วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak <p>วารสารรัฏฐาภิรักษ์ (Ratthaphirak Journal) เป็นวารสารวิชาการของวิทยาลัยป้องกันราชาอาณาจักร (National Defence College) สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (National Defence Studies Institute) มีวัตถุประสงค์จะตีพิมพ์บทความในลักษณะ บทความวิชาการที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของชาติในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา การทหาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยเขียนเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ และต้องเป็นบทความที่มีคุณภาพสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งในเชิงทฤษฎี หลักการ หรือแนวความคิด และ / หรือการนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยมีกำหนดเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฏาคม - ธันวาคม) </p> th-TH <p class="p1">บทคว<span class="s1">า</span>ม ข้อเขียน หรือคว<span class="s1">า</span>มคิดเห็นในนิตยส<span class="s1">า</span>รนี้เป็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับวิทย<span class="s1">า</span>ลัย ป้องกันร<span class="s1">า</span>ชอ<span class="s1">า</span>ณ<span class="s1">า</span>จักรและท<span class="s1">า</span>งร<span class="s1">า</span>ชก<span class="s1">า</span>รแต่อย่<span class="s1">า</span>งใด </p> akradej.pr@thaindc.org (พลตรี อรรคเดช ประทีปอุษานนท์) panitchapat.ja@thaindc.org (กองบรรณาธิการวารสารรัฎฐาภิรักษ์) Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ยุทธศาสตร์และแผนงานเพื่อความยั่งยืนด้านการแพทย์อัจฉริยะของประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/279989 <p>ประเทศไทยกำลังเชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงระบบการดูแลสุขภาพสู่ยุคดิจิทัล โดยมีการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ และคุณภาพของการบริการ การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันเผยให้เห็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สำคัญในการพัฒนา การคำนึงถึงความต้องการพัฒนา เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะในระบบสุขภาพดิจิทัล และการแพทย์อัจฉริยะของประเทศไทย ด้วยประสบการณ์จริงของผู้วิจัย โดยการออกแบบโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร โดยได้ใช้หลักแนวคิด Patient Journey ที่ไม่เพียงแต่ยกระดับด้านประสบการณ์ต่อการรับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลเท่านั้น แต่อยู่บนหลักแนวคิด Holistic Health คือ การยกระดับสุขภาพกายและสุขภาพใจจึงทำให้ผู้รับบริการได้รับความสะดวกในการขอรับบริการภายในโรงพยาบาล และมีสัดส่วนของพื้นที่สีเขียว ที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความผ่อนคลายให้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพ และการมีคุณภาพอากาศที่ดี นอกจากนี้ยังได้อาศัยกรอบแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการบริหารจัดการทรัพยากรของโรงพยาบาล และจัดการของเสียที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของการรักษาพยาบาล ซึ่งช่วยให้ระบบนิเวศยั่งยืน การเดินทางสู่การแพทย์อัจฉริยะที่ยั่งยืน ต้องใช้แนวทางจากหลายแง่มุมและร่วมมือกัน และจัดการกับยุทธ์ศาสตร์สำคัญจะทำให้ระบบการดูแลสุขภาพมีศักยภาพ ในขณะเดียวกันก็รับประกันความปลอดภัยของผู้ป่วย แนวปฏิบัติด้านจริยธรรม และการเข้าถึงนวัตกรรมอย่างเท่าเทียมกัน ท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามเหล่านี้จะส่งผลต่อระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถส่งมอบวิธีการรักษาของผู้ป่วยที่ดีขึ้น และขับเคลื่อนความก้าวหน้าในด้านการแพทย์อัจฉริยะ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าการเดินทางสู่การแพทย์อัจฉริยะที่ยั่งยืนเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ความพยายามในการทำงานร่วมกัน และความมุ่งมั่นในหลักปฏิบัติด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบ ด้วยการสร้างความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ การกำกับดูแลด้านกฎระเบียบ และการพิจารณาด้านจริยธรรม จึงจะสามารถนำศักยภาพของการแพทย์อัจฉริยะมาใช้ได้อย่างเต็มที่เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมไทย</p> สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/279989 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาขีดความสามารถกำลังกองทัพอากาศเพื่อรองรับ ความท้าทายในศตวรรษที่ 21 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280295 <p>การวิจัยเรื่อง การพัฒนาขีดความสามารถกำลังกองทัพอากาศเพื่อรองรับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง ที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาขีดความสามารถกำลังกองทัพอากาศ เพื่อกำหนดแนวทางและกระบวนการในการพัฒนามุ่งสู่<br />การปฏิบัติการหลายมิติ ที่พร้อมรองรับภัยคุกคามและความท้าทายในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผลการวิจัยพบว่า กองทัพอากาศต้องดำรงความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจภายใต้แนวคิด<br />การปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง ทั้งยังต้องปรับแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถมุ่งสู่<br />การปฏิบัติการหลายมิติ ให้พร้อมรองรับภัยคุกคามและความท้าทายในทุกมิติ รวมทั้งเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแผนพัฒนาขีดความสามารถ และยังต้องมีฝ่ายอำนวยการที่มีทักษะและความรู้ความสามารถ พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งต้องกำหนดหลักนิยมและแนวคิดในการปฏิบัติภารกิจ ที่เหมาะสมกับภารกิจและความรับผิดชอบของกองทัพอากาศ เพื่อรองรับแนวคิดการพัฒนาขีดความสามารถ “AIRFORCE” ได้แก่ Acquisition, Infrastructure Development, Resource Management, Force Structure, Organization Management, Research &amp; Development, Capability Enhancement และ Education &amp; Training ทั้งนี้ ต้องจัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนในการดำเนินการ ให้เหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับ นโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาล สภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง รูปแบบการปฏิบัติการทางทหาร และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี รวมทั้งต้องสอดคล้องกับการพัฒนาขีดความสามารถการปฏิบัติการร่วมของกองทัพไทย ตลอดจนต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นมาตรวัดขีดความสามารถและระดับความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจ อันจะนำไปสู่การปรับแผนพัฒนาขีดความสามารถ ให้พร้อมรองรับภัยคุกคามและความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p> จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280295 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบูรณาการด้านบรรเทาสาธารณภัยเพื่อช่วยเหลือประชาชน อย่างมีประสิทธิภาพ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/281024 <p>ปัจจุบัน การบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานด้านบรรเทาสาธารณภัยยังมีปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีภารกิจแตกต่างกันไป ทำให้การกำหนดนโยบาย โครงสร้างการทำงาน และภารกิจจะเน้นภารกิจของของหน่วยงาน และทำให้การบูรณาการเพื่อบรรเทาสาธารณภัยทำได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น งานวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานโยบาย โครงสร้างการทำงาน และภารกิจของหน่วยงานด้านบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ รวมทั้งศึกษาผลการดำเนินงาน ปัญหาข้อขัดข้อง และเสนอแนะแนวทางการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน วิธีดำเนินการวิจัย ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพร่วมกับวิจัยเชิงพรรณนา เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบรรเทาสาธารณภัยและการช่วยเหลือประชาชน จำนวน 5 คน และข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ยุทธศาสตร์ด้านการบรรเทาสาธารณภัยและการช่วยเหลือประชาชน สามารถพิจารณาจากยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2570 ประเด็นด้านความมั่นคง และนโยบายรัฐบาลด้านความมั่นคง สำหรับโครงสร้างการทำงานและภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีคณะกรรมการและคณะทำงานขับเคลื่อนทั้งระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติ และฝ่ายสนับสนุน โดยทำงานร่วมกัน 4 ขั้น คือ ขั้นเตรียมการ ขั้นก่อนเกิดภัย ขั้นระหว่างเกิดภัย และขั้นหลังการเกิดภัย และพบปัญหาเรื่องบุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ข้อกฎหมาย และปัญหางบประมาณ ข้อเสนอแนะแนวทางการบูรณาการการทำงาน คือการประสานงานระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน การแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างหน่วยงาน การสร้างเครือข่ายระดับผู้นำและบุคคล และการมีเวทีในการทำงานร่วมกัน</p> ชยพณัฐ วิริรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/281024 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 การสร้าง INNER PEACE EDUCATION ให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อเสริมสร้าง SOFT POWER ในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/279546 <p>งานวิจัยเรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเป้าหมายในระบบการศึกษาไทยมุ่งเน้นการพัฒนาคนในทุกมิติทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข แต่ปัจจุบันเด็กและเยาวชนจำนวนมากมีทัศนคติต่อต้านระบบเดิม ทั้งระเบียบกฎเกณฑ์และความเชื่อทางการเมือง จึงเกิดความขัดแย้งทางความคิดระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุของความขัดแย้งทางความคิดระหว่างเด็กและเยาวชนกับผู้ใหญ่ในสังคมไทย พร้อมเสนอแนวทางสันติวิธี โดยถอดบทเรียนรูปแบบจากไตรสิกขา หรือ Inner Peace Education (IPE) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งนำรูปแบบ IPE ทดลองใช้ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (Education Sandbox) ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ผลการวิจัยพบว่า ความขัดแย้งทางความคิดของเด็กและเยาวชนเกิดจากสาเหตุ 6 ประการ คือ 1. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมวัยรุ่น 2. การยึดเอาความคิดตนเองเป็นหลัก 3. ความคิดเห็นขัดแย้งทางการเมืองการปกครองและสังคม 4. การบังคับเข้มงวดของผู้ใหญ่ในกฎระเบียบต่าง ๆ 5. การขาดที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และ 6. ความแตกต่างกันของกลุ่มคนที่อยู่ต่างรุ่นและต่างวัย เมื่อทำการถอดบทเรียนการศึกษาสันติภาพภายใน พบว่า ขั้นแรก ควรสร้างความมีวินัย บนพื้นฐานศีล 5 ใช้ “ความดีสากล 5 ประการ” คือ ความสะอาด ความมีระเบียบ ความสุภาพ การตรงต่อเวลาและการมีจิตตั้งมั่น ขั้นที่ 2 ควรปฏิบัติสมาธิเป็นกิจวัตรประจำวัน ขั้นที่ 3 ผลลัพธ์จากการรักษาศีลและปฏิบัติสมาธิจนเป็นนิสัยทำให้เกิดปัญญา ด้วยใจที่ปีติเบิกบาน มีความสุข ส่วนผลการทดลอง พบว่า การสอบวัดนักเรียนกลุ่มทดลองมีการพัฒนาด้านต่าง ๆ สูงกว่ากลุ่มควบคุมทุกด้าน เมื่อสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ “บวร” เพื่อยืนยันสรุปได้ว่า แนวทางการสร้าง Inner Peace Education ให้กับเด็กและเยาวชน ควรขยายผลผ่านเครือข่าย “บวร” โดยกำหนดนโยบายจากส่วนกลางบูรณาการกับโครงการที่มีอยู่ เช่น ค่ายลูกเสือ และจัดการเรียนรู้เป็น Active Learning เพิ่มกิจกรรมทางศาสนาสอดแทรกให้เหมาะสมกับท้องถิ่น และสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ จากการศึกษาดังกล่าว มีข้อเสนอเชิงนโยบายโดยรัฐบาลควรประกาศนโยบาย “1 ตำบล 2 โรงเรียน 3 ประสานพลัง บวร” ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมพัฒนาเด็กตำบลละ 2 โรงเรียน ดำเนินการขับเคลื่อนในรูปแบบ Public Private Partnership</p> ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/279546 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 บทบาทของประเทศไทยต่อการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีนในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/281016 <p>ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เป็นพื้นที่ช่วงชิงความเป็นผู้นำระหว่างประเทศมหาอำนาจ ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์เชิงซ้อนระหว่างรัฐ การจัดตั้งกลุ่มพันธมิตร ตลอดจนกำหนดกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ใจกลางภูมิภาค จำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่จะกำหนดบทบาทและท่าทีที่ควรจะเป็นที่เหมาะสม จากการศึกษาพบว่า ประเทศไทยนั้นมีภูมิศาสตร์ที่ตั้งที่มีความเกื้อกูลต่อการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง โดยมีความใกล้ชิดสนิทสนมเสมือนญาติมิตรกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีความใกล้ชิดในฐานะมิตรประเทศเก่าแก่กับสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ประเทศไทยต้องกำหนดบทบาท ท่าที และนโยบายอย่างรอบคอบในการสร้างความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างสมดุลรอบด้าน โดยคงความเป็นมิตรทั้งสองฝ่าย กระจายความพึ่งพา และรักษาความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายอย่างสมดุล เพื่อประสานประโยชน์ภายในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่การได้รับการยอมรับจากมิตรประเทศและเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรในภูมิภาค เพื่อปรับดุลอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ควรขยายความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เช่น สาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อถ่วงดุลและลดแรงเสียดทานระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศไทยควรใช้จุดแข็งจากการเป็นแกนกลางในภูมิภาคมาเพิ่มศักยภาพของประเทศโดยการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานกับอาเซียน ผ่านการใช้กลไกของโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก-ตะวันออก (East-WestกEconomicกCorridorก:กEWEC) และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) เพื่อเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง ประเทศไทยสามารถเป็นจุดศูนย์กลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท้ายที่สุด ประเทศไทยควรให้อำนาจละมุน (Soft Power) ที่มีความโดดเด่น เช่น วัฒนธรรมไทย อาหารไทย มวยไทย และนาฏศิลป์ มาเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนอำนาจทางการเมือง การทหาร และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม</p> กฤษฎา บุญวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/281016 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการของสำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหมด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280639 <p>การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ เป็นการพัฒนาองค์กรให้มีความสะดวกและรวดเร็ว รวมถึงมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น เพื่อทดแทน<br />การทำงานโดยมนุษย์ ซึ่งจะช่วยลดเวลา ลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบการพัฒนาศักยภาพ ด้านการบริหารจัดการ และเพื่อให้มีแนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการของสำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหมด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบของการพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการของสำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหมด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 1) ระบบนิเวศดิจิทัล 2) ทัศนคติและแรงจูงใจ 3) ภาวะผู้นำและสมรรถนะ 4) ค่านิยม</p> กฤษณ์ กิจวิวัฒนกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280639 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสำคัญของมาตรฐานการศึกษาเพื่อพัฒนา สถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/279921 <p>การพัฒนากองทัพให้เจริญก้าวหน้า สามารถแข่งขันกับนอกประเทศได้ จำเป็นต้อง มีกระบวนการจัดการศึกษาของกองทัพให้มีมาตรฐาน และสามารถเทียบเคียงสมรรถนะได้กับมาตรฐานนานาชาติ การประกันคุณภาพจึงเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่งที่สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงกลาโหมต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการบริหารสถานศึกษา เพราะการประกันคุณภาพการศึกษาเป็นการดำเนินการของสถานศึกษา เพื่อให้หลักประกันกับภาคประชาสังคมว่า ผลผลิตที่เกิดขึ้น คือ คุณภาพของผู้เรียนจะมีคุณภาพเป็นไปตามเป้าหมายของหลักสูตร มาตรฐานการศึกษาของชาติ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และกองทัพ และการนำผลการประเมินไปใช้ประโยชน์ ถือเป็นแนวคิดที่ช่วยให้สถานศึกษามีการกำหนดแผนงาน โครงการ วิธีปฏิบัติต่าง ๆ ในระบบประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูล/ความรู้ ซึ่งจะส่งผลให้การประกันคุณภาพการศึกษามีทิศทาง เป้าหมาย สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง และมุ่งสู่มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาที่บ่งบอกถึงการพัฒนาการศึกษาอย่างต่อเนื่องของสถานศึกษา ในวิธีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามวงจรคุณภาพ PDCA</p> สาดิศย์ พริ้งประยูร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/279921 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 ทวิภาคี สร้างคุณภาพการจัดการอาชีวศึกษา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280091 <p>ระบบทวิภาคีเป็นจัดการศึกษาวิชาชีพที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างสถานศึกษาหรือสถาบันกับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐในเรื่องการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผล โดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหนึ่งในสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ การศึกษาระบบทวิภาคีตามวรรคหนึ่งต้องมีการจัดแผนการเรียน แผนการฝึกอาชีพ การฝึกทำงาน การวัดผลและการประเมินผล เพื่อมุ่งเน้นผลิตผู้สำเร็จการศึกษาในระดับฝีมือ ระดับเทคนิค และระดับเทคโนโลยี ให้เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ มีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ และกิจนิสัยที่เหมาะสมปฏิบัติงานได้จริง ปฏิบัติงานที่ใช้เทคนิคในการทำงาน สร้างและพัฒนางาน วางแผน จัดการพัฒนาตนเองและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ให้มีความก้าวหน้าทางวิชาการ และวิชาชีพ มีสมรรถนะนำไปปฏิบัติงานหรือประกอบอาชีพอิสระได้ตามมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ และมาตรฐานสมรรถนะของสาขาวิชานั้น ๆ โดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนการศึกษา ทั้งในหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และหลักสูตรระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ โดยการนำรายวิชาทวิภาคี ในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลือกไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน จัดทำแผนฝึกอาชีพ จัดแผนการเรียนระบบทวิภาคีตามความพร้อมของสถานประกอบการ โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จในการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีประกอบด้วย นโยบาย สถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง สถานประกอบการ ผู้เรียน และผู้ปกครอง</p> สง่า แต่เชื้อสาย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280091 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาพอนาคตงานและทักษะของภาคราชการ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280092 <p>Future of Work เป็นคำที่แสดงให้เห็นว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งผลต่อชีวิตการทำงานของคน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามา งานบางอย่างจะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป ความเป็นอยู่ของคนจะเปลี่ยนแปลง ในส่วนของงานราชการการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สามารถคาดการณ์และเลือกเทคโนโลยีที่หมาะสมกับบริบทขององค์กร และรองรับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในอนาคต เพื่อการสร้างงานภาครัฐที่มีมูลค่าสูงขึ้น (High Value Jobs) การพัฒนาภาครัฐเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม มีการเชื่อมโยงและบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ เสมือนเป็นองค์กรเดียวกัน มีการบริการที่ทันสมัย ไม่จำกัดด้วยเวลา สถานที่และภาษา และเป็นภาครัฐที่เปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็ม รูปแบบ ตลอดจนสามารถดูแลบำรุงรักษาระบบให้มีความมั่นคงปลอดภัย มีเสถียรภาพ และอยู่ในสภาพพร้อม ใช้งานอย่างต่อเนื่อง สำหรับทักษะงานด้านเอกชน ตัวอย่างเช่น คำว่า FinTech ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีเข้ามาสู่ระบบการเงิน เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการทางการเงิน ผู้คนเรียนรู้ที่จะทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยใช้ Application ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ความจำเป็นของการมีสาขาของธนาคารต่าง ๆ จึงหมดความจำเป็น ลักษณะงานของเจ้าหน้าที่ธนาคารที่เคยทำธุรกรรมให้กับลูกค้าก็สามารถทดแทนได้ด้วยระบบอัตโนมัติ สาขาของธนาคารจึงต้องปิดตัวลง ส่งผลให้งานของเจ้าหน้าที่ธนาคารในรูปแบบการให้บริการทำธุรกรรมเดิม ๆ ตกสมัยไป ลักษณะงานของเจ้าหน้าที่ธนาคารก็ต้องเปลี่ยนไป เจ้าหน้าที่ต้องเรียนรู้ที่จะทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่ลูกค้าแทนการทำธุรกรรมทั่วไป นอกจาก FinTech ยังมีคำว่า InsurTech เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจประกันภัย Internet of Things (IOTs) การใช้ Artificial Intelligence (AI) Machine Learning การใช้เทคโนโลยี Telemtatics ที่มีบทบาทในการอำนวยความสะดวกด้านการคำนวณความเสี่ยงให้กับผู้เอาประกันภัย การประกันภัยแบบเปิดปิด การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ฯลฯ ล้วนส่งผลให้ลักษณะงานของเจ้าหน้าที่ด้านประกันภัยเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีที่จะทดแทนลักษณะงานเชิงธุรกรรมเหล่านี้ล้วนส่งผลต่องานของภาคราชการด้วยเช่นกัน</p> <p> มิติด้านเทคโนโลยีข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริบทการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่องานภาคราชการ ข้าราชการในบริบทของการเป็นรัฐบาลดิจิทัลภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ต้องเปิดกว้าง โปร่งใส มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน เน้นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิเคราะห์ให้เห็นถึงภาพอนาคตงานและทักษะของภาคราชการ และนำเสนอแนวทางที่จะไปสู่ภาพใหม่ดังกล่าว เพื่อให้ส่วนราชการยังคงมีกำลังคนที่เหมาะสม และมีความรู้ ความสามารถ ในการทำหน้าที่ตามบทบาทภารกิจ ซึ่งสำคัญต่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศ</p> อลินี ธนะวัฒน์สัจจะเสรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ratthapirak/article/view/280092 Tue, 24 Jun 2025 00:00:00 +0700