วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal <p><strong>วารสารปัญญาภิวัฒน์ ISSN 3057-1278 (ออนไลน์)</strong></p> <p> </p> <p><strong>วารสารปัญญาภิวัฒน์ </strong>เป็นวารสารวิชาการ กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 ปัจจุบันได้รับการประเมินให้อยู่ในฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index Centre (TCI) กลุ่มที่ 2 สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ </p> <p> - ขอบเขตเนื้อหา ได้แก่ สาขาบริหารธุรกิจ การจัดการ ศิลปศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p> - ประเภทบทความที่เปิดรับ ได้แก่ บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทัศน์</p> <p> - ภาษาของบทความ ได้แก่ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> </p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ </strong>ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม</p> <p>ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม</p> <p> </p> <p><strong>จำนวนบทความ</strong> 20 บทความต่อฉบับ</p> th-TH <p>“ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ขอรับรองว่า บทความที่เสนอมานี้ยังไม่เคยได้รับการตีพิมพ์และไม่ได้อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสารหรือแหล่งเผยแพร่อื่นใด ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วมยอมรับหลักเกณฑ์การพิจารณาต้นฉบับ ทั้งยินยอมให้กองบรรณาธิการมีสิทธิ์พิจารณาและตรวจแก้ต้นฉบับได้ตามที่เห็นสมควร พร้อมนี้ขอมอบลิขสิทธิ์บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ให้แก่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์หากมีการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับภาพ กราฟ ข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งและ/หรือข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วมยินยอมรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว”</p> journal@pim.ac.th (Asst. Prof. Dr. Nata Tubtimcharoon) hathaichanoksao@pim.ac.th (Hathaichanok Saosung) Tue, 19 Aug 2025 15:47:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการจัดการโซ่อุปทานสีเขียวเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/271833 <p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการและแนวทางการจัดการโซ่อุปทานสีเขียวเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ประกอบการ ผู้จัดการธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับรางวัลในโครงการส่งเสริมการบริการร้านอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. 2564 จำนวน 17 ราย ใช้การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation) และนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ธุรกิจร้านอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีลักษณะการดำเนินงาน ได้แก่ 1) การจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2) ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างเอกลักษณ์ทางกายภาพของร้านอาหาร การบริการ ตลอดจนการจัดส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 3) โลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการจัดซื้อวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบไปยังผู้บริโภค และผู้ประกอบการมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้แก่ 1) ผู้นำด้านต้นทุน มีต้นทุนลดลงจากการควบคุมการดำเนินงานตลอดโซ่อุปทาน </span><span style="font-weight: 400;">2) การสร้างความแตกต่าง จากลักษณะทางกายภาพ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตลอดจนกระบวนการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3) การตอบสนองที่รวดเร็ว ด้วยการควบคุมระยะเวลาในการดำเนินงานตลอดจนถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย หากธุรกิจร้านอาหารหรือธุรกิจอื่น ๆ เริ่มมีแนวคิดใส่ใจสิ่งแวดล้อม แนวทางที่ได้จากผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพนำไปสู่กลยุทธ์สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่เหมาะสมในอนาคตได้ </span></p> อุทัย แก้วกลม, สุภาภร ภิญโญฉัตรจินดา, กนกอร เนตรชู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/271833 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการการท่องเที่ยวบนฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างในเมืองรองติดแม่นํ้า https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/273611 <p><span style="font-weight: 400;">งานศึกษาชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการการท่องเที่ยวบนฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างในเมืองรองติดแม่นํ้า และเพื่อศึกษาแนวทางการจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวบนฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างในเมืองรองติดแม่นํ้าที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ เทศบาล เมืองฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองสมุทรสงคราม เทศบาลนครสมุทรสาคร ตัวแทนภาคเอกชนที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอย่างละหนึ่งคนในสามพื้นที่ ตัวแทนภาคประชาสังคม ตัวแทนมัคคุเทศก์ และสุ่มตัวอย่างตามความสะดวกในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ศึกษา พื้นที่ละ 5 คน เป็นอย่างน้อย </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่า เทศบาลทั้งสามพื้นที่สามารถจัดการดูแลและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและการบำรุง รักษาสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างภายในเมืองได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากเป็นงานที่สอดคล้องกับภารกิจหลัก ของเทศบาลในการบริการสาธารณะ รองลงมาคือ การพัฒนาบริการท่องเที่ยวที่เทศบาลต้องทำงานประสานงาน กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แต่ในด้านของการพัฒนาตลาดการท่องเที่ยว เทศบาลของทั้งสามพื้นที่ดำเนินงานได้ไม่เด่นชัด เนื่องจากข้อจำกัดทั้งการตีความภารกิจของเทศบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยว อีกทั้งยังไม่สามารถนำฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง และไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากพื้นที่ของเมืองที่ติดแม่นํ้าเพื่อการท่องเที่ยวได้เต็มศักยภาพ ด้านแนวทางการจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวบนฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว </span><span style="font-weight: 400;">ทางเทศบาลควรนำแนวคิดการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์มาใช้ในการออกแบบ พัฒนากิจกรรม<span class="fontstyle0">การท่องเที่ยว และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนการพัฒนาการท่องเที่ยว และจัดการบริหารพื้นที่ท่องเที่ยวร่วมกัน</span> <br /></span></p> ขนิษฐา สุขสง, ดลฤทัย เจียรกุล, อรช กระแสอินทร์, ปฏิพล ยอดสุรางค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/273611 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของความสามารถในการฟื้นคืนกลับ และการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ ที่ส่งผลต่อความยึดมั่นผูกพันในงานของพนักงานบริษัทธุรกิจค้าปลีกแห่งหนึ่ง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/273573 <p><span style="font-weight: 400;">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการฟื้นคืนกลับและการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การกับความยึดมั่นผูกพันในงานของพนักงานบริษัทธุรกิจค้าปลีกแห่งหนึ่ง และ 2) อิทธิพลของความสามารถในการฟื้นคืนกลับและการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่ส่งผลต่อความยึดมั่นผูกพันในงานของพนักงานบริษัทธุรกิจค้าปลีกแห่งหนึ่ง โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ แบบสอบถามที่ได้การตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยให้ผู้เชี่ยวชาญ และนำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน มีค่าความสัมพันธ์ของคะแนนรายข้อกับคะแนนรวมอยู่ระหว่าง .310-.898 และมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง .887-.959 สถิติ</span><span style="font-weight: 400;">ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าตํ่าสุด ค่าสูงสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน </span><span style="font-weight: 400;">และการวิเคราะห์การถดถอย </span><span style="font-weight: 400;">พหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า 1) ความสามารถในการฟื้นคืนกลับมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความยึดมั่น ผูกพันในงานอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญที่ .01 (ค่า r = .506) และการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความยึดมั่นผูกพันในงานอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญที่ .01 (ค่า r = .734) และ 2) ความสามารถในการฟื้นคืนกลับในด้านการต่อสู้เอาชนะอุปสรรคและการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความยึดมั่นผูกพันในงาน ซึ่งตัวแปรดังกล่าวมีอิทธิพลต่อความยึดมั่นผูกพันในงานร้อยละ 58.30 (R</span><sup><span style="font-weight: 400;">2</span></sup> <span style="font-weight: 400;">= .583) อย่างมีนัยสำคัญที่ .001 สมการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณในรูปแบบของคะแนนดิบ ได้แก่ WE = .713 + .280 (RES_P) + .527 (POS) </span></p> ฤทธิเดช ตุลย์มงคล, ทิพทินนา สมุทรานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/273573 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์บรรษัทในมุมมองของพนักงาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274431 <p><span style="font-weight: 400;">วัตถุประสงค์ในงานวิจัยนี้เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้ต่อแบรนด์จากมุมมองของพนักงาน ประกอบด้วย ความชื่นชอบที่มีต่อแบรนด์ (Brand Favorability) ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Uniqueness) ความคงที่และต่อเนื่องในการนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Consistency) ความชัดเจนของแบรนด์ (Brand Clarity) และความเชื่อมั่นในแบรนด์ (Brand Credibility) และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่น</span><span style="font-weight: 400;">ในแบรนด์ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่งจำนวน 500 คน จากทั่วประเทศ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานที่เป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับลูกค้าส่วนหน้า (Front Desk) ที่ต้องติดต่อ หรือให้บริการกับลูกค้าโดยตรง ที่สำนักงานใหญ่ และ 151 สาขาทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น 441 คน คิดเป็นร้อยละ 88.20 ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 350 คน (ร้อยละ 70.0) มีอายุระหว่าง 25 ถึง 34 ปี จำนวน 226 คน (ร้อยละ 53.2) ส่วนใหญ่มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี จำนวน 324 (ร้อยละ 64.8) และส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทำงานกับธนาคารที่ทำงานในปัจจุบันมาแล้วมากกว่า 5 ปี จำนวน 203 คน (ร้อยละ 40.6) </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิเคราะห์การทดสอบอิทธิพลของความชื่นชอบที่มีต่อแบรนด์ (Brand Favorability) ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Uniqueness) ความคงที่และต่อเนื่องในการนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Consistency) ความชัดเจนของแบรนด์ (Brand Clarity) สามารถอธิบายการผันแปรของการเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ (Brand Credibility) ได้ร้อยละ 54 โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์คือ ความชัดเจนของแบรนด์ (P-value = 0.003) รองลงมาเป็นความคงที่และต่อเนื่องในการนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ (P-value = 0.013) ความชื่นชอบที่มีต่อแบรนด์ (P-value = 0.043) และความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ (P-value = 0.044) ตามลำดับ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 </span></p> ธัญญา สุพรประดิษฐ์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274431 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสร้างแบรนด์นายจ้างและพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ: บทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางของความสุขในการทำงาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/273173 <p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลการสร้างแบรนด์นายจ้างและพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การและบทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางของความสุขในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรฝ่ายสนับสนุน การสอนในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จำนวนทั้งหมด 109 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประเมินค่าแบบ 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่ายผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างแบรนด์นายจ้างมีอิทธิพลทางบวกต่อความสุขในการทำงาน 2) การสร้างแบรนด์นายจ้างมีอิทธิพลทางบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ 3) ความสุขในการทำงานมีอิทธิพลทางบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ และ 4) ความสุขในการทำงานเป็นตัวแปรคั่นกลางบางส่วน (Partial Mediation) มีอิทธิพลเชิงบวกของการสร้างแบรนด์นายจ้างและพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ </span></p> กรกต นิ่มเมือง, สันติธร ภูริภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/273173 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 สุขภาวะ อัตลักษณ์ และการบริหารจัดการกลุ่มเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าย้อมสีธรรมชาติ วิสาหกิจชุมชนทอผ้าร้อยรักษ์ จังหวัดร้อยเอ็ด https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/277337 <p><span style="font-weight: 400;">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบาย 1) ภาวะสุขภาวะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าร้อยรักษ์ 2) อัตลักษณ์ของชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าร้อยรักษ์ และ 3) รูปแบบการบริหารกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าร้อยรักษ์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์กับสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ร้อยรักษ์ จำนวน 10 คน และการสนทนากลุ่มกับผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้แทนชุมชน เด็กและเยาวชน </span><span style="font-weight: 400;">จำนวน 8 คน </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านสุขภาวะ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าร้อยรักษ์มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียจากการทอผ้า (มิติสุขภาพกาย) อีกทั้งมีความกังวลเกี่ยวกับการรักษามาตรฐานสินค้าและการส่งมอบให้ตรงเวลา (มิติสุขภาพจิต) อย่างไรก็ดีสมาชิกได้นำหลักธรรมคำสอนมาใช้ในการทำงาน (มิติสุขภาวะ ทางจิตวิญญาณหรือปัญญา) และได้รับการสนับสนุนจากชุมชน (มิติสุขภาวะทางสังคม) 2) ด้านอัตลักษณ์ชุมชน </span><span style="font-weight: 400;">ชุมชนตั้งอยู่บริเวณคลองร่องนํ้าธรรมชาติที่มีหิน อยู่ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ และยังคงรักษาประเพณีฮีต 12 คลอง 14 ตลอดจนแสดงออกถึงความฮักแพงแบ่งปัน มีต้นสะแบง และผ้าลายขิดเป็นเอกลักษณ์ 3) ด้านการบริหารกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มฯ มีการกำหนดโครงสร้างองค์กร แต่จัดประชุมแบบที่ไม่เป็นทางการจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และผลิตตามคำสั่งซื้อโดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกวัสดุและรูปแบบตามต้องการ ส่วนด้านการตลาด ยังเน้นการออกบูธเป็นหลัก และขาดทักษะในด้านการตลาดออนไลน์ </span></p> นิติพล ธาระรูป, ณัฐวดี ลิ้มเลิศเจริญวนิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/277337 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยเชิงเหตุและผลของการหลอมรวมระหว่างงานและชีวิตที่มีต่อการปฏิบัติงาน และสุขภาวะของผู้ปฏิบัติงานที่ทำงานที่บ้านในเขตพื้นที่เสี่ยงโควิด 19 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/276698 <p><span style="font-weight: 400;">เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด 19 บุคลากรในพื้นที่เสี่ยงต้องปรับตัวเพื่อทำงานจากที่บ้าน องค์การที่สนับสนุนให้เกิดความสมดุลของการหลอมรวมระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวจะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาวะของบุคลากร การศึกษานี้จึงมุ่งตรวจสอบความสอดคล้องของแบบจำลองปัจจัยเชิงเหตุและผลของการหลอมรวมระหว่างงานและชีวิตที่มีต่อการปฏิบัติงานและสุขภาวะของผู้ปฏิบัติงานที่ทำงานที่บ้าน ในเขตพื้นที่เสี่ยงโควิด 19 ที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 530 คน ด้วยแบบสอบถาม </span><span style="font-weight: 400;">ใช้สถิติวิเคราะห์ความสอดคล้องของโมเดลสมการโครงสร้างความสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบจำลองที่ปรับแล้วสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าสถิติ </span><em><span style="font-weight: 400;">χ</span></em><sup><span style="font-weight: 400;">2</span></sup><span style="font-weight: 400;">/2 = 2.19 GFI = .94 AGFI = .91 SRMR = .04 RMSEA = .04 และ CN = 308.40 การหลอมรวมระหว่างงานและชีวิต สุขภาวะ การบริหารจัดการตนเอง ความแข็งแกร่งทางใจ และสภาพแวดล้อมในการทำงานร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 62 2) การหลอมรวมระหว่างงานและชีวิตมีอิทธิพลทางตรงต่อสุขภาวะ 3) การหลอมรวมระหว่างงานและชีวิตและสุขภาวะมีอิทธิพลทางตรงต่อการปฏิบัติงาน 4) การบริหารจัดการตนเอง ความแข็งแกร่งทางใจ และสภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงต่อการหลอมรวมระหว่างงานและชีวิต 5) การหลอมรวมระหว่างงานและชีวิต มีอิทธิพลทางอ้อมต่อการปฏิบัติงานผ่านสุขภาวะ </span></p> ศยามล เอกะกุลานันต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/276698 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของพนักงานต่อองค์ประกอบพื้นที่สำนักงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยใช้แบบประเมินหลังการใช้งานอาคาร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/279541 <p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงประยุกต์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความพึงพอใจต่อองค์ประกอบพื้นที่สำนักงานของพนักงานแต่ละกลุ่มธุรกิจด้วยแบบประเมินหลังการใช้งานอาคาร ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาจากพื้นที่สำนักงานภายใต้องค์กรที่มีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติและมีองค์กรจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจในเครือที่ใช้พื้นที่สำนักงานภายในอาคารเดียวกัน ทำการรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเพื่อสอบถามความพึงพอใจหลังการใช้งานพื้นที่สำนักงานของพนักงานจาก 3 กลุ่มธุรกิจ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ค้าปลีก </span><span style="font-weight: 400;">เทคโนโลยีสารสนเทศ และขายสินค้าออนไลน์ จำนวน 392 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ของพนักงานจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญสถิติที่ .05 </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ มีความพึงพอใจเฉลี่ยต่อพื้นที่สำนักงานในภาพรวมทั้ง 9 ด้านอยู่ที่ 3.63 จากมาตรวัดระดับของลิเคิร์ท หรืออยู่ในระดับพึงพอใจมาก และมีค่าเฉลี่ยค่า S.D. อยู่ที่ 0.94 โดยสามารถเรียงลำดับความพึงพอใจดังนี้ 1) ความปลอดภัย (3.88) 2) รูปแบบการจัดพื้นที่ (3.84) 3) สุขภาพและความเหมาะสมทางกายภาพ (3.81) 4) ประสิทธิภาพของอาคาร (3.68) 5) ความยั่งยืน (3.66) 6) ความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่ (3.60) 7) ความสะดวกในการเข้าถึง (3.59) 8) ความเป็นส่วนตัว (3.38) และ 9) ความสามารถในการเข้าถึงและที่จอดรถ (3.25) ผลการเปรียบเทียบความแปรปรวนทางเดียวพบว่า ประเภทธุรกิจมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจหลังการใช้งานพื้นที่สำนักงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยประเด็นที่มีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มธุรกิจคือ เรื่องของ “ความเป็นส่วนตัว” </span></p> ชิษณุชา ขุนจง, กองกูณฑ์ โตชัยวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/279541 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 องค์ความรู้และทักษะการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ของผู้พักอาศัยภายในคอนโดมิเนียม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/278721 <p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้และทักษะการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ของผู้พักอาศัยภายในคอนโดมิเนียม โดยมุ่งศึกษากลุ่มผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ในเส้นทางการเดินรถช่วงที่ 2 จาก PK01 สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี จนถึง PK13 สถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่มีระยะห่างจากที่พักอาศัยถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพูไม่เกิน 500 เมตร จำนวน 400 คน โดยใช้การวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณา ผลการศึกษาพบว่า ประสบการณ์การอพยพหนีไฟมี 2 ประเภท คือ 1) ประสบการณ์ทางตรง หรือเป็นผู้ที่เคยเข้าร่วมซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ และ 2) ประสบการณ์ทางอ้อมหรือเป็นผู้ที่เคยศึกษา คู่มือการอพยพหนีไฟ ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มของผู้ตอบแบบทดสอบได้เป็น 4 กลุ่มหลักพร้อมเรียงลำดับผลการตอบแบบทดสอบเกี่ยวกับองค์ความรู้และทักษะการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ถูกต้องมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้ดังนี้ 1) กลุ่มที่มีประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม 2) กลุ่มที่มีประสบการณ์ทางตรงเพียงอย่างเดียว 3) กลุ่มที่มีประสบการณ์ทางอ้อมเพียงอย่างเดียว และ 4) กลุ่มที่ไม่มีทั้งประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อม โดยผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มที่เป็นผู้พักอาศัย (สามี/ภรรยา/บุตร/ญาติ/เพื่อนของเจ้าของร่วม) ที่มีระยะเวลาการพักอาศัยอยู่ที่ 1-5 ปี โดยมีอายุอยู่ในช่วง 20-25 ปี ที่เป็นเพศหญิง และมีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ที่มีประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีแนวโน้มที่จะมีองค์ความรู้และทักษะการเอาตัวรอด เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้สูงที่สุด และจากแบบทดสอบยังพบอีกว่า ผู้ตอบแบบทดสอบทุกกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้มากกว่าการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งกลุ่มผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟและไม่เคยศึกษาคู่มือการอพยพหนีไฟเลยมีแนวโน้มที่จะมีองค์ความรู้และทักษะการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ตํ่าที่สุด ภาครัฐและเอกชนจึงควรช่วยกันส่งเสริมการให้ความรู้และการสร้างประสบการณ์การอย่างจริงจัง ซึ่งอาจบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน รวมถึงการปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้ผู้พักอาศัยมีส่วนร่วมในการเข้าร่วมซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟให้มากยิ่งขึ้น </span></p> พชร สุขแย้ม, ชิษณุชา ขุนจง, ธัญชนก แสนสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/278721 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบพฤติกรรมการเลือกลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ของเจเนอเรชันซีเพศชายและหญิง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274593 <p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้ใช้กรอบพฤติกรรมผู้บริโภคในการศึกษา 1) พฤติกรรมการเลือกลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีของเจเนอเรชันซี (ผู้ที่เกิดระหว่าง พ.ศ. 2540-2555) 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการเลือกลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ของเจเนอเรชันซีเพศชายและหญิง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เจเนอเรชันซี 300 คน ที่ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในช่วง 6 เดือนก่อนการตอบแบบสอบถาม แบ่งเป็นชายและหญิงกลุ่มละ 150 คน สำรวจโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ การวิเคราะห์เปรียบเทียบพฤติกรรมของเพศชายและหญิง ใช้สถิติไคสแควร์และ t-test ผลการศึกษาพบว่า ผู้ลงทุนเจเนอเรชันซีส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจต่อการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในระดับปานกลางถึงน้อย ลงทุนแบบการเทรดผ่านช่องทางแพลตฟอร์ม Binance ผู้ตอบจำนวนมากที่สุดมีการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีเพียงอย่างเดียว เนื่องจากผลตอบแทนสูงและรวดเร็ว เพื่อนและสื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลต่อการลงทุน ลงทุนเมื่อมีเวลาว่าง หาข้อมูลด้วยตนเอง ใช้แหล่งข้อมูลเว็บไซต์และอินเทอร์เน็ต ลงทุนจากเงินออม ความพอใจต่อการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในระดับปานกลางถึงมาก เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบตามเพศ พบลักษณะที่เพศชายมีมากกว่าเพศหญิง ได้แก่ ระดับความรู้ความเข้าใจ ความถี่ และจำนวนเงินลงทุน ความพึงพอใจและแนวโน้มที่จะแนะนำต่อผู้อื่น ส่วนลักษณะที่เพศหญิงมีมากกว่าเพศชาย คือ การได้รับอิทธิพลของเพื่อนและคนรักในการตัดสินใจ และการลงทุนตามกระแสเหรียญหรือตามผู้มีชื่อเสียง สำหรับผลของส่วนประสมการตลาด เพศหญิงได้รับผลจากปัจจัยด้านราคาและการส่งเสริมการตลาดมากกว่าเพศชาย </span></p> ศุขจิภา ศรีภิรมย์, พัชรา ตันติประภา, อรชร มณีสงฆ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274593 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 การยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่โดยมีความไว้วางใจในแบรนด์เป็นตัวแปรส่งผ่าน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274489 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของความไว้วางใจในแบรนด์ที่มีต่อการยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และ 2) ทดสอบบทบาทของความไว้วางใจในแบรนด์ในฐานะตัวแปรส่งผ่านในการยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ผ่านการวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บแบบสอบถามออนไลน์จากผู้บริโภคที่สนใจยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่จำนวน 450 ตัวอย่าง และวิเคราะห์ด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าความไว้วางใจในแบรนด์มีอิทธิพลทางตรงต่อการยอมรับเทคโนโลยีของผู้บริโภคและมีบทบาทในฐานะตัวแปรส่งผ่านที่เชื่อมโยงปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีกับความตั้งใจที่จะใช้เทคโนโลยีในอนาคต กล่าวได้ว่าความไว้วางใจในแบรนด์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดยอมรับเทคโนโลยี ผลการศึกษานอกจากเป็นการเติมเต็มองค์ความรู้ทางวิชาการที่บูรณาการการศึกษาการยอมรับเทคโนโลยีเข้ากับแนวคิดด้านการตลาดแล้ว การศึกษานี้ช่วยให้ผู้ประกอบการมีแนวทางในการส่งเสริมให้ผู้บริโภคเกิดการยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าควบคู่ไปกับยอมรับแบรนด์ใหม่ที่มาทำตลาดเพื่อผลักดันให้การขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น</p> วรดิษฐ์ อัครมิ่งมงคล, ธงชัย ศรีวรรธนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274489 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 CONSUMPTION VALUES AND ATTITUDES AFFECTING CHENGDU CONSUMERS’ CONSUMPTION BEHAVIOR OF GREEN FURNITURE https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274069 <p>Although market participants and academics have recognized the importance of green products globally, few studies focused on the PRC’s new first-tier cities market such as Chengdu. In contrast, most studies are conducted in Western developed countries or PRC’s first-tier megacities (e.g. Beijing, Shanghai, Guangzhou, Shenzhen). From the standpoint of product categories, research on consumer perceptions or behaviors toward specific green furniture remains limited. This study examined a comprehensive set of epistemic functional technology values toward green furniture consumption in Chengdu city-one of the most important cities considered to have the greatest potential to become PRC’s new metropolis center in the near future-using a mix of qualitative and quantitative methodology. Qualitative research was conducted through semi-structured interviews with nine experts currently employed at a multinational furniture company specializing in green furniture products. Quantitative research was conducted by collecting questionnaires from Wenjuanxing (www.wjx.cn)-an online questionnaire collection platform in the PRC. The population comprised consumers, aged 22 years and up, who had purchased green furniture in Chengdu, and the sample size was decided by using the number of observed variables. The researcher finally received 417 questionnaires for the data analysis in this research. The results indicated that epistemic and functional values significantly and positively influenced attitude and consumption behavior. In contrast, technology value affected attitude but did not directly influence consumption behavior. Furthermore, Chinese Chengdu consumers’ attitude could predict their consumption behaviors. This study was one of the recent empirical applications of Chinese consumer values to the context of green furniture experiences in PRC’s new first-tier cities. It offered valuable insights into marketing strategies for the furniture industry and provided practical recommendations for the promotion of green furniture.</p> Chen Ling, Prin Laksitamas ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274069 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 การยอมรับเทคโนโลยีและความสำเร็จในการใช้ระบบสารสนเทศที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบ E-Filing ของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/272431 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีความสำเร็จในการใช้ระบบสารสนเทศ และการตัดสินใจเลือกใช้บริการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบ E-Filing 2) ศึกษาปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบ E-Filing และ 3) ศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการใช้ระบบสารสนเทศที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบ E-Filing ของผู้ประกอบการนิติบุคคลวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SME) ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี หนองคาย เลย หนองบัวลำภู และบึงกาฬ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจำแนกตามปะเภทของภาคธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรกรรม และธุรกิจการให้บริการ (ใช้เกณฑ์การแบ่งปี 2562: เกณฑ์รายได้ต่อปี และจำนวนการจ้างงาน โดยแบ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลาง วิสาหกิจขนาดย่อม และวิสาหกิจรายย่อย) จำนวน 384 แห่ง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) สถิติที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย 1) สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) สถิติเชิงอ้างอิง ได้แก่ สมการถดถอยพหุคูณ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีและปัจจัยความสำเร็จในการใช้ระบบสารสนเทศมีระดับความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.74, S.D. = 0.32 และ x̄ = 4.74, S.D. = 0.32 ตามลำดับ) 2) ระดับการตัดสินใจเลือกใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบ E-Filing ของผู้ประกอบการ SMEs มีระดับการตัดสินใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด x̄ = 4.81, S.D. = 0.38 3) ปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยี ประกอบด้วย ด้านความต้องการใช้ และด้านทัศนคติต่อการใช้งาน ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบ E-Filing ของผู้ประกอบการนิติบุคคลวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ มีอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 30.80 และ 4) ปัจจัยความสำเร็จในการใช้ระบบสารสนเทศ ประกอบด้วย ด้านประโยชน์ที่ได้รับ ด้านความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ด้านคุณภาพของข้อมูล และด้านความพร้อมในการใช้งาน ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบ E-Filing ของผู้ประกอบการนิติบุคคลวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประกอบด้วย ด้านการเลือกใช้ ด้านการปรับปรุงระบบ และด้านการแนะนำ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 36</p> ณฐพร เตนากุล, รชต สวนสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/272431 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านสะดวกซื้อของผู้บริโภคในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/277389 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านสะดวกซื้อของผู้บริโภคในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 ราย วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (T-test) ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way Anova) และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุ (Multiple Regression) โดยวิธี Enter</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการตัดสินใจใช้บริการร้านสะดวกซื้อในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ สถานภาพ อาชีพ และระดับรายได้ แตกต่างกัน ณ ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 2) ปัจจัยการตัดสินใจใช้บริการร้านสะดวกซื้อ ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภค ได้แก่ แหล่งที่ซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อ เวลาที่ซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อและการได้รับข้อมูลจากสื่อเกี่ยวกับร้านสะดวกซื้อที่แตกต่างกัน ณ ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 3) ปัจจัยส่วนประสมการตลาด ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด เป็นตัวพยากรณ์ที่สามารถพยากรณ์การตัดสินใจใช้บริการร้านสะดวกซื้อในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่</p> ลัดดา ปินตา, สุภชญ ศรีกัญชัย, กล้วยไม้ สุมังค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/277389 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 สื่อบุคคลในฐานะเครื่องมือการสื่อสารสำหรับโครงการ “ต้นกล้าไร้ถัง” ลดขยะในโรงเรียน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/281079 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของสื่อบุคคลในฐานะเครื่องมือการสื่อสารในแคมเปญ “ต้นกล้าไร้ถัง” ซึ่งดำเนินการในโรงเรียนต้นแบบ 4 แห่ง เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการลดขยะอย่างยั่งยืน โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพในลักษณะกรณีศึกษา เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์เอกสารภายในโรงเรียน ใช้กรอบแนวคิดด้านสื่อบุคคลในฐานะเครื่องมือการสื่อสาร ผู้นำทางความคิดเห็น (Rogers, 2003) ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการสังเกต (Bandura, 1977, 1986) และทฤษฎีสิ่งเร้า-การตอบสนอง (Skinner, 1938; Thorndike, 1911) เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล ดำเนินการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง โดยกำหนดคุณสมบัติผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) คือ ครูผู้รับผิดชอบโครงการต้นกล้าไร้ถังและผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 8 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สื่อบุคคลมีบทบาทสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน บุคลากร และชุมชน โดยสื่อบุคคลมีสถานะหลายบทบาท ทั้งในฐานะผู้ส่งสาร ช่องทาง และเนื้อหาสาร ทำให้เกิดการสื่อสารแบบสองทางและแบบรอบทิศทาง ผู้นำทางความคิดเห็น เช่น ครูและนักเรียนแกนนำ มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผ่านการเป็นแบบอย่าง ระบบรางวัลและบทลงโทษที่สร้างสรรค์ช่วยเสริมแรงพฤติกรรมเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีข้อจำกัดในเรื่องแรงจูงใจและเจตนาของผู้สื่อสารบางรายที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของการมีส่วนร่วม</p> <p>สื่อบุคคลเมื่อใช้ในกรอบแนวคิดการมีส่วนร่วม เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมการลดขยะและการสร้างวัฒนธรรมการจัดการขยะในโรงเรียนอย่างยั่งยืน แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ ความร่วมมือ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิผล</p> กันยิกา ชอว์, สุเมธ จันสุตะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/281079 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 องค์ประกอบความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชนระดับปฐมวัยตามทัศนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/279683 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทราบองค์ประกอบความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชนระดับปฐมวัย และ 2) ยืนยันองค์ประกอบความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชนระดับปฐมวัยตามทัศนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย ได้แก่ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนที่เปิดสอนระดับปฐมวัย จำนวน 88 โรง มีผู้ให้ข้อมูลโรงละ 3 คน ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และกรรมการบริหาร รวม 264 คน เครื่องมือคือ แบบสอบถามเกี่ยวกับองค์ประกอบความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชนระดับปฐมวัยตามทัศนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบองค์ประกอบความเป็นเลิศ 9 ประการ ได้แก่ 1) การใช้นวัตกรรม 2) การสร้างเครือข่าย 3) การใช้เทคนิคเชิงบริหาร 4) การส่งเสริมความเป็นเลิศด้านภาษาอังกฤษ 5) การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน 6) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 7) การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม 8) การพัฒนาหลักสูตร และ 9) การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันแสดงว่าโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีมาก และสามารถยืนยันความตรงของโมเดลได้ (<em>χ</em><sup>2</sup> = 1,220.49, p = 1.00, <em>χ</em><sup>2</sup>/df = 0.88, GFI = 0.87, AGFI = 0.85, CFI = 1.00, RMR = 0.02, RMSEA = 0.00)</p> นัทมน วิบูลศิลป์โสภณ, วรกาญจน์ สุขสดเขียว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/279683 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Design Thinking ของนักศึกษาในรายวิชาความเป็นผู้ประกอบการและความสามารถเชิงนวัตกรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/275484 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบระดับความสามารถก่อนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Design Thinking ในการพัฒนาแผนธุรกิจจำลอง 2) ศึกษาปัจจัยด้านความสามารถของนักศึกษาที่มีผลต่อความสามารถเชิงนวัตกรรมในการสร้างแผนธุรกิจ 3) พัฒนาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Design Thinking ของนักศึกษาในรายวิชาความเป็นผู้ประกอบการและความสามารถเชิงนวัตกรรม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย นักศึกษา 35 คน ที่เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เก็บข้อมูลเชิงปริมาณผ่านแบบประเมินก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรม และแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถเชิงนวัตกรรม รวมถึงความพึงพอใจ และการสะท้อนคิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบซี (Z-Test) และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถของนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเฉลี่ยก่อนการจัดกิจกรรมอยู่ที่ 2.85-3.23 และเพิ่มขึ้นเป็น 4.35-4.61 หลังการทดลอง 2) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แสดงให้เห็นว่ามีปัจจัย 4 ด้านที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถเชิงนวัตกรรมที่ระดับ 0.01 และอีก 1 ด้านที่ระดับ 0.05 ความพึงพอใจของนักศึกษาอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 4.05-4.35) และผลสะท้อนคิดชี้ถึงข้อดีของกิจกรรม ทักษะที่พัฒนา และ 3) ได้แนวทางการจัดการเรียนการสอน 4 ประเด็น คือ การออกแบบกิจกรรมตามความสำคัญของปัจจัยหลัก การบริหารเวลาและทรัพยากร การสนับสนุนจากผู้สอน และการประเมินผลและการสะท้อนคิด</p> ยุทธชัย ฮารีบิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/275484 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 THE EFFECTS OF SHADOWING PRACTICE IN IMPROVING PRONUNCIATION AND CONFIDENCE OF THAI FALSE BEGINNER UNDERGRADUATE STUDENTS https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/275248 <p>Pronunciation is considered an essential aspect of effective communication. Speakers are expected to pronounce words correctly and utilize appropriate intonation while conveying messages. Thai students, however, often struggle with English pronunciation due to the differences between Thai and English language sounds. This difficulty does not only hamper their ability to master the skill, but also diminishes their motivation to speak the language, particularly among false beginners. To address this issue, this research aims to explore the effectiveness of the shadowing technique in improving learners’ pronunciation. In addition to improving pronunciation, the shadowing technique has been associated with enhanced listening skills, enhanced vocabulary acquisition, and increased word-stress awareness. This study adopts a quasi-experimental design, employing four research tools: pre-test and post-test, shadowing exercises, surveys, and targeted group interviews. Descriptive statistics are employed to measure the effectiveness of the technique and the E1/E2 value to evaluate the quality of the exercises. The participants are 100 undergraduate Thai students majoring in business and administration (2020, August 27). The objectives of the study are to examine whether or not the shadowing technique has contributed to improvements in students’ pronunciation in three specific areas: the pronunciation of “-ed” sounds, connected speech, and intonation. Additionally, the study seeks to gather students’ opinions on the effectiveness of this technique. The results indicate positive effects, as evidenced by higher post-test scores and increased confidence in English speaking. However, students’ views on whether the technique is suitable for developing communication skills varied.</p> Kusuma Bangkom ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/275248 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 LITERATURE SYNTHESIS OF BLENDED LEARNING USING THE SCOPUS DATABASE FROM 2020 TO JULY 2024 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274425 <p><span style="font-weight: 400;">This paper aims to meticulously analyze and synthesize with 3 objectives the existing body of literature on blended learning management, using empirical data from the Scopus database during 2020 to July 2024. The study employs bibliometric methods, including author collaboration clustering analysis, keyword co-occurrence clustering, and impact factor analysis, to uncover patterns, trends, and emergent themes within blended learning. By leveraging tools like “VOS viewer” and “Microsoft Excel” to examine trends and patterns. The study’s findings, based on a systematic review of articles from the Scopus database, indicate a growing interest in technology integration, student engagement, and tailored pedagogical strategies within blended learning environments. Despite an increasing number of publications and a notable presence in high-impact journals, gaps in research were identified, particularly the need for longitudinal studies and exploration of culturally diverse applications. The analysis suggests that future research should focus on the long-term effects of blended learning and the integration of emerging technologies like Artificial Intelligence to enhance educational experiences. </span></p> Xudong Chen, Thada Siththada ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/274425 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700 EMPOWERING LANGUAGE LEARNING FOR SUSTAINABLE DEVELOPMENT: MOBILE-ASSISTED APPROACHES IN ENHANCING PRODUCTIVE AND RECEPTIVE SKILLS IN HIGHER EDUCATION https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/277266 <p><span style="font-weight: 400;">In the rapidly evolving landscape of higher education, language proficiency is integral for equipping students with the competencies necessary for sustainable development. This study explores the transformative potential of Mobile-Assisted Language Learning (MALL) in enhancing both productive (speaking and writing) and receptive (listening and reading) language skills among university students. As digital technologies continue to reshape pedagogical frameworks, MALL provides flexible, accessible, and interactive learning modalities tailored </span><span style="font-weight: 400;">to diverse learner needs. This research examines the integration of mobile applications within foreign language curricula and evaluates their efficacy in fostering language acquisition within sustainable learning environments. By utilizing mobile learning platforms, students engage in continuous, autonomous learning, thereby enhancing self-efficacy and communication skills for real-world applications. The findings underscore MALL’s capacity to support individualized language development, foster collaborative engagement, and facilitate social interaction, all of which contribute to global employability and professional adaptability. This study advocates for the systematic integration of MALL into higher education curricula, emphasizing its role in cultivating sustainable, adaptive, and future-ready language learners equipped for success in an increasingly interconnected world. </span></p> Kittiya Keadplang ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปัญญาภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pimjournal/article/view/277266 Tue, 19 Aug 2025 00:00:00 +0700