https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/issue/feedวารสารปรัชญาปริทรรศน์2024-11-16T17:38:14+07:00พระมหาจักรพล อาจารสุโภ, ดร.jpv.mbu@gmail.comOpen Journal Systems<p>วารสารปรัชญาปริทรรศน์ก่อต้ังเมื่อปี พ.ศ. 2538 จากนั้น ได้ตีพิมพ์เผยแพร่บทความมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กองบรรณาธิการของวารสารได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพของบทความ ตั้งแต่กระบวนการรับบทความ การกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการเบื้องต้น การประเมินคุณภาพบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและภายนอก จำนวน 3 ท่าน เพื่อรักษาและพัฒนาคุณภาพของบทความให้เป็นไปตามนโยบายของมหาวิทยาลัยและศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) </p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ ส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนิสิตนักศึกษาตลอดจนบุคคลภายนอกที่สนใจ ได้มีโอกาสนำผลงานวิชาการและงานวิจัยในสาขาวิชา ดังต่อไปนี้ (1) พระพุทธศาสนาและปรัชญา (2) รัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ (3) การศึกษา (4) ภาษาและวัฒนธรรม </li> <li>เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน เรียนรู้งานด้านวิชาการและเป็นแหล่งอ้างอิงในการเผยแพร่บทความของนักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและบุคคลทั่วไปที่สนใจ</li> </ol> <p><strong>รูปแบบการดำเนินการตีพิมพ์บทความ</strong></p> <p>กองบรรณาธิการได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดทำวารสาร ตั้งแต่การคัดเลือกบทความ การประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ โดยการประเมินในรูปแบบการปกปิดชื่อผู้ประเมินและผู้แต่ง (Double-blind Peer Review) และบทความต้นฉบับต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> <p><strong>ประเภทของบทความ (</strong><strong>Types of Articles)</strong></p> <p>1) บทความวิจัย (Research Article)</p> <p>2) บทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p>3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ (</strong><strong>Languages)</strong></p> <p>ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ<em><br /></em></p> <p><strong>การกำหนดตีพิมพ์ (</strong><strong>Publication Frequency) </strong></p> <p>กำหนดเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (ราย 6 เดือน) คือ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p>เมื่อท่านลงทะเบียนและส่งบทความ (Submission) เข้ามาในระบบของวารสารออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ให้ชำระค่าธรรมเนียม บทความละ 3,000 บาท โดยดำเนินการดังนี้</p> <p>1) โอนเข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย รหัสสาขา 459 เลขที่บัญชี 981-8-88235-0</p> <p>2) ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (เงินรายได้)</p> <p>3) เมื่อชำระแล้ว ส่งหลักฐานการโอนเงิน (สลิปการโอนเงิน) แนบมาในช่องกระทู้สนทนาในระบบวารสารออนไลน์ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินการต่อไป</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong></p> <p><a href="https://philo.mbu.ac.th/">คณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย</a></p> <p><strong>หน่วยงานสนับสนุน (</strong><strong>Source of Support) </strong></p> <p>คณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย</p> <p><strong>การเผยแพร่ (</strong><strong>Publication)</strong></p> <p>เผยแพร่วารสารฉบับออนไลน์ ผ่านฐานข้อมูลวารสารระดับชาติ ด้วยระบบ ThaiJO และอยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย TCI ฐาน 2 (ตั่งแต่ปี 2564-2568) และจัดส่งฉบับตีพิมพ์ให้ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง </p>https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265728การประยุกต์หลักภาวนา 4 เพื่อสร้างเสริมสุขภาพของวัดวังขนายทายิการาม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี2024-07-26T13:10:14+07:00ประสิทธิ์ สุขเจริญkhanob.khe@mbu.ac.th<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักการเสริมสร้างสุขภาพตามหลักภาวนา 4 ของวัดวังขนายทายิการาม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ผลการศึกษาพบว่า มีการนำหลักภาวนา 4 มาประยุกต์ในการสร้างเสริมสุขภาพของวัดวังขนายทายิการาม โดยผ่านกิจกรรม/โครงการ ต่าง ๆ ดังนี้ หลักจิตตภาวนา และหลักกายภาวนา ผ่านกิจกรรมการปลูกต้นไผ่เพิ่มพื้นที่สีเขียว และโครงการเดินวิ่งสมาธิการกุศล หลักสีลภาวนา ผ่านกิจกรรมอบรมพี่เลี้ยงอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยสูงอายุ <br />และโครงการฝึกสัมมาชีพเกษตรอินทรีย์ หลักปัญญาภาวนา ผ่านกิจกรรมประกวดป้ายคำขวัญธรรมะ “สื่อธรรมนำปัญญา” นอกจากนี้แล้ว วัดวังขนายทายิการามมีกิจกรรมอื่นที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น <br />การแช่น้ำแร่ธรรมชาติเพื่อการบำบัดโรค การนวดแผนโบราณ การวิ่งการกุศลเพื่อสุขภาพประจำปี การสงเคราะห์ผู้สูงอายุและผู้ป่วย เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้สามารถนำมาหลักภาวนา 