https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/issue/feed วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 2023-11-24T13:47:57+07:00 ดร.พุฒิธร จิรายุส [email protected] Open Journal Systems <p>วารสารมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ เป็นวารสารที่เปิดรับบทความวิจัยและบทความวิชาการ ในสาขามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ตลอดจนผู้ที่สนใจจะนำผลงานวิจัยหรือผลงานวิชาการนำมาเผยแพร่ ซึ่งวารสารดังกล่าว ได้ดำเนินการจัดทำมาตั้งแต่ปี 2560 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และได้รับรองจากสภามหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์เรียบร้อยแล้ว โดยรับตีพิมพ์บทความในสาขามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่สาขาวิชารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การจัดการ บริหารธุรกิจ พัฒนาสังคมและการศึกษา</p> <p><strong>กำหนดออกวารสารทุก </strong><strong>2 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ) </strong></p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ของทุกปี</p> <p>ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม ของทุกปี</p> <p><strong> </strong><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ ส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการและนิสิตนักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป ได้มีโอกาสนำผลงานวิชาการและงานวิจัยในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อีกทั้งแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระพุทธศาสนา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การจัดการ บริหารธุรกิจ พัฒนาสังคมและการศึกษา</p> <p><strong>อัตราค่าสมาชิก</strong></p> <p>สามัญรายปี (ปีละ 2 ฉบับ) 500 บาท</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong></p> <p>บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์</p> <p><strong> </strong><strong>รูปแบบการดำเนินการกลั่นกรองบทความ</strong></p> <p><strong> </strong>กองบรรณาธิการได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำวารสาร ตั้งแต่การคัดเลือกบทความโดยกองบรรณาธิการตรวจสอบรูปแบบก่อนนำส่งผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพิจารณากลั่นกรองบทความ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความละ 3 ท่านต่อบทความ และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ และในการประเมินใช้รูปแบบผู้ประเมินไม่ทราบชื่อผู้แต่งและผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/265410 ปัจจัยการทำงานที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของบุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2023-05-12T13:51:17+07:00 มณฑล เหลืองบุศราคัม [email protected] เกวลิน ศีลพิพัฒน์ [email protected] <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับความเครียดของบุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านงานและองค์กรของบุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการด้านงานและองค์กรและความเครียดของบุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 4) เพื่อเปรียบเทียบความเครียดตามปัจจัยส่วนบุคคลของบุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 190 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent Samples t-test One-Way ANOVA และ Pearson’s Correlation Coefficient </p> <p> ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า บุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในเขตกรุงเทพมหานคร มีความเครียดในระดับสูง (ร้อยละ 44.2) และมีระดับปัจจัยด้านงานและองค์กรที่เกิดขึ้นในระดับปานกลาง ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 3.00) นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยที่เกี่ยวกับงานและปัจจัยเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ในองค์กรมีความสัมพันธ์ (r = 0.195), (r = 0.288) กับความเครียดของบุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และพบว่าบุคลากรที่มีอายุแตกต่างกันมีความเครียดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> 2023-07-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/265388 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อขนมไทยของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร 2023-05-10T20:20:56+07:00 สมศักดิ์ อมรชัยนนท์ [email protected] เสาวนีย์ สมันต์ตรีพร [email protected] <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยข้อมูลทั่วไปที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อขนมไทย ของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4P ที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อขนมไทยของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร 3) ศึกษาปัจจัยทางวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อขนมไทยของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร และ 4) ศึกษาปัจจัยทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการลือกซื้อขนมไทย ของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร<strong> </strong>รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการวิจัย ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่กรุงเทพมหานครที่เคยซื้อขนมไทยกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน สุ่มโดยใช้รูปแบบไม่เจาะจง เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยวิเคราะห์ทดสอบค่าไคสแควร์ (Chi Square)<strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า ความแตกต่างปัจจัยด้านระดับการศึกษา และอาชีพส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อขนมไทยของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะการเลือกซื้อขนมไทย ระยะเวลาต่อครั้งที่ซื้อขนมไทย กิจกรรมที่เลือกซื้อขนมไทย และค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่เลือกซื้อขนมไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้โดยรวมปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด วัฒนธรรม และจิตวิทยา อยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.48, 4.49, 4.00) นอกจากนี้ส่วนประสมทางการตลาดยังส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อขนมไทยตามความถี่การเลือกซื้อขนมไทยในเขตกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ขณะเดียวกันปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม และปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อขนมไทยของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร การศึกษาวิจัยค้นพบว่า ปัจจัยด้านวัฒนธรรม และส่วนประสมการตลาดมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ค้าควรนำส่วนประสมการตลาดที่สร้างความต่างจากรูปแบบเดิมโดยนำวัฒนธรรมมาสร้างเป็นเรื่องราวของขนมหวาน เพื่อสร้างแรงดึงดูดและสร้างความประทับใจผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นกระแสที่ตอบรับที่ดีในปัจจุบันตามพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค</p> 2023-07-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/265598 แนวทางกฎหมายเพื่อป้องกันปัญหาการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของวิศวกรโยธาผู้ควบคุมงานก่อสร้าง: ข้อพิจารณาจากสัญญาจ้างก่อสร้างของ FIDIC RED BOOK ฉบับปี 2017 2023-05-17T13:54:49+07:00 เนติ ปิ่นมณี [email protected] <p> การวิจัยนี้ศึกษาวิเคราะห์แนวทางกฎหมายเพื่อป้องกันปัญหาการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของวิศวกรโยธาผู้ควบคุมงานก่อสร้าง โดยใช้ข้อพิจารณาจากสัญญาจ้างก่อสร้างของ FIDIC Red Book 2017 (Vidhya Sumra, 2022) ประกอบกับแนวคิดที่สำคัญคือ หลักพื้นฐานของบริการสาธารณะ การมอบหมายบริการสาธารณะด้านการควบคุมการก่อสร้างให้องค์กรวิชาชีพด้านวิศวกรรมจัดทำแทนรัฐภายใต้หลักความได้สัดส่วน นิติกรรมทางปกครองซึ่งรัฐมอบให้แก่องค์กรวิชาชีพด้านวิศวกรรม รวมถึงการควบคุมการใช้นิติกรรมทางปกครองขององค์กรวิชาชีพด้านวิศวกรรมโดยวิธีการอุทธรณ์ภายในองค์กรวิชาชีพดังกล่าว และการควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของนิติกรรมทางปกครองโดยศาลปกครอง จากการศึกษาพบว่าปัญหาการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของวิศวกรโยธา ผู้ควบคุมงานก่อสร้างตามนัยข้อบังคับสภาวิศวกรว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมและการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ พ.ศ. 2559 เกิดจากสาเหตุที่สำคัญ สามประการ ได้แก่ 1) ความไม่เหมาะสมของการแต่งตั้งวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขาวิศวกรรมโยธาของผู้ว่าจ้างเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง 2) การแต่งตั้งวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสาขาวิศวกรรมโยธาของผู้ว่าจ้างที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเกินความสามารถในการประกอบวิชาชีพ 3) แนวทางที่ไม่ชัดเจนในการดำเนินงานสำหรับผู้ควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขาวิศวกรรมโยธาให้มีความถูกต้องตามหลักปฏิบัติและวิชาการ ทั้งนี้สามารถกำหนดแนวทางกฎหมายเพื่อป้องกันปัญหาการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของวิศวกรโยธาผู้ควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าว โดยสภาวิศวกรซึ่งมีฐานะ เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมของประเทศไทย และมีหน้าที่ควบคุมความประพฤติ และการดำเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ให้มีความถูกต้องตามมาตรฐานและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมตามนัยมาตรา 7 (7) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 ควรดำเนินการประสานไปยังกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับวิศวกรโยธาผู้ควบคุมงานก่อสร้างให้มีความสมบูรณ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางกฎหมายสำหรับป้องกันปัญหาการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมดังกล่าว ได้แก่ 1) การกำหนดแนวทางกฎหมายว่า กรณีการปฏิบัติงานควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งต้องดำเนินการก่อสร้างตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรม ผู้ควบคุมงานจะต้องเป็นบุคลากรสังกัดฝ่ายผู้ดำเนินการก่อสร้าง หรือผู้รับจ้างช่วง ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม 2) กำหนดแนวทางกฎหมายว่าผู้ควบคุมงานควรมีคุณวุฒิตามที่ผู้ออกแบบเสนอแนะ และโดยปกติจะต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ อย่างไรก็ดี ในกรณีที่งานก่อสร้างต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรม ผู้ควบคุมงานที่ได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐจะต้องเป็นวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมที่มีระดับของใบอนุญาตสอดคล้องกับลักษณะประเภท และขนาดของงานก่อสร้างนั้นด้วย 3) กำหนดแนวทางกฎหมายว่า ในกรณีที่งานก่อสร้างมีการเปลี่ยนแปลงงาน (Variations) วิศวกรโยธา ผู้ควบคุมงานก่อสร้างมีหน้าที่ดำเนินงานที่สำคัญ สามประการ คือ (1) หน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้อง ของแบบรูปรายการละเอียด (Drawing) และข้อกำหนดในสัญญาตามที่ผู้รับจ้างได้จัดทำขึ้น เพื่อใช้เป็นหลักในการปฏิบัติงานก่อสร้าง (2) หน้าที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงราคางานก่อสร้างที่อาจเป็นงานเพิ่มหรืองานลด โดยคำนวณร่วมกับดัชนีของการก่อสร้างที่กำหนดไว้ในสัญญา เช่น Factor F เป็นต้น (3) หน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดเวลาแล้วเสร็จของงานตามสัญญา ซึ่งคำนวณตามระยะเวลาของงานก่อสร้างลอยตัว (Float Activity) และระยะเวลาของงานวิกฤติ (Critical Activity) ของงานก่อสร้างที่มีการเปลี่ยนแปลงงาน</p> 2023-07-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/266139 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 2023-06-19T11:39:32+07:00 กุลิสรา กอปรเมธากุล [email protected] ภิรดา ชัยรัตน์ [email protected] <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และเพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ คือ บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 137 คน โดยใช้สูตรของเครจซี่และมอร์แกน และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนมีแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.23) ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนที่มีปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ และประเภทบุคลากร ที่ต่างกัน มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกัน ส่วนบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนที่มีอายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้ และระยะเวลาในการทำงานที่ต่างกัน มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้บริหารควรมีแนวทางในการกระตุ้นและเสริมสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรอย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคลากรมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่อยู่เสมอ</p> 2023-07-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/266198 อิทัปปัจจยตาเชิงบูรณาการ: การเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลัน 2023-06-29T09:39:01+07:00 เยาวลักษณ์ กุลพานิช [email protected] พระศรีวินยาภรณ์, ดร [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลัน 2) เพื่อศึกษาหลักอิทัปปัจจยตาในฐานะเป็นการเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลัน 3) เพื่อบูรณาการการเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลันด้วยหลักอิทัปปัจจยตา 4) เพื่อนำเสนอแนวทางสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบบูรณาการการเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลันด้วยหลักอิทัปปัจจยตา” งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิด้านที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลันสามารถสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลันได้ แต่จะยังไม่สมบูรณ์และยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ หากไม่ได้นำหลัก อิทัปปัจจยตามาใช้ร่วมในการเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลันด้วย เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ คือ หลักอิทัปปัจจยตาในฐานะที่เป็นแนวความคิดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล หลักแห่งความสมดุลที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันตามธรรมชาติ และวิธีปฏิบัติเพื่อพัฒนาชีวิตซึ่งเป็นวงจรอิทัปปัจจยตาเชิงบวก คือ มัชฌิมาปฏิปทา หรือไตรสิกขา ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง และวิธีปรับตัวให้อยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงในทุกยุคสมัยได้อย่างมีดุลยภาพ โดยสามารถบูรณาการสร้างรูปแบบการเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลันทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านความตื่นรู้ทางปัญญา ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น องค์ความรู้ในการเสริมสร้างดุลยภาพชีวิตในยุคการปรับเปลี่ยนฉับพลันด้วยหลักอิทัปปัจจยตานี้เรียกว่า Equilibration Sphere Model