https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/issue/feedวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต2024-12-26T15:31:36+07:00รศ.ดร.นิมิต ซุ้นสั้นjournal@pkru.ac.thOpen Journal Systems<p>มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีนโยบายเพื่อส่งเสริมงานวิชาการและวิจัยจึงจัดทำ <strong>"วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต"</strong> เพื่อเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงาน การแลกเปลี่ยนความรู้ และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการและวิจัยแก่คณาจารย์ นักวิจัยและผู้สนใจทั่วไป โดยฉบับปฐมฤกษ์ได้เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2548 </p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารฯ เป็นบทความที่มีคุณภาพทางวิชาการและผ่านการพิจารณาประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ จึงทำให้วารสารฯ <strong>ปัจจุบันเป็นวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพในฐาน TCI Tier 1 จากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (</strong><strong>TCI) </strong>และดำเนินการพัฒนาคุณภาพเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในฐานข้อมูลระดับชาติและนานาชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป</p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN หมายเลขเก่า</span></strong></p> <p>ISSN 2730-1745 (Online)</p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN หมายเลขใหม่</span></strong></p> <p>ISSN 3056-9303 (Online)</p>https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/270842Assessment of Work-Related Stress in the Thai Aviation Industry2024-03-04T12:27:33+07:00Joose Ritarantajoose.r@phuket.psu.ac.thKullada Phetvaroonkullada.p@phuket.psu.ac.th<p>The recent years have posed unprecedented challenges for the aviation industry. Initially, it encountered a significant decline in demand together with harsh global travel restrictions imposed by governments. Subsequently, as the demand for air travel started to rapidly resurge, the industry grappled with staffing shortages. These difficulties have unquestionably resulted in challenging conditions for both the organizations and the employees within the industry and reports have indicated that the well-being of the industry’s workforce has turned for the worse. This study aimed to assess the well-being of employees in the Thai aviation industry, focusing on work-related stress. Additionally, the potential impact of various demographic characteristics was explored. A quantitative approach was used where an online questionnaire was distributed to employees in the Thai aviation industry and a total of 413 valid responses were received. The findings indicated that the most stress-inducing aspects of their work were to do with being under pressure at work, being pressured to work fast, having high workloads, not being consulted regarding organizational changes, and their job getting to them more than it should. Additionally, the findings indicated no significant differences among demographic profiles of employees, a result contrary to some prior studies. This study offers new and insightful information concerning the industry's workforce, offering actionable solutions for managers and policymakers to mitigate work-related stress and improve employee well-being at workplaces to continue their recovery efforts for a successful future in the aviation sector.</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/271177Influences of Media Exposure, Interpersonal Attraction, and Parasocial Interaction on Political Self-Efficacy and Voting Intentions in the 2023 Thai General Election2024-05-08T17:05:58+07:00Peerawat Tan-intaraarjpeerawat2000@hotmail.com<p>This study investigates the impact of media exposure, interpersonal attraction, attributional confidence, and parasocial interaction on political self-efficacy and voting intention in the context of the May 14, 2023, Thai General Election, focusing on voters' interaction with prime ministerial candidates. Surveying 400 Thai citizens, the research finds that task attraction is a significant predictor of attributional confidence, while both task attraction and parasocial interaction are key determinants for political self-efficacy and voting intention. Notably, higher levels of task attraction, parasocial interaction, and physical attraction correspond to increased political self-efficacy and intention to vote for the associated candidate. The study contributes valuable insights to political communication research, offering practical implications for political campaigns and media organizations in building trust and confidence among voters. Additionally, it emphasizes the importance of media literacy for informed decision-making in elections.</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/272331 Impact of AI Chatbot-Enhanced Customer Satisfaction on Customer Loyalty: The Mediating Role of Customer Trust2024-06-17T09:13:07+07:00HUI LIANG475995156@qq.com<p>This study examines the impact of AI chatbot-enhanced customer satisfaction on trust and loyalty, with a particular focus on the mediating role of customer trust. A multistage sampling technique was employed to select a diverse group of 436 participants from the target population of Chinese online retail customers with experience using AI chatbots. Analysis using Structural Equation Modeling in SPSS and AMOS revealed a significant positive relationship between customer satisfaction derived from AI chatbot interactions and both trust and loyalty. Moreover, customer trust was found to significantly mediate the relationship between satisfaction and loyalty. These findings underscore the critical role of AI chatbots in not only improving customer satisfaction but also in fostering trust and loyalty within the online retail sector. The study provides valuable insights into how digital customer service tools like AI chatbots can be strategically leveraged to enhance customer relationships and loyalty, offering important implications for online retailers looking to optimize their engagement strategies in the digital marketplace.</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/268515ความสุขของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวชุมชนชัยบุรี พัทลุง (หมู่บ้านกะลาเงินล้าน)2024-06-06T17:28:55+07:00กอแก้ว จันทร์กิ่งทองkorkaews@hu.ac.thวิวัฒน์ จันทร์กิ่งทองwiwat@hu.ac.th<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบปัจจัยเหตุและปัจจัยผลของความสุขของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวชุมชนชัยบุรี จังหวัดพัทลุง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้ามาท่องเที่ยวในชุมชนชัยบุรี จังหวัดพัทลุง จำนวน 400 คน ซึ่งเลือกมาโดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ การศึกษานี้เป็นการนำเสนอตัวแบบความสุขของนักท่องเที่ยว และตรวจสอบปัจจัยเหตุและปัจจัยผลของความสุขของนักท่องเที่ยว ได้แก่ ประสบการณ์จากการท่องเที่ยว การรับรู้คุณค่า ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมภายหลังการท่องเที่ยว ผลจากการศึกษาตัวแบบสมการโครงสร้าง พบว่า ปัจจัยเหตุของความสุขของนักท่องเที่ยว ได้แก่ ประสบการณ์จากการท่องเที่ยว การรับรู้คุณค่า ในขณะที่ปัจจัยผลของความสุขของนักท่องเที่ยว ได้แก่ ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมภายหลังการท่องเที่ยว</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/272256การประเมินความพร้อมของชุมชนท่องเที่ยวในการให้บริการอาหารท้องถิ่น เพื่อจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหารจังหวัดสตูล2024-07-29T20:14:46+07:00Melissa Yodkhayanmymelizz@gmail.comอุมาพร มุณีแนมumaporn.m@psu.ac.th<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความพร้อมของชุมชนท่องเที่ยวในการให้บริการอาหารท้องถิ่น จากตัวแทน 6 ชุมชนภายใต้เครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดสตูล เพื่อจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหารจังหวัดสตูล โดยประเมินจาก 2 ส่วน คือชุมชนประเมินตนเอง (n = 12) และประเมินจากนักท่องเที่ยวที่เคยใช้บริการอาหารของชุมชน (n = 402) ภายใต้กรอบมาตรฐาน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการทรัพยากร/วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาตรฐานอาหารและความปลอดภัย การบริการนักท่องเที่ยว และกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อประเมินและจัดลำดับความพร้อมชุมชน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกตัวแทนชุมชน และ 8 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว (n = 8) เพื่อพิจารณารูปแบบการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ร่วมด้วยการสังเกต และการวิจัยเอกสาร ทำการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณา (Content Analysis) ผลการประเมินตนเองของชุมชน พบว่า ภาพรวมชุมชนมีความพร้อมในระดับมาก ด้านที่มีความพร้อมมากที่สุด คือมาตรฐานอาหารและความปลอดภัย รองลงมาคือการจัดการทรัพยากร/วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลการประเมินจากนักท่องเที่ยวภาพรวมชุมชนมีความพร้อมในระดับมาก ด้านที่ได้คะแนนสูงสุดคือมาตรฐานอาหารและความปลอดภัย รองลงมาคือกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร จากนั้นคัดเลือกชุมชนเพื่อจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหารภายใต้เงื่อนไขคือ ชุมชนต้องมีความพร้อมระดับมากขึ้นไปจากการประเมินทั้งสองส่วน และมีรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ผลการศึกษามี 2 ชุมชนผ่านเงื่อนไขการประเมิน ได้แก่ 1) ชุมชนท่องเที่ยวบ้านโตนปาหนัน-บ่อน้ำร้อน มีความพร้อมมากที่สุด และ 2) ชุมชนท่องเที่ยวบ้านบ่อเจ็ดลูก มีความพร้อมระดับมาก นำมาจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหารจังหวัดสตูลได้ 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหารโซนเขา โซนเล และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหารเชื่อมโยงโซนเขาและทะเล</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/272590ปัญหาและผลกระทบจากภาวะวิกฤตของกลุ่มผู้ประกอบการฐานรากแปรรูป ผลผลิตเกษตรจากทุเรียนในจังหวัดนราธิวาส2024-07-29T20:17:58+07:00สรัญณี อุเส็นยางsarannee.u@pnu.ac.th<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและผลกระทบจากภาวะวิกฤตของกลุ่มประกอบการฐานรากแปรรูปผลผลิตเกษตรจากทุเรียนในจังหวัดนราธิวาส ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการจัดสนทนากลุ่ม มีประชากรเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้ประกอบการทุเรียนแปรรูปในจังหวัดนราธิวาสจำนวน 10 กลุ่ม เพื่อให้ได้มาซึ่งประเด็นปัญหาและผลกระทบจากภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาและผลกระทบจากภาวะวิกฤตของกลุ่มผู้ประกอบการฐานรากผลิตภัณฑ์ แปรรูปจากทุเรียนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส <strong>ต้นน้ำ</strong> วัตถุดิบมีน้อยและอาจไม่เพียงพอต่อการผลิต ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนในการรับซื้อวัตถุดิบที่สูงขึ้น เนื่องจากเนื้อทุเรียนมีราคาสูงมากเป็นพิเศษในช่วงวัตถุดิบขาดแคลน อีกทั้งผู้ประกอบการไม่มีการวางแผนในการใช้วัตถุดิบ เกิดปัญหาความเปรี้ยวของเนื้อทุเรียนอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากห้องเย็นในการจัดเก็บเนื้อทุเรียนมีไม่เพียงพอ <strong>กลางน้ำ</strong> ผู้ประกอบการโดยส่วนใหญ่ไม่มีการวางแผนในการผลิต เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ผลกระทบจากจากสถานการณ์โควิด-19 ลูกค้ายกเลิกคำสั่งซื้อ ปัญหาการขึ้นราในผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มีอายุสั้น อุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตมีราคาค่อนข้างสูงผู้ประกอบการมีเงินทุนไม่เพียงพอในการดำเนินการจัดหาอุปกรณ์เหล่านั้น และยังไม่มีการจัดทำบัญชีที่เป็นระบบ <strong>ปลายน้ำ</strong> ผู้ประกอบการโดยส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับเครื่องหมายการรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ที่มีความจำเป็น และโดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม ๆ การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ๆ นั้นยังน้อย ตลอดทั้งการขยายตลาดยังถือเป็นจุดอ่อนสำหรับผู้ประกอบการ</p> <p>สรุปประเด็นปัญหาเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการ นักวิจัย และภาคีที่เกี่ยวข้องมีความเห็นร่วมกันที่ต้องแก้ไข 5 ประเด็นปัญหาเร่งด่วนปรากฏประเด็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขใน 5 ลำดับดังนี้ ลำดับที่ 1 ผลิตภัณฑ์ยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ที่มีความจำเป็น (Mo = 26) ลำดับที่ 2 ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ๆ และการขยายตลาดได้ (Mo = 25) ลำดับที่ 3 ปัญหาผลิตภัณฑ์มีอายุสั้น (Mo = 20) ลำดับ ที่ 4 ห้องเย็นในการจัดเก็บเนื้อทุเรียนซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักมีไม่เพียงพอ (Mo = 14) และลำดับที่ 5 การจัดทำบัญชีในการดำเนินงาน (Mo = 13)</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/272992มาตรการไร้กระดาษและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการจัดการเอกสารด้วย ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ กรณีศึกษา บริษัท JJJ2024-07-26T12:08:46+07:00Kunakorn Wiwattanakornwongkunakorn.wiw@dpu.ac.th<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการจัดการเอกสารในงานสารบรรณเดิมและ 2) การลดการใช้กระดาษในกระบวนการจัดการเอกสารและเพิ่มประสิทธิภาพงานสารบรรณด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรณีศึกษา บริษัท JJJ ใช้ผังงานศึกษากระบวนการ การวิเคราะห์ออกแบบระบบ การพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคลและแบบสอบถามความพึงพอใจประสิทธิภาพการใช้งานระบบจากผู้ดูแลส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับงานสารบรรณ 38 ตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและหัวหน้ากองงาน 3 คน พนักงานในแผนกสนับสนุนงานทั่วไปและกองวางแผนพัสดุ 10 คน และฝ่ายปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง 25 คน จากการศึกษาพบว่า 1) เดิมกระบวนการจัดการงานสารบรรณส่วนใหญ่จัดเก็บในรูปแบบกระดาษ ทำให้ต้นทุนการใช้กระดาษสูงและประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง 2) จากการศึกษาและพัฒนาระบบ พบว่า การพัฒนาระบบเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ตามทฤษฎีการวิเคราะห์ผลประโยชน์ คือ บริษัทมีสัดส่วนผลประโยชน์จากรายได้ที่ได้รับกลับมาทางเศรษฐศาสตร์กับค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบใหม่ เป็นจำนวนเงิน 192,065 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนเท่ากับ 1.874 ดังนั้นบริษัทได้ผลตอบแทนสุทธิเป็นเงิน 167,935 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์มีความเหมาะสมที่จะลงทุน นอกจากนั้นยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจากแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ ด้านเวลาที่ใช้ไปในการจัดการงานสารบรรณ เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.70 ด้านความสะดวกในการจัดงานงานสารบรรณ เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.13 ด้านการตอบสนองในการจัดการงานสารบรรณ เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.77 ด้านความถูกต้องของข้อมูล เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.17 และด้านความพึงพอใจโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.73 และสามารถลดการใช้กระดาษจาก 3,659 แผ่น เหลือ 58 แผ่นต่อเดือน ลดลงร้อยละ 98.84 คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 4,681.3 บาท</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/264115การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 ในโรงเรียนจังหวัดสุราษฎร์ธานี2023-07-04T13:29:43+07:00อัญชลีพร มั่นคงanchalee1111@hotmail.comชลิตา ชีววิริยะนนท์chalita.chee@gmail.comกนกกาญจน์ กิตติชาติเชาวลิตkaykaykitti@gmail.comเนติฐ์ไน จีนสกุลnatii30@hotmail.com<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูสอนในระดับประถมศึกษาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 15 คน นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 42 คน เลือกการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 2 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ 1) แบบสอบถามแนวสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 2) แบบประเมินการจัดการเรียนรู้เชิงรุกทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 และ3) แบบสอบถามการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 โดยใช้สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 ภาพรวมอยู่ระดับมาก (𝑥̅= 4.30, S.D.= 0.50) 2) ผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของครูและนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกทักษะที่จำเป็นศตวรรษที่ 21 มีความเห็นภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก (𝑥̅= 3.82, S.D.= 0.71)</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/260781รูปแบบการสื่อสารการตลาดบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์2022-11-07T14:01:01+07:00ไพลิน ไตรรัตน์memomickey12@gmail.com<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานเกี่ยวกับการสื่อสารทางการตลาดของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ 2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 336 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบ และการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศชายที่มีอายุ 25 ปี - 35 ปี วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ในตำแหน่งพนักงาน มีระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ 5-10 ปี คิดเป็นประเภทของการจำหน่ายรถยนต์ เป็นประเภทรถยนต์นั่ง โดยมีผลประกอบการเฉลี่ยในการดำเนินธุรกิจ 20-50 ล้านบาท มีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจ 5-10 ปี และทำเลที่ตั้งของธุรกิจอยู่ใจกลางเมือง โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยระดับความสำคัญอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาภาพรวมเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการสื่อสารการตลาดบูรณาการ และด้านกลยุทธ์การตลาด 5A’s มีค่าเฉลี่ยระดับความสำคัญอยู่ในระดับมาก ผลการศึกษาองค์ประกอบและรูปแบบการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลของธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ พบว่า ประกอบไปด้วย 2 ด้าน 8 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ องค์ประกอบด้านการสื่อสารการตลาดบูรณาการ มีจำนวน 5 องค์ประกอบหลัก องค์ประกอบด้านกลยุทธ์การตลาด 5A’s มีจำนวน 3 องค์ประกอบหลัก</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttps://so05.tci-thaijo.org/index.php/pkrujo/article/view/262936กลยุทธ์การจำและการสอนอักษรจีนโดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำ ของจอยส์และวีล2023-09-27T09:06:59+07:00แตงเถา แซ่เจี๋ยtangthao.k@pkru.ac.thณัฐฐิดา โพชสาลีnattida.p@pkru.ac.th<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้จากนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล (2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล และ (3) ศึกษากลยุทธ์การจำและการสอนอักษรจีนโดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสารชั้น ปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ (1) แบบฝึกการจดจำอักษรจีนโดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล (2) แบบทดสอบการจำอักษรจีนโดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล และ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test (Paired- Sample t-test) และนำข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์การจดจำอักษรจีนของนักศึกษาหลังเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีลของนักศึกษากลุ่มตัวอย่างสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 (2) นักศึกษามีความพึงพอใจกับการเรียนการสอนโดยใช้โดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล เพื่อส่งเสริมการจดจำอักษรจีน อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าผลเฉลี่ย เท่ากับ 4.26 และ (3) นักศึกษาได้ใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล เชื่อมโยงไปสู่การจดจำอักษรจีนในบทเรียนได้ วิเคราะห์ได้จากนักศึกษามีคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงขึ้น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์การจดจำอักษรจีนของนักศึกษาหลังเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีลของนักศึกษากลุ่มตัวอย่างสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 และ(2) นักศึกษามีความพึงพอใจกับการเรียนการสอนโดยใช้โดยใช้ทฤษฎีการสอนเน้นความจำของจอยส์และวีล เพื่อส่งเสริมการจดจำอักษรจีน อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าผลเฉลี่ย เท่ากับ 4.26</p>2024-12-26T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต