Ramkhamhaeng Law Journal https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal <p style="text-align: justify;"> วารสารรามคำแหง ฉบับนิติศาสตร์ ได้จัดทำเป็น 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบตีพิมพ์ ISSN 2286-8518 (Print) และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ISSN 2651-1827 (Online) โดยในรูปแบบตีพิมพ์ (Print) ได้เริ่มดำเนินการจัดทำปี พ.ศ.2555 และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ได้เริ่มดำเนินการจัดทำปี พ.ศ.2559</p> <p><strong> จริยธรรมของการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานสำหรับการดำเนินงานของวารสารรามคำแหง </strong><strong>ฉบับนิติศาสตร์ (</strong><strong>Publication Ethics)</strong></p> <p> เพื่อให้การสื่อสารทางวิชาการเป็นไปอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับมาตรฐานการตีพิมพ์นานาชาติ กองบรรณาธิการวารสารรามคำแหง ฉบับนิติศาสตร์ จึงได้กำหนดจริยธรรมของการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานสำหรับการดำเนินงานของวารสาร ตามบทบาทหน้าที่ดังนี้</p> <p><strong> 1. หน้าที่และความรับผิดชอบของบรรณาธิการ</strong><strong> (Duties of Editors) </strong></p> <p> 1.1 บรรณาธิการมีหน้าที่พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความ เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่บทความในวารสารที่ตนรับผิดชอบ</p> <p> 1.2 บรรณาธิการจะต้องมีการตรวจสอบบทความในเรื่องการคัดลอกผลงานของผู้อื่น (Plagiarism) และการคัดลอกผลงานของตนเอง (Self-Plagiarism) ในบทความอย่างจริงจัง โดยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้ และเป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการ เพื่อให้แน่ใจว่าบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารไม่มีการคัดลอกผลงาน</p> <p> 1.3 หากในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการตรวจพบการคัดลอกผลงาน บรรณาธิการจะต้องหยุดกระบวนการประเมิน และติดต่อผู้นิพนธ์หลักทันที เพื่อขอคำชี้แจง เพื่อประกอบการ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธการตีพิมพ์” การตีพิมพ์บทความนั้นๆ</p> <p> 1.4 บรรณาธิการต้องหยุดกระบวนการประเมิน และติดต่อผู้นิพนธ์หลักทันที เมื่อตรวจพบการคัดลอกผลงานในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ เพื่อขอคำชี้แจงและประกอบการ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธการตีพิมพ์” การตีพิมพ์บทความนั้นๆ</p> <p> 1.5 ในช่วงระยะเวลาของการประเมินบทความ บรรณาธิการต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้นิพนธ์ และผู้ประเมินบทความแก่บุคคลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง</p> <p> 1.6 ในการคัดเลือกบทความตีพิมพ์ บรรณาธิการต้องตัดสินใจเลือกบทความหลังจากผ่านกระบวนการประเมินบทความแล้ว โดยพิจารณาจากความใหม่ ความสำคัญ ความชัดเจนของเนื้อหาที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสารเป็นสำคัญ</p> <p> 1.7 บรรณาธิการต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์และผู้ประเมิน</p> <p> 1.8 บรรณาธิการต้องตีพิมพ์บทความที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่แหล่งตีพิมพ์อื่น</p> <p> <strong>2. บทบาทและหน้าที่ของผู้นิพนธ์ (</strong><strong>Duties of Authors)</strong></p> <p> 2.1 ผู้นิพนธ์ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์นั้นนั้น เป็นผลงานใหม่และไม่มีการส่งให้วารสารอื่นพิจารณาตีพิมพ์ในช่วงเวลาเดียวกัน</p> <p> 2.2 ผู้นิพนธ์จะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลทุกครั้ง ให้ปรากฏในผลงานของตน หากมีการนำผลงานของผู้อื่นมาใช้ในผลงานของตน รวมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ</p> <p> 2.3 ผู้นิพนธ์ต้องเขียนบทความวิชาการหรือบทความวิจัยโดยให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารนี้ และถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ใน “คำแนะนำการตีพิมพ์”</p> <p> 2.4 ผู้นิพนธ์ร่วม (Co-author) ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความ จะต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินการเขียนบทความวิชาการหรือบทความวิจัยจริง</p> <p> 2.5 ผู้นิพนธ์ต้องรายงานข้อเท็จจริงและผลที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย โดยไม่ควรมีการบิดเบือนข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ</p> <p> 2.6 ในกรณีที่เป็นบทความวิจัย ผู้นิพนธ์ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้</p> <p><strong> 3. บทบาทและหน้าที่ของผู้ประเมินบทความ (</strong><strong>Duties of Reviewers)</strong></p> <p> 3.1 เมื่อผู้ประเมินบทความได้รับบทความจากบรรณาธิการวารสาร และผู้ประเมินบทความทราบอยู่แล้วว่า ตนเองอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ เช่น เป็นผู้ร่วมโครงการ หรือรู้จักผู้นิพนธ์เป็นการส่วนตัว หรือเหตุผลอื่นๆ ที่อาจทำให้ไม่สามารถให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างอิสระในทางวิชาการได้ ผู้ประเมินบทความควรแจ้งให้บรรณาธิการวารสารทราบและปฏิเสธการประเมินบทความนั้นๆ</p> <p> 3.2 ผู้ประเมินบทความควรประเมินบทความในสาขาวิชาที่ตนมีความเชี่ยวชาญโดยพิจารณาความสำคัญของเนื้อหาในบทความที่จะมีต่อสาขาวิชานั้นๆ คุณภาพของการวิเคราะห์ และความเข้มข้นของผลงาน โดยไม่ควรใช้ความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลทางวิชาการรองรับมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินบทความหรืองานวิจัยนั้นๆ</p> <p> 3.3 หากผู้นิพนธ์มิได้อ้างถึงผลงานวิจัยที่สำคัญๆ และสอดคล้องกับบทความเข้าไปในการประเมินบทความผู้ประเมินบทความต้องระบุเข้าไปในบทความที่กำลังประเมินด้วย เพื่อให้บทความเกิดคุณค่าในเชิงวิชาการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หากมีส่วนใดของบทความที่มีความเหมือน หรือซ้ำซ้อนกับผลงานชิ้นอื่นๆ ผู้ประเมินบทความต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบด้วย</p> <p> 3.4 ในช่วงระยะเวลาของการประเมินบทความผู้ประเมินบทความต้องรักษาความลับและไม่เปิดเผยข้อมูลบางส่วนหรือทุกส่วนของบทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณาแก่บุคคลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง</p> en-US Ramkhamhaeng Law Journal 2286-8518 มาตรการทางกฎหมายกรณีคู่สัญญาไม่ได้กำหนดกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการในทางพาณิชย์ระหว่างประเทศ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281806 <p> พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ไม่ได้บัญญัติเรื่องหลักเกณฑ์ในการเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้อย่างชัดเจน ทำ ให้เกิดคำถามและปัญหาในการตีความว่าอนุญาโตตุลาการจะมีวิธีเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการในทางพาณิชย์ระหว่างประเทศอย่างไร บทความนี้กล่าวถึงปัญหาบางประการของการพิจารณาเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการในทางพาณิชย์ระหว่างประเทศ ได้แก่ ปัญหาความไม่ชัดเจนในบทบัญญัติว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และปัญหาการเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ โดยศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของต่างประเทศได้แก่ ประเทศอังกฤษ ประเทศสิงคโปร์ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อวิเคราะห์ประเด็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการในประเทศไทยกับต่างประเทศ อันจะเป็นแนวทางในการแก้ไขพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ต่อไป</p> ธมนวรรณ พันธุ์สาย Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 69 108 ความสัมพันธ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกับการสร้างดุลยภาพระหว่างหลักการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control) กับหลักศุภนิติกระบวน (Due Process) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281807 <p> พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 นับเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญต่อการป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และส่งผลให้สังคมได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล อีกทั้ง ทุกภาคส่วนของประเทศทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างมีบทบาทในการผลักดันให้กฎหมายนั้น สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นบุคคลที่มีฐานะเป็นประธานแห่งสิทธิ รวมทั้งยังเป็นปัจจัยหลักที่นำ ไปสู่การรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัว (Right to Privacy)อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองจากตราสารระหว่างประเทศหลายฉบับ ซึ่งให้การคุ้มครองครอบคลุมบุคคลไม่ว่าจะมีสถานะใด หรือตกอยู่ภายใต้การดำ เนินกระบวนการพิจารณาคดีในขั้นตอนใดก็ตาม</p> <p> บทความนี้จะเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในฐานะกลไกหนึ่งในการสร้างดุลยภาพระหว่างหลักการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control) กับหลักศุภนิติกระบวน (Due Process) โดยได้ศึกษาทฤษฎีพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ทางอาญา และแนวคิดพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัว ประกอบกับกรณีศึกษาต่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และสถานะของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ได้แก่ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าจาก หนังสือ บทความเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งเอกสารขององค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง</p> <p> จากการศึกษา พบว่า กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นกระบวนการสำคัญที่มีวัตถุประสงค์ในการกำ หนดวิธีในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำ เนินคดีให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้กระทำความผิด กฎหมายคุ้มครองส่วนบุคคลจึงสามารถเข้าเป็นกลไกที่สำคัญในการกำหนดสัดส่วนหรือขอบเขตในการค้นหาความจริงในคดีอาญา ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อปัจเจกบุคคลมากไปกว่าประโยชน์ที่รัฐควรจะได้จากการดำ เนินคดี อันเป็นการลดทอนนํ้าหนักของหลักการควบคุมอาชญากรรมไม่ให้มากจนเกินไป ในขณะเดียวกัน กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเข้ามาช่วยจัดระบบรักษามาตรการความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้ชัดเจนขึ้น อันเป็นการเสริมสร้างหลักการควบคุมอาชญากรรมโดยไม่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้กระทำความผิด เหยื่อ หรือพยานตามหลักศุภนิติกระบวน อันจะก่อให้เกิดการสร้างประสิทธิภาพในระบบยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป</p> ฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์ Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 109 152 ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลเกษตรกรรมในระบบเกษตรอัจฉริยะ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281808 <p> การคุ้มครองข้อมูลเกษตรกรรมในระบบเกษตรอัจฉริยะมีความแตกต่างจากการคุ้มครองข้อมูลทั่วไป ในการที่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างการเข้าถึงและการใช้ข้อมูลกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้บริการ ดังนั้น การไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเกษตรกรรมในระบบเกษตรอัจฉริยะ จึงเป็นปัญหากฎหมาย และบทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเข้าถึงและการใช้ข้อมูลเกษตรกรรมในระบบเกษตรอัจฉริยะทั้งโดยภาครัฐและภาคเอกชน จากกลุ่มตัวอย่างโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในกรอบนโยบายด้านการเกษตร ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ไม่ปรากฏผู้ให้บริการระบบเกษตรอัจฉริยะรายใดที่ดำ เนินการอย่างมีความชัดเจนและปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรฐาน และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ได้ตามสมควรจึงจำ เป็นต้องมีกฎหมายและนโยบายที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และเป็นไปตามแนวทางสากล เข้ามากำกับดูแล โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการเข้าถึงและการใช้ข้อมูล ความเป็นเจ้าของข้อมูล วัตถุประสงค์ของการใช้ข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และความมั่นคงปลอดภัย </p> ภคพร ลาวัณย์ประเสริฐ ปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 153 184 มาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลและรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281809 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ปัจจุบันขณะที่ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแต่ประชาคมโลกก็ต้องเผชิญกับปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในขั้นวิกฤติจากหลายภูมิภาค ซึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยเฉพาะองค์กรภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินธุรกิจโดยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจโดยมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และมีหลักธรรมาภิบาล(Governance) ที่ดี หรือการมีความรับผิดชอบด้าน ESG จึงเกิดขึ้น มีการรณรงค์ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ปัจจุบันนักลงทุนรุ่นใหม่ ไม่เพียงวิเคราะห์เลือกลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีแต่ยังคาดหวังถึงการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท ดังนั้น นอกจากการวิเคราะห์งบการเงินประจำ ปีแล้วนักลงทุนหรือผู้มีส่วนได้เสีย ยังต้องการข้อมูลด้านความยั่งยืน หรือข้อมูลด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล เพื่อนำ ไปใช้ในการวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจลงทุนเช่นกัน<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ปัจจุบันหลายประเทศได้เริ่มมีการออกมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนกำ หนดให้บริษัทมีการจัดทำ รายงานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในลักษณะภาคบังคับ เช่น ในสหภาพยุโรป ทำ ให้ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่ประกอบธุรกิจข้ามชาติ หรือบริษัทที่เป็นบริษัทในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทในสหภาพยุโรป หลายประเทศมีการแก้ไขมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนจากภาคสมัครใจเป็นแบบภาคบังคับสำหรับประเทศไทยคณะกรรมการกำ กับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามประกาศที่ ทจ.55/2563 ที่มีการกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนยื่นแบบรายงานงบการเงินและรายงานด้านความยั่งยืนรวมเป็นฉบับเดียวกันตามแบบ 56-1 One Report แต่ในหัวข้อที่ 3 การขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ยังมีลักษณะไม่เข้มงวดถ้าไม่ปฏิบัติตาม มีการกำ หนดให้แสดงเหตุผลอธิบายเพิ่มเติม (Comply or Explain Basis) และไม่มีบทกำหนดการลงโทษ ผู้เขียนมีความเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะแบบไม่เข้มงวดนี้ ไม่ช่วยในการแก้ไขปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่าที่ควร ในขณะที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีตามความตกลงปารีสของสหประชาชาติ โดยมีข้อเสนอการมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20 - 25 ภายในปี พ.ศ. 2573 ดังนั้น การใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ในลักษณะแบบไม่บังคับเข้มงวด เกรงว่าจะไม่ทันการณ์ และผู้เขียนยังมีความเห็นว่าการมีมาตรการทางกฎหมายในการกำ กับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยลดช่องว่างเกี่ยวกับสมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis) ที่แสดงให้เห็นถึงการที่ข้อมูลข่าวสารสะท้อนถึงความมีประสิทธิภาพของตลาด และปัญหาความอสมมาตรของข้อมูล(Asymmetric Information) จึงควรมีการกำ หนดให้มีมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลและการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนในภาคบังคับมากขึ้น เพื่อสร้างมาตรฐานการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับหลักสากล เป็นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ตลาดทุน ส่งเสริมการพัฒนาประเทศสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป</p> กิ่งฟ้า ม่วงศิริ Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 185 228 การเข้าถึงหรือรับรู้และใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารผ่านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (กลุ่มแรงงานนอกระบบ) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281810 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยนี้มุ่งศึกษาการคุ้มครองสิทธิของแรงงานนอกระบบในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายรับรองโดยเฉพาะพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 36 ที่กำหนดหลักการคุ้มครองผู้ด้อยโอกาสให้เข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบสถานการณ์และแนวทางการคุ้มครองสิทธิระหว่างประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อกสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การศึกษาใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการวิจัย เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การประชุมกลุ่มย่อย และการสำ รวจ พร้อมทั้งศึกษากฎหมายเปรียบเทียบจากเบลเยียม อินเดีย และมาเลเซีย ผลการวิจัยพบว่า แม้จะมีกฎหมายรับรองสิทธิ แต่แรงงานนอกระบบยังประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะด้านค่าใช้จ่าย และโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาเสนอให้ กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำ งานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ลดค่าบริการและส่งเสริมทักษะดิจิทัล เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง</p> พีรพงศ์ จงไพศาลสกุล และคณะ Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 229 262 ปัญหาทางกฎหมายกรณีการเผยแพร่ภาพของเด็กบนสื่อสังคมออนไลน์โดยบิดามารดา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281811 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การเผยแพร่ภาพของบุตรบนสื่อสังคมออนไลน์โดยบิดามารดาก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุตร อย่างไรก็ตาม กฎหมายของประเทศไทยในปัจจุบันยังขาดความชัดเจนว่าจะสามารถคุ้มครองสิทธิของเด็กในกรณีการเผยแพร่ภาพของเด็กบนสื่อสังคมออนไลน์โดยบิดามารดาได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเยียวยาความเสียหาย และการเรียกร้องให้ระงับการเผยแพร่ จากการศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา และกฎหมายของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมี พบว่า มีการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนมากกว่ากฎหมายไทย บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสมในการปรับใช้ และแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการเผยแพร่ภาพของเด็กบนสื่อสังคมออนไลน์โดยบิดามารดาโดยคำ นึงถึงบริบทของสังคมไทย และหลักการคุ้มครองประโยชน์สูงสุดของเด็ก โดยบทความฉบับนี้เสนอให้มีการตีความคำว่า “สิทธิความอย่างหนึ่งอย่างใด” ตามมาตรา 420 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ครอบคลุมถึง “สิทธิความเป็นส่วนตัว”และเสนอให้มีการนำ เรื่องสิทธิที่จะถูกลืม และหลักการคุ้มครองประโยชน์สูงสุดของเด็กมาใช้เพื่อปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็กจากการเผยแพร่ภาพเช่นว่า</p> ชิดชญา จันทร์แก้ว Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 263 306 ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการขออนุญาตมีปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281812 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติ แนวคิด ทฤษฎี หลักการ รวมทั้งกฎหมายควบคุมอาวุธปืนและปัญหาทางกฎหมาย ตลอดจนหาแนวทาง และข้อเสนอแนะ เนื่องจากกฎหมายนี้ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว แม้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมไปบ้างแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อให้มีความรัดกุม และมีประสิทธิภาพ<br>มากยิ่งขึ้น<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; จากการวิจัยพบว่า มีปัญหากฎหมาย 11 ประการ คือ ปัญหาเกี่ยวกับจำ นวนการครอบครองอาวุธปืนของบุคคลแต่ละคน ปัญหาเกี่ยวกับบุคคลซึ่งมีประวัติการใช้ความรุนแรงต่อบุคคลในครอบครัวปัญหาเกี่ยวกับบุคคลซึ่งมีความประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันอาจกระทบกระเทือนถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชน ปัญหาเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการอนุญาตให้มีปืน ปัญหาเกี่ยวกับอายุของใบอนุญาตปัญหาเกี่ยวกับอายุของผู้ขออนุญาต ปัญหาเกี่ยวกับปืนสวัสดิการข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของผู้ขออนุญาต ปัญหาเกี่ยวกับการอบรม และทดสอบความรู้เบื้องต้นเรื่องอาวุธปืน ปัญหาเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียม ปัญหาเกี่ยวกับการดัดแปลงสิ่งเทียมอาวุธปืน<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่าควรมีกฎหมายให้มีอาวุธปืนเพียงคนละ 2 กระบอก เว้นแต่เป็นนักกีฬายิงปืน ควรห้ามบุคคลซึ่งมีประวัติการใช้ความรุนแรงในครอบครัวได้รับใบอนุญาต ควรแก้ถ้อยคำในมาตรา 13(9) ใหม่เป็นห้ามออกใบอนุญาตแก่บุคคลซึ่งมีความประพฤติไม่ดี ควรห้ามออกใบอนุญาต เพื่อการยิงสัตว์ ควรกำหนดอายุของใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนมีอายุ 3 ปี นับแต่วันออก ควรกำ หนดอายุของผู้ขอใบอนุญาตต้องมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ควรให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งซื้อปืนสวัสดิการโอนปืนแก่ผู้อื่นได้เมื่อลาออกจากราชการหรือเกษียณอายุราชการแล้ว และกำหนดให้ซื้อได้คนละไม่เกิน 2 กระบอกด้วย ควรห้ามออกใบอนุญาตแก่บุคคลซึ่งไม่มีใบรับรองจากจิตแพทย์ ควรให้มีการฝึกอบรม และทดสอบความรู้เกี่ยวกับอาวุธปืนเบื้องต้น ควรปรับอัตราค่าธรรมเนียมจากฉบับละ 200 บาท เป็นฉบับละ 1,000 บาท และปืนอื่น ๆ จากฉบับละ 1,000 บาท เป็นฉบับละ 3,000 บาท รวมทั้งบัญญัติความหมายของอาวุธปืนให้ครอบคลุมถึงสิ่งเทียมอาวุธ<br>ปืนที่ได้ดัดแปลงจนสามารถทำ ให้เกิดการบาดเจ็บทางร่างกายอย่างรุนแรงหรือเสียชีวิตได้</p> สุเมธ จานประดับ และคณะ Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 307 336 คำพิพากษาที่น่าสนใจ: ในการพิพากษาคดีส่วนปกครองศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281813 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความนี้พิจารณาถึงการพิจารณาพิพากษาคดีส่วนปกครอง ว่าศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่ โดยผลจากการจัดตั้งศาลปกครองขึ้น ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนมาใช้ระบบศาลคู่ (Dual Court System) และคดีปกครองซึ่งเคยอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลส่วนแพ่ง จะได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยศาลปกครอง เมื่อมีการดำเนินคดีอาญากับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกกล่าวหาหรือชี้มูลว่ากระทำผิดอาญาทุจริตแล้ว