อันประกอบด้วยหลักพลังใจเข้มแข็ง พลังกายแข็งแรง พลังร่วมสามัคคี และพลังปัญญาสร้างสรรค์ (VSHC)</p> 2023-08-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/266182 ความตั้งใจในการใช้ธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศในระดับอุดมศึกษา 2023-06-24T16:02:14+07:00 ปภาอร พุ่มทรัพย์ [email protected] สุพิชา บูรณะวิทยาภรณ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาความตั้งใจในการใช้ธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ (2) เพื่อศึกษาการรับรู้เกี่ยวกับการศึกษาต่อต่างประเทศ และธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ (เอเจนซี่) และ (3) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดใหม่ที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการใช้ธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ (เอเจนซี่) ในระดับอุดมศึกษา โดยกลุ่มตัวอย่างที่เลือกใช้ คือ กลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งในระบบโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชนและกลุ่มนักเรียนนอกระบบ จำนวน 200 คน โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามออนไลน์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ความถี่ (จำนวน) ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการวิเคราะห์ t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว F-test (One-way ANOVA) และผลการวิเคราะห์ของสมการถดถอยเชิงพหุ จากผลวิจัยพบว่า ปัจจัยประชากรศาสตร์ ด้านรายได้ครอบครัวต่อเดือน และวัตถุประสงค์หลักในการไปศึกษาต่อต่างประเทศที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อระดับความตั้งใจในการใช้บริการธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ (เอเจนซี่) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.001 การรับรู้เกี่ยวกับการศึกษาต่อต่างประเทศและธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ(เอเจนซี่) ส่งผลต่อความตั้งใจในการใช้บริการธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ (เอเจนซี่) ในระดับอุดมศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4E พบว่า การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ง่าย และสะดวกสบาย และการทำให้ผู้บริโภคกลายมาเป็นลูกค้าที่ภักดีกับตราสินค้าและรู้สึกอยากบอกต่อ มีผลต่อความตั้งใจในการใช้ธุรกิจบริการเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ (เอเจนซี่) ในระดับอุดมศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> 2023-08-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/266346 อิทธิพลของการตลาดดิจิทัลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านกาแฟชาวดอยในกรุงเทพมหานคร 2023-07-24T01:11:51+07:00 รภัสศา นนทวงษ์ [email protected] สุพิชา บูรณะวิทยาภรณ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านกาแฟชาวดอยในกรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยทางการตลาดดิจิทัล ที่มีต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านกาแฟชาวดอยในกรุงเทพมหานคร การศึกษานี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากผู้ใช้บริการร้านกาแฟชาวดอยในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยประชากรศาสตร์ ด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การตัดสินใจใช้บริการร้านกาแฟชาวดอยในกรุงเทพมหานครแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิเคราะห์ปัจจัยการตลาดดิจิทัล พบว่า ด้านเว็บไซต์ และด้านการตลาดเชิงเนื้อหา ส่งผลในทางบวกต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านกาแฟชาวดอย ในกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 </p> 2023-08-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/266113 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 2023-07-19T17:16:04+07:00 แพรไพลิน โคตรพรม [email protected] เกวลิน ศีลพิพัฒน์ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับแรงจูงใจ 2. เปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน<br />ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 177 คน <br />โดยใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p> ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานกับปัจจัยส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านนโยบายและการบริหารงาน (= 4.86) ด้านความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน (= 4.75) และด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ (= 4.72) จากผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีปัจจัยส่วนบุคคล<br />ที่แตกต่างกัน มีระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ผลจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้สามารถนำไปปรับใช้หรือเป็นข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการหรือวางแผนการพัฒนาองค์กร เพื่อปรับปรุงและเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น</p> 2023-09-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/266132 การใช้เทคนิคของ อูทา ฮาเก็น และ รูดอล์ฟ ฟอน ลาบานในการพัฒนาทักษะการแสดงละครสุขนาฎกรรม : กรณีศึกษาตัวละครผู้หญิงในเรื่อง ลาฟฟิ่ง ไวลด์ ของ คริสโตเฟอร์ ดูแรงต์(1987) 2023-06-20T09:08:57+07:00 ชญาณี วรพงศ์พินิจ [email protected] <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและสังเคราะห์เทคนิคของ อูทา ฮาเก็น และ รูดอล์ฟ ฟอน ลาบาน เพื่อนำมาใช้พัฒนาทักษะการแสดงละครสุขนาฏกรรมผ่านตัวละครผู้หญิง ในบทละครเรื่อง ลาฟฟิ่ง ไวลด์ (Laughing Wild) เนื่องจากผู้วิจัยยังมีประสบการณ์ด้านการแสดงละครสุขนาฏกรรมไม่มาก ทำให้ประสบปัญหาในการแสดง 2 ประการ คือ 1) มีความเชื่อในแบบตัวละครที่ไม่มากพอ และ 2) มักใช้ร่างกายในรูปแบบเดิม ทำให้ไม่สามารถสวมบทบาทเป็นตัวละครและถ่ายทอดออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยมีสมมติฐานว่าเมื่อนำเทคนิคการแสดงของอูทา ฮาเก็น และรูดอล์ฟ ฟอน ลาบาน มาใช้ในการแสดงละครสุขนาฏกรรมเรื่อง ลาฟฟิ่ง ไวลด์ ผ่านตัวละครผู้หญิงจะทำให้นักแสดงมีความเชื่อในแบบตัวละครมากพอจนสามารถถ่ายทอดตัวละครผ่านร่างกายและสามารถหาพฤติกรรมของตัวละครได้ ผู้วิจัยทดลองนำ 2 เทคนิคนี้มาใช้ในงานวิจัยแบ่งเป็น 3 กระบวนการ คือ 1) วิเคราะห์บทละครและตัวละคร 2) กระบวนการซ้อม และ 3) นำเสนอผลวิจัยผ่านการจัดแสดง โดยเลือกวิธีเก็บผลวิจัย ดังนี้ จดบันทึกการทำงานของผู้วิจัย บันทึกวิดีโอฝึกซ้อมบางช่วง บันทึกวิดีโอวันแสดงจริงแบบสอบถามผู้ชม การประเมินจากผู้กำกับและผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดง ผลการวิจัยพบว่าเทคนิคของฮาเก็นและลาบานเป็นเทคนิคที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อนักแสดงสามารถผ่อนคลายและปล่อยวางอันเป็นพื้นฐานของนักแสดงได้แล้ว การฝึกฝนเทคนิคของฮาเก็นจะช่วยทำให้นักแสดงมีความเชื่อในแบบตัวละครที่แข็งแรงมากพอจนนำไปสู่ความต้องการของตัวละครได้และการฝึกฝนเทคนิคของลาบานจะช่วยให้นักแสดงสามารถเชื่อมโยงความรู้สึกภายในของตัวละครกับการเคลื่อนไหวร่างกายภายนอกให้เป็นหนึ่งเดียวกันจนสามารถถ่ายทอดพฤติกรรมของตัวละครได้</p> 2023-11-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/268709 The Factors Affecting Knowledge Sharing of University Teachers in Nanning Guangxi Zhuang Autonomous Region, China 2023-11-03T09:52:35+07:00 Yihua Qin [email protected] Phanthida Laophuangsak [email protected] Kingkaew Suwankhiri [email protected] <p>This study aims to 1) study factors affecting the knowledge sharing of university teachers in Nanning, Guangxi Zhuang Autonomous Region, China, and 2) provide guidelines for manage university personnel to achieve the sharing of knowledge. The sample group included 372 university teachers. The research used quantitative research methods, data were analyzed to perform descriptive analysis, correlation analysis, and multiple regression analysis. The results showed that the predictive variables including organizational support, organizational culture, personal attitudes, self-efficacy, interpersonal trust, and use of social media all had a significant effect on the criteria variable knowledge sharing, while the reward system has an non-significant impact on knowledge sharing. This investigation suggests that to achieve knowledge sharing among university teachers, organizations should provide teachers with specific assistance and support. It is crucial to cultivate a positive cultural environment that encourages teachers to share their knowledge enthusiastically, boost their self-efficacy, offer appropriate social media platforms, and promote the open sharing of knowledge and experiences. Furthermore, it provides guidance for the future establishment of comprehensive reward systems to incentivize knowledge sharing of university teachers.</p> 2023-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/269121 ประสิทธิผลการบริหารทรัพยากรบุคคลในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 2023-11-23T13:27:09+07:00 พภัสสรณ์ วรภัทร์ถิระกุล [email protected] <p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบริหารทรัพยากรบุคคลในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 2)เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารทรัพยากรบุคคล และ3)เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก พร้อมทั้งการสนทนากลุ่ม จากกลุ่มข้าราชการระดับสูง กลุ่มข้าราชการระดับกลาง และข้าราชการระดับปฏิบัติงาน โดยรวมทั้งสิ้น 20 คน แล้วนำมาหาข้อสรุปด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและเสนอแนะอ้างอิงทฤษฎีดำเนินการจัดระเบียบข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1)ประสิทธิผลการบริหารทรัพยากรบุคคลในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยบรรลุผลตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในการวางแผนบริหารกำลังคน ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ จากนโยบาย แผนงานโครงการ และมาตรฐานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด 2)ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารทรัพยากรบุคคล มีผลมาจาก 2.1)ปัญหาความขัดแย้ง 2.2)นโยบายที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาบุคลากรอย่างเต็มรูปแบบ 2.3)งบประมาณด้านการพัฒนาบุคลากร 2.4)บุคลากรส่วนใหญ่มีอายุมากในการทำงาน และ2.5)ปัญหาการต่อต้านของบุคลากรจากพฤติกรรม ในการยอมรับองค์ความรู้ใหม่ๆ ของบุคลากร และ3)แนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลในสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยการปรับเปลี่ยนแนวความคิดในเรื่อง “การบริหารจัดการคน” ให้มีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร พร้อมทั้งมีกลไกที่ช่วยกำหนดทิศทางที่อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ แนะนำและให้คำปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ขององค์การและความน่าเชื่อถือ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนที่ยังขาดหรือเป็นจุดอ่อน เพื่อให้องค์การสามารถพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กรทุกด้านให้ได้มาตรฐานต่อไป</p> 2023-12-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/265622 การกำหนดให้ผู้ก่อความเสียหายโดยละเมิดเป็นผู้ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 2023-06-14T15:11:18+07:00 อวยพร โสมล [email protected] สุมาลี วงษ์วิฑิต [email protected] ปัญญา สุทธิบดี [email protected] <p> บทความวิชาการนี้มุ่งวิเคราะห์ปัญหาการกำหนดให้ผู้ก่อความเสียหายโดยละเมิดเป็นผู้ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาการมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นในแผนการบริหารจัดการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เสียหายโดยละเมิด และปัญหาการกำหนดหลักเกณฑ์การหลุดพ้นจากการรับผิด โดยการดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เสียหาย โดยนำความหมายของการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน หลักวัตถุแห่งหนี้ การหลุดพ้นจากความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิเคราะห์ พบว่า ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดยังไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มโอกาสในการชำระหนี้โดยกำหนดให้ผู้ก่อความเสียหายเป็นผู้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติได้อีกทางหนึ่ง และเพื่อเพิ่มสิทธิทางกฎหมายจึงควรกำหนดให้ผู้ก่อความเสียหายเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นในแผนการบริหารจัดการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เสียหายโดยละเมิด นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมจึงควรกำหนดให้ผู้ก่อความเสียหายเป็นอันหลุดพ้นจากการรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยการดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เสียหายให้แก่รัฐแล้ว</p> 2023-07-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/saujournalssh/article/view/266607 การจัดการมูลฝอยติดเชื้อหน้ากากอนามัยใช้แล้วในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 2023-07-04T12:09:51+07:00 วชิรพงศ์ ศรีเจริญวงศ์ [email protected] <p>การวิจัยนี้มุ่งศึกษาแนวคิดการจัดการมูลฝอยติดเชื้อหน้ากากอนามัยใช้แล้ว มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมูลฝอยติดเชื้อ ได้แก่ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 กฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 และกฎกระทรวงการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน พ.ศ. 2563 และการจัดการหน้ากากอนามัยใช้แล้วในต่างประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์&nbsp; เพื่อนำมาวิเคราะห์ปัญหาการจัดการมูลฝอยติดเชื้อหน้ากากอนามัย ตลอดจนเสนอแนวทางในการแก้ไข ปรับปรุงการจัดการมูลฝอยติดเชื้อหน้ากากอนามัยใช้แล้วในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข ผลการวิเคราะห์พบว่าประชาชนไม่สามารถจัดการหน้ากากอนามัยใช้แล้วได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และพระราชบัญญัติการสาธารณสุขมีข้อจำกัดตามนิยามมูลฝอยติดเชื้อ ไม่ได้ให้ความหมายมูลฝอยติดเชื้อหน้ากากอนามัยใช้แล้ว ไม่ได้เพิ่มหน้ากากอนามัยใช้แล้วในประเภทมูลฝอยติดเชื้อ รวมทั้งไม่มีการทิ้ง การคัดแยก การเก็บ ขนส่ง การกำจัดหน้ากากอนามัยใช้แล้ว และไม่มีบทลงโทษผู้ที่ทิ้งหน้ากากอนามัยใช้แล้วในที่สาธารณะ ดังนั้นควรเพิ่มคำนิยาม “มูลฝอยติดเชื้อ” และ “มูลฝอยติดเชื้อประเภทหน้ากากอนามัยใช้แล้ว” เพิ่มหมวด“การทิ้ง การคัดแยก เก็บ ขน และการกำจัดของหน้ากากอนามัยใช้แล้ว” และบทลงโทษของประชาชนและเจ้าของที่ทิ้งหน้ากากอนามัยใช้แล้วตามทางสาธารณะ รวมทั้งควรยกเว้นค่าธรรมเนียมในเก็บและขนหน้ากากอนามัยใช้แล้วเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการคัดแยก นอกจากนี้องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นควรศึกษาแนวทางในการนำหน้ากากอนามัยใช้แล้วมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในชุมชนต่อไป</p> 2023-09-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์