วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal <p>วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เปิดรับบทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ บทวิจารณ์หนังสือ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งมีเนื้อหาทางด้านรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง การระหว่างประเทศ และรัฐประศาสนศาสตร์ </p> <p><span lang="th">บทความที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากกองบรรณาธิการเบื้องต้น จะถูกนำส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 คน ตามประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2564) โดยใช้ระบบ Double-blind peer review (ผู้พิจารณาไม่ทราบชื่อผู้เขียน และผู้เขียนไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา) ยกเว้นบทความพิเศษ (Special Article) หรือบทความรับเชิญ (Invited Article) ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการพิจารณาคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ</span></p> <p><span lang="th">ทั้งนี้ วารสารอาจจะมีการตีพิมพ์ฉบับพิเศษ (Special Issue) หรือฉบับเพิ่มเติมจากวาระปกติ (Supplementary Issue) ปีละไม่เกิน 2 ฉบับ</span></p> <div> </div> <div><strong>ISSN (เดิม)</strong></div> <div> </div> <div> <p>ISSN 2630-0435 (Print)</p> <p>ISSN 2630-0699 (Online)</p> <p><strong>ISSN (ใหม่) เริ่มใช้ตั้งแต่ 10 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป</strong></p> <p>ISSN 2985-2269 (Online)</p> </div> <div> <div><span lang="th">ผู้สนใจสามารถส่งบทความเพื่อรับการพิจารณาตีพิมพ์ได้ที่ </span><span id="LPlnk185779" lang="th"><a href="https://www.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal" target="_blank" rel="noopener noreferrer">https://www.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal</a> <a id="LPlnk185779" href="https://www.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal" target="_blank" rel="noopener noreferrer"></a></span></div> <div><span lang="th"><span id="LPlnk185779" lang="th">ทั้งนี้ บทความที่ส่งมาเพื่อขอรับการพิจารณาตีพิมพ์ลงในวารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป มีค่าบริการตีพิมพ์บทความละ 3,500 บาท<br />(ยกเว้น คณาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)</span></span></div> </div> Faculty of Political Science and Public Administration, Chiang Mai University en-US วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ 2985-2269 <ul> <li class="show">เนื้อหาและข้อมูลที่ลงตีพิมพ์ในวารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</li> <li class="show">บทความและข้อมูล ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ ขอให้อ้างอิงแหล่งที่มาด้วย</li> </ul> Local Community Collaboration and Sustainable Staycation Tourism: Case Studies from Cebu and Bohol, Philippines https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278516 <p>After the COVID-19 pandemic, developing countries such as the Philippines have sought to revive their weakened economies through tourism. As part of its revival plan, community-based tourism initiatives like “staycations” have been promoted to stimulate local economies and support post-pandemic recovery. However, limited research has examined whether such initiatives meaningfully engage local stakeholders or simply reinforce centralized, top-down governance, especially in a country where decentralization is met with a changing political climate. This study aims to elaborate on how staycation tourism, as a recovery strategy, uphold principles of participatory governance in the context of developing countries. Through reviewing and analyzing secondary data and the existing literature, the paper examines local staycation tourism in the Cebu and Bohol provinces of the Philippines, as informed by collaborative governance approaches, to analyze the institutional arrangements and the roles of local governments, tourism providers, and communities in implementing staycation initiatives as seen in programs such as the “Suroy-Suroy Sugbo” (Wander Around Cebu), the “Celebrate Cebu, Stay Cebu,” and Bohol’s designation as the country’s first UNESCO Global Geopark, which illustrate efforts to revitalize tourism through localized cultural and ecological experiences. While these initiatives promote domestic tourism, stemming from the collaboration between local and provincial authorities and local communities through the provision of skills training and funding, among others, there needs to be a clarification on the extent of how participatory these initiatives are. Ultimately, this paper suggests that to enable more sustainable and resilient tourism systems in both staycations and community-based tourism arrangements, governance processes must center community agency in planning and decision-making, while at the same time, nuancing collaborative frameworks through identifying and mapping power relations and its consequences in order to come up with a sustainable industry initially guised as a recovery safety net.</p> John Ryan Jacot Kobe Allen Loseñada Noe John Joseph Sacramento ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 1 24 External and Internal Driving Factors in Development of Phitsanulok Province along the LIMEC: The Role of the Government and the Dynamics of Globalization https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/276903 <p>This study seeks to examine the external and internal factors that affect the opportunities and developmental pathways of Phitsanulok Province within the Luang Prabang-Indochina-Mawlamyine Economic Corridor (LIMEC). The study employed a qualitative research design, utilizing documentary research and conducting in-depth interviews. Five key informants were chosen using purposive sampling: The Governor of Phitsanulok Province, the Provincial Agriculture Officer, the Provincial Commerce Officer, the President of the Phitsanulok Provincial Administrative Organization (PAO), and the President of the Phitsanulok Chamber of Commerce. The process of data collection included a thorough literature review and semi-structured interviews, whereas data analysis utilized content analysis and methodological triangulation to improve validity. The findings indicate that external factors, including Thailand's involvement in regional frameworks such as ACMECS and BIMSTEC, infrastructure connectivity, and international collaboration, play a crucial role in influencing the growth prospects of Phitsanulok. Internally, the identification of economic digitization, human resource development, sustainable agriculture, environmental management, and political stability as essential elements is paramount. Additionally, the study emphasizes the importance of tackling non-traditional security threats such as pandemics, environmental degradation, and transnational crime through regional collaboration under LIMEC. It is recommended to establish a centralized coordination mechanism for LIMEC initiatives, enhance human capital development, foster cross-border health and disaster management cooperation, and create a regional logistics hub in Phitsanulok. Future research ought to concentrate on the significance of digital transformation, conduct comparative analyses among regional corridors, and examine community-level impacts to foster sustainable and inclusive regional development.</p> วสันต์ ปวนปันวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 25 56 ความเท่าเทียมทางเพศสภาพในการปกครองท้องถิ่น ภายใต้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายย่อยที่ 5 กรณีศึกษาจังหวัดลำพูน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278475 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การสร้างความเท่าเทียมทางเพศสภาพ การบริหารที่มุ่งเน้นความเท่าเทียมทางเพศสภาพ และวิเคราะห์ระดับความแตกต่างการบริหารงานที่มุ่งเน้นความเท่าเทียมทางเพศสภาพภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 5 ในการปกครองท้องถิ่น จังหวัดลำพูน โดยใช้มีระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมวิธี 2 ระยะ ประกอบด้วยการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณผ่านแบบสอบถามจากกลุ่มตัวแทนผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 85 คน และการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 23 คน ผลการวิจัยพบว่า สถานการณ์ความเท่าเทียมทางเพศสภาพที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ เป้าหมายการพัฒนายั่งยืนที่ 5.5 การสร้างหลักประกันให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมอย่างประสิทธิภาพ (M = 1.52, S.D. = 0.90) ส่วนการบริหารที่มุ่งเน้นความเท่าเทียมทางเพศสภาพที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การแสดงออกถึงเจตจำนงของผู้บริหาร (M = 1.62, S.D. = 0.95) และผลการวิจัยยอมรับสมมติฐานที่กำหนดไว้คือ ระดับการบริหารที่มุ่งเน้นความเท่าเทียมทางเพศสภาพในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศสภาพมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งในภาพรวมและใน 9 เป้าหมายย่อยที่แตกต่างกัน การศึกษานี้จึงสนับสนุนแนวคิดสตรีนิยมสายเสรีนิยมที่เห็นว่ารัฐและสถาบันทางการเมือง เช่น อปท. สามารถเป็นกลไกในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศสภาพได้โดยผ่านการจัดการทางสังคมทั้งแบบบังคับและไม่บังคับ</p> ดารารัตน์ คำเป็ง วัลลภัช สุขสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 57 78 แนวทางการบริหารจัดการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บนพื้นฐานของกรอบแนวคิดเครือข่ายพันธมิตรนโยบาย และการยอมรับทางสังคม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/277353 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์แนวทางการบริหารจัดการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บนพื้นฐานของกรอบแนวคิดเครือข่ายพันธมิตรนโยบายและการยอมรับทางสังคม ซึ่งเป็นการศึกษาผ่านมุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากหลายภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคพาณิชยกรรม และภาคประชาชนและเกษตรกรรม โดยใช้เทคนิคการสนทนากลุ่ม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าปัญหาหลักเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ก็คือการขาดตัวแสดงที่เป็นผู้รับผิดชอบหรือเป็นแกนนำหลักในการบริหารจัดการน้ำ นอกจากนี้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละภาคส่วนมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับตัวแสดงที่จะเข้ามามีบทบาทดังกล่าว กล่าวคือภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรมมีแนวโน้มให้ความเชื่อมั่นในแนวทางการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ตัวแสดงภาครัฐ ในขณะที่ภาคประชาชนและเกษตรกรรมมีแนวโน้มให้ความเชื่อมั่นในแนวทางการบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจ หรือต้องการผู้นำที่เป็นผู้แทนของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง ดังนั้น ผลการสังเคราะห์แนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ดังกล่าวจึงประกอบด้วย 3 ทางเลือก ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำแนะนำเกี่ยวกับผู้นำหรือตัวแสดงหลักตามที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกล่าวถึง ได้แก่ คณะกรรมการลุ่มน้ำในภูมิภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในการนี้ข้อค้นพบดังกล่าวจึงมีส่วนส่งเสริมให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ด้านที่ 6.5 และ 6.b ซึ่งว่าด้วยการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบองค์รวมในทุกระดับ ตลอดจนการสนับสนุนและเพิ่มความเข้มแข็งในการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในการพัฒนาการจัดการน้ำ</p> ศิริพงศ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา แววไพลิน พันธุ์ภักดี ภวิสร ชื่นชุ่ม พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 79 110 อำนาจและผลประโยชน์: ความท้าทายทางการเมืองของไทยต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278522 <p>การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นเป้าหมายระดับโลกที่เผชิญกับอุปสรรคจากอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง บทความวิชาการเรื่องนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความท้าทายที่ขัดขวางการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย โดยเน้นการศึกษาปัญหาจากการรวมศูนย์อำนาจในระบบราชการและกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการพัฒนา การขาดความโปร่งใสในกระบวนการนโยบาย และความไร้ประสิทธิภาพของกลไกตรวจสอบ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สกัดกั้นความก้าวหน้าของการพัฒนาในระยะยาว การแทรกแซงของอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย บทความนี้จึงเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลที่มีความโปร่งใสและความรับผิดชอบ พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการรวมศูนย์อำนาจและนำไปสู่การพัฒนาที่เป็นธรรมและยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐและการปรับโครงสร้างเชิงนโยบายเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการกระจายอำนาจและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ นอกจากนี้ การมีระบบตรวจสอบที่โปร่งใสและการปรับเปลี่ยนกฎหมายและนโยบายที่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย</p> สาธิตา อ่างทอง คชตรัย เจริญสุข ชารินทร์ เกษร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 111 138 การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวคิดแบบสองชั้นในการจัดการภาครัฐและเอกชน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278233 <p>การศึกษาเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวคิดแบบสองชั้นในการจัดการภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญ เนื่องจากแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญในการตอบสนองความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยไม่ทำลายโอกาสของคนรุ่นหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบแนวคิดแบบสองชั้น ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เช่น การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนนวัตกรรมและการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนสามารถลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและสามารถสร้างงานที่ยั่งยืนได้ โดยเฉพาะในชุมชนที่ขาดแคลนโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งแนวคิดแบบสองชั้นมีความสอดคล้องกับแนวคิดการบริหารการปกครอง แนวคิดการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่และแนวคิดความเป็นธรรมทางสังคมอย่างชัดเจน โดยการบูรณาการแนวคิดเหล่านี้ร่วมกัน ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้อย่างยั่งยืน</p> กชกร สุขทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 