https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/issue/feed
ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
2025-06-30T21:23:15+07:00
Assistant Professor Dr.Kristiya Moonsri
phetchabun_rajabhat_journal@outlook.com
Open Journal Systems
<p><strong>Peer Review Process</strong><br /> บทความที่จะเสนอตีพิมพ์ในวารสารนี้จะต้องเป็นผลงานที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ และต้องเป็นงานที่ไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และทุกบทความจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง (Peer-review) อย่างน้อยบทความละ 3 คน โดยปกปิดชื่อผู้แต่งและชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินบทความ (Triple-blind peer review) และบทความจากผู้นิพนธ์ภายในจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก นอกจากนี้ผู้นิพนธ์ต้องยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กองบรรณาธิการวารสารกำหนดและผู้นิพนธ์ต้องยินยอมให้บรรณาธิการแก้ไขความสมบูรณ์ของบทความได้ในขั้นสุดท้ายก่อนเผยแพร่<br /><br /><strong>Publication Frequency</strong></p> <table> <tbody> <tr> <td><strong>กำหนดเผยแพร่</strong> ปีละ 2 ฉบับ </td> <td> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน</td> </tr> <tr> <td> </td> <td> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</td> </tr> </tbody> </table> <p><strong>ISSN 0859-8185 (Print)</strong><br /><strong>ISSN 2821-9988 (Online)</strong></p> <p><strong>Published: </strong>2024-12-27 </p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/272707
แนวทางการแปรรูปเห็ดฟางเป็นลูกชิ้นเห็ดฟาง กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนเห็ดฟางบ้านสุขสำราญ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว
2024-08-26T17:44:31+07:00
ปรีชญา รุ่งวิกรัยกานต์
preechaya.rung@vru.ac.th
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาแนวทางการแปรรูปเห็ดฟางเป็นลูกชิ้นเห็ดฟาง 2. ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการผลิตลูกชิ้นเห็ดฟาง และ 3. เสนอแนะแนวทางการพัฒนาการแปรรูปเห็ดฟางเป็นลูกชิ้นเห็ดฟาง ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ดฟางบ้านสุขสำราญ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตุ โดยมีกลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ ชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนบ้านสุขสำราญ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว จำนวน 30 คน ที่มาจากการการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก สังเกตการณ์ วิเคราะห์เอกสาร ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการแปรรูปเห็ดฟางเป็นลูกชิ้นเห็ดฟางเป็นแนวทางที่กลุ่มสมาชิกวิสาหกิจชุมชนเห็ดฟางบ้านสุขสำราญมีความสามารถปฏิบัติตามได้ดีและมีผู้นำกลุ่มที่เข้มแข็งในการขับเคลื่อนกิจกรรม 2) ปัญหาและอุปสรรคในการผลิตลูกชิ้นเห็ดฟาง คือ ยังขาดทักษะความชำนาญ ความสามารถในการผสมแป้งและปั้นก้อนลูกชิ้นด้วยมือ และอายุการเก็บรักษาอายุของลูกชิ้นเห็ดฟางที่ต้องอาศัยตู้เย็นเพื่อรักษาอุณหภูมิ 3) แนวทางการพัฒนาการแปรรูปเห็ดฟางเป็นลูกชิ้นเห็ดฟาง คือ พัฒนาทักษะสมาชิกในการทำลูกชิ้นเห็ดฟาง สนับสนุนการใช้อุปกรณ์เสริม เช่น พิมพ์ทำลูกชิ้น การใช้เครื่องซิลสูญญากาศ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/272631
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมกะทิไขมันต่ำจากแป้งเมล็ดมะขาม
2024-08-26T18:50:43+07:00
สมใจ กงเติม
somjai.kong@pcru.ac.th
<p> การวิจัยเรื่องไอศกรีมกะทิไขมันต่ำจากแป้งเมล็ดมะขามมีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมกะทิไขมันต่ำจากแป้งเมล็ดมะขาม ตรวจสอบคุณสมบัติและการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสของผู้บริโภค และเพื่อถ่ายทอดความรู้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมกะทิไขมันต่ำจากแป้งเมล็ดมะขามสู่ชุมชน ผลการวิจัยพบว่าสูตรไอศกรีมกะทิไขมันต่ำประกอบด้วยกะทิ น้ำ น้ำตาลทราย หางนมผง ผงไอศกรีมสำเร็จรูป มะขามแช่อิ่มอบแห้ง สารให้ความคงตัว (CMC) และเกลือ เท่ากับ 65.00 22.00 7.00 3.24 0.50 0.50 0.70 และ 0.06 กรัม ตามลำดับ พบว่าการเติมแป้งเมล็ดมะขามในปริมาณที่เหมาะสม เท่ากับ ร้อยละ 1.0 ของปริมาณส่วนผสมทั้งหมด โดยมีคาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร โปรตีน ไขมัน เถ้า และความชื้นเท่ากับ 17.00±0.24 1.63±0.52 2.03±0.84 8.99±0.47 0.70±0.12 และ 71.20±0.01 กรัม/100 กรัม ตามลำดับ และพลังงานทั้งหมดเท่ากับ 157.00±0.15 กิโลแคลอรี/100 กรัม และมีแร่ธาตุโพแทสเซียม เท่ากับ 123.00±0.80 มิลลิกรัม/100 กรัม ผลการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสของผู้บริโภคด้วยวิธี 9-Point Hedonic Scale พบว่าคุณลักษณะด้านกลิ่น รสชาติ ลักษณะเนื้อสัมผัส และความชอบรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญร้อยละ 0.05 ส่วนคุณลักษณะทางด้านสีที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนในด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิตภาพรวม พบว่าอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.01 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.75 </p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/273971
การพัฒนาตำรับขนมหวานท้องถิ่นเพื่อผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนตำบลห้วยงู อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท
2024-08-26T17:33:28+07:00
อัญธิศร สิริทรัพย์เจริญ
wetagar@gmail.com
นภาพันธ์ โชคอำนวยพร
wetagar@gmail.com
<p> การพัฒนาตำรับขนมหวานท้องถิ่นเพื่อผู้สูงอายุ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจและพัฒนาตำรับขนมหวาน และ 2) เพื่อศึกษาการยอมรับตำรับขนมหวานที่พัฒนาขึ้นโดยการมีส่วนร่วมของคนในตำบลห้วยงู อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามข้อมูลพื้นฐาน แบบประเด็นหรือแนวคำถามในการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามการคัดเลือกขนมหวาน แบบบันทึกข้อมูลการปฏิบัติการประกอบอาหาร แบบประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัส วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบดังนี้ 1) การสำรวจและพัฒนาตำรับขนมหวานพบว่า ตำรับขนมหวานของชุมชนตำบลห้วยงูมี 30 ชนิด ซึ่งขนมหวานส่วนใหญ่ทำจากแป้ง มะพร้าว และน้ำตาล ควรปรับส่วนผสมให้มีความหวานลดลงเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้สูงอายุ ทำการคัดเลือกตำรับขนมหวาน 7 ตำรับ คือ ขนมไข่ปลา ขนมต้ม กล้วยบวชชีมะพร้าวอ่อน บัวลอยแก้ว ขนมปิ้ง ส้มแผ่น และข้าวหมากนำมาพัฒนาด้วยการปรับลดปริมาณน้ำตาลและไขมันลงร้อยละ 30 2) การยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อขนมที่พัฒนาพบว่า ผู้บริโภคให้คะแนนความชอบอยู่ในช่วงชอบปานกลางถึงชอบมาก ตำรับขนมหวานที่ได้จากงานวิจัยนี้จะใช้เป็นข้อมูลในการจัดสำรับอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและมีการเผยแพร่ให้กับคนในชุมชนและบุคคลที่สนใจเพื่อให้ความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เสริมสร้างสุขภาพที่ดี</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/272427
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
2024-09-10T15:15:31+07:00
ณัฐวุฒิ โพธิ์ศรีแก้ว
nattawut.posr@pcru.ac.th
ปรเมษฐ์ วงษ์พุทธิชัย
Phoramate.won@pcru.ac.th
พลากร ชาญณรงค์
palakorn.cha@pcru.ac.th
ภัสสร โพธิ์ศรีแก้ว
Passornp66@nu.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยสหสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการออกกำลังกาย และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์<br /> กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา คณะครุศาสตร์ จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยการแบ่งชั้นภูมิและการสุ่มอย่างง่ายจากการจับฉลากแบบไม่ใส่คืน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาทุกข้ออยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นโดยรวมของแบบสอบถามเท่ากับ 0.85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม กับพฤติกรรมการออกกำลังกายโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ Pearson (Pearson’s product moment correlation coefficient)<br /> ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/gif.image?\large&space;\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.03, SD = 0.63) ปัจจัยนำมีความสัมพันธ์สัมพันธ์เชิงบวกในระดับต่ำกับกับพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 (r = 0.14) ปัจจัยเอื้อมีความความสัมพันธ์สัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางกับกับพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 (r = 0.57) และปัจจัยเสริมไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกำลังกาย</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/270752
กระบวนการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมในบริบทวิสาหกิจชุมชนของพื้นที่จังหวัดสงขลา
2024-06-11T09:18:09+07:00
อรทัย ไพยรัตน์
p_orn1982@outlook.com
ดิเรก หมานมานะ
p_orn1982@outlook.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กระบวนการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมในบริบทวิสาหกิจชุมชนของพื้นที่จังหวัดสงขลา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ พื้นที่วิจัยคือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดสงขลา จำนวน 9 กลุ่ม มีการเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่มีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และใช้แบบสัมภาษณ์ มีการวิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย โดยการวิเคราะห์ และสังเคราะห์เนื้อหา พบว่า กระบวนการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมของจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย 7 กระบวนการ คือ สร้างการรับรู้และผลักดันร่วมกัน ส่งเสริมการมีส่วนร่วม การพัฒนาอัตลักษณ์ร่วมกัน การสร้างโอกาสให้กับรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ การจัดตั้งองค์กรเพื่อดำเนินการวิสาหกิจเพื่อสังคม การสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมผ่านพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม และการพัฒนาศักยภาพคนทำงานหรือผู้ประกอบการ โดยกระบวนการดังกล่าวขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่เป็นสำคัญ ข้อจำกัดในการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมคือ ประชากรผู้สูงอายุ การเข้าถึงนโยบายวิสาหกิจเพื่อสังคม ธรรมชาติของการรวมกลุ่ม และความไม่ต่อเนื่องของการติดตามประเมินผล ข้อเสนอแนะคือ (1) หน่วยงานภาครัฐร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันคิด วางแผน และออกแบบกระบวนการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้แนวคิดวิสาหกิจเพื่อสังคม (2) หน่วยงานภาครัฐร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับนโยบายหรือพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (3) หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการติดตามประเมินผลเพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/274221
การปรับปรุงระบบบัญชีต้นทุนวิสาหกิจชุมชนแปรรูปถั่วลิสงแห่งหนึ่งในจังหวัดยโสธร
2024-11-15T14:37:32+07:00
โสภารักษ์ ดลสุข
dejal@siamtechnology.ac.th
เดชา โลจนสิริศิลป
dejal@siamtechnology.ac.th
<p> งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาขั้นตอนการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนในกรณีศึกษาและแนะนำการปรับปรุงระบบบัญชีต้นทุนให้กับบุคลากร งานวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยผู้วิจัยมีการลงพื้นที่ทำงานร่วมกับบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการเก็บข้อมูลและใช้เครื่องมือภาพสัญลักษณ์การไหลของงานในการบันทึกความเข้าใจจากนั้นนำข้อมูลไปวิเคราะห์ ผลจากการวิจัยคือคำแนะนำการจัดทำบัญชีต้นทุนใหม่ โดยให้แยกต้นทุนตามใบสั่งผลิตของลูกค้า มีการบันทึกต้นทุนด้วยวิธีเข้าก่อน-ออกก่อนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานจริง นอกจากนั้นผู้วิจัยได้ให้การอบรมความรู้การจัดทำบัญชีต้นทุนให้กับพนักงานบัญชี ผลการศึกษาและปรับปรุงระบบช่วยให้ฝ่ายบริหารของวิสาหกิจชุมชนในกรณีศึกษาได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจได้</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/274095
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชั่นที่ส่งเสริมทักษะการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน: กรณีศึกษาการเรียนการสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรี
2025-02-19T16:08:38+07:00
อุมาพร กัสนุกา
wilaam@kku.ac.th
วิลาณี อำนาจเจริญ
wilaam@kku.ac.th
กมลทิพย์ นวมโคกสูง
wilaam@kku.ac.th
ประพันธ์ ยาวระ
wilaam@kku.ac.th
วิรัช ชินพลอย
wilaam@kku.ac.th
นราธิป สุพัฒน์ธนานนท์
ballnaratip007@gmail.com
สุภาพร แสนกุล
wilaam@kku.ac.th
<p> งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชั่นที่ส่งเสริมทักษะการคิดแก้ปัญหา เรื่องการเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรม รายวิชาศึกษางานด้านงานเชื่อม 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแก้ปัญหาของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชั่นระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เกมมิฟิเคชั่นระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม และ 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 20 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 10 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 10 คน ซึ่งได้จากการใช้เทคนิคการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชัน แบบวัดทักษะการคิดแก้ปัญหา และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและการทดสอบ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชั่น เรื่อง การเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรม มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 90.38/90.75 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผู้เรียนที่เรียนผ่านชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชั่น เรื่อง การเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรม มีทักษะการคิดแก้ปัญหาสูงกว่าผู้เรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผู้เรียนที่เรียนผ่านชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชั่น เรื่อง การเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าผู้เรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ทักษะการคิดแก้ปัญหามีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นั่นคือ ผู้เรียนที่มีทักษะการคิดแก้ปัญหาสูงขึ้นจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/275191
การศึกษาผลการประเมินหลักสูตร และการจัดการศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต (4 ปี) (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562 และหลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสมุทรสาคร
2025-02-24T15:48:10+07:00
จงรักษ์ กะรัมย์
jongrak.kar@ku.th
อัจฉราพรรณ ช้างเขียว
Chongrak20@gmail.com
<p> วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อประเมินหลักสูตรและการจัดการศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต(4ปี) (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562 และหลักสูตรปรับปรุง พ.ศ.2563) คณะศึกษาศาสตร์มาหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสมุทรสาคร กลุ่มเป้าหมาย 1) อาจารย์ประจำหลักสูตร จำนวน 15 คน 2) นักศึกษาชั้นปีที่ 1-4 ที่กำลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสมุทรสาคร จำนวน 155 คน 3) ผู้ใช้บัณฑิต ครูพี่เลี้ยงในสถานศึกษา จำนวน 18 คน รวมทั้งหมด 188 คน จำนวนผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือจำนวน 3 ท่าน มีค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถามอยู่ที่ 1.00 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย 1. ด้านอาจารย์ผู้สอนมีต่อหลักสูตรและการจัดการศึกษา ทั้ง 5 ด้าน ในภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/gif.image?\large&space;\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.20, S.D. = 0.09) 2. ด้านนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรและการจัดการศึกษา 5 ด้าน ในภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/gif.image?\large&space;\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.35, S.D. = 0.01) 3. ด้านผู้ใช้บัณฑิตที่มีต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิตและผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต 6 ด้าน ในภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/gif.image?\large&space;\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.10, S.D. = 0.04) </p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/275060
การศึกษาองค์ประกอบทักษะการรู้ดิจิทัลของนักเรียน
2025-03-14T14:31:06+07:00
กวิสรา ปัญญาบัณฑิตกุล
kavisara2542@gmail.com
วัลนิกา ฉลากบาง
kavissara.pa66@snru.ac.th
พรเทพ เสถียรนพเก้า
kavissara.pa66@snru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของทักษะการรู้ดิจิทัลของนักเรียน วิธีดำเนินการวิจัยมี 2 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การสังเคราะห์องค์ประกอบของทักษะการรู้ดิจิทัลของนักเรียน จากเอกสารและงานวิจัย 13 แหล่ง เลือกองค์ประกอบที่มีความถี่ร้อยละ 30 ขึ้นไป และ 2) การประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบของทักษะการรู้ดิจิทัลของนักเรียน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสังเคราะห์องค์ประกอบ และแบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ (Rating scale) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของทักษะการรู้ดิจิทัลของนักเรียน ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) การตระหนักรู้ทางสังคม 2) การสื่อสาร 3) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 4) การสร้างสื่อดิจิทัล 5) การคิดวิเคราะห์ และ 6) การรู้สารสนเทศ โดยทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/jpcru/article/view/277040
การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจากกล้วย เพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ของกลุ่มเกษตรกรบ้านป่าจ้ำ ตำบลน้ำโจ้ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
2025-03-17T15:26:16+07:00
พิรภพ จันทร์แสนตอ
piraprob@gmail.com
บัณฑิต บุษบา
bundit_b@yahoo.com
อารยา อริยา
araya_aa@hotmail.com
กรรณิการ์ สายเทพ
kunnikar@g.lpru.ac.th
<p> การวิจัยเรื่องการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจากกล้วยเพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของกลุ่มเกษตรกรบ้านป่าจ้ำ ตำบลน้ำโจ้ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างช่องทางในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจากกล้วยผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 2) ประเมินการยอมรับและการรับรู้ประโยชน์ของการใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มเกษตรกรแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกล้วยบ้านป่าจ้ำ ตำบลน้ำโจ้ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจากกล้วยและแบบประเมินการยอมรับและการรับรู้ประโยชน์ของการใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) การออกแบบและพัฒนาระบบช่องทางในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เป็นลักษณะแบบจำลองของระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มี 5 เว็บเพจ ได้แก่ เว็บเพจเกี่ยวกับข้อมูลกลุ่มเกษตรกร เว็บเพจเกี่ยวกับกล้วยอินทรีย์ เว็บเพจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แปรรูป เว็บเพจการสั่งซื้อ และเว็บเพจการติดต่อสอบถาม และ 2)ผลการประเมินการยอมรับและการรับรู้ประโยชน์ของการใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้น มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.34 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.65 สรุปได้ว่าผู้ใช้ระบบมีความคิดเห็นต่อการยอมรับและการรับรู้ประโยชน์อยู่ในระดับมากแสดงถึงขั้นที่ปฏิบัตินำไปใช้จริงซึ่งบุคคลยอมรับวิทยาการใหม่ ๆ ว่าเป็นประโยชน์ก่อให้เกิดการสร้างรายได้เพิ่ม ดังนั้นจากผลการวิจัยสามารถนำไปบริการวิชาการโดยส่งเสริมการใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้เกษตรกรมีทักษะในการจัดการธุรกิจออนไลน์และเข้าถึงช่องทางการตลาดที่กว้างขึ้นขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดออนไลน์ได้</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชภัฏเพชรบูรณ์สาร