Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr <p>วารสาร Strategic Perspectives on Business and Marketing Management มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการที่มีคุณภาพทางด้านการบริหารธุรกิจ การจัดการ และการตลาดของบุคลากรทั้งภายใน และภายนอกมหาวิทยาลัย 2) เป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และบุคคลทั่วไป 3) เป็นแหล่งในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทางการวิจัยของบุคลากร คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา และบุคคลทั่วไป</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ ผู้นิพนธ์</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับ<span lang="TH">มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี </span>และคณาจารย์ท่านอื่น ในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> panisa_m@rmutt.ac.th (รองศาสตราจารย์ ดร.ปณิศา มีจินดา) mmjournal@rmutt.ac.th (นางสาวสมฤทัย หลักสูงเนิน) Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 Marketing Research 101 คู่มือรู้ใจลูกค้าฉบับสมบูรณ์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/281920 <p><strong>ชื่อหนังสือ:</strong> <em>Marketing Research 101 คู่มือรู้ใจลูกค้าฉบับสมบูรณ์</em></p> <p><strong>ชื่อผู้เขียน:</strong> ณกมล อัศวยนต์ชัย</p> <p><strong>สํานักพิมพ์:</strong> Way Maker</p> <p><strong>ภาษา:</strong> ภาษาไทย</p> <p><strong>ความยาว:</strong> 216 หน้า</p> สุเมธ พิมพ์สราญ Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/281920 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตัวแทนบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) สาขาลำปาง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/271022 <p><strong><em>วัตถุประสงค์</em></strong><strong><em> -</em></strong> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตัวแทนบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) สาขาลำปาง จำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ และ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่มีต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตัวแทนบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) สาขาลำปาง</p> <p><strong><em>ระเบียบวิธีวิจัย </em></strong><strong>- </strong>กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ตัวแทนบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) สาขาลำปาง จำนวน 86 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย </em></strong><strong>- </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ตัวแทนฯ ที่มีเพศ อายุ สถานภาพการสมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีประสิทธิภาพการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกัน และ 2) ปัจจัยการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้านการฝึกอบรมและการพัฒนา ด้านค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่น และด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน มีอิทธิพลทางบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตัวแทนบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) สาขาลำปาง ส่วนด้านการสรรหาบุคลากรและด้านการคัดเลือก มีอิทธิพลทางลบต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตัวแทน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong><em>ข้อจำกัดในการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>การศึกษานี้มีข้อจำกัดจากกลุ่มตัวอย่างที่แคบ โดยศึกษาเพียง 86 คน จากสาขาเดียวของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในลำปาง ซึ่งจำกัดการนำผลไปใช้กับสาขาหรือบริษัทอื่นที่มีแนวทางการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การใช้แบบสอบถามที่ผู้ตอบกรอกเองอาจก่อให้เกิดอคติจากการตอบในแนวทางที่พึงประสงค์ทางสังคม ซึ่งอาจลดความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือของผลการศึกษา</p> <p><strong><em>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร</em></strong><strong> - </strong>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหารมีดังนี้ 1) จัดการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องด้านผลิตภัณฑ์และทักษะการขาย เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอธิบายกรมธรรม์และการจูงใจลูกค้า 2) กำหนดค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสมตามความรู้และประสบการณ์ รวมถึงประกันภัย การรักษาพยาบาล และค่าเล่าเรียนบุตร และ 3) พัฒนาระบบประเมินผลงานที่ยุติธรรม