139 166 พลโลกศึกษา (Global Citizenship Education): การบูรณาการแนวทางการจัดการเรียนรู้ในเยาวชนระดับมัธยมศึกษา เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278511 <p>บทความนี้ได้ทำการศึกษาแนวคิดการศึกษาเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการศึกษาทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับแนวคิดการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลก รวมถึงหลักสูตรพลโลกศึกษา โดยมุ่งนำเสนอกรอบหลักสูตรในระดับชั้นมัธยมศึกษาที่เป็นช่วงวัยที่จะก้าวสู่การเป็นกำลังขับเคลื่อนสังคมโลก เชื่อมโยงเข้ากับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหัวเรื่องรวมถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของหลักสูตรที่ได้แบ่งช่วงชั้นเป็นระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ควรมีลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการศึกษาให้เป็นรูปธรรมผ่านกระบวนการกลุ่ม การทำงานร่วมกัน การแสดงบทบาทสมมติ โต้วาที และการลงพื้นที่จริงเพื่อศึกษาสภาพสังคมที่เกิดขึ้น สำหรับต่อยอดไปสู่การพัฒนาทักษะที่ซับซ้อนหรือเป็นนามธรรมมากขึ้น และ 2) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายควรมีลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้น จากการศึกษาด้วยกรณีศึกษา ข่าว บทความ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ในชุมชน แล้วใช้กระบวนการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อหาแนวทางการมีส่วนร่วม หรือประเมินผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตลอดจนนำความรู้ที่ได้มาฝึกปฏิบัติจริงผ่านการทำโครงการ โครงงาน และการออกแบบแนวทางประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ อันจะนำมาซึ่งการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองโลกที่สอดคล้องกับหลักสูตร และจุดเน้นของการศึกษาภายในประเทศที่เชื่อมโยงความเป็นพลเมืองโลกให้สอดรับกับบริบทความเป็นพลเมืองไทย</p> นายวรัณยู เหง่าโพธิ์ มนัสนันท์ ชูตินันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 167 190 เมืองอัจฉริยะกับการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม: กรณีศึกษาประเทศสิงคโปร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278517 <p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับใช้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของเมืองอัจฉริยะผ่านกรณีศึกษาสิงคโปร์ โดยวิเคราะห์ผ่าน SDGs โดยเน้นไปที่ SDG 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม SDG 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และ SDG 13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลการศึกษาพบว่า เมืองอัจฉริยะของสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การจัดการขยะ และการใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกที่ขับเคลื่อน SDGs และสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อันเป็นแนวแนวทางสำคัญที่สามารถประยุกต์ใช้กับบริบทประเทศไทย</p> เบญจม์ภัทร ชูช่วย กุลนันทน์ คันธิก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 191 212 ประเทศไทยกับความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/277498 <p>สถานการณ์ความเท่าเทียมทางเพศในปัจจุบันของประเทศไทย ยังคงอยู่ในสถานะค่อนข้างน่ากังวล ดังปรากฏในผลการดำเนินงานตามเป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า ยังคงตกอยู่ในสถานะมีความท้าทาย และมีแนวโน้มไม่คืบหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเป็นไปได้ที่ผลกระทบจากการลดระดับในการพัฒนาจะแทรกแซงต่อการพัฒนาในมิติอื่นๆ มิให้สามารบรรลุเป้าหมายได้ การศึกษาครั้งนี้จึงมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์ความท้าทายที่เกิดขึ้น และเสนอแนะแนวทางในการดำเนินการเพื่อการบรรลุเป้าหมาย ด้วยเหตุนี้ การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาความหมาย ความสำคัญ มาตรฐานตัวชี้วัด และสถานการณ์ปัจจุบันในการบรรลุเป้าหมายที่ 5 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่เป็นความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายที่ 5 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการบรรลุเป้าหมายที่ 5 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่า จากการดำเนินงานตามเป้าหมายที่ 5 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ระหว่างปี พ.ศ. 2562-2567 ประเทศไทยอยู่ในสถานะเป้าหมายมีความท้าทายและมีแนวโน้มค่อนข้างก้าวหน้ามาโดยตลอด ขณะที่ปี พ.ศ. 2567 กลับมีแนวโน้มไม่คืบหน้า เนื่องจากมีความท้าทาย 5 ประการ คือ 1) การมีส่วนร่วมของสตรีอย่างเต็มที่ในทุกระดับของการตัดสินใจ 2) การเข้าถึงทรัพยากรเศรษฐกิจ ที่ดิน และทรัพย์สิน 3) แนวปฏิบัติที่เป็นภัยทุกรูปแบบและการเข้าถึงสุขภาวะทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ 4) อคติและการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง และ5) การปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า จำเป็นต้องมีนโยบายหรือแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนใน 2 ข้อ ได้แก่ 1) การปรับปรุงอคติต่อสตรี ผ่านส่งเสริมภาพลักษณ์การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของสตรีในสื่อและวัฒนธรรม เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และส่งเสริมความปลอดภัยในชีวิตของสตรี และ 2) ด้านการปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ การรวบรวมและการปรับปรุงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้หญิงให้เป็นปัจจุบันเสมอจะช่วยให้การกำหนดนโยบายเป็นไปอย่างแม่นยำ สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงในสังคม โดยข้อเสนอแนะทั้ง 2 ข้อข้างต้นนี้ จำเป็นต้องกระทำอย่างพร้อมเพรียงกันจะขาดด้านใดด้านหนึ่งมิได้เพราะอาจส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายที่ 5 อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป</p> ชิษณุพงษ์ สรรพา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 213 240 Inter-Local Relations between Thailand and Lao PDR: Collaborative Efforts of Thoeng and Paktha in Combating Environmental Threats in the Borderland https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278467 <p>This article proposes the concept of inter-local relations through an examination of environmental collaboration between Thoeng District, Chiang Rai, Thailand, and Paktha District, Bokeo, Lao People's Democratic Republic (PDR). Situated on the land border, these districts face shared environmental challenges, including PM 2.5 pollution, smog, and forest fires, which threaten both human security and ecological stability. Drawing on a qualitative methodology comprising group discussions with 56 informants conducted in 2023 and 2024, including Thai and Lao district chiefs and officers at the administrative offices of Thoeng and Paktha, this study explores the mechanisms and dynamics underpinning cross-border collaboration at the local level. It argues that the existing international regime such as ASEAN addressing transboundary haze remains insufficient, and that inter-local relations should operate in tandem with international efforts to more effectively promote clean air across both states. The findings reveal that district-level actors and village headmen implemented joint monitoring systems, shared resources, and coordinated community-led responses to mitigate environmental threats. These efforts highlight the capacity of local actors to address transboundary issues without awaiting central government directives, showcasing a more agile and context-sensitive approach to governance. The article introduces the concept of inter-local relations to frame these interactions, emphasising their coexistence with traditional international relations while operating within the practical realities of borderland communities. By analysing the successes and challenges of the Thoeng-Paktha collaboration, this study advances the understanding of non-traditional security threats, borderland governance, and the role of local actors in international cooperation. The findings underscore the potential of inter-local relations as a model for addressing global challenges in other border regions, contributing to the discourse on cross-border environmental governance and offering actionable insights for policy and practice.</p> ธนเชษฐ วิสัยจร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 241 262 “สุนัขจรจัดของเมือง”: เมื่อสุนัขจรจัดกลายเป็นโจทย์ของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/278193 <p>บทความนี้มีจุดหมายเพื่อสำรวจและวิเคราะห์สุนัขจรจัดกับความสัมพันธ์เมือง และแนวทางการจัดการปัญหาสุนัขจรจัดของเมือง โดยเก็บข้อมูลจากการทบทวนเอกสาร งานวิจัย นโยบาย กฎหมาย แผนยุทธศาสตร์และข่าวที่เกี่ยวกับสุนัขจรจัดของไทย พบว่า การพัฒนาเมืองน่าอยู่เพื่อให้เกิดความยั่งยืนนั้น ไม่ได้พัฒนาเพียงแต่โครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจเพื่อคนเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกับเมือง ดังนั้น สุนัขจรจัดกับเมืองจึงเป็นโจทย์ของการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ ซึ่งมีเป้าหมายเริ่มการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่เมือง (SDG Localization) ปัญหาสุนัขจรจัดมีความซับซ้อนทั้งในเชิงโครงสร้าง ระบบกลไก และส่งผลกระทบต่อสังคมในด้านต่างๆ จากการสำรวจ พบว่า ปัญหาการจัดการสุนัขจรจัดในเมืองจำเป็นต้องแก้ไขด้วยความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และมีผู้มีส่วนเสียที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสุนัขจรจัด รวมทั้งผู้มีจิตเมตตาต่อสุนัขจรจัด อีกทั้งการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดต้องมีแผนงานโดยนำต้นแบบการจัดการสุนัขชุมชนที่เป็นเลิศมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของเมือง เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ และเกิดผลลัพธ์ที่ได้คือเมืองมีความน่าอยู่และยั่งยืนจากการจัดการปัญหาสุนัขจรจัด</p> สุทธิชัย รักจันทร์ เก็ตถวา บุญปราการ ณัฐวุฒิ ชีวพิทักษ์ผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-24 2025-06-24 16 Suppl. 1 263 296