4 มาประยุกต์ <br />ได้ทั้งสิ้น</p>2024-11-23T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265023Exploration and Presentation of “Visual Emotion” in Dance Performance2024-09-10T16:00:48+07:00Jingbao Xiangs64563806015@ssru.ac.thManissa Vasinarommantissa.va@ssru.ac.thZhuang Tantz810@126.com<p>Emotion is the life force of dance, and it is the direct way for dancers to show the soul of the dance to the audience in dance performance. It can be said that dance without emotion is a simple patchwork of body movements, no matter how difficult or skilled. It cannot show the audience the true beauty of dance. In the process of dance performance, dancers often increase dance tension through difficult body movements, which can improve the audience's perceptual experience, but if there is no emotional foil, the final result is merely the act of using skill for skill's sake. On the basis of the exploration of "visual emotion" in the process of dance performance, this paper studied that the dancers enhance dance expression through the presentation of "visual emotion", and hoping to bring the audience a better perceptual experience and to further promote the development of dance "visual emotion" through research.</p>2024-11-23T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265024The Application of Multimedia Technology in the Presentation of “Visual Emotion” in Dance2024-07-12T14:07:32+07:00Jingbao Xiangs64563806015@ssru.ac.thManissa Vasinarommantissa.va@ssru.ac.thZhuang Tantz810@126.com<p>In a sense, the wide application of multimedia technology has opened up new ways of thinking of traditional dance, expanded the space for its creation, and promoted the development of its art form. In modern society, the combination of various art forms such as music, dance, and stage art has made the art form of dance more widely expanded. As a new means of expression, multimedia technology can not only improve the performance of dancers, but also build a bridge for them, and can give the dancers another way to connect with the audience, and will become an important direction for the development of dance art in the future.</p>2024-11-23T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265738วิเคราะห์หลักสมาธิในพุทธศาสนาเถรวาท 2024-07-12T14:21:32+07:00พระชิโนรส อัคคธัมโม เทพเมืองshinorasa.a@gmail.com<p>การศึกษาวิเคราะห์หลักสมาธิในพุทธศาสนาเถรวาทในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักสมาธิแบบอื่นๆ และศึกษาหลักสมาธิในพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อวิเคราะห์หลักสมาธิในพุทธศาสนาเถรวาท เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดยใช้พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พ.ศ.2539 เป็นเอกสารปฐมภูมิ ในการศึกษาสมาธิแบบอื่นๆ พบว่าสมาธิในศาสนาต่างๆ มีความคล้ายกันคือเน้นที่ศรัทธา ด้วยการสวดภาวนาคำสอน คำสรรเสริญ มีสมาธิอยู่กับพระเจ้า เทพเจ้า มีการนำสมาธิมาปรับใช้กับศาสตร์อื่นๆ เช่นนำหลักสติปัฏฐาน 4 มาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ เพื่อช่วยลดสภาวะทางอารมณ์อันไม่พึงประสงค์ต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสุขในการดำเนินชีวิต</p> <p>จากการศึกษาพบว่าหลักสมาธิในพุทธศาสนาเถรวาทมีองค์ธรรมที่สำคัญคือโพธิปักขิยธรรม (ธรรมเพื่อการบรรลุอริยมรรค) ได้แก่ สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิบาท 4, อินทรี 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7, มรรคมีองค์ 8 มีวิธีปฏิบัติมากถึง 40 วิธี (กัมมัฏฐาน 40) หลักการปฏิบัติใช้กระบวนการไตรสิกขา คือพัฒนากายให้บริสุทธิ์ด้วย “ศีล” พัฒนาจิตให้เป็นสมาธิด้วยสมถะภาวนาจนเกิด “ฌาน” และพัฒนาปัญญาด้วยวิปัสสนาภาวนาจนเกิดความรู้แจ้ง “ปัญญาญาณ” สมาธิทำให้องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ (โพชฌงค์) สมบูรณ์ และมีแนวปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ครบถ้วน เป้าหมายหลักในการปฏิบัติสมาธิทั้งสมถะและวิปัสสนาคือการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ (เจโตวิมุติ และปัญญาวิมุตติ) ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของสมาธิในพุทธศาสนาเถรวาท คือเป็นการปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังความสุขในระดับโลกกุตระ บรรลุวิมุติ เข้าสู่ “นิพพาน”</p>2024-11-23T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265301การใช้นวัตกรรมทางการเงินแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs2024-08-30T14:08:40+07:00ขภัช นิมมานเหมินท์ kapanch.nim@gmail.comรศ. ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ sungidh.piri@gmail.com<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษารูปแบบนวัตกรรมทางการเงินมาใช้แก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจ SMEs 2. เพื่อศึกษาปัญหาและข้อจำกัดในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน และ 3. เพื่อเสนอแนะแนวทางนโยบายและบทบาทของภาครัฐ และภาคการเงิน ในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน ผลการศึกษา พบว่า แหล่งที่มาของเงินทุนสำหรับธุรกิจ SMEs แบ่งออกเป็นแหล่งเงินทุนภายใน คือ กำไรสะสม และแหล่งเงินทุนภายนอก คือ แหล่งเงินทุนจากจากสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานภาครัฐ โดยการกู้ยืมเงินนั้นต้องมีหลักประกันในการค้ำประกัน จึงส่งผลให้ต้องมีการไปกู้ยืมจากบุคคลอื่น และเงินกู้นอกระบบ ซึ่งในกรณีนี้ผู้กู้จะถูกคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าตามที่กฎหมายได้กำหนด ซึ่งในปัจจุบันมีช่องทางของนวัตกรรมทางการเงิน หรือ ฟินเทค คือ P to P lending ที่เข้ามาเป็นตัวกลางทางการเงินทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการ และลดความไม่สมมาตรของข้อมูลระหว่างผู้กู้และนักลงทุนด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่าแนวทางอื่น ๆ และให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าธนาคาร นับเป็นการเพิ่มผลิตภาพของอุตสาหกรรมการเงิน และเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน ให้กับกิจการขนาดเล็กที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อของธนาคาร และเป็นนวัตกรรมใหม่ในการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม สร้างที่มาของแหล่งเงินทุนและตลาดใหม่ในภาคการเงินที่ภาคธุรกิจสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วยกระบวนการทางธุรกิจ แต่ในปัจจุบัน P to P lending ยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย เนื่องจากความคลุมเครือของกฎหมาย และธุรกิจธนาคารอาจได้รับผลกระทบเนื่องจากอาจเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด ซึ่งมีแหล่งรายได้หลักมาจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการปล่อยสินเชื่อ</p>2024-11-30T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265550มายาคติของการสักบนเรือนร่างของผู้หญิง2024-07-12T15:10:58+07:00ฑิฆัมพร จุฑานพรัตน์nursepimpisa@outlook.comดร.ชนัฐนันท์ ม่วงวิเชียร nursepimpisa@outlook.com<p>บทความวิจัยนี้ ต้องการเผยให้เห็นถึงอำนาจของมายาคติ ที่กระทำการผ่านภาคปฏิบัติการของความรู้ความเชื่อที่แสดงเจตจำนงและกำหนดอัตลักษณ์ของความเป็นอื่นให้กับผู้หญิงที่มีรอยสักในบริบทของสังคมไทย การสื่อสารของผู้หญิงผ่านรอยสักบนเรือนร่างตามความเชื่อ ความหวัง ความต้องการ และเจตจำนงของผู้หญิงในการสร้างอัตลักษณ์และความรู้ใหม่ให้กับรอยสักบนเรือนร่างเพื่อการยอมรับของคนในสังคม ผลการศึกษาพบว่า ด้านหนึ่งรอยสักบนเรือนร่างของผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ความต่ำต้อย ตราบาปของการเป็นทาส และการต้องโทษ มีค่าเพียงความเป็นอื่นของพฤติกรรมเชิงลบ แต่ปัจจุบันผู้หญิงให้คุณค่าของรอยสักแตกต่างออกไป โดยการสร้างอัตลักษณ์แห่งตัวตนใหม่ รอยสักจึงกลายเป็นพื้นที่ของการบันทึกความทรงจำที่งดงาม และเจ็บปวด คือประตูพื้นที่ทางโอกาสของการมีชีวิตอย่างมีคุณค่า และเป็นสุนทรียงานศิลปะบนผิวหนังที่สวยงาม มายาคติรอยสักในสังคมไทยควรเอื้อต่อการให้โอกาสของความเท่าเทียม สร้างสังคมที่เห็นคุณค่าของชีวิต ยอมรับในความแตกต่าง สร้างเจตคติที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิด ความเชื่อ เพราะชีวิตของคนไม่ควรได้รับการตัดสินและกำหนดคุณค่าจากชุดความรู้ชุดเดียวภายใต้กรอบของทฤษฎีความรู้กระแสหลัก ควรคำนึงถึงอำนาจเชื่อมโยงที่แอบแฝงอยู่ภายใต้บริบทและประสบการณ์ และเจ้าของประสบการณ์นั้นต้องมีส่วนในการสร้างชุดความรู้เกี่ยวกับตัวตนและการสร้างอัตลักษณ์ ไม่ใช่จากคนอื่นที่สร้างมายาคติขึ้นมาชุดความรู้ที่อ่อนแอและเต็มไปด้วยคำถาม ให้มีอำนาจในการกำหนด ตัดสินและชี้ชะตาผู้คน</p> <p> </p> <p> </p>2024-11-30T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265634A Study on the Cultural Interaction of Drunken Dragon Dance between Zhongshan, Guangdong and Macau2024-07-12T16:00:35+07:00Jiaxuan Dus64563806010@ssru.ac.thManissa Vasinarommanissa.va@ssru.ac.thZhuang Tantz810@126.com<p>The aim of this paper is to study the multi-faceted development pathways of the Drunken Dragon Dance in Zhongshan and Macau as a research objective, and to analyse the causes of the interaction between the Drunken Dragon Dance in Zhongshan and Macau in Guangdong Province as the scope of the study, using the literature method, questionnaire survey method and observation method to analyse and find answers for the research findings, for the research objectives, research areas and research themes. The Dragon Dance (Drunken Dragon) is listed within the list of national intangible cultural heritage representative items for protection, as the Drunken Dragon culture in Zhongshan and Macau, China has always been an important part of the excellent Chinese traditional culture. With the ongoing construction of the Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area, the cooperation and exchange of Drunken Dragon culture between Zhongshan and Macau has been facilitated by external conditions.