พร้อมจัดสัมมนาและโบนัสตามผลการปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของตัวแทน</p> <p><strong><em>ความแปลกใหม่/คุณค่า</em></strong> <strong>– </strong>การศึกษานี้ช่วยยืนยันและขยายความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการทรัพยากรมนุษย์และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในบริบทเฉพาะของตัวแทนประกันชีวิตในประเทศไทย</p> ณัฐฐิณีพร ชัยชมภู, ทัชชกร สอนบุญเรือง, ศิริพร ศรีวิลัย, กิตติ อินทรีย์, คงศักดิ์ ตุ้ยสืบ, ผจงจิต ติ๊บประสอน Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/271022 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/271448 <p><strong><em>วัตถุประสงค์ </em></strong><strong>- </strong>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการกับการตัดสินใจใช้บริการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 2) สกัดปัจจัยย่อยที่เหมาะสมกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการในบริบทเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และ 3) ศึกษาอำนาจการพยากรณ์การตัดสินใจใช้บริการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีจากปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ </p> <p><strong><em>ระเบียบวิธีวิจัย </em></strong><strong>- </strong>โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จำนวน 400 คน และใช้แบบสอบถามออนไลน์ในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน ได้แก่ ค่าสหสัมพันธ์ของเพียรสัน การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 21 – 30 ปี สถานภาพโสดและไม่มีบุตร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในบริษัทเอกชน หรือ รับจ้าง มีรายได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 15,001 - 30,000 บาทต่อเดือน และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ<br />ใช้บริการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี มี 3 ปัจจัย โดยปัจจัยกระบวนการส่งผลมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"> = .332) รองลงมาคือ บุคลากร (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> = .251) และการส่งเสริมการตลาด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> = .171) ตามลำดับ</span></p> <p><strong><em>ข้อจำกัดในการวิจัย </em></strong><strong>- </strong>การวิจัยนี้ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อาจส่งผลต่อความสามารถในการนำผลการวิจัยไปอ้างอิงสู่ประชากรในวงกว้าง นอกจากนี้ การศึกษานี้มุ่งเน้นเฉพาะเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพียงแห่งเดียว ทำให้ผลการวิจัยที่ได้อาจไม่สามารถนำไปอ้างอิงหรือประยุกต์ใช้กับสวนสัตว์กลางคืนแห่งอื่น ๆ หรือแหล่งท่องเที่ยวประเภทอื่นได้โดยตรง</p> <p><strong><em>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร</em></strong> <strong>- </strong>ผู้บริหารเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีสามารถพัฒนาการบริการได้ดังนี้ (1) <strong>กระบวนการ (</strong><strong>Process):</strong> พัฒนาเทคโนโลยีในบริการ เช่น ขายตั๋วและชำระเงินออนไลน์ (2) <strong>บุคลากร (</strong><strong>People):</strong> อบรมพนักงานด้านภาษาอังกฤษและจีน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเน้นการบริการที่เป็นมิตร ไม่เลือกปฏิบัติ (3) <strong>การส่งเสริมการตลาด (</strong><strong>Promotion):</strong> ขยายการประชาสัมพันธ์กิจกรรมผ่านแอปพลิเคชันท่องเที่ยวทั้งในประเทศ (เช่น Eventpop) และต่างประเทศ (เช่น Klook, Trip) เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น</p> <p><strong><em>ความแปลกใหม่/คุณค่า</em></strong><strong> - </strong>งานวิจัยนี้ได้ทำการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) เพื่อสกัดตัวแปรย่อยที่เหมาะสมกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการในบริบทของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จากเดิม 28 ข้อคำถาม สกัดเหลือ 19 ข้อคำถามที่มีนัยสำคัญ และยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการกับการตัดสินใจใช้บริการ โดยพบว่าปัจจัยกระบวนการ ลักษณะทางกายภาพ และบุคลากร มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับการตัดสินใจใช้บริการ</p> ปรีดา พรหมมายน, ณัฐพงษ์ เรือนทอง Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/271448 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการของพนักงานขายที่ส่งผลต่อความไว้วางใจในตราสินค้าและความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ไอทีของกลุ่มผู้บริโภค Generation Z https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/271538 <p><strong><em>วัตถุประสงค์ </em></strong><strong>- </strong>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการให้บริการของพนักงานขาย ที่มีต่อความไว้วางใจในตราสินค้าและความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ไอทีของผู้บริโภคกลุ่ม Generation Z โดยพิจารณาจากคุณภาพการให้บริการ 5 ด้าน ดังนี้ การตอบสนองต่อผู้บริโภค (Responsiveness) การให้ความเชื่อมั่นกับผู้บริโภค (Assurance) ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ (Reliability) การเอาใจใส่ผู้บริโภค (Empathy) และความเป็นรูปธรรม (Tangibility) โดยมี ความไว้วางใจในตราสินค้า (Brand trust) เป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างคุณภาพการให้บริการและความตั้งใจซื้อ (Purchase Intention)</p> <p><strong><em>ระเบียบวิธีวิจัย</em></strong><strong><em> - </em></strong>กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภค Generation Z ที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์ไอที จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย การวิเคราะห์ถดถอยอย่างง่าย การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ตัวแปรคั่นกลางด้วยวิธีการบูตสแตรป</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย</em></strong><strong><em> - </em></strong>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยคุณภาพการให้บริการของพนักงานขายส่งผลต่อความไว้วางใจในตราสินค้า ไอทีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐานเท่ากับ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = 0.802 และความไว้วางใจในตราสินค้ามีอิทธิพลเชิงบวกต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ไอทีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐานเท่ากับ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = 0.748 ทั้งนี้ ความไว้วางใจในตราสินค้าไอทีเป็นตัวแปรคั่นกลางที่มีอิทธิพลบางส่วน (Partial mediation) ในความสัมพันธ์ของคุณภาพในการให้บริการของพนักงานขายและความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ไอทีของผู้บริโภค</p> <p><strong><em>ข้อจำกัดในการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>การศึกษานี้จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ IT ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้าง <br />มีความซับซ้อนและต้องใช้ความพยายามในการซื้อ</p> <p><strong><em>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร</em></strong> - ผู้ประกอบการสำหรับสินค้า IT ควรให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการของพนักงานขาย ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมด้านการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า การสื่อสารอย่างมีความเห็นอกเห็นใจ และการอัปเดตความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจในตราสินค้า และนำไปสู่ความตั้งใจซื้อในที่สุด</p> <p><strong><em>ความแปลกใหม่/คุณค่า</em></strong></p> <p>งานวิจัยนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างทางวิชาการโดยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านคุณภาพในการให้บริการของพนักงานขายกับความไว้วางใจในตราสินค้า และอิทธิพลที่มีต่อความตั้งใจซื้อสินค้า โดยเฉพาะในบริบทของผลิตภัณฑ์ไอที ซึ่งความไว้วางใจในตราสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ</p> วราภรณ์ ด่านศิริ Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/271538 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะความเป็นผู้นำต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของหน่วยงานภาครัฐ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/278790 <p><strong><em>วัตถุประสงค์ </em></strong><strong>- </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาภาวะความเป็นผู้นำที่มีผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ของหน่วยงานภาครัฐ และ (2) กำหนดแนวทางด้านภาวะความเป็นผู้นำที่มีผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของหน่วยงานภาครัฐ โดยมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบภาวะความเป็นผู้นำ 6 ด้าน ได้แก่ ภาวะผู้นำแบบสั่งการ ภาวะผู้นำแบบสนับสนุน ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม ภาวะผู้นำแบบเน้นความสำเร็จ การสร้างแรงบันดาลใจ และการกระตุ้นการใช้ปัญญา</p> <p><strong><em>ระเบียบวิธีวิจัย</em></strong><strong> - </strong>โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มตัวอย่างคือข้าราชการทหารสังกัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 400 คน จาก 5 หน่วยงานหลัก ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบโควตาจากแต่ละหน่วยงาน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามผ่าน Google Form และวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยวิธี Enter</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>ผลการวิจัยพบว่าโมเดลสามารถทำนายการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 56.707, p &lt; 0.001, R² = 0.464) โดยการกระตุ้นการใช้ปัญญามีอิทธิพลทางบวกสูงสุดต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = 0.309) รองลงมาคือ การสร้างแรงบันดาลใจ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = 0.207) ภาวะผู้นำแบบสั่งการ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" />= 0.153) และภาวะผู้นำแบบเน้นความสำเร็จ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = 0.145) ในขณะที่ภาวะผู้นำแบบสนับสนุนและแบบมีส่วนร่วมไม่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของหน่วยงานภาครัฐ</p> <p><strong><em>ข้อจำกัดในการวิจัย </em></strong><strong>- </strong>การวิจัยนี้จำกัดเฉพาะข้าราชการทหารสังกัดกระทรวงกลาโหม การศึกษาในอนาคตอาจเปรียบเทียบกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ หรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีลักษณะการทำงานแตกต่างกัน</p> <p><strong><em>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร</em></strong><strong> - </strong>ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาภาวะผู้นำในหน่วยงานภาครัฐ <br />โดยเน้นการกระตุ้นการใช้ปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจ การให้คำแนะนำที่ชัดเจน และการตั้งเป้าหมายที่<br />ท้าทาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาองค์กรสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้</p> <p><strong><em>ความแปลกใหม่/คุณค่า </em></strong><strong>- </strong>งานวิจัยนี้มีส่วนช่วยขยายองค์ความรู้ทางการบริหารภาครัฐในหลายด้าน โดยได้เสนอแบบจำลองการถดถอยพหุคูณที่แสดงอิทธิพลขององค์ประกอบภาวะความเป็นผู้นำ 4 ด้าน ที่มีนัยสำคัญ เข้ากับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในบริบทของหน่วยงานภาครัฐไทย อีกทั้งยังได้กำหนดแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำ 4 ลักษณะหลักที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยพบว่าการกระตุ้นการใช้ปัญญาและการสร้าง<br />แรงบันดาลใจมีอิทธิพลสูงที่สุดต่อการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ในยุค VUCA และ BANI World</p> จุฑา มุกนพรัตน์, ธีทัต ตรีศิริโชติ Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/278790 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของความยั่งยืน (Triple Bottom Line) และปัจจัยที่ส่งผลต่อความไว้วางใจและการเป็นผู้เผยแพร่แบรนด์: กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์อาหาร Plant-Based แบรนด์โอ้กะจู๋ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/277851 <p><strong><em>วัตถุประสงค์</em></strong><strong> - </strong>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของผลลัพธ์สามด้านของความยั่งยืน (Triple Bottom Line) ซึ่งได้แก่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ (Economic Sustainability) ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) ความยั่งยืนทางสังคม (Social Sustainability) รวมทั้งความน่าเชื่อถือของแบรนด์ (Brand Credibility) และประสบการณ์ของแบรนด์ (Brand Experience) ที่ส่งผลต่อความไว้วางใจ (Brand Trust) และการเป็นผู้เผยแพร่แบรนด์ (Brand Evangelism) กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์อาหาร Plant-Based แบรนด์โอ้<br />กะจู๋ ในเขตกรุงเทพมหานคร</p> <p><strong><em>ระเบียบวิธีวิจัย</em></strong><strong> - </strong>ใช้ระเบียบวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ชุด โดยเลือกใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างที่ไม่อาศัยความน่าจะเป็น คือ การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ซึ่งใช้วิธีการแจกแบบสอบถาม<br />โดยใช้ Google Forms และวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ .05</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21-30 ปี เป็นนิสิตหรือนักศึกษา มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ตัวแปรที่ส่งผลต่อความไว้วางใจในแบรนด์อันดับแรก คือ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = .452) รองลงมาคือ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = .241) ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = .158) ประสบการณ์ของแบรนด์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = .132) และอันดับสุดท้ายคือ ความยั่งยืนทางสังคม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = .106) นอกจากนี้ ความไว้วางใจในแบรนด์ส่งผลต่อการเป็นผู้เผยแพร่แบรนด์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = .861) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong><em>ข้อจำกัดในการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>การศึกษานี้จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประเภท Plant-based Foods การศึกษาในอนาคตอาจเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ ที่มีความแตกต่างในด้านความซับซ้อนและการใช้ความพยายามในการซื้อ (High Involvement Product)</p> <p><strong><em>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร</em></strong><strong> - </strong>สำหรับผู้ประกอบการอาหาร Plant-Based ควรนำแนวคิดความยั่งยืนทั้ง 3 ด้าน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ผ่านความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูล และสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจและกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อแบรนด์ในวงกว้าง</p> <p><strong><em>ความแปลกใหม่/คุณค่า</em></strong><strong> - </strong>งานวิจัยนี้มีส่วนช่วยขยายองค์ความรู้ทางการตลาดเพื่อความยั่งยืน โดยให้หลักฐานเชิงประจักษ์จากบริบทที่ไม่ใช่ตะวันตก และและเชื่อมโยงองค์ประกอบของความยั่งยืนกับความไว้วางใจในแบรนด์ (Brand Trust) และการเป็นผู้เผยแพร่แบรนด์ (Brand Evangelism) ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคในอุตสาหกรรมอาหารจากพืช</p> รุ่งทิวา อ้นจันทร์, ลภัสรดา รอดศิริ, วรรณภัทร์ ตรีเนตร, พัสจิรา บัวระภา, จารุพร ตั้งพัฒนกิจ Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/277851 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเองของพนักงานอาวุโสในบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/277203 <p><strong><em>วัตถุประสงค์</em></strong><strong> - </strong>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการความสำเร็จ (Need for Achievement) ความต้องการอำนาจ (Need for Power) และความต้องการความสัมพันธ์ (Need for Affiliation) 2) ศึกษาการพัฒนาตนเอง(Self-development) ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านทัศนคติ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาตนเองของพนักงานอาวุโส</p> <p><strong><em>ระเบียบวิธีวิจัย</em></strong><strong> - </strong>ใช้ระเบียบวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานอาวุโส (40-55ปี) ของโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง และใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูลจากพนักงานที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปจำนวน 250 คน จากประชากรในบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งทั้งหมด 714 คน เนื่องจากปัจจุบันบริษัทแห่งนี้กำลังจะมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 59 จากจำนวนประชากรทั้งหมด</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันมีผลต่อการพัฒนาตนเองไม่แตกต่างกัน พนักงานอาวุโส มีระดับความต้องการความสำเร็จ ความต้องการอำนาจ และความต้องการความสัมพันธ์ และการพัฒนาตนเองในระดับสูง โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาตนเองด้านความรู้ที่สูงที่สุดคือความต้องการความสำเร็จ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาตนเองด้านทักษะที่สูงที่สุดคือความต้องการอำนาจ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาตนเองด้านทัศนคติที่สูงที่สุดคือความต้องการความสัมพันธ์</p> <p><strong><em>ข้อจำกัดในการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>การศึกษานี้จำกัดเฉพาะกลุ่มพนักงานอาวุโสเท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างหากนำไปศึกษาในบริบทของพนักงานในช่วงอายุอื่น ๆ ได้แก่ กลุ่ม Gen Z หรือ Gen Y</p> <p><strong><em>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร</em></strong> - ผลงานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในองค์กร ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความต้องการพัฒนาตนเองของพนักงานอาวุโสและส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงานและการเติบโตขององค์กรในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกในอนาคตได้</p> <p><strong><em>ความแปลกใหม่/คุณค่า</em></strong><strong> - </strong>งานวิจัยนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยจูงใจที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเองของพนักงานอาวุโส ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่ยังได้ รับการศึกษาไม่มากนัก แม้จะมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ การแบ่งปันประสบการณ์ และเสถียรภาพขององค์กร ผลการวิจัยจึงเป็นรากฐานที่มีคุณค่าสำหรับการศึกษาต่อไปและการกำหนดกลยุทธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์ในสังคมผู้สูงอายุ</p> ณัฐพัฒน์ บังเกิดผล, สุรมงคล นิ่มจิตต์ Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/277203 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 INFLUENCER CHARACTERISTICS, PURCHASE INTENTION, AND BRAND LOYALTY: EVIDENCE FROM ONLINE SHOPPERS IN THAILAND https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/273884 <p><strong><em>Purpose</em></strong><strong> - </strong>Influencer marketing has become a prevalent strategy in digital marketing, particularly on social media platforms. This study investigated the impact of five influencer characteristics (credibility, perceived authenticity, content quality, engagement, and disclosure of sponsorship) on purchase intention and brand loyalty among Thai online shoppers.</p> <p><strong><em>Design/Methodology/Approach</em></strong> - Using a quantitative research approach, data were collected via an online survey distributed through email, Facebook, Line, and TikTok from 387 consumers who had made purchases from online shops. Multiple regression analyses were employed to examine the relationships between five influencer characteristics and consumer behavioral outcomes (brand loyalty and purchase intention). Mediation test using Baron and Kenny (1986) was also performed.</p> <p><strong><em>Findings </em></strong>- All five influencer characteristics-credibility, perceived authenticity, content quality, engagement, and sponsorship disclosure-positively and significantly affect purchase intention. Among them, disclosure of sponsorship had the strongest impact (β = .267), followed by engagement (β = .231) and content quality (β = .174). The model explained 42.7% of the variance in purchase intention (R² = .427), demonstrating substantial predictive power. Additionally, the study reveals that influencer characteristics influence consumer behavior both directly (on purchase intention) and indirectly (via brand loyalty).</p> <p><strong><em>Research Limitation</em></strong> - While this study offers valuable insights into influencer marketing, it has limitations. The model’s R² of .427 indicates that additional variables-such as consumer involvement, product category, social identity, or parasocial relationships-remain unexplored and should be considered in future models. Moreover, the findings are based solely on Thai consumers, whose behaviors reflect cultural traits like collectivism and trust in sponsored content. These factors may not generalize to more individualistic cultures, suggesting the need for cross-cultural studies to improve external validity.</p> <p><strong><em>Managerial Implication</em></strong> - The findings suggest that clearly disclosing brand partnerships is crucial, as transparency in sponsorship was the most influential factor driving purchase intention. Marketers should also emphasize selecting influencers with strong audience interaction, as engagement significantly boosts consumer responsiveness. Furthermore, investing in the creation of visually compelling and relevant content can enhance both the perceived value of the product and the credibility of the influencer.</p> <p><strong><em>Originality/Value</em></strong> - The key theoretical contribution of this study lies in its comparison of two competing causal models concerning the relationship between purchase intention and brand loyalty. While the traditional model assumes that purchase intention leads to brand loyalty, the alternative model suggests the reverse- brand loyalty drives purchase intention. The study provides empirical support for the latter, with the alternative model showing significantly stronger explanatory power (R² = .463 vs. .039), reinforcing emerging perspectives in the literature (e.g., Chaudhuri &amp; Holbrook, 2001).</p> ณัฐวุฒิ ปัญญา Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/273884 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการบริหารจัดการคลังสินค้ากรณีศึกษา บริษัท ABC จำกัด สาขาขอนแก่น https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/267793 <p><strong><em>วัตถุประสงค์</em></strong><strong> - </strong>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพิ่มประสิทธิภาพและ<br />ลดต้นทุนในการบริหารจัดการคลังสินค้าของบริษัท ABC ขนส่ง จำกัด ซึ่งปัจจุบันพบว่าบริษัทประสบปัญหาการความล่าช้าในการทำงานและเกิดการทำงานที่ซ้ำซ้อนเนื่องจากระบบการจัดการข้อมูลสินค้าคงคลังยังใช้วิธี การนับจำนวนสินค้าด้วยมือซึ่งส่งผลทำให้เกิดข้อผิดพลาดและความล่าช้าในการทำงานส่งให้พนักงานมีภาระงาน มากเกินไปและกระทบต่อประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าให้กับลูกค้า เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงได้นำแนวทาง การสร้างแอปพลิเคชันสำหรับการวิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูลคลังสินค้า</p> <p><strong><em>ระเบียบวิธีวิจัย</em></strong><strong>- </strong>งานวิจัยนี้ใช้ การวิจัยเชิงปฏิบัติ-การแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) ผสานแนวคิด <strong>ECRS</strong> และ <strong>Flow Process Chart</strong> เพื่อออกแบบ-พัฒนาแอปพลิเคชันลดความสูญเปล่าในคลังสินค้า ABC สาขาขอนแก่น ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ (1) ออกแบบเครื่องมือ (2) เก็บข้อมูลก่อนติดตั้งเครื่องมือ (3) พัฒนาและติดตั้งแอปพลิเคชัน(4) เก็บข้อมูลหลังติดตั้งแอปพลิเคชัน</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย</em></strong><strong>- </strong>ผลการวิจัยพบว่า ก่อนใช้แอปพลิเคชันเวลาทำงาน โดยรวมอยู่ที่ 565 นาที และระยะทางรวมอยู่ที่ 5,026 เมตร ซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนค่าทำงานล่วงเวลาเกินกว่ากฎหมาย โดยเฉลี่ย 609 บาท ต่อรอบงาน หลังจากใช้แอปพลิเคชัน พบว่าเวลาทำงานลดลงเหลือ 230.5 นาที (ลดลง 59.2 % ) และระยะทางในการทำงานลดลงเหลือ 2,470 เมตร (ลดลง 50.68 %)</p> <p><strong><em>ข้อจำกัดในการวิจัย</em></strong><strong> - </strong>การศึกษาครั้งนี้ดำเนินการเฉพาะที่คลังสินค้าของบริษัท ABC Transportation Co. Ltd. สาขาขอนแก่น ซึ่งเป็นบริษัทโลจิสติกส์ที่บริหารคลังสินค้าด้วยตนเอง <strong>ดังนั้น</strong>ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอาจไม่เกิดขึ้นในสถานประกอบการในรูปแบบอื่น เช่น Third Party Logistics, หรือศูนย์กระจายสินค้าอีคอมเมิร์ซ <strong>นอกจากนี้</strong> งานวิจัยวัดคำว่า “ประสิทธิภาพ” โดยใช้ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ 3 รายการ ได้แก่ (1) เวลาในกระบวนการทั้งหมด (2) ระยะทางการเคลื่อนที่ภายในคลังสินค้า และ (3) ต้นทุนค่าล่วงเวลาของพนักงาน งานวิจัยในอนาคตควรพิจารณาเพิ่มตัวชี้วัดอื่น เช่น อัตราความถูกต้องของสินค้าคงคลัง ความผิดพลาดในการหยิบสินค้า และความถี่ของการขาดสต็อก เพื่อให้การประเมินมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น"</p> <p><strong><em>ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหาร </em></strong><strong>- </strong>ผู้บริหารควรนำแอปพลิเคชันคลังสินค้ามาใช้เพื่อลดเวลา ระยะทาง และต้นทุนแรงงาน พร้อมเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน รวมทั้งออกแบบแอปพลิเคชันให้สอดคล้องกับขั้นตอนการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรม และคำนึงถึงทักษะและความชำนาญของบุคลากรที่เกี่ยวข้องด้วย</p> <p><strong><em>ความแปลกใหม่/คุณค่า</em></strong><strong>- </strong>งานนี้แสดงให้เห็นว่าการผสมผสาน Participatory Action Research (PAR) กับแนวคิด <strong>ECRS (Eliminate, Combine, Rearrange and Simplify)</strong> และ <strong>Flow Process Chart</strong> สามารถใช้เป็นขั้นตอนวิจัยเชิงออกแบบแอปฯ สำหรับลดความสูญเปล่าในคลังสินค้าได้อย่างเป็นระบบ-ตั้งแต่การ Mapping ขั้นตอน, Prototype, ไปจน Pilot และวัดผลจริง ซึ่งที่ผ่านมาในวรรณกรรมมีแต่กรณีศึกษาฝ่ายวิศวกรรม แต่ยังขาดบูรณาการกับศาสตร์ “พัฒนาแอปฯ” ในบริบทโลจิสติกส์โดยตรง</p> ศุภณัฐ จรพุทธานนท์, วาสนา พ่วงพรพิทักษ์, อภิชาต ติรประเสริฐสิน Copyright (c) 2025 Strategic Perspectives on Business and Marketing Management https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/mmr/article/view/267793 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700