https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/issue/feed
วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
2025-07-01T00:00:00+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถิตย์ กุลสอน
kulsorn@stu.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล ได้ผ่านการรับรองคุณภาพรอบที่ 5 พ.ศ. 2568 – 2572 จัดอยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย TCI 2 กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</strong> ได้จัดทำเป็น 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบตีพิมพ์ และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ISSN 3088-2281 (Print) ISSN 3088-229X (Online) ที่พิมพ์เผยแพร่ บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p>มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์บทความดังกล่าวในกลุ่มสาขาศึกษาศาสตร์ บริหารธุรกิจ การบัญชี การตลาด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยีดิจิทัล นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สหวิทยาการจัดการ การจัดการอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เทคโนโลยีมัลติมีเดียและแอนิเมชัน นิเทศศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นสื่อกลางแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้เกิดแนวคิด เทคนิค วิธีการนำไปพัฒนาทางวิชาการ ตลอดจนเป็นเวทีนำเสนอเผยแพร่ผลงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไปทุกหน่วยงาน โดยมีกำหนดออกราย 6 เดือน หรือ 2 ฉบับต่อปี</p> <p>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-Blind Review)</p> <p><strong>Published Rate (อัตราค่าตีพิมพ์)<br /></strong>1) บทความภาษาไทย ค่าธรรมเนียม แบบปกติ 4,500 บาท<br />2) บทความภาษาอังกฤษ ค่าธรรมเนียม แบบปกติ 5,500 บาท<br /><br />ชำระค่าธรรมเนียมผ่าน ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี อุดรธานี ชื่อบัญชี “<strong>กองทุนวิจัย โดย วิทยาลัยสันตพล</strong>”</p> <p>(ชำระเงินหลังจากผ่านการตรวจสอบบทความเบื้องต้น เพื่อนำส่งผู้ทรงคุณวุฒิอ่านและประเมินบทความ)</p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/277645
ปัจจัยแรงจูงใจที่ส่งผลต่อสมรรถนะด้านดิจิทัลของบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดลำปาง
2024-12-24T13:17:27+07:00
ศศิภา บุญเรือง
may140255@gmail.com
อัศนีย์ ณ น่าน
aussanee@gmail.com
<p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุนที่ส่งผลต่อสมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดลำปางที่เป็นครูผู้สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดลำปาง จำนวนทั้งหมด 375 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ (</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">Multiple Regression Analysis) </span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยจูงใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดโดยเรียงลำดับ ได้แก่ ด้านความสำเร็จของงาน รองลงมา<br />ด้านลักษณะงาน และด้านความก้าวหน้าในตำแหน่ง ระดับปัจจัยค้ำจุนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน รองลงมาด้านนโยบายและการบริหาร และด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ตามลำดับ 2) สมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดลำปางโดยภาพรวมมีระดับความคิดเห็นในระดับมาก ด้านการเข้าใจดิจิทัล รองลงมาด้านการใช้ดิจิทัลและการแก้ไขปัญหาด้วยเครื่องมือดิจิทัล 3) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยจูงใจด้านความก้าวหน้าในตำแหน่ง ปัจจัยค้ำจุนด้านสภาพชีวิตส่วนตัวส่งผลต่อสมรรถนะดิจิทัลของบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดลำปางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยร่วมกันพยากรณ์ร้อยละ 22.60 ตามลำดับ</span></p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278275
การจัดการห่วงโซ่อุปทานกับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการกีฬา
2025-01-21T09:59:15+07:00
นลินีวรรณ ประพันธา
tofkpru@gmail.com
ธนริศย์ ธนัยอุดมพัฒน์
tofkpru@gmail.com
อาทิชา อันอามาตย์
tofkpru@gmail.com
กรรณิกา อินชะนะ
tofkpru@gmail.com
กมลทิพย์ บุญญะสุวรรณ
tofkpru@gmail.com
อิศเรศร์ ไชยะ
tofkpru@gmail.com
ณัฐศิษฐ์ สุวรรรณวัฒน์
tofkpru@gmail.com
วัชรกัญจน์ หอทอง
tofkpru@gmail.com
<p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการกีฬา ผู้วิจัยได้ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและได้ออกแบบเครื่องมือเป็นแบบสอบถาม มีกลุ่มตัวอย่างจากธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการกีฬาของประเทศไทย ที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พ.ศ. 2566 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 215 แห่ง โดยทำการเก็บข้อมูลจากการสุ่มแบบง่าย และวิเคราะห์ผลการทดสอบสมมติฐานด้วยวิธีการทดสอบการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานกับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการกีฬา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (r) มีค่าเท่ากับร้อยละ 49.1 และมีค่า Adjusted R Square เท่ากับร้อยละ 33.1 และเมื่อพิจารณาเป็นรายตัวแปร พบว่า การจัดหาวัตถุดิบมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการกีฬามากที่สุด (β = .21, p < .05) ตามด้วยด้านการขนส่ง (β = .21, p < .05) ด้านการจัดเก็บ (β = .20, p < .05) ด้านการบูรณาการ (β = .19, p < .05) และด้านการผลิต (β = .197, p < .05) โดยมี ตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278362
ชุมชนต้นแบบเมืองแห่งคุณภาพชีวิต กรณีศึกษา เทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี
2025-01-25T00:16:48+07:00
ถวัลย์รัชต์ อะนุ
66611152102@udru.ac.th
เขมณัฐ ภูกองไชย
khem2513@yahoo.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของประชากร ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบการยกระดับคุณภาพชีวิตประชากร ในแต่ละมิติของเทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี การวิจัยนี้เป็นการศึกษาการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากรกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี จำนวน 210 คน เครื่องมือวิจัยใช้แบบสอบถาม สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล <br />คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์ความคิดเห็นของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี <br />จากแบบสอบถามโดยใช้ค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อพิจารณาในภาพรวมคุณภาพชีวิตของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ประเด็นที่อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านวัฒนธรรม ด้านนันทนาการ ด้านการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้านบุคลากร ด้านสาธารณสุข ด้านความปลอดภัย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา ด้านนโยบายการพัฒนาเมือง และด้านการส่งเสริมอาชีพ และปัจจัยที่อยู่ในระดับปานกลางคือ ด้านเศรษฐกิจ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของประชากร พบว่า ปัจจัยที่มีสหสัมพันธ์ที่มีขนาดใหญ่ หรือมีความสัมพันธ์กันสูง คือ ปัจจัยระหว่าง ด้านสิ่งแวดล้อมและการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้านบุคลากรและด้านความปลอดภัย ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการอยู่ร่วมกันในสังคม และด้านสาธารณสุขและการอยู่ร่วมกันในสังคม โดยนำปัจจัยที่มีสหสัมพันธ์ที่มีขนาดใหญ่ หรือมีความสัมพันธ์กันสูง มาวิเคราะห์แนวทางการพัฒนารูปแบบการยกระดับคุณภาพชีวิตประชากร ในแต่ละมิติของเทศบาลตำบลบ้านจั่น จังหวัดอุดรธานี และประเด็นที่ประชากรต้องการให้พัฒนามากที่สุด โดยเรียงลำดับจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด คือ ด้านเศรษฐกิจ รองลงมา คือ ด้านนโยบายการพัฒนาเมือง ด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข ด้านการส่งเสริมอาชีพ ด้านการศึกษา ด้านนันทนาการ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้านวัฒนธรรม และ ด้านบุคลากร ตามลำดับ</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278389
กลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดียในงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัดหนองคาย
2025-01-27T10:13:31+07:00
ภัทราวดี คำสิทธิ์
phattarawadeekamsit301987@gmail.com
เขมณัฐ ภูกองไชย
khem2513@yahoo.com
<p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัดหนองคาย 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์กลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดียในงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัดหนองคาย และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดียในงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัดหนองคาย ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ (</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">Quantitative Research) <span lang="TH">กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประขากรในเขตจังหวัดหนองคายทั้งชาย และหญิงที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 20 - 60 ปี จำนวน 200 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (</span>Percentage) <span lang="TH">ค่าเฉลี่ย (</span>Mean) <span lang="TH">และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (</span>Standard Deviation) </span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">ผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้สื่อโซเชียลมีเดียในงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัดหนองคาย พบว่า มีความคิดเห็นในด้านเครื่องมือและช่องทางการสื่อสาร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านนโยบายงานประชาสัมพันธ์ และด้านการสร้างเครือข่ายในการติดต่อประสานงาน ตามลำดับ 2) ผลการวิเคราะห์กลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดียในงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัดหนองคายประกอบด้วยการมุ่งเน้นการผสมผสานแนวคิดการสื่อสาร กำหนดกรอบแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอข้อมูล สร้างฐานเครือข่ายระหว่างหน่วยงานกับองค์กรอื่นๆ 3) แนวทางการพัฒนากลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดียในงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัดหนองคาย 1) ด้านนโยบายงานประชาสัมพันธ์ จำเป็นต้องมีการพิจารณาคัดเลือกข่าวประชาสัมพันธ์อย่างเหมาะสม พัฒนารูปแบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลของภาครัฐ หรือหน่วยงานภายใต้รัฐบาลได้ 2) ด้านกิจกรรมและวิธีการประชาสัมพันธ์ ข้อมูลต่างๆ จะต้องมีความทันสมัยและทันต่อสถานการณ์ ะถูกต้องแม่นยำ ไม่บิดเบือนข้อมูล 3) ด้านเครื่องมือและช่องทางการสื่อสาร ควรมีการประชาสัมพันธ์ผ่านเฟซบุ๊กหลัก นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ภายในองค์กร เปิดโอกาสให้ประชาชนและกลุ่มเปราะบางมีโอกาสในการทำประชาพิจารณ์แผนดิจิทัลของหน่วยงาน 4) ด้านการสร้างเครือข่ายในการติดต่อประสานงาน ควรมีการสร้างความร่วมมือกับโครงการต่าง ๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชนในการเปิดรับข้อมูลและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ 5) ด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการประชาสัมพันธ์ ควรมีการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เป็นของตนเอง โดยไม่ได้พึ่งพาหน่วยงาน หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ</span></p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278390
แนวทางการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬสู่การเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารอัจฉริยะ
2025-01-27T10:41:03+07:00
สุวิภา ธนะภูมิชัย
2551suvipha@gmail.com
เขมณัฐ ภูกองไชย
khem2513@yahoo.com
<p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของการให้บริการของสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬสู่การเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารอัจฉริยะ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬ สู่การเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารอัจฉริยะ ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มาใช้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬ จำนวน 200 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการให้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬ อาคารมีขนาดใหญ่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ดี ระบายอากาศได้ดี มีป้ายบอกรายละเอียดห้องต่างๆ และเส้นทางเดินรถ ปัญหาของการให้บริการ คือ ขาดการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ 2) ผลการศึกษาการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬสู่การเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารอัจฉริยะ พบว่า ต้องการการพัฒนาด้านบุคลากรสูงที่สุด และ 3) แนวทางการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบึงกาฬสู่การเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารอัจฉริยะ พัฒนาระบบการจองตั๋วและการซื้อตั๋วโดยสารออนไลน์ ติดตั้งระบบการรักษาความปลอดภัย มีศูนย์บริการเพื่อสนับสนุนทางเทคนิค โดยการใช้ระบบดิจิทัล อบรมบุคลากรเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้มีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ</span></p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278414
ผลของกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาจีนโดยใช้การเรียนรู้แบบเน้นภาระงานเสริมด้วยเกมที่มีต่อความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนและความคงทนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2025-01-28T15:48:17+07:00
มลฤดี วงษ์นนท์
kobjang_kro@hotmail.com
ธีรพงศ์ แก้วมณี
kobjang_kro@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อน<br />และหลังเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 3) เพื่อศึกษาความคงทนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังเรียนผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอุดรวิทยา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 2 ห้องเรียนกำหนดให้กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มทดลองจำนวน 45 คนและอีกหนึ่งกลุ่มให้เป็นกลุ่มควบคุมจำนวน 42 คน เครื่องมือในการวิจัยคือ 1) แผนกลุ่มทดลองมีค่า<br />ความเหมาะสมเฉลี่ยที่ 4.91 2) แผนกลุ่มควบคุมมีค่าความเหมาะสมเฉลี่ยที่ 4.94 และ 3) แบบวัดความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนใช้ในการทดสอบก่อนเรียนหลังเรียนและหลังเรียนผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ (มีข้อสอบทั้งหมด 3 ชุด) มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.31 – 0.80 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.24 – 0.82 ขึ้นไปและมีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับอยู่ที่ 0.90 ขึ้นไปทุกฉบับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Dependent Samples t-test และ Independent Samples t-test พบว่า</p> <ol> <li>ความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>ความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนกลุ่มทดลองหลังเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุม</li> <li>กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความคงทนหลังเรียนผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์</li> </ol>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278421
ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาจีนโดยใช้วิธีการสอนแบบสถานการณ์จำลองที่มีต่อความรู้ ด้านคำศัพท์และความสามารถด้านการพูดของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2025-01-29T15:26:35+07:00
อัน เหมิง
mengan.cfc@gmail.com
ธีรพงศ์ แก้วมณี
mengan.cfc@gmail.com
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยใช้วิธีการสอนแบบสถานการณ์จำลองก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาจีนของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยใช้วิธีการสอนแบบสถานการณ์จำลองก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ด้านคำศัพท์และความสามารถด้านการพูดภาษาจีนหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาจีน จำนวน 45 คน ใช้การสุ่มแบบกลุ่มโดยมีหมู่เรียนเป็นหน่วยสุ่ม เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบ one-group pretest-posttest design เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาจีน 24 ชั่วโมง แบบวัดความรู้ด้านคำศัพท์และแบบวัดความสามารถการพูดภาษาจีนของสถาบัน HANBAN สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Dependent Samples T-test และ Pearson Correlation ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>ความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบสถานการณ์จำลองมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>ความสามารถด้านการพูดภาษาจีนของของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบสถานการณ์จำลอง มีคะแนนเฉลี่ย<br />หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>ความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนและความสามารถด้านการพูดภาษาจีนหลังเรียนมีความสัมพันธ์ในระดับสูง</li> </ol>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278579
ปัจจัยการสื่อสารและการบริการที่ส่งผลต่อคุณภาพบริการในเขตเทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
2025-02-04T20:03:41+07:00
ปาริวัฒน์ วิชัยเนตร
pariwatrootbeer@gmail.com
อัศนีย์ ณ น่าน
aussanee@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการสื่อสารและปัจจัยการบริการที่ส่งผลต่อคุณภาพบริการในเขตเทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับประชาชนผู้มาใช้บริการในเขตเทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยการสื่อสารโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยเรียงลำดับ ได้แก่ ด้านบุคลากรที่ให้บริการข้อมูลในงานสื่อสาร ด้านกระบวนการสื่อสาร ด้านวิธีการสื่อสาร และด้านเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร ตามลำดับ ปัจจัยการบริการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยเรียงลำดับ ได้แก่ ด้านงานสวัสดิการและพัฒนาชุมชน ด้านงานทะเบียนราษฎร์ ด้านงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม และด้านงานช่างและโยธา ตามลำดับ คุณภาพบริการโดยรวมอยู่ในระดับมากโดยเรียงลำดับ ได้แก่ ความน่าเชื่อถือในการบริการด้านความมั่นใจของผู้รับบริการ และด้านการเอาใจใส่ผู้รับบริการ ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่าปัจจัยการสื่อสารด้านเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารและด้านกระบวนการสื่อสาร และปัจจัยการบริการทุกด้านส่งผลต่อคุณภาพบริการในเขตเทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยร่วมกันพยากรณ์ร้อยละ 88.10 ตามลำดับ</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278777
แนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดหนองคาย
2025-02-12T11:46:33+07:00
ธนากรณ์ อินทรขีนี
i.thanakorn1203@gmail.com
วรพล คล่องเชิงศร
i.thanakorn1203@gmail.com
ทิพยวรรณ แพงบุปผา
i.thanakorn1203@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการที่พึงประสงค์ของแนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดหนองคาย 2) หาแนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี และ 3) ประเมินแนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการที่พึงประสงค์ของแนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดหนองคาย กลุ่มผู้หมายผู้ให้ข้อมูล จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi interview) วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีวิเคราะห์เอกสาร (Documentary) และ การวิเคราะห์สรุปอุปนัย (Analytic Induction) ระยะที่ 2 แนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษา ด้วยศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในสถานศึกษา จำนวน 2 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 6 คน เครื่องที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และระยะที่ 3 ประเมินแนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษา โดยการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญจำนวน 11 คน เครื่องที่ใช้ คือ แบบประเมินความเป็นไปได้และความเหมาะสม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบัน ความต้องการที่พึงประสงค์ของการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดหนองคาย มีองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ 1) ด้านการจัดหลักสูตรอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี 2) ด้านการเรียนการสอนและการวัดประเมินผล 3) ด้านการฝึกอาชีพ และ 4) ด้านการนิเทศการจัดการเรียนการสอน และมีความต้องการที่พึงประสงค์ต่อแนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>แนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษา มี 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการจัดหลักสูตรอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี มี 22 แนวทาง 2) ด้านการจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผล มี 13 แนวทาง 3) ด้านการจัดการฝึกอาชีพ มี 14 แนวทาง และ 4) ด้านการนิเทศการจัดการเรียนการสอน มี 13 แนวทาง</li> <li>แนวทางพัฒนาการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษา มีความเป็นไปได้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก</li> </ol>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/278807
ช่องว่างของกฎหมาย กรณีการไม่กำหนดระยะเวลาแสวงหาข้อเท็จจริงและดำเนินการ ของผู้ตรวจการแผ่นดิน
2025-02-13T16:49:37+07:00
ยุวรัตน์ ฐิตินิรันดร์กุล
yuwarat@cas.ac.th
กุหลาบ ปุริสาร
yuwarat@cas.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาข้อเท็จจริงและระยะเวลาดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดิน 2) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาที่เกิดจากการไม่กำหนดระยะเวลาในการแสวงหาข้อเท็จจริงและดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดิน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาในการแสวงหาข้อเท็จจริงและการดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยการวิจัยแบบศึกษาเอกสารด้วยวิธีวิเคราะห์บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญและผู้ตรวจการแผ่นดิน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่น พ.ศ. 2560</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กฎหมายกำหนดระยะเวลาแสวงหาข้อเท็จจริงและดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้ 2 กรณีเท่านั้น คือ กรณีการละเมิดเกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และกรณีการละเมิดเกิดจากการกระทำของของรัฐแต่กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาแสวงหาข้อเท็จจริงและดำเนินการ ในกรณีที่ประชาชนหรือชุมชนฟ้องหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 ว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ 2) ปัญหาจากการที่กฎหมายไม่กำหนดระยะเวลาแสวงหาข้อเท็จจริงและดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีที่ประชาชนหรือชุมชนฟ้องหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 ว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ เกิดปัญหาดังนี้ ปัญหาช่องว่างของกฎหมายที่ไม่กำหนดระยะเวลาแสวงหาข้อเท็จจริงและระยะเวลาดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้อย่างชัดเจน, ปัญหาการที่บุคคลไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอย่างเสมอภาคกันตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2 กรณี คือ ความไม่เสมอภาคเนื่องจากไม่ทราบระยะเวลาที่แน่นอน และความไม่เสมอภาคทางสิทธิในการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง, ปัญหาอื่น ๆ เช่น การเข้าถึงความยุติธรรม การขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และกระทบต่อหลักนิติรัฐ 3) ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยควรแก้ไขกฎหมายมาตรา 32 และมาตรา 35 แห่งบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน และแก้ไขมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/279137
ผลของการฝึกโดยใช้แรงต้านที่มีต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงบนและช่วงล่างของนักกีฬาฟุตบอลชาย
2025-02-26T09:34:13+07:00
ชาญชัย ศิริพันธุ์
siriphan.cs@gmail.com
วิสูตร์ ทองดีเจริญ