</p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265757ความก้าวหน้าที่เปลี่ยนสายอาชีพนิเทศศาสตร์ในจังหวัดเชียงใหม่2024-08-30T13:37:59+07:00พิชชาญา Jeamkitwattanateyapitchaya@gmail.comผศ.ดร.รัตนพงษ์ สอนสุภาพrattsonsuphap@gmail.com<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการก่อตัวของ Disruptive Technology ส่งผลต่อความมั่นคงในสายอาชีพนิเทศศาสตร์ในจังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจาก Disruptive Technology ต่อการเปลี่ยนแปลงสายอาชีพนิเทศศาสตร์ในจังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อศึกษาการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดจากผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสายอาชีพนิเทศศาสตร์ในจังหวัดเชียงใหม่ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้แก่ 1) กลุ่มประกอบอาชีพ/ตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องกับสายนิเทศศาสตร์ในระดับองค์กร 2) กลุ่มสถาบัณฑิตที่จบจากคณะนิเทศศาสตร์และนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์ 3) กลุ่มประกอบอาชีพรับจ้างอิสระ ที่เกี่ยวข้องกับสายนิเทศศาสตร์ จำนวนทั้งสิ้นรวม 15 คน เครื่องมือการวิจัยที่สำคัญคือ การสัมภาษณ์แบบเฉพาะเจาะจง ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับองค์กรไม่ได้เป็นผลกระทบ แต่ผู้ประกอบการจะต้องมีการพัฒนาองค์กร ตามทันกระแส 2) ระดับสถาบันการศึกษา เกิดผลกระทบอย่างหนัก ในด้านหลักสูตรการศึกษา 3) ระดับปัจเจกบุคคล ผลกระทบหลักคือการตามกระแสไม่ทัน สุดท้ายผลกระทบที่มาจาก Disruptive Technology สิ่งที่ควรทำคือการ “เข้าใจ ปรับตัว และเปลี่ยนแปลง”</p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265631การพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสาคร2024-05-27T14:53:04+07:00องอาจ เขียวงามดีongart2510@gmail.comบุญร่วม คำเมืองแสน คำเมืองแสนKhammuangsaen.brm@gmail.comกฤตสุชิน พลเสนPonsen.kc@gmail.com<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นา 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาท 3) เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสาคร และ 4) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสาคร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสาคัญคือผู้เชียวชาญ โดยเลือกแบบเจาะจง15 รูป/คน ในเขตพื้นที่ 3 อำเภอ คือ 1) อำเภอเมืองสมุทรสาคร 2) อำเภอบ้านแพ้ว และ3) อำเภอกระทุ่มแบน ในจังหวัดสมุทรสาคร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้นำ หมายถึง คนที่ประยุกต์ใช้ความรู้ ความสามารถ จนก่อให้เกิดอำนาจ อิทธิพล หรือเกิดการยอมรับ จนสามารถจูงใจผู้อื่นหรือชักพาผู้อื่น ให้ปฏิบัติภารกิจการงานของกลุ่ม หรือองค์กรให้สำเร็จลุล่วงไปตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่ผู้นำหรือองค์กรตั้งไว้ และภาวะผู้นำนั้น จึงอาจจะหมายถึงกระบวนการที่ผู้นำใช้อิทธิพล หรืออำนาจหน้าที่ในการบริหารงานอย่างมีศิลปะ ทั้งการบอกและชี้แนะ สั่งการ หรืออำนวยการ เพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันในการถ่ายทอดแนวคิดไปสู่การปฏิบัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาวะผู้นำ เป็นกระบวนการในการจูงใจและปฏิสัมพันธ์ให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจวงการขององค์กรเพื่อให้องค์กรสามารถดาเนินกิจกรรมได้บรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กาหนดไว้นั่นเอง</p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265633Study on the Exchange of Drunk Dragon Dance in Zhongshan City, Guangdong Province and Macao Special Administrative Region Based on SWOT2024-07-12T16:38:28+07:00Jiaxuan Dus64563806010@ssru.ac.thManissa Vasinarommanissa.va@ssru.ac.thZhuang Tantz810@126.com<p>The article aims to make suggestions for the inheritance and development of Drunk Dragon Dance in Zhongshan City, Guangdong Province and Macao Special Administrative Region through the study on its origin and development. The purpose of the study was: 1. To explore the origin of Drunk Dragon Dance in Zhongshan City, Guangdong Province and Macao Special Administrative Region; 2. To study the development status of Drunk Dragon Dance in the two places; 3. To put forward feasible suggestions for its development in Zhongshan City and Macao. The research scope is Zhongshan, Guangdong and Macao Special Administrative Region, and the research subjects are the main inheritors of Drunk Dragon Dance in the two places. Research methods include literature studies, interviews and field surveys. The research results are: 1. confirmation of the development and inheritance characteristics of Drunk Dragon Dance through the study on its origin and current status in Zhongshan City of Guangdong Province and Macao; 2. three feasible suggestions for the development of the dance in the two places.</p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265632การบริหารราชการแบบบูรณาการในการพัฒนาหัตถกรรมดั้งเดิม เพื่อความเข้มแข็งของชุมชน2024-07-12T16:51:08+07:00พรพรรณ ทัศนพานนท์pornpuntas2019@gmail.comอภิรัตน์ กังสดารพรKangsadanporn.ar@gmail.com<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเข้มแข็งของชุมชนที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมดั้งเดิมของชุมชนศรีสุพรรณ จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนบ้านไผ่หนอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และชุมชนเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อศึกษาการบริหารราชการแบบบูรณาการในการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมดั้งเดิมของไทย ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนในชุมชน รวม 45 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าความเข้มแข็งของภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมดั้งเดิม เกิดจาก องค์ความรู้จากบรรพบุรุษ ที่ผ่านการศึกษาด้วยการทดลองทำ และถ่ายทอดสืบต่อกันมาผ่านปราชญ์ชาวบ้าน และความเข้มแข็งของชุนชน เกิดจากการพึ่งพาตนเองโดยผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งด้านการผลิต การปรับประยุกต์และพัฒนาให้ทันสมัย ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่า สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความสุขและความภาคภูมิใจให้กับคนในชุมชน ส่งผลให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน นอกจากนี้พบว่าแนวทางการบริหารราชการแบบบูรณาการในการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมดั้งเดิม เกิดจากการที่ภาครัฐให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ได้แก่ 1) การสร้างกลไกส่งเสริมให้ตัวแทนกลุ่มต่างๆ เข้ามาร่วมอย่างเป็นทางการ 2) การปรับหน่วยงานภาครัฐ วิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานให้มีการทำงานแบบเครือข่าย 3) พัฒนาความเป็นผู้นำให้กับภาคประชาชน สร้างทักษะการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการบริหารจัดการ 4) การประเมินผลการปฏิบัติงานจากการทำงานร่วมกับประชาชน เพื่อให้บรรลุผลตามยุทธศาสตร์ มุ่งสู่ผลสำเร็จและเป้าหมายของงานร่วมกัน</p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265640การบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 32024-07-12T19:21:11+07:00อรนลิน รัชนิพนธ์ namun_zz@hotmail.comศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์TONWIMONRAT_S@SU.AC.TH<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต 2) แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต ประชากรในการวิจัยได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการโรงเรียนและครูของโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต จำนวนทั้งสิ้น 75 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และแบบสอบถามปลายเปิดสำหรับแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อแยกพิจารณาแต่ละด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้าน โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตมากไปหาน้อย คือ ด้านการฝึกอบรมและการพัฒนา ด้านการบริหารผลการปฏิบัติงานและการประเมินผล ด้านการสรรหาและบรรจุ ด้านพนักงานสัมพันธ์ และด้านการจ่ายค่าตอบแทน 2) แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัตพบว่าแนวทาง โดยมีการส่งเสริมในด้านที่มีค่ามัชฌิมเลขคณิตสูงกว่า 3.50 และมีการพัฒนาในด้านที่มีค่ามัชฌิมเลขคณิตต่ำกว่า 3.50</p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265603การแก้ไขปัญหาชีวิตตามแนวอนุสสติในพระพุทธศาสนา2024-08-11T15:07:26+07:00นิภาพร ชมภูจันทร์chompu-add@hotmail.comพระศรีวินยาภรณ์srivin.pp@hotmail.comรศ.สุเชาว์ พลอยชุมPloychurm.sh@gmail.com<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษาวิจัยเรื่อง การแก้ไขปัญหาชีวิตตามแนวอนุสสติในพระพุทธศาสนา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัญหาชีวิตและการแก้ไขปัญหาชีวิต 2) เพื่อศึกษาหลักปฏิบัติตามแนวอนุสสติในพระพุทธศาสนา 3) เพื่อนำเสนอการแก้ไขปัญหาชีวิตตามแนวอนุสสติในพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก คัมภีร์วิสุทธิมรรค หนังสือ วิทยานิพนธ์ เว็บไซต์ โดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาชีวิต หมายถึง อุปสรรคในการใช้ชีวิตและอาจหมายถึง เป็นการขัดขวางการทำอะไรดี ๆ ในชีวิตของเราไม่ให้สำเร็จได้ ปัญหานั้นอาจเกิดจากคน สิ่งของ หรือสภาพสังคมก็ได้และปัญหานี้ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภทมีทั้งยาก ง่าย ซับซ้อนเกินกว่าที่จะเข้าถึงปัญญานั้นได้ก็มี แต่งานวิจัยนี้ประมวลไว้ 4 ด้านดังนี้ 1) พฤติกรรม ว่าด้วยเรื่องของ ใจ 2) สุขภาพ ว่าด้วยเรื่องของ กาย 3) ครอบครัว ว่าด้วยเรื่องของ สังคม 4) การงาน ว่าด้วยเรื่องของ เศรษฐกิจ</p> <p> อนุสสติในพระพุทธศาสนา เป็นสมถกัมมัฏฐานเพื่อพัฒนาจิตโดยใช้พิจารณาองค์ประกอบของ การคิด การนึก ในทางกุศล อย่างเนือง ๆ ช่วยให้สำเสร็จประโยชน์ในทุกกรณี ทำให้จิตสงบ ตั้งมั่น เกิดสมาธิ ข่มนิวรณ์ 5 เกิดองค์ฌาน ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญารู้ตามความเป็นจริง</p> <p> การแก้ไขปัญหาชีวิตตามแนวอนุสสติในพระพุทธศาสนา หลักพุทธธรรมมีความจำเป็นและมีความสำคัญต่อบุคคลที่ปฏิบัติ เพราะผู้ที่ปฏิบัตินั้นสามารถอยู่กับปัญหาอย่างมีปัญญาและเกิดความสุขมากกว่าที่ไม่ได้ฝึกสมถกัมมัฏฐานซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ ทำให้เกิดทักษะ ทั้ง 4 ด้าน ทำให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงในกฎไตรลักษณ์ของกายและใจซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาชีวิต 4 ด้าน</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong><strong>:</strong> 1. การแก้ไขปัญหาชีวิต 2. อนุสสติ 10 3. พระพุทธศาสนา</p> <p> </p> <p> </p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265847ทุนท้องถิ่นกับการการขับเคลื่อนสมุทรปราการสู่ความเป็นเมืองน่าอยู่2024-07-12T17:30:53+07:00สัมพันธ์ เตชะเจริญกุลsampantik@gmail.comอภิรัตน์ กังสดารพรKangsadanporn.ar@gmail.com<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทของเมืองสมุทรราการในสถานะความเป็นเมืองน่าอยู่ 2) เพื่อศึกษาทุนท้องถิ่นและพลังการขับเคลื่อนทุนท้องถิ่นให้สมุทรปราการเป็นเมืองน่าอยู่ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางของการขับเคลื่อนเมืองสมุทรปราการให้เป็นเมืองน่าอยู่ โดยศึกษาจากเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวนรวม 16 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะของเมืองน่าอยู่ของสมุทรปราการ ประกอบด้วย 1) มีสาธาร ณูปโภคพื้นฐานดี การจราจรสะดวก มีโครงสร้างพื้นฐานดี 2) มีเศรษฐกิจดี มีรายได้ดี มีการจ้างงานที่ดี ค่าครองชีพไม่สูงมากเกินไป 3) มีสภาพทางสังคมที่ดี มีความปลอดภัยต่อชีวิตสูง 4) เมืองที่มีสภาพแวดล้อมดี มีความสะอาด มีมลพิษน้อย มีพื้นที่สีเขียวเพียงพอ 5) มีแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์ ในขณะที่ทุนท้องถิ่นและการบริหารจัดการภาครัฐท้องถิ่นที่เป็นพลังในการขับเคลื่อนให้สมุทรปราการเป็นเมืองน่าอยู่ประกอบด้วย 1) ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาท้องถิ่น 2) ระบบการจัดการเมืองที่ดีโปร่งใสและเป็นธรรมตรวจสอบได้ และ 3) ภาคประชาสังคมที่เข้มแข็งประชาชนมีสำนึกในความเป็นพลเมือง มีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบต่อการบริหารจัดการบ้านเมือง สิ่งที่ยังเป็นจุดที่ต้องพัฒนาของความเป็นเมืองน่าอยู่คือการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดดำรงตำแหน่งในระยะเวลาสั้น เป็นปัญหาที่ควรต้องพิจารณาในการบริหารการปกครอง และประเด็นการใช้งบประมาณขององค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นจะต้องมีคุณธรรมและการบริหารจะต้องมีธรรมาภิบาล มีการใช้งบประมาณที่ขาดความคุ้มค่า นอกจากนั้นการกระจายอำนาจเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นเป็นข้อเสนอของผู้ให้ข้อมูลสำคัญในงานวิจัยนี้</p>2024-12-01T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265850พระคเณศ: นวัตกรรมสังคมบนความศรัทธา2024-07-12T18:20:52+07:00ณฌาริชา จุฑานพรัตน์nacharicha.juthanopparatana@gmail.comฉัตรวรัญช์ องคสิงหOngkasinha.cwr@gmail.com<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและรวบรวมคติความเชื่อ พิธีกรรม และวิเคราะห์การดำรงอยู่ของคติความเชื่อเกี่ยวกับพระคเณศ 2) ศึกษานวัตกรรมสังคมทางความเชื่อของพระคเณศ 3) วิเคราะห์ความหลากเลื่อนในศรัทธาที่มีต่อพระคเณศ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก มีผู้ให้ข้อมูลหลักรวม 15 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คติความเชื่อ พิธีกรรม และนวัตกรรมสังคมทางความเชื่อของพระคเณศ สามารถสะท้อนผ่านงานประติมากรรม และพิธีคเณศจตุรถี ที่ก่อให้เกิดกระแสนิยม วัตถุมงคล ภาพวาด และการสร้างพระพิฆเนศปางต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมกันอย่างกลมกลืน โดยสัญญะแห่งความสำเร็จ และการนับถือพระคเณศเกิดจากการประกอบสร้างความหมายจากคนในสังคมผ่านพิธีกรรม บทสวด การบูชาฯลฯ ภายใต้วัฒนธรรมของพื้นที่นั้น ๆ แม้สังคมไทยจะมีพระพุทธศาสนาเป็นแกนกลางของความเชื่อ งานวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์การรื้อสร้างแนวคิดที่สมาทานพระพุทธศาสนา และสร้างความหมายของพระคเณศขึ้นมาใหม่ โดยเป็นเทพที่ขออะไรก็ได้ และเป็นเทพแห่งความสำเร็จ จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนากับพระคเณศมีความเป็นคู่ตรงข้ามที่ไม่มีความขัดแย้งกัน ชาวไทยพุทธสามารถอยู่ระหว่างความเชื่อทั้งสองสิ่งได้อย่างกลมกลืน ดังนั้นแม้สังคมไทยจะนับถือศาสนาพุทธแต่ด้วยความไม่มั่นคงของสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในปัจจุบัน ทำให้คนในสังคมกลัวความไม่แน่นอน ความเชื่อและความศรัทธาจึงเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในการเป็นที่พึ่งให้กับชีวิต ก่อให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและความศรัทธาในพระคเณศ ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางสังคมซึ่งได้รับพัฒนาขึ้นด้วยความคิดสร้างสรรค์ และช่วยแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคม</p>2024-12-02T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265852การพัฒนาศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย2024-07-12T18:33:00+07:00นพรัตน์ ภู่เสือnopparat987@hotmail.comฉัตรวรัญช์ องคสิงหOngkasinha.cwr@gmail.com<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความร่วมมือเชิงบูรณาการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการของภาครัฐในการดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ และ 3) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวนรวม 24 คน จากพื้นที่ เทศบาลตำบล 3 แห่ง เทศบาลเมือง 3 แห่ง และเทศบาลนคร 3 แห่ง</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุของประเทศไทย เกิดจากการร่วมมือทำงานแบบบูรณาการของ 3 ภาคส่วนซึ่งได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม หลักการในการมีส่วนร่วมลักษณะของขั้นบันได (Ladder of Citizen Participation) ได้แก่ 1) ขั้นการควบคุม (Manipulation) 2) ขั้นการรักษา (Therapy) 3) ขั้นการให้ข้อมูล (Informing) 4) ขั้นการรับฟังความคิดเห็น (Consultation) 5) ขั้นการปรึกษาหารือ (Placation) 6) ขั้นการเป็นหุ้นส่วน (Partnership) 7) ขั้นมอบหมายอำนาจ (Delegation) และ 8) ขั้นอำนาจของประชาชน (Citizen Control) โดยมีการขับเคลื่อนที่สำคัญคือการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM ) ซึ่งมีหลักการว่าประชาชนถูกมองว่าเป็น "ลูกค้า" และข้าราช การถูกมองว่าเป็นผู้จัดการสาธารณะ มาใช้ในการพัฒนาผู้สูงอายุ ผ่านศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) โดยนำแนวทางหรือวิธีการบริหารงานของภาคเอกชนมาปรับใช้กับการบริหารงานภาครัฐ ในการบริหารงานแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ การคำนึงถึงหลักความ<strong>คุ้มค่า การ</strong>จัดการโครงสร้างที่กระทัดรัดและแนวราบเพื่อมุ่งเน้นการให้บริการแก่ประชาชนโดยคำนึงถึงคุณภาพเป็นสำคัญ </p>2024-12-02T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265642การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาพุทธศาสนสถาน: กรณีศึกษาที่พักสงฆ์ ป่าเวฬุวัน บ้านสหกรณ์ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี2024-07-14T16:10:28+07:00พระครูกิตติวัฒนานุกูล เซ่งนุ้ยjamataveelongboat@hotmail.comพระครูสิริธรรมาภิรัตSirithammaphirat.pr@gmail.com<p>บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชน 2) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาพุทธศาสนสถาน 3) เพื่อวิเคราะห์การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาพุทธศาสนสถาน ณ ที่พักสงฆ์ป่าเวฬุวัน บ้านสหกรณ์ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี งานวิจัยนี้เป็นเชิงคุณภาพ มีการศึกษาเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอเชิงพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วม คือ การร่วมคิด ร่วมปฏิบัติ การมีส่วนร่วมแบบ บวร จึงเสริมสร้างจิตสำนึก มีความสำคัญต่อการพัฒนา โดยการพัฒนาศาสนสถาน คือ การปรับปรุงสภาพ จนเป็นศูนย์กลางของชุมชน โดยมีพระสงฆ์ทำหน้าเผยแผ่ และสาธารณูปการ ส่วนหลักธรรมเกี่ยวกับการพัฒนา คือ หลักสามัคคีธรรม และหลักสาราณียธรรม โดยการมีส่วนร่วมในการพัฒนา มุ่งเน้นการสร้างความรู้สึกว่า ศาสนสถานที่สร้างนี้เป็นของชุมชน ทำให้เกิดความรู้สึกหวงแหน สภาพปัจจุบันพบว่า <strong>จุดแข็ง</strong> ประชาชนมีอุดมการณ์ร่วมกัน มีความศรัทธาในผู้นำ <strong>จุดอ่อน</strong> อยู่ที่ผู้สืบเจตนารมณ์มีน้อย <strong>โอกาส</strong> จากการยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนในเรื่อง “บวร” <strong>อุปสรรค</strong> เกิดจากระบบอุปถัมภ์ สภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา <strong>ด้านสถานที่</strong> ดำเนินการตามหลักสัปปายะ คือ ปรับปรุงมุมพักผ่อน จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ <strong>ด้านศาสนบุคคล</strong> ต้องเป็นปุคคลสัปปายะ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้มาเยือน มีภัสสะสัปปายะ คือมีการพูดจาอ่อนหวาน ทำให้เห็นว่าหากจะพัฒนาศาสนสถาน ควรต้องเริ่มจากการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน ได้แก่ บ้าน และโรงเรียน เข้ามาช่วยเหลือภายในศาสนสถาน เมื่อบวรมีความร่วมมือกันแล้ว การพัฒนาศาสนสถานก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว</p>2024-12-07T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265851ราชประศาสนศาสตร์ของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี2024-07-12T18:59:15+07:00พิมพ์นารา ประดับวิทย์pimnara.pradubwit@gmail.comอภิรัตน์ กังสดารพรKangsadanporn.ar@gmail.com<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พระราชกรณียกิจด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี 2) หลักการทรงงานของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในฐานะนักราชประศาสนศาสตร์ และ 3) ภาวะผู้นำของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในฐานะนักราชประศาสนศาสตร์ เก็บข้อมูลจากเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เป็นผู้ที่มีบทบาทและทำงานเกี่ยวกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือส่วนงานที่เกี่ยวข้อง 5 คน และวิเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นที่ค้นพบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเสด็จทอดพระเนตรการทำงานของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงปฏิบัติงานตรวจรักษาราษฎรในพื้นที่ที่ทรงเสด็จเยี่ยม และทรงมีพระกรณียกิจในต่างประเทศ เพื่อแสวงหาความร่วมมือทางด้านวิชาการกับสถาบันชั้นนำของนานาประเทศ ทั้งด้านการวิจัย การศึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข หลักการทรงงานของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงปฏิบัติต่อข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชน และนักบวช พระองค์จะทรงแยกเป็นส่วน และทรงช่วยเหลือตามความต้องการ ทรงใช้ความเมตตาต่อบุคคลที่ทำงานกับพระองค์ ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจให้ครอบคลุมทุกด้าน และทรงใส่พระทัยทุกเรื่อง จากหลักการทรงงานและพระราชกรยณียกิจของพระองค์ทรง พอกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ทรงเป็นผู้นำที่เป็นผู้ช่วยเหลือ ทรงมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และทรงเป็นผู้นำเชิงจริยธรรม</p> <p><strong> </strong></p>2024-12-07T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/265974การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับ แผนผังความคิด เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 52024-07-12T19:11:16+07:00นฤมล ชี้ศรทองnarumon@prachuabwit.ac.thผศ.ดร. นิวัฒน์ บุญสมnarumon@prachuabwit.ac.th<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับแผนผังความคิด 2) ศึกษาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับแผนผังความคิด และ 3) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภาระงานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับแผนผังความคิดกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 37 คนที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนประจวบวิทยาลัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling ) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้และบทอ่านที่ใช้ประกอบการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับแผนผังความคิด จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษ 3) แบบประเมินทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และ 4) แบบประเมินการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภาระงานของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐานและทดสอบค่า t (t-test) แบบ dependent</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> 1) ผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับแผนผังความคิดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 2) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับแผนผังความคิด ในภาพรวมนักเรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจอยู่ในระดับมาก</p> <p> 3) การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภาระงานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานร่วมกับแผนผังความคิด ในภาพรวมนักเรียนมีมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภาระงานอยู่ในระดับดี </p>2024-12-07T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phiv/article/view/273119Analysis of Brand Expectation for Chinese Natural Dyes Based on the Kano Model2024-09-10T15:49:36+07:00Li Ting li604049101@gmail.comAssoc.Prof.Dr.Supavee Sirinkraporn li604049101@gmail.com<p>This research aimed to study (1) apply the Kano model to deeply analyze consumers' psychological expectations; (2) create designs that are both traditional and modern through the optimization of brand image, to better meet consumer expectations; (3) utilize new knowledge to develop a series of innovative natural dye product designs, the sample was 350 consumers. They was selected by Purposive Sampling, the instrument for collecting data were in-depth interviews and focus groups Analysis data by Descriptive statistics and Content Analysis. The research results were found as follows; 1) The consumers demonstrate multi-layered psychological expectations for natural dye brands, not only encompass respect for traditional culture and support for environmental concepts but also include the pursuit of fashionable design. 2) The natural dye brand design and development process based on the Kano model, aimed at accurately capturing and fulfilling the diversity of consumer expectations. Notably, up to 90% of experts and respondents agree with the brand positioning based on the Kano model. 3) Utilizing new knowledge to develop a series of innovative natural dye product designs.—maintains the continuity of traditional natural dyeing, successfully promotes market transformation by integrating traditional craftsmanship with modern fashion innovation, especially rekindling interest in traditional natural dyes among young consumers.</p>2024-12-07T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาปริทรรศน์