วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru <p>วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย (LRUJ) เป็นวารสารระดับชาติที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพในลักษณะของบทความวิชาการ (Academic article) บทความวิทยานิพนธ์ (Thesis article) และบทความวิจัย (Research article) ของนักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา ในด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และสาขาอื่นๆ ในด้านสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยครอบคลุมสาขามานุษยวิทยา นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจและการจัดการ ประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา ภาษาศาสตร์ พัฒนาสังคม พัฒนาชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้บทความที่ลงตีพิมพ์และเผยแพร่จะต้องผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการ (Peer Review) ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอก มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย อย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน โดยผู้พิจารณาไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา (Double-blind peer review)</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong><strong> </strong>ปีละ 4 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มีนาคม, ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน - มิถุนายน, ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม - กันยายน และ ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม - ธันวาคม</p> en-US <p>ข้อความที่ปรากฎในวารสารฉบับนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนแต่ละท่าน สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย และกองบรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยและไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ</p> <p>สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ขอให้ผู้อ่านอ้างอิงในกรณีที่ท่านคัดลอกเนื้อหาบทความในวารสารฉบับนี้</p> research_lru@hotmail.com (ผศ.ดร.เนตรนภา พงเพ็ชร) research_lru@hotmail.com (กองบรรณาธิการวารสาร) Mon, 29 Sep 2025 10:25:13 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการจัดการสวัสดิการของกลุ่มแรงงานผู้พิการเพื่อส่งเสริมสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียม กรณีศึกษาธุรกิจโรงแรมเครือข่ายนานาชาติ เขตกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/276572 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่อกลุ่มแรงงานผู้พิการในธุรกิจโรงแรมเครือข่ายนานาชาติ 2) ศึกษารูปแบบการจัดการสวัสดิการในกลุ่มแรงงานผู้พิการในธุรกิจโรงแรมเครือข่ายนานาชาติ เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิทยาแบบกรณีศึกษาเฉพาะ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 12 คน ที่เป็นกลุ่มผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จากโรงแรมเครือข่ายนานาชาติ เขตกรุงเทพมหานคร จาก 12 โรงแรมเครือข่ายนานาชาติ ในเขตกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า 1) สุขภาพและสมรรถภาพทางร่างกายที่เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มผู้พิการที่ไม่สามารถสนทนาและต้องใช้ภาษามือ การฝึกอบรมยังคงขาดการกำหนดรูปแบบเฉพาะกลุ่มผู้พิการ และในบางโรงแรมยังขาดการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกลุ่มผู้พิการ 2) รูปแบบการจัดการสวัสดิการในกลุ่มแรงงานผู้พิการมุ่งเน้นความเท่าเทียมกับกลุ่มพนักงานทั่วไปในโรงแรม และมีการฝึกอบรมการพัฒนาผู้พิการในโรงแรมเครือข่ายและป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน</p> ระชานนท์ ทวีผล, พรหมมาตร จินดาโชติ, สไบทิพย์ มงคลนิมิตร์, ศรายุทธ มณีรัตน์, ชิษณุ เอี่ยมสะอาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/276572 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความผูกพันในงานกับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของพนักงานส่วนท้องถิ่น อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/275035 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความผูกพันในงาน 2) ประสิทธิผลการปฏิบัติงาน และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความผูกพันในงานกับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของพนักงานส่วนท้องถิ่น อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณแบบภาคตัดขวาง ใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากพนักงานส่วนท้องถิ่น จำนวน 220 คน จากวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า ความผูกพันในงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.08) โดยด้านความทุ่มเทในการทำงานมีระดับสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.22) รองลงมาคือความขยันขันแข็ง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.04) และความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับงาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 3.99) ประสิทธิผลการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.38) โดยด้านสมรรถนะการปฏิบัติงาน มีระดับสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.26) รองลงมาคือด้านผลสัมฤทธิ์ของงาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.08) ความผูกพันในงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิผลการปฏิบัติงานในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 (r = 0.63) บ่งชี้ว่าความผูกพันในงานเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงาน โดยความทุ่มเทในการทำงานมีความสัมพันธ์แข็งแกร่งที่สุด ผลการศึกษาสอดคล้องกับงานวิจัยสากลที่ชี้ว่า พนักงานที่มีความผูกพันสูงจะแสดงประสิทธิผลการปฏิบัติงานที่ดีกว่า ดังนั้นผู้บริหารควรส่งเสริมความผูกพันในงาน โดยเฉพาะความทุ่มเทในการทำงาน การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความขยันขันแข็ง และการส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับงาน</p> อนันต์ บุญสนอง, ประคอง สุคนธจิตต์, วิเชียร จันทะเนตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/275035 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/277926 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม และเพื่อเปรียบเทียบการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม จำนวน 378 คน คำนวณจากสูตรของ Yamane ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 เก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน 2567 และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยการทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการของ Least Significant Difference (LSD) ผลการวิจับพบว่า 1) ระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.31) เมื่อจำแนกรายด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย พบว่า ด้านแบบแผนทางความคิด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.42) ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.40) ด้านการคิดอย่างเป็นระบบ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.31) ด้านการเป็นบุคคลที่รอบรู้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.26) ด้านการเรียนรู้เป็นทีม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.17) ตามลำดับ 2) การเปรียบเทียบการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม พบว่า บุคลากรที่มี เพศ ระดับการศึกษา อายุงาน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนมโดยรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนบุคลากรที่มีอายุต่างกัน มีการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนมโดยรวม แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ยุทธพงษ์ จักรคม, ณัฐภรณ์ ฮามคำฮัก, วิภาวี ศรีวงษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/277926 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค: กรณีศึกษากลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279811 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ของการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภค ศึกษาระดับความสำคัญของการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภค และวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภค งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่างคือผู้บริโภคจำนวน 400 ราย ที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ ได้จากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสถิติสำเร็จรูป โดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณแบบ Stepwise ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา การส่งเสริมการตลาด และการรักษาความเป็นส่วนตัว มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่ โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนของการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ร้อยละ 78.20 ผลการวิจัยนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการพัฒนากลยุทธ์การตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันและตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดสินค้าทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> วัชรนันท์ ทองมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279811 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ Netflix ของผู้บริโภค ในจังหวัดนครราชสีมา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279769 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นปัจจัยส่วนประสมการตลาดและการตัดสินใจเลือกใช้บริการ Netflix ของผู้บริโภค ในจังหวัดนครราชสีมา 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ Netflix ของผู้บริโภค ในจังหวัดนครราชสีมา และ 3) ศึกษาอิทธิพลปัจจัยส่วนประสมการตลาดต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ Netflix ของผู้บริโภค ในจังหวัดนครราชสีมา เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่เป็นสมาชิก Netflix ที่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 400 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงกับสมาชิก Netflix ในจังหวัดนครราชสีมา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธี Enter ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยส่วนประสมการตลาด ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด บุคคลหรือพนักงาน กายภาพและการนำเสนอ กระบวนการ และการตัดสินใจเลือกใช้บริการ Netflix ของผู้บริโภค ในจังหวัดนครราชสีมา อยู่ในระดับมาก ส่วนประสมการตลาด ได้แก่ ด้านราคา ด้านกระบวนการ และด้านผลิตภัณฑ์ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ Netflix ของผู้บริโภค ในจังหวัดนครราชสีมา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยปัจจัยดังกล่าวร่วมกันทำนายการตัดสินใจเลือกใช้บริการ Netflix ของผู้บริโภค ในจังหวัดนครราชสีมา ได้ร้อยละ 57</p> อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279769 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 แบบจำลองเส้นทางของผู้บริโภคผักปลอดสารพิษ และลำไยของกลุ่มเกษตรบ้านป่าเก็ตถี่ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ในมุมมองของเกษตรกร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279453 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและจัดทำแบบจำลองเส้นทางทางผู้บริโภคผักปลอดสารพิษ และลำไยของกลุ่มเกษตรบ้านป่าเก็ตถี่ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ในมุมมองของเกษตรกร เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ กลุ่มเกษตรกร ชุมชนบ้านเก็ตถี่ จำนวน 20 คน ที่เป็นกลุ่มเกษตร ซึ่งอาศัยออยู่ในหมู่บ้านเก็ตถี่ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ การเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยมีการตั้งคำถามในกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า เส้นทางผู้บริโภค ทั้ง 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การรับรู้ ลูกค้าเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าผ่านร้านค้าท้องถิ่น เฟสบุ๊ค และการบอกปากต่อปาก 2) การพิจารณา มีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากการอ่านรีวิว หรือสอบถามจากเพื่อน 3) การซื้อ เป็นการซื้อผ่านช่องทางที่สะดวก ทั้งหน้าร้านค้าหรือสวนผักและลำไย ชำระเงินโดยการโอนเงินหรือสแกนคิวอาร์โค๊ด 4) การใช้ซ้ำ ลูกค้ามีการกลับมาซื้อซ้ำหากพบสินค้าที่มีคุณภาพดีและราคาคุ้มค่า ซึ่งมีการสั่งซื้อซ้ำผ่านเฟสบุ๊ค พร้อมบริการส่งถึงบ้าน 5) การบอกต่อ ลูกค้าที่พึงพอใจมักจะแบ่งปันประสบการณ์โดยการถ่ายรูปลง โพสต์เฟสบุ๊ค ไลน์ ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์อย่างยั่งยืน</p> วีระพันธ์ อะนันชัยธวัช, นุชจรี ทียะบุญ, ธัญญารัตน์ ลิ้นฤาษี, สันต์ฤทัย เจนสมบูรณ์, ทิพย์วรรณ์ ทนันไชย, รวิปรียา จิระนันทราพร, วลัย ชัยมูล, แสงหล้า สุยะราช, วรวลัญช์ ปัญสุวรรณ, สมศักดิ์ สุต๋า, วาสนา โยทัยเที่ยง, วนิดา ปวนยา, จิรัฐกานดา จันที ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279453 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การปรับตัวที่ส่งผลต่อการอยู่รอดในภาวะวิกฤตโควิด-19 ของผู้ประกอบการชุมชนท่องเที่ยวหัตถกรรมบ้านถวาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279473 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินระดับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากภาวะวิกฤตโควิด-19 2) ศึกษาระดับ<br />กลยุทธ์การปรับตัวและระดับการอยู่รอด และ 3) วิเคราะห์กลยุทธ์การปรับตัวส่งผลต่อการอยู่รอดในภาวะวิกฤตโควิด-19 ของผู้ประกอบการชุมชนท่องเที่ยวหัตถกรรมบ้านถวาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการจำนวน 220 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบหลายขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านรายได้ครัวเรือนที่ลดลงอย่างเด่นชัด สภาพทางการเงินไม่มั่นคง ความเป็นอยู่ของครัวเรือนแย่ลง และไม่สามารถการประกอบอาชีพได้ตามปกติ 2) การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ด้านการสร้างเครือข่ายธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ การปรับกลยุทธ์การตลาดผ่านสื่อดิจิทัล การออกแบบประสบการณ์การท่องเที่ยว และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยสนับสนุนความอยู่รอด ได้แก่ ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าในภาพลักษณ์ร้านรวมทั้งสินค้าและบริการ การมีฐานลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น การเพิ่มยอดขายและกำไรจากการขายสินค้า การขยายขนาดกิจการหรือมีสาขาเพิ่มขึ้น และการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ภาพรวมอยู่ในระดับมาก <br />4) ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อการอยู่รอดของผู้ประกอบการ พบว่า กลยุทธ์ด้านการใช้เทคโนโลยีและการบริหารต้นทุนส่งผลต่อการอยู่รอดของผู้ประกอบการชุมชนท่องเที่ยวหัตถกรรมบ้านถวาย</p> สุธีรา สิทธิกุล, วินิตรา ลีละพัฒนา, วีระพล ทองมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279473 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การจัดการห่วงโซ่คุณค่าและต้นทุนโลจิสติกส์ด้วยการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ในเขตพื้นที่จังหวัดเลย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279033 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดการห่วงโซ่คุณค่า การจัดการต้นทุนด้านโลจิสติกส์และประสิทธิภาพการดำเนินงาน 2) เพื่อสร้างโมเดลสมการโครงสร้างของรูปแบบการจัดการห่วงโซ่คุณค่าและการจัดการต้นทุนโลจิสติกส์ด้วยการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ในเขตพื้นที่จังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดเลย จำนวน 380 ราย ใช้การสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น 14 อำเภอ และในแต่ละอำเภอใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการตรวจสอบความกลมกลืนของตัวแบบด้วยสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า หลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดการห่วงโซ่คุณค่าและการจัดการต้นทุนโลจิสติกส์มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน โมเดลสมการโครงสร้างสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-Square= 86.264, df= 69, Relative Chi-square= 1.250, p-value= .078, GFI= 0.974, AGFI= 0.955, RMSEA= .024, RMR= .020) เกษตรกรเน้นการลงทุนตามความสามารถของตนเอง โดยไม่เกินตัว ใช้ทรัพยากรในชุมชนอย่างคุ้มค่า รวมถึงมีหลักคุณธรรมและดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือกับซัพพลายเออร์เพื่อปรับปรุงคุณภาพและลดต้นทุน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และสร้างเครือข่ายเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม การเพิ่มผลผลิต การลดต้นทุน และขยายช่องทางการตลาดใหม่ๆ ผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ควบคู่กับการจัดการห่วงโซ่คุณค่าและต้นทุนโลจิสติกส์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างความยั่งยืน</p> รดาศา เนตรแสงสี, พลกร วงศ์ลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279033 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การยอมรับและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของนวัตกรรมถ่านชีวภาพดัดแปลง สำหรับชุมชนเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/278351 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ถ่ายทอดนวัตกรรมต้นแบบถ่านชีวภาพดัดแปลง 2) ศึกษาการยอมรับนวัตกรรมต้นแบบถ่านชีวภาพดัดแปลง และ 3) วิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของนวัตกรรมต้นแบบถ่านชีวภาพดัดแปลงของ โดยใช้พื้นที่หมู่บ้านเกษตรพัฒนา ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ และหมู่บ้านห้วยม่วงใหม่พัฒนา ตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน งานวิจัยนี้เป็นรูปแบบงานวิจัยและพัฒนา โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างเกษตรกรแบบเจาะจงที่มีพื้นที่ปลูกผักในครัวเรือน จำนวน 60 คน ใช้แบบประเมินความรู้และแบบบันทึกเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติอนุมาน ได้แก่ Paired t-test และการวิเคราะห์ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ ได้แก่ ค่า NPV IRR BCR และระยะเวลาคืนทุน ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการถ่ายทอดนวัตกรรมต้นแบบถ่านชีวภาพดัดแปลงโดยการทดสอบความรู้ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมผลการทดสอบก่อนและหลังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติที่ระดับ.01 เกษตรกรอาสาสมัครมีความคิดเห็นต่อการยอมรับนวัตกรรมฯ อยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านประโยชน์ของนวัตกรรมถ่านชีวภาพที่ช่วยทำให้การจัดการเศษไม้เหลือทิ้งในชุมชนให้เกิดประโยชน์ และความปลอดภัยในการบริโภคผลผลิตทางการเกษตร ด้านกระบวนการผลิตทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการเตรียมเศษไม้ การดูแลรักษาพืชที่ปลูก และด้านการรับรู้ มีความเข้าใจหลังการให้ความรู้ของวิทยากร และพบปัญหาด้านการใช้เครื่องมือช่วยในการจัดการให้เกิดถ่านชีวภาพที่ยังขาดแคลนทำให้ต้องใช้แรงงานคน ที่อาจจะส่งผลต่อระยะเวลาและต้นทุนผลิต การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ พบว่า การใช้ถ่านชีวภาพดัดแปลงช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ร้อยละ 45.03 มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 955.86 บาท อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) เท่ากับร้อยละ 18.29 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (BCR) เท่ากับ 1.05 และระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ย (PB) เท่ากับ 4.26 ปี ควรส่งเสริมให้เกษตรกรได้นำเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรนำไปดัดแปลงในรูปถ่านชีวภาพเพื่อใช้ในภาคการเกษตรเพื่อความปลอดภัยผลผลิตทางการเกษตร ช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรและลดปัญหาฝุ่นควันขนาดเล็กจากการเผาในเขตภาคเหนือตอนบน</p> รัชชานนท์ สมบูรณ์ชัย, ผานิตย์ นาขยัน, ปรมินทร์ นาระทะ, พัชรินทร์ สุภาพันธ์, มุจลินทร์ ผลจันทร์, เนตราพร ด้วงสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/278351 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวคิดใหม่ในการบริหารจัดการความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จากกรอบดั้งเดิมสู่ความยั่งยืนและนวัตกรรม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/273521 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ผลกระทบของการมุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจรับเหมาก่อสร้างต่อความเชื่อมั่นและความเข้าใจของผู้บริโภค และ 2) วิเคราะห์บทบาทของความรับผิดชอบต่อสังคมที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความยั่งยืนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในระยะยาว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก ทั้งทางสมาร์ตโฟนและการสนทนากลุ่มผ่านแอปพลิเคชันไลน์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้บริหารในบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีนโยบายด้านความยั่งยืน จำนวน 3 ท่าน 2) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ชุมชน พนักงาน และผู้รับเหมารายย่อย จำนวน 7 ท่าน และ 3) นักวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านความยั่งยืน จำนวน 10 ท่าน รวมทั้งหมด 20 ท่าน โดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การมุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมช่วยเสริมสร้างความเชื่อถือของผู้บริโภคและสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร โดยกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ 2) ความรับผิดชอบต่อสังคมส่งเสริมประสิทธิภาพองค์กรผ่านการสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าทางธุรกิจ รวมถึงการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์และเป้าหมายระยะยาว องค์กรที่ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง</p> ฉัฐวัฒน์ ชัชณฐาภัฏฐ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/273521 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 แรงงาน การเคลื่อนย้ายแรงงาน และการปรับค่าจ้าง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/277601 <p>บทความนี้มุ่งนำเสนอภาพรวมของทรัพยากรแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเน้นการอธิบายลักษณะเฉพาะของตลาดแรงงาน บทความเริ่มต้นด้วยการเจาะลึกแนวคิดพื้นฐานของ อุปสงค์แรงงาน (ความต้องการแรงงานจากผู้ประกอบการ) และอุปทานแรงงาน (การเสนอตัวของแรงงานในตลาด) จากนั้นจึงวิเคราะห์การปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพในตลาดแรงงาน อันเป็นจุดที่อุปสงค์และอุปทานพบกัน ซึ่งส่งผลต่อระดับการจ้างงานและอัตราค่าจ้างในระบบเศรษฐกิจ นอกจากการวิเคราะห์กลไกพื้นฐานของตลาดแล้วผู้เขียนยังได้อรรถาธิบายถึงแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ได้แก่ การเคลื่อนย้ายแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการย้ายถิ่นฐานหรือการเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งสะท้อนถึงพลวัตของตลาด รวมถึงการพิจารณาการปรับค่าจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ตลาดแรงงานปรับสมดุลและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในตลาดแรงงานถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สำหรับการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการวางแผนและกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้ตลาดแรงงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เอื้อต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการกระจายทรัพยากรมนุษย์อย่างเหมาะสม</p> นิกร น้อยพรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/277601 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความสามารถทางนวัตกรรมที่มีผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันและผลการดำเนินงาน โดยมีการมุ่งเน้นการเป็นผู้ประกอบการเป็นตัวแปรกำกับของวิสาหกิจรายย่อยภาคการค้า ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279832 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความได้เปรียบทางการแข่งขันในฐานะตัวแปรคั่นกลางระหว่างความสามารถทางนวัตกรรมและผลการดำเนินงานของวิสาหกิจรายย่อยภาคการค้าในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 1 และ 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของการมุ่งเน้นการเป็นผู้ประกอบการในฐานะตัวแปรกำกับระหว่างความสามารถทางนวัตกรรมและผลการดำเนินงานของวิสาหกิจรายย่อยภาคการค้าในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 1 เป็นวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจรายย่อยภาคการค้าในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 1 จำนวน 600 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา วิเคราะห์โมเดลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ความได้เปรียบทางการแข่งขันเป็นปัจจัยคั่นกลางแบบอนุกรมบางส่วน (Partial mediate effect) ระหว่างความสามารถทางนวัตกรรม และผลการดำเนินงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรความสามารถด้านนวัตกรรม และผลการดำเนินงาน โดยมีการมุ่งเน้นการเป็นผู้ประกอบการเป็นตัวแปรกำกับ พบว่า การมุ่งเน้นการเป็นผู้ประกอบการ เป็นตัวแปรกำกับที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านนวัตกรรมและผลการดำเนินงาน กล่าวคือ หากวิสาหกิจรายย่อยภาคการค้าให้ความสำคัญและมีการปฏิบัติเกี่ยวกับการมุ่งเน้นการเป็นเป็นผู้ประกอบการในระดับที่สูง จะทำให้ความสามารถด้านนวัตกรรมมีอิทธิพลเชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ธนัชพร หาได้, ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ, ประสิทธิชัย นรากรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/279832 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700