มักจะต้องมีการดำเนินการทางวินัยด้วย ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อสิทธิ หน้าที่ รวมถึงสถานะของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกดำเนินคดี และถ้าหากมีการออกคำสั่งลงโทษทางวินัย มักจะมีการนำคดีไปสู่ศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยดังกล่าว จึงเกิดคำถามว่าในการพิจารณาคดีปกครองนั้น ศาลส่วนปกครองอยู่ในบังคับมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่&nbsp;</p> มณฑล อรรถบลยุคล ปรีดิ์เฉลิม เจริญศิลป์ Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 337 350 การคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณภาพในการซื้อขายสินค้ารูปแบบเนื้อหาดิจิทัลของสหราชอาณาจักรเปรียบเทียบกับกฎหมายไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281804 <p> การซื้อขายในปัจจุบัน นอกจากมีการซื้อขายสินค้าที่สามารถจับต้องได้แล้ว ยังมีการซื้อขายสินค้าที่อยู่ในรูปแบบเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) เช่น ภาพยนตร์ ละคร ซอฟต์แวร์ และเกม เป็นต้น ในสหราชอาณาจักรได้ออกพระราชบัญญัติสิทธิผู้บริโภค ค.ศ. 2015 (Consumer Rights Act 2015 หรือ CRA 2015) ที่มีการคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องคุณภาพสินค้าให้ขยายจากการคุ้มครองผู้บริโภคแบบดั้งเดิมให้ครอบคลุมถึงเนื้อหาดิจิทัลด้วย</p> <p> ความคุ้มครองตาม CRA 2015 เป็นไปตามกรณีดังต่อไปนี้ ประการแรก มาตรา 34 กำหนดมาตรฐานของสินค้าที่ขายในเนื้อหาดิจิทัลต้องมีคุณภาพที่น่าพึงพอใจ (Satisfactory Quality) ประการที่สอง มาตรา 35 กำหนดให้เนื้อหาดิจิทัลต้องเหมาะสมกับวัตถุประสงค์เฉพาะที่ผู้บริโภคแจ้งให้ผู้ขายทราบ (Fitness for Particular Purpose) และประการสุดท้าย มาตรา 36 กำหนดให้สินค้าที่อยู่ในรูปแบบเนื้อหาดิจิทัลต้องตรงกับคำพรรณนาที่ผู้ขายให้ไว้ด้วย (As Described) ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว มาตรฐานการคุ้มครองในเรื่องการซื้อขายสินค้าที่อยู่ในรูปแบบเนื้อหาดิจิทัลของประเทศไทยนั้น ไม่มีบทบัญญัติเฉพาะที่จะใช้โดยตรง จึงต้องนำกฎหมายหลายฉบับมาประกอบกัน เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยควรจะมีกฎหมายที่บังคับใช้ในการคุ้มครองเรื่องคุณภาพสินค้าที่อยู่ในรูปแบบเนื้อหาดิจิทัลโดยเฉพาะ</p> พิชญ์ วิทยารัฐ สลิล สิรพิทูร Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 1 20 กระบวนการไกล่เกลี่ย: ปัญหาและบทบาทของศาล ในการส่งเสริมการระงับข้อพิพาทภายใต้กฎหมายไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/lawjournal/article/view/281805 <p> กระบวนการไกล่เกลี่ยเป็นกลไกสำคัญในการระงับข้อพิพาทที่ช่วยลดภาระของศาล ลดต้นทุนของคู่กรณี และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายไทย เช่น พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 20 ตรี จะกำ หนดให้มีการไกล่เกลี่ยทั้งก่อนและระหว่างการดำ เนินคดี แต่กลับพบว่า การบังคับใช้ข้อตกลงที่เกิดจากการไกล่เกลี่ยยังมีข้อจำกัด ทำ ให้คู่กรณีบางฝ่ายไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของกระบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ การไกล่เกลี่ยในไทยยังเป็นไปบนพื้นฐานของความสมัครใจ ส่งผลให้หลายกรณีที่มีศักยภาพในการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีดังกล่าวไม่สามารถดำ เนินการได้เนื่องจากฝ่ายหนึ่งปฏิเสธการเข้าร่วม<br /> เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศ พบว่า หลายประเทศมีแนวทางในการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพของการไกล่เกลี่ย เช่น สิงคโปร์ที่มีระบบรับรองข้อตกลงไกล่เกลี่ยให้มีผลบังคับใช้ได้โดยตรงผ่านศาล สหราชอาณาจักรที่มีการกำ หนดให้บางกรณีต้องเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยภาคบังคับและออสเตรเลียที่ใช้มาตรการส่งเสริมการไกล่เกลี่ยก่อนการดำ เนินคดีในบางประเภทของคดีแพ่งบทความนี้เสนอให้มีการพัฒนาแนวทางการไกล่เกลี่ยของไทยในสามประเด็นสำคัญ ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายให้ข้อตกลงไกล่เกลี่ยมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติ การกำ หนดมาตรการจูงใจให้คู่กรณีเลือกใช้การไกล่เกลี่ยมากขึ้น และการกำ หนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำ หรับการดำ เนินกระบวนการไกล่เกลี่ยในศาลการพัฒนาในลักษณะนี้จะช่วยให้ระบบไกล่เกลี่ยมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ลดภาระของศาล และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมไทยให้เท่าทันมาตรฐานสากล</p> เอกราช มุลฑา Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-27 2025-06-27 14 1 21 68