระบรมราชชนก ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280833 <p> สถานการณ์ทางสุขภาพและความเจ็บป่วยของผู้คนยุคนี้ มีความซับซ้อนหลายมิติ แนวทางการดูแลจึงต้องปรับเปลี่ยนให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง องค์การอนามัยโลกเห็นความสำคัญและแนะนำให้ยกระดับการจัดการเรียนการสอนกลุ่มวิชาชีพด้านสุขภาพให้เกิดการบูรณาการมากขึ้น การเรียนรู้แบบสหวิชาชีพ จึงถูกจุดประกายขึ้น เพื่อให้นักศึกษาสถาบันพระบรมราชชนก มีโอกาสเรียนรู้ร่วมกันผ่านมุมมองและประสบการณ์การดูแลสุขภาพของวิชาชีพอื่น ๆ ภายใต้สถานการณ์ และภาวะสุขภาพที่เกิดขึ้น โดยความร่วมมือสนับสนุนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ สุขภาพดีถ้วนหน้า</p> <p> สถาบันพระบรมราชชนก จัดการศึกษาแบบสหวิชาชีพที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีนักศึกษาแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ สาธารณสุขชุมชน ทันตสาธารณสุข ฉุกเฉินการแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ เทคโนโลยีนวัตกรรมการสื่อสาร รังสีเทคนิค เวชระเบียน และอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อเตรียมรองรับกับระบบสุขภาพปฐมภูมิ ภายใต้นโยบาย แผนงานโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัว ตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย (๙ หมอ) สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 จากการมีกลไกการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ การบริการสุขภาพปฐมภูมิที่มีมาตรฐาน และลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการสุขภาพปฐมภูมิ และการดูแลสุขภาพอย่างองค์รวม ต่อเนื่อง ผสมผสาน ส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรง เจ็บป่วยลดลง เป็นการสร้างความเป็นธรรมและความมั่นคงด้านสุขภาพให้เกิดขึ้นในสังคมและประเทศ</p> วิชัย เทียนถาวร, ณรงค์ ใจเที่ยง , ดุสิต สกุลปิยะเทวัญ, ณัฐปาลิน นิลเป็ง, เพ็ญพรรณ พิทักษ์สงคราม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280833 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 พัฒนาการเด็กปฐมวัยและปัจจัยทางนิเวศวิทยาที่เกี่ยวข้องในช่วงอายุ 3-5 ปี ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ในจังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280513 <p>การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยก่อนเข้าเรียน ในประเทศไทย ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี พบว่าพัฒนาการสงสัยล่าช้ามีแนวโน้มสูงอย่างน่ากังวล การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินพัฒนาการของเด็กอายุ 3–5 ปี ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และ 2) หาความสัมพันธ์ ระหว่าง ปัจจัยส่วนบุคคล ระหว่างบุคคล และชุมชน กับพัฒนาการสงสัยล่าช้า ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดทางนิเวศวิทยาของบรอนเฟนเบรนเนอร์ (Bronfenbrenner’s Ecological Model) การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ ดำเนินการในกลุ่มเด็กไทยอายุ 3–5 ปี ที่มีข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสุขภาพ (Health Data Center: HDC) ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2565 เก็บข้อมูลผ่านแบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) และแบบสอบถามผู้ดูแลเด็ก ใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน รวมถึงการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า เด็กมีพัฒนาการสงสัยล่าช้า ร้อยละ 55.56 ด้านที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา และการใช้ภาษา เด็กที่ผู้ดูแลได้รับคู่มือ DSPM แต่ไม่ได้ใช้ มีแนวโน้มสงสัยพัฒนาการล่าช้าสูงกว่า 1.69 เท่า (p &lt; 0.001) ปัจจัยสนับสนุนจากชุมชน ระบบบริการสุขภาพ และนโยบายในช่วงโควิด 19 มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อพัฒนาการเด็ก</p> <p>สรุปผลการศึกษาได้ว่าปัจจัยหลายระดับ โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้ดูแลและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโรคโควิด 19 มีความสัมพันธ์อย่างมากกับภาวะพัฒนาการสงสัยล่าช้า ดังนั้นการสนับสนุนเชิงนโยบายด้วยการเสริมสร้างระบบส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน และการสนับสนุนผู้ดูแลเด็ก เป็นสิ่งจำเป็นในการยกระดับผลลัพธ์ด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตด้านสาธารณสุข</p> <p>&nbsp;</p> สุกัญญา รวบรวม, ฉวีวรรณ บุญสุยา, คัติยา อีวาโนวิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280513 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280631 <p>Maintaining the nursing workforce in hospitals is a challenge to human resources management. This descriptive cross-sectional study, the objectives of this study were identified the level of intension to stay and investigated the factors associated with the registered nurses’ intension to stay in a university hospital. A sample of 372 registered nurses (96.62%) with at least one year of work experience was selected using a stratified random sampling method. Data were collected through a self-administered questionnaire. The data analysis was using descriptive statistics, including percentages, means, and standard deviations, as well as inferential statistics, such as Spearman’s correlation analysis, Chi-square analysis and Pearson correlation analysis to examine associations. </p> <p><strong>Results :</strong></p> <p> The study found that the intention to stay among the nurses was at a moderate level (Mean = 3.08±1.09). Age, income, marital status, education level, work experience and weekly working hours were significantly associated with the intention to stay in the registered nurses (p-value &lt; 0.05). Happiness at work showed a moderate positive correlation (r = 0.42, p-value &lt; 0.001).</p> <p> The results of this study provide empirical evidence for nursing administrators to use in planning, improving operational practices, and developing guidelines for retain personnel within the organization.</p> ณัฐธิดา หวั่นท๊อก, ยุวนุช สัตยสมบูรณ์, จุฑาธิป ศีลบุตร, อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280631 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวโน้มความสำเร็จในการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในเด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี ในเขตสุขภาพที่ 4 ประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280581 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มความสำเร็จในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน 2 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<br>ในเขตสุขภาพที่ 4 โดยมี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ปฎิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในจังหวัดนนทบุรี จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 301 คน คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ออนไลน์ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ความถี่ ร้อยละ วิเคราะห์ค่าสถิติไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับความพร้อมด้านระบบสุขภาพ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 49.20 ถึง ระดับสูง ร้อยละ 35.90 ระดับด้านการรับรู้ด้านนโยบายและอุปสรรคต่อการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 68.88 ระดับแนวโน้มความสำเร็จในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ อยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 46.18 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มความสำเร็จในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี ในเขตสุขภาพที่ 4 ได้แก่ ปัจจัยความพร้อมด้านระบบสุขภาพ 7 ด้าน คือ 1) ด้านภาวะผู้นำและการอภิบาลระบบ 2) ด้านระบบบริการสุขภาพ 3) ด้านกำลังคนด้านสุขภาพ 4) ด้านระบบข้อมูลสารสนเทศด้านสุขภาพ 5) ด้านการเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น 6) ด้านระบบสุขภาพชุมชน มีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง 7) ด้านการเงินการคลัง มีความสัมพันธ์ระดับสูง ส่วนปัจจัยด้านการรับรู้นโยบายเกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีความสัมพันธ์ระดับต่ำ และด้านอุปสรรคต่อการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความสัมพันธ์ระดับต่ำทางลบ กับแนวโน้มความสำเร็จในการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มอายุ 6 เดือน 2 ปี ในเขตสุขภาพที่ 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value &lt;0.001)</p> <p>ผลจากการศึกษาครั้งนี้ สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนานโยบาย แนวทางปฏิบัติ และนำไปปรับปรุงระบบการบริหารจัดการวัคซีน ระบบการให้บริการวัคซีนในหน่วยบริการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือวัคซีนอื่น ๆ ในกลุ่มเด็กต่อไปในอนาคต</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: แนวโน้มความสำเร็จการฉีดวัคซีน,ความสำเร็จในการบริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่,การให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่,การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในเด็กอายุ 6 เดือน 2 ปี</p> กวินพัฒน์ อรเนตร, ศริยามน ติรพัฒน์, ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ, มณฑา เก่งการพานิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280581 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ของบุคลากรทางการแพทย์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280711 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ของบุคลากรทางการแพทย์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ กรมควบคุมโรค จำนวน 347 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติไคสแควร์ และสถิติวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีความความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ได้แก่ สถานภาพสมรส ตำแหน่งงาน ประวัติการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ปัจจัยนำ ได้แก่ ความรู้ และทัศนคติ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม โดยปัจจัยเสริม มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ในระดับปานกลาง ส่วนปัจจัยนำ ได้แก่ ความรู้ และทัศนคติ และปัจจัยเอื้อ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; 0.05)</p> <p>ผลจากการศึกษาครั้งนี้ ใช้เป็นข้อมูลสำหรับผู้บริหารกรมควบคุมโรค สามารถนำผล จากการศึกษาไปใช้ในการกำหนดนโยบาย และมาตรการในการส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ของกรมควบคุมโรคเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ให้เพิ่มมากขึ้นได้อย่างเหมาะสมต่อไป</p> ภัสราภรณ์ นาสา, จุฑาธิป ศีลบุตร, อุทุมพร วงษ์ศิลป์ , ศริยามน ติรพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280711 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280435 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด กลุ่มตัวอย่างเป็น สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้อำนวยการ/รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ/ผู้แทนผู้อำนวยการสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 360 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบไคสแควร์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ &lt; 0.05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยรวมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 50.30) และขนาดของหน่วยบริการ บรรยากาศองค์การ การสนับสนุนจากองค์การ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และการมีส่วนร่วมของชุมชน มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ผลการวิจัยนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยเป็นข้อมูลสนับสนุนให้ผู้บริหารสามารถนำไปกำหนดนโยบายและทิศทางการปฏิบัติงานการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิในระยะต่อไป</p> สุกัญญา ทะมังกลาง, ศริยามน ติรพัฒน์, ยุวนุช สัตยสมบูรณ์, อุทุมพร วงษ์ศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280435 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 การดำเนินงานทางการเงินการคลังของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล : กรณีศึกษาเขตสุขภาพที่ 5 ภายใต้สถานการณ์ถ่ายโอนภารกิจ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280675 <p>การศึกษาเชิงสำรวจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการบริหารระบบบริการสุขภาพและคุณลักษณะของหน่วยบริการกับการดำเนินงานทางการเงินการคลังของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กรณีศึกษา เขตสุขภาพที่ 5 ภายใต้สถานการณ์ถ่ายโอนภารกิจ กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจเข้าสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวนตัวอย่าง 269 แห่ง แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.91 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่า ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด-สูงสุด และวิเคราะห์ค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการบริหารระบบบริการสุขภาพ โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด และการดำเนินงานทางการเงินการคลัง โดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ในการศึกษาความสัมพันธ์กระบวนการบริหารระบบบริการสุขภาพ ได้แก่ ด้านความร่วมมือ ด้านยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ด้านการประสานงาน และด้านการจัดบริการ และคุณลักษณะหน่วยบริการ ด้านขนาดหน่วยบริการ มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานทางการเงินการคลังของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล</p> <p> ข้อเสนอแนะ สามารถนำเสนอต่อคณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดสรรและโอนงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ และยังสามารถเสนอต่อองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการทางการเงินการคลังในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่โอนย้ายไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> ณัฐพงศ์ การดำริห์, ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ, อุทุมพร วงษ์ศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280675 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ความผูกพันองค์การของบุคลากรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280754 <p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันองค์การของบุคลากรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ google form เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล จากบุคลากรของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป &nbsp;&nbsp;&nbsp;เก็บข้อมูลในระว่างวันที่ 20 ตุลาคม - 16 ธันวาคม 2566 จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 366 คน&nbsp; คิดเป็นร้อยละ 73.6 วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยใช้การแจกแจงค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s correlation Coefficient) และสถิติไคสแควร (Chi Square test)&nbsp; ศึกษาหาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อระดับความผูกพันองค์การ ใช้สถิติวิเคราะห์แบบสมการถดถอยพหุคูณ (Multiple regression Analysis) แบบ enter เพื่อทำนายความผูกพันองค์การโดยที่กำหนด&nbsp;&nbsp; ค่าระดับนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ (p-value&lt;0.05) และใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for windows ในการประมวลผลของข้อมูล</p> <p>&nbsp; ผลการศึกษาพบว่าความผูกพันองค์การ ของบุคลากรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อยู่ในระดับปานกลางถึงระดับมาก ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผูกพันองค์การ ของบุคลากรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.0001) ได้แก่ มิติบรรทัดฐานด้านความสำเร็จ (Achievement norms) มิติบรรทัดฐานด้านความเป็นจริงแห่งตน (Self-Actualizing norms) มิติบรรทัดฐานด้านตัวบุคคล (Humanistic-Encouraging norms) มิติบรรทัดฐานด้านสัมพันธภาพ (Affiliative norms), ( r = 0.590, 0.632, 0.189, 0.708) ตามลำดับ ส่วนปัจจัยทำนายความผูกพันองค์การ ของบุคลากรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ มิติบรรทัดฐานด้าน ตัวบุคคล (Humanistic-Encouraging norms) ด้วยขนาดความสัมพันธ์ (Beta = 1.529) และมิติบรรทัดฐานด้านสัมพันธภาพ (Affiliative norms) เท่ากับ 1.529 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ด้วย R Square เท่ากับ 0.72&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การนำผลของวิทยานิพนธ์ไปใช้</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษามีปัจจัยมิติบรรทัดฐานด้านตัวบุคคล และ มิติบรรทัดฐานด้านสัมพันธภาพ ที่คณะผู้บริหารสามารถใช้เป็นแนวทางการสร้าง ความผูกพันองค์การ ด้วยการจัดกิจกรรม เช่น การสร้างความสามัคคีในหน่วยงาน ปลูกฝังให้ทุกคนตระหนักถึงประโยชน์ขององค์การมากกว่าประโยชน์ของตนมีทัศนคติเชิงบวก สร้างความเข้าใจและยอมรับในการอยู่ร่วมกันด้วยความเสมอภาค อีกทั้งควรมีการส่งเสริมด้านความก้าวหน้าในงานเพิ่มขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนออกไปในการทำงาน ความสำเร็จตามเป้าหมายองค์การ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ในงานให้กับบุคลากรเพื่อสร้างความยั่งยืนในองค์การ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์&nbsp; ความผูกพันองค์การ วัฒนธรรมองค์การเชิงสร้างสรรค์</p> ศิริมาศ คำใส, ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ, ศริยามน ติรพัฒน์, ระพีพันธ์ จอมมะเริง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280754 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 การป้องกันการจมน้ำในเด็กของครัวเรือนในพื้นที่เสี่ยงสูง อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280997 <p>การวิจัยพรรณนาภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) นี้ เพื่อศึกษาการป้องกันการจมน้ำในเด็กและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการป้องกันการจมน้ำในเด็กของครัวเรือนในพื้นที่เสี่ยงสูง อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว&nbsp; โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างคือครัวเรือนที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 382 ครัวเรือน&nbsp; ผู้ให้ข้อมูลคือผู้ทำหน้าที่ดูแลเด็กเป็นหลักและอาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างน้อย 3 ปี&nbsp; วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS version 18.0 สถิติเชิงพรรณนาที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และสถิติเชิงอนุมานที่ใช้ได้แก่ ไคสแควร์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(Chi-square) และ Fisher's exact test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าครัวเรือนมีการปฏิบัติในการป้องกันการจมน้ำภาพรวมในระดับต่ำร้อยละ 66.0 โดยมีการป้องกันระดับต่ำทุกด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนร้อยละ 64.7&nbsp; การอบรมร้อยละ 68.1 พฤติกรรมเสี่ยงต่อการจมน้ำในเด็กร้อยละ 73.6&nbsp; และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยร้อยละ 71.7 ผู้ดูแลเด็กมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการจมน้ำในเด็กอยู่ในระดับปานกลางร้อยละ 53.1 มีทักษะการป้องกันการจมน้ำระดับสูงร้อยละ 57.3 มีการรับรู้สถานการณ์ระดับต่ำร้อยละ 87.2&nbsp; ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติในการป้องกันการจมน้ำในเด็ก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(<em>P</em> &lt; 0.05)&nbsp; ได้แก่ การรับรู้ต่อสถานการณ์การป้องกันการจมน้ำในเด็ก รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน การมีแหล่งน้ำในบ้าน และการมีเด็กอายุ 6-14 ปี&nbsp; ข้อเสนอแนะจากการวิจัยควรเสริมสร้างความรู้และทักษะปฐมพยาบาลแก่ผู้ดูแลเด็กผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติในชุมชน ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในครัวเรือนโดยติดตั้งรั้วและจัดหาอุปกรณ์ช่วยชีวิตสำหรับเด็ก และส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือในระดับชุมชนเพื่อเผยแพร่ความรู้และสร้างพฤติกรรมปลอดภัยอในการป้องกันและลดอัตราการจมน้ำในเด็กในพื้นที่เสี่ยง</p> ชาญชัย มานะเฝ้า, ทัศนีย์ ศิลาวรรณ, ไกรชาติ ตันตระการอาภา, ภูเบศร์ แสงสว่าง, พัชนา เฮ้งบริบูรณ์พงศ์ ใจดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280997 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาวะปราศจากฟันน้ำนมผุในเด็กปฐมวัย ความรู้ ทัศนคติ แรงจูงใจของครูผู้ดูแลเด็ก และกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพช่องปากในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดอุบลราชธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280785 <p>การศึกษาเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาวะปราศจากฟันผุ และการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพช่องปากของเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดอุบลราชธานี เก็บข้อมูลจากครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 279 คน และเจ้าหน้าที่ในหน่วยบริการสาธารณสุขที่เป็นพื้นที่ศึกษา จำนวน 136 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา<br>ผลการศึกษาพบว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีอัตราเด็กปราศจากฟันผุในระดับสูง ร้อยละ 50.2 ครูส่วนใหญ่มีความรู้ ทัศนคติและแรงจูงใจในระดับสูง (ร้อยละ 95.3, 69.9 และ 62.4 ตามลำดับ) แต่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนบางประการเกี่ยวกับการดูแลฟันน้ำนม การตรวจช่องปาก และการใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ศูนย์ส่วนใหญ่ดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพช่องปากได้ดีมาก (ร้อยละ 94.3) แต่มีข้อจำกัดด้านบุคลากร งบประมาณ และเทคโนโลยี การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 54.1) แต่ยังขาดบทบาทในการกำหนดนโยบายร่วมกัน หน่วยบริการสาธารณสุขมีการจัดบริการ<br>ที่ครอบคลุมทุกประเด็น (ร้อยละ 87.5–94.1) แต่กลับพบว่าสัดส่วนศูนย์ที่มีเด็กปราศจากฟันผุระดับต่ำมีมากกว่าระดับสูง สะท้อนถึงประสิทธิผลที่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพการดำเนินงานและพัฒนาความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เพื่อจัดสรรทรัพยากรและส่งเสริมแรงจูงใจของครูในการสร้างผลลัพธ์ด้านสุขภาพช่องปากที่ยั่งยืน</p> วิจิตรา กุกำจัด, อังศนา บุญธรรม, อุมาวดี เลาทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280785 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 การจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280736 <p> การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวาง (Cross-Sectional Study) โดยมีประชากร คือ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่กระทรวงสาธารณสุข อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี จำนวน 306 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติไคสแควร์ (Chi- square) และสถิติการถดถอยโลจิสติก (Binary Logistic Regression Analysis) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ในพื้นที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ สถานภาพสมรส รายได้จากการประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ประสบการณ์การเกิดอุบัติเหตุ ปัจจัยการรับรู้ด้านกฎหมายและการรับรู้ด้านนโยบายการขับขี่ ปัจจัยการรับรู้ด้านสภาพรถจักรยานยนต์ ปัจจัยการรับรู้สภาพแวดล้อมในการขับขี่ ปัจจัยด้านการรับรู้ทัศนคติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ปัจจัยที่มีส่งผลต่อการจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ในพื้นที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ 1.ประสบการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์รับจ้าง (AOR 1.90, p-value = 0.029, 95% CI; 1.069 - 3.379) 2.ระดับการรับรู้กฎหมายและนโยบายการบริหารจัดการ (AOR 2.55, p-value = 0.001, 95% CI; 1.459 - 4.487) 3. ระดับทัศนคติในการขับขี่รถจักรยานยนต์ (AOR 2.58,p-value = 0.001, 95% CI; 1.492 - 4.461) 4. ระดับสภาพรถจักรยานยนต์ (AOR 1.85,p-value = 0.043, 95% CI; 1.019 - 3.379)</p> <p> ผลจากการศึกษาครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขควรฝึกอบรมและให้ความรู้เพิ่มเติมแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและนโยบายการขับขี่ นอกจากนั้นควรส่งเสริมและสร้างทัศนคติในการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ดี พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างมีการจัดการและบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ให้อยู่ในสภาพดี เพื่อจะได้ลดการเกิดอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ในพื้นที่กระทรวงสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> จริยา ดำรงศักดิ์, ยุวนุช สัตยสมบูรณ์, Seo Ah Hong, ศริยามน ติรพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280736 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยกำหนดสุขภาพที่ส่งผลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280683 <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณแบบภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐระดับปฐมภูมิ จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือ ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอบางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จำนวน 326 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ด้วยสถิติวิเคราะห์ &nbsp;Chi-square Test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การเข้าถึงบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 65.0) สัดส่วนการใช้บริการหน่วยบริการปฐมภูมิ 0.86 (ร้อยละ 86.2) โดยพบสัดส่วนการเลือกใช้บริการมากที่สุดในอำเภอบางใหญ่ (ร้อยละ 91.46) ผลการวิเคราะห์โดยใช้สถิติ Chi-square พบว่าปัจจัยส่วนบุคคลด้านอาชีพ ปัจจัยเชิงโครงสร้างด้านบริบทของพื้นที่อยู่อาศัย การเลือกใช้บริการ วิธีการใช้บริการหน่วยบริการปฐมภูมิเมื่อเจ็บป่วย และความถี่ในการเข้ารับบริการ ณ หน่วยบริการระดับปฐมภูมิ และปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคมด้านรายได้ มีความสัมพันธ์กับการเข้าถึงบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดแนวทางและวางแผนการพัฒนานโยบายรวมถึงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและปรับปรุงคุณภาพของหน่วยบริการได้อย่างครอบคลุมและเหมาะสมกับบริบทในแต่ละพื้นที่</p> นภัสสร คำภีระ, Seo Ah Hong, อุทุมพร วงษ์ศิลป์, ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280683 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากรกรมการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280666 <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากร และหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ กับทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากรกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 288 คน ที่ปฏิบัติงานมาแล้ว 6 เดือนขึ้นไป และไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2566 โดยใช้แบบสอบถามแบบตอบด้วยตนเอง มีความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 1.0) และมีค่าความเชื่อมั่นในระดับสูง (α = 0.955, 0.935) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน และ ค่าควอร์ไทล์ สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พอยท์ไบซีเรียล ที่นัยสำคัญทางสถติ &lt;0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากรโดยรวมอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.02 ± 0.59) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ (r = -0.25, p-value &lt;0.001) ระดับการศึกษา (r = 0.12, p-value &lt;0.039) จำนวนอุปกรณ์ดิจิทัลส่วนตัว (r = 0.27, p-value &lt; 0.001) และการอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล (r = 0.16, p-value &lt;0.008) นอกจากนี้การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ได้แก่ MS Word (r = 0.116, p = 0.049) MS PowerPoint (r = 0.221, p = &lt;0.001) ใช้ Electronic mail (r = 0.187, p = 0.001) ใช้ google สืบค้นข้อมูล (r = 0.231, p = 0.001) ใช้โปรแกรม HDC (r = 0.209, p = &lt;0.001) และ โปรแกรมประชุมออนไลน์ (r = 0.151, p = 0.010) ผลวิจัยนี้เสนอแนะให้ผู้บริหารกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกวางแผนพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลแก่บุคลากรโดยเน้นการอบรมเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลให้ทั่วถึง</p> อรวิกา เกาะยอ, ยุวนุช สัตยสมบูรณ์, จุฑาธิป ศีลบุตร, ศรัณญา เบญจกุล, อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280666 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 การเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง ในจังหวัดปทุมธานี ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280804 <p>การวิจัยเชิงพรรณนา แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ระดับการเข้าถึงบริการและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง ในสตรีไทย จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีไทย อายุ 30 - น้อยกว่า 60 ปี อาศัยอยู่ในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 315 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ระหว่าง เดือน กุมภาพันธ์ ถึงมีนาคม พ.ศ.2568 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และ สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ไคสแควร์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุโลจิสติก ที่นัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง อยู่ในระดับมาก</p> <p>ร้อยละ 65.1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ (p=0.006) ระดับการศึกษา (p&lt;0.001) อาชึพ (p=0.001) และรายได้ต่อเดือน (p=0.001) ปัจจัยคุณลักษณะส่วนบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเองได้แก่ รายได้ (p-value=0.041) และระดับการศึกษา (p-value&lt;0.001)</p> <p>จากผลการศึกษานี้ผู้บริหารสาธารณสุขที่รับผิดชอบด้านการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ควรพิจารณาหามาตรการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับกลุ่มสตรีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเองเพิ่มขึ้นตามนโยบายจังหวัดต่อไป</p> ศิริกานดา มังคะลา, ยุวนุช สัตยสมบูรณ์, ศริยามน ติรพัฒน์, อุทุมพร วงษ์ศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280804 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ในชุมชนตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280649 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของการใช้สื่อสุขภาพสำหรับการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ในชุมชนตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ดำเนินการในกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 32 คน ใช้เวลาดำเนินการจำนวน 3 เดือน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test และ Wilcoxon Singned-Rank</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ มีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นกว่าก่อนดำเนินการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.001) ส่วนคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการดำเนินการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.001) หลังการดำเนินการผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ มีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าก่อนดำเนินการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.001) แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหาร ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทั้งนี้ ควรติดตามแบบเสริมพลังแก่ผู้เข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง และถอดบทเรียนในการดำเนินการเพื่อการขยายผล</p> สาริตา จังแดหวา, บุญเรือง ขาวนวล, เสาวลักษณ์ นุ่งอาหลี, พรทิพย์ เรืองพุทธ, ชไมพร ทองเพชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280649 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 เหตุฟ้องหย่า : กรณีศึกษาการปั่นหัวหรือการควบคุมจิตใจ (Gaslighting) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281656 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงการกระทำการปั่นหัวหรือการควบคุมจิตใจ (Gaslighting) ระหว่างคู่สมรส ในการนำมาพิจารณาเป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 โดยเป็นการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในการกำหนดคำนิยามของการปั่นหัวหรือควบคุมจิตใจ (Gaslighting) ปัญหาขอบเขตการตีความเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายไทยในกรณีการปั่นหัวหรือควบคุมจิตใจ (Gaslighting) ปัญหา<br>การพิสูจน์พฤติการณ์การปั่นหัวหรือควบคุมจิตใจ (Gaslighting) เพื่อนำมาใช้เป็นเหตุฟ้องหย่า และปัญหาการเยียวยาคู่สมรสที่ถูกปั่นหัวหรือควบคุมจิตใจ (Gaslighting) ภายหลังการหย่า ซึ่งใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) ในการศึกษา โดยศึกษาเปรียบเทียบบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย กับแนวคิดทฤษฎี กฎหมาย และแนวคำพิพากษาของประเทศสหราชอาณาจักรและสิงคโปร์ และนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ เพื่อหาข้อสรุปและเสนอแนวทางในการพัฒนาข้อกฎหมายของไทย</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่าเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 ยังไม่ครอบคลุมถึงกรณีการปั่นหัวหรือการควบคุมจิตใจ (Gaslighting) เนื่องจากลักษณะของการปั่นหัวหรือการควบคุมจิตใจ (Gaslighting) เป็นการกระทำละเมิดต่ออารมณ์และจิตใจของผู้ถูกกระทำ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการกระทำที่รุนแรงหรือพฤติการณ์ที่ร้ายแรงเสมอไป จึงไม่สอดคล้องกับลักษณะการกระทำที่กฎหมายไทยในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ให้เป็นเหตุฟ้องหย่า จึงมีข้อเสนอแนะให้แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยกำหนดให้การปั่นหัวหรือการควบคุมจิตใจ (Gaslighting) สามารถนำมาพิจารณาเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ และกำหนดให้คู่สมรสฝ่ายที่ฟ้องหย่าด้วยเหตุดังกล่าวมีสิทธิได้รับค่าฟื้นฟูสภาพจิตใจจากคู่สมรสฝ่ายที่ต้องรับผิด</p> ศุภธิดา สิทธิรัตนพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281656 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 A การเปรียบเทียบภาระงานด้านเวชระเบียนตามสมรรถนะของนักวิชาการสาธารณสุข (เวชสถิติ) เขตบริการสุขภาพที่ 5 ตามความคาดหวังของหัวหน้างานกับภาระงานที่ปฏิบัติจริง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281470 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาระงานตามความคาดหวังของหัวหน้างาน ระดับภาระงานที่ปฏิบัติจริง และเปรียบเทียบภาระงานตามความคาดหวังของหัวหน้างานกับภาระงานที่ปฏิบัติจริงของนักวิชาการสาธารณสุข (เวชสถิติ) เขตบริการสุขภาพที่ 5 ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ หัวหน้างานที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของนักวิชาการสาธารณสุข (เวชสถิติ) จำนวน 43 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ที่มีค่าความเที่ยงและความเชื่อมั่นเท่ากับ 1 และ 0.95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที (Paired Sample t- test )</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาระงานด้านเวชระเบียนตามความคาดหวังของหัวหน้างาน มีระดับของความคาดหวังในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า สมรรถนะที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการให้รหัสทางการแพทย์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และระดับความคาดหวังของหัวหน้างานตามสมรรถนะในการปฏิบัติงาน รายด้านพบว่าสมรรถนะที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ส่วนภาระงานด้านเวชระเบียน ตามที่ปฏิบัติจริง ในสมรรถนะวิชาชีพเวชระเบียน มีระดับภาระงานตามที่ปฏิบัติจริงในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน สมรรถนะวิชาชีพเวชระเบียน สมรรถนะที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านการบริหารจัดการงานเวชระเบียน มีค่าเฉลี่ยระดับมาก ส่วนสมรรถนะในการปฏิบัติงาน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อเปรียบเทียบภาระงานด้านเวชระเบียนตามความคาดหวังของหัวหน้างานกับภาระงานที่ปฏิบัติจริง พบว่า หัวหน้างานมีความคาดหวังในการปฏิบัติงานสูงกว่าการปฏิบัติงานจริงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ดังนั้นโรงพยาบาลจึงควรจัดอบรมหรือส่งนักวิชาการสาธารณสุข (เวชสถิติ) เข้ารับการอบรม เพื่อเพิ่มสมรรถนะในการปฏิบัติงานของนักวิชาการสาธารณสุข (เวชสถิติ) ให้ตามความคาดหวังของหัวหน้างานด้านเวชระเบียน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ รวมทั้งสถานศึกษาด้านเวชระเบียนควรปรับปรุงหลักสูตรเพื่อตอบรับต่อความคาดหวังของหัวหน้างานและพัฒนาการปฏิบัติงานของนักวิชาการสาธารณสุข (เวชสถิติ) ในอนาคต และการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง </p> <p> </p> ระวิวรรณ หิรัญ, ศิริกาญจน์ จันทร์ชูกลิ่น, สิริอร บัวระพา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281470 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลขององค์ประกอบแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยในประชาชนอายุ 18–24 ปี พื้นที่ตำบลควนธานี อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281327 <p>&nbsp;&nbsp; การวิจัยภาคตัดขวางครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยและเพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยของประชาชนอายุ 18-24 ปี ในพื้นที่ตำบลควนธานี อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบสอบถามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและแบบสอบถามพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก</p> <p>&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา พบว่า ระดับพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการขับขี่ในระดับปลอดภัย คิดเป็นร้อยละ 62.69 ขณะที่ร้อยละ 34.25 มีพฤติกรรมในระดับปานกลาง ผลการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อพฤติกรรมการขับขี่ปลอดภัย (p &lt; .05) ได้แก่ การรับรู้โอกาสเสี่ยง (B = .98, p = .007, OR = 2.66), การรับรู้อุปสรรค (B = .97, p = .002, OR = 2.64) และสิ่งกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม (B = 1.09, p &lt; .001, OR = 2.97) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย 2.64–2.97 เท่า ขณะที่ปัจจัยอื่นไม่พบอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงควรเน้นการเสริมสร้างการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการจัดการอุปสรรคผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติ เช่น สถานการณ์จำลองอุบัติเหตุ นอกจากนี้ควรใช้สิ่งกระตุ้นในระดับชุมชน เช่น การรณรงค์ สื่อออนไลน์ และการเล่าเรื่องจากผู้ประสบเหตุ เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัยในกลุ่มเป้าหมาย</p> ซัมซูวัล สะอิ, จักรินทร์ ปริมานนท์, ฉัตรชัย ขวัญแก้ว, สุขุมาภรณ์ ศรีวิศิษฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281327 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 การประเมินความถูกต้องและสาเหตุความคลาดเคลื่อนของการบันทึกรหัสโรคและรหัสหัตถการ กรณีศึกษาโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281978 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความถูกต้องของการบันทึกรหัสโรคและรหัสหัตถการ วิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนของการบันทึกรหัส และอธิบายสาเหตุของความคลาดเคลื่อนในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) แบบพร้อมกัน (Convergent Parallel Design) โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยในจำนวน 7,381 ฉบับ ที่จำหน่ายระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2566 สัมภาษณ์เชิงลึกแพทย์ 12 คน และผู้ให้รหัสโรค 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสังเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่าเวชระเบียนจำนวน 7,197 ฉบับ (ร้อยละ 97.5) มีการให้รหัสโรคและรหัสหัตถการถูกต้องตามมาตรฐาน ICD ขณะที่ 184 ฉบับ (ร้อยละ 2.5) พบความคลาดเคลื่อน ได้แก่ การสรุปวินิจฉัยไม่ถูกต้องโดยแพทย์ 121 ฉบับ (ร้อยละ 65.8) และการให้รหัสผิดโดยผู้ให้รหัส 63 ฉบับ (ร้อยละ 34.2) สาเหตุหลัก ได้แก่ ความไม่เข้าใจเกณฑ์การสรุปวินิจฉัยของ สปสช. เอกสารเวชระเบียนไม่สมบูรณ์ และความรู้เกี่ยวกับ ICD ที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเบิกค่าใช้จ่าย การจัดทำสถิติ การประเมินงบประมาณ การวางแผนการรักษา และคุณภาพเวชระเบียนโดยรวม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ควรมีการอบรม ICD อย่างต่อเนื่อง จัดทำแนวทางการบันทึกเวชระเบียนร่วมระหว่างแพทย์และผู้ให้รหัส และพัฒนาระบบตรวจสอบเวชระเบียนก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ :</strong> ความถูกต้อง; ความคลาดเคลื่อน; ICD; เวชระเบียน</p> สุวิยากร ภู่รัสมี, ชโลบล ตรีศักดิ์, สิริมา มงคลสัมฤทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281978 Tue, 22 Jul 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ของความรอบรู้กับสมรรถนะการใช้สุขภาพดิจิทัลในการจัดบริการสุขภาพ ของบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดแห่งหนึ่งภาคใต้ตอนบน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281878 <p>โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดบริการสุขภาพ ที่หลากหลาย บุคลากรสาธารณสุขจำเป็นต้องมีความรอบรู้และสมรรถนะในการดำเนินงาน การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคุณลักษณะบุคคล ความรอบรู้กับสมรรถนะการใช้เทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัลของบุคลากรสาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 257 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามชนิดตอบเองมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.67-1 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.97 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Pearson’s Chi-Square test และ Fisher’s Exact test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 84.4 อายุเฉลี่ย 38 ปี ปฏิบัติงานในตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ร้อยละ 51.3 ไม่เคยได้รับการอบรมเกี่ยวกับสุขภาพดิจิทัลในช่วง 3 ปี &nbsp;ร้อยละ 61.1 บริการส่งเสริมสุขภาพ ใช้เว็บไซต์ HDC ร้อยละ 87.5 การป้องกันและควบคุมโรคใช้แอพพลิเคชัน Line ร้อยละ 80.5 การรักษาโรคเบื้องต้นและการฟื้นฟูสภาพ ใช้โปรแกรม JHCIS ร้อยละ 89.9 และ 79.0 ตามลำดับ ความรอบรู้และสมรรถนะเทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัลโดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 80.9 และ 89.5 ตามลำดับ กลุ่มอายุ และความรอบรู้เทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัลมีความสัมพันธ์กับสมรรถนะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โดยสรุปหน่วยงานสาธารณสุขระดับจังหวัดและเครือข่ายบริการสุขภาพปฐมภูมิควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่บุคลากรสาธารณสุขทุกตำแหน่งงาน เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะให้สอดคล้องกับความหลากหลายในการจัดบริการ</p> ศุภณัฐ พลพิชัย, กุลธิดา บุญชูดำ, จิรันธนิน พาลีวล, ธยาน์วดี แก้วขวัญ, กชนมนณกร จำปาเงิน, ศศิธร ธนะภพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/281878 Wed, 23 Jul 2025 00:00:00 +0700 Influence of Media on Risk Perception During the COVID 19 Pandemic: Qualitative Case Study from Thailand https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280884 <p>This empirical study of the effects of media on risk perception during the Covid 19 pandemic in Thailand was carried out during the first 9 months of the Covid pandemic from March-December 2020. Media as a tool and medium for public consumption of information is becoming more complex with more diverse outlets and mediums. However, during the Covid pandemic, especially the early phase, media was in conformity with government sources to get fast, accurate and up to date information to the public. The study sought to identify channels of communication during emergencies, perceived trustworthiness of sources, emotional connotation and how this impacted perceptions and degree of risk among the case study population. Coding was used to evaluate participants level of perception towards trust and risk in media during the pandemic and how this impacted behavior among the participant population. This study finds that during the pandemic people’s consumption of information were similar. Their perception of the trustworthiness of the source did influence their behaviors in order to mitigate risk associated with Covid as a deadly pathogen. Lastly, while sources of information were similar, the occupation of the consumer had a marked impact on their risk mitigation behavior. Research findings can be utilized by researchers and policy makers in fine tuning their approaches public perception in future crisis events as well as refine different approaches for varying media platforms which have different consumption patterns.</p> William J Jones ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/280884 Fri, 01 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนของ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน : กรณีศึกษาจังหวัดสุโขทัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/282319 <p>การวิจัยเชิงผสมผสานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ประกอบด้วยการวิจัยระยะที่ 1 การสร้างรูปแบบการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และการวิจัยระยะที่ 2 การประเมินคุณภาพของรูปแบบการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านก่อนนำไปใช้จริง</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1) สำรวจและพัฒนาฐานข้อมูลเชิงลึก 2) พัฒนาระบบบำบัดฟื้นฟูด้วยแนวทางสันติวิธี 3) สร้างความเข้าใจและสื่อสารข้อมูลตามอัตลักษณ์ชุมชน 4) พัฒนากิจกรรมที่ดีและหลากหลาย 5) สร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และ 6) ส่งเสริมความเป็นเจ้าของและผู้นำการเปลี่ยนแปลง และผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประกอบด้วยด้านความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก ด้านความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง และด้านความถูกต้องครอบคลุมอยู่ในระดับมาก</p> ยุทธนา แยบคาย, ธวัชชัย สุนทรนนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/282319 Fri, 08 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรโค้ชสุขภาวะแบบสหวิชาชีพเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพเฉพาะบุคคล ในระบบบริการสุขภาพไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/282779 <p>ในบริบทที่ระบบสุขภาพต้องการประสิทธิผลสูงสุดเพื่อจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แนวทางการสร้างเสริมสุขภาพที่เน้นการออกแบบ และให้บริการรายบุคคล และเน้นคุณค่าการดูแล (value-based care) จึงเป็นความต้องการเร่งด่วนจากทุกภาคส่วน การศึกษานี้มุ่งพัฒนาและประเมินผลหลักสูตรโค้ชสุขภาวะแบบสหวิชาชีพเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากรด้านสุขภาพ ในการให้บริการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแบบเข้มข้นเฉพาะบุคคล (Personalized Intensive Lifestyle Modification: PILM) สำหรับประชากรวัยทำงานที่มีความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)</p> <p> กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรสหวิชาชีพ 34 คน จากหน่วยบริการสุขภาพระดับพื้นที่ 11 แห่ง ได้แก่ พยาบาล นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด นักจิตวิทยา และนักวิชาการสาธารณสุข ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบทดสอบความรู้ แบบประเมินความมั่นใจในบทบาทโค้ชสุขภาวะ และแบบสอบถามปลายเปิด ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.67–1.00) และค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha = 0.90) ผลการวิเคราะห์พบว่าความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ก่อนอบรม = 5.85, หลังอบรม = 8.32; t = 8.43, p &lt; 0.001) และมีความมั่นใจในการปฏิบัติงานในระดับสูง (เฉลี่ย = 8.65, S.D. = 1.04) ทั้งนี้หลักสูตรได้รับการประเมินว่าสอดคล้องกับบริบทหน่วยบริการสุขภาพในระดับพื้นที่ และมีศักยภาพในการนำไปใช้ขยายผลในเชิงระบบ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาวะในระบบสุขภาพ</p> อรวรรณ ขวัญศรี, สุพัตรา ศรีวณิชชากร, ชัยสิริ อังกุระวรานนท์, ปิยฉัตร ตระกูลวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/282779 Thu, 04 Sep 2025 00:00:00 +0700 สถานะทางกฎหมายของกัญชาและการควบคุม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/282126 <p><span style="font-size: 0.875rem;">สถานะทางกฎหมายของสารเสพติดกัญชาในแต่ละประเทศ (เช่น ถูกกฎหมายบางส่วน, ถูกกฎหมายเพื่อการแพทย์, หรือผิดกฎหมายทั้งหมด) จึงขออธิบายแนวทางควบคุมและป้องกันที่ใช้ในบางประเทศ เช่น การกำหนดอายุขั้นต่ำ การควบคุมการผลิตและจำหน่าย และการบังคับใช้กฎหมาย โดยเน้นประเทศที่มีนโยบายที่หลากหลาย เช่น ประเทศที่กัญชาถูกกฎหมายทั้งเพื่อการแพทย์และสันทนาการ (เช่น แคนาดา) และประเทศที่ยังคงห้ามอย่างเข้มงวด (เช่น สิงคโปร์) กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศฉบับใหม่เพื่อควบคุมไม่ให้นำช่อดอกกัญชาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งกำหนดว่ากัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมที่มีค่าต่อการศึกษา-วิจัย หรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยให้เหตุผลว่าต้องการแก้ไขจากประกาศฉบับเดิม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ให้กัญชาซึ่งเป็นพืชในสกุล Cannabis วงศ์ Cannabaceae เป็นสมุนไพรควบคุม ให้มีการกำกับการจำหน่ายในประเทศให้เข้มงวดมากขึ้นและเน้นให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เท่านั้น </span></p> ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/282126 Tue, 02 Sep 2025 00:00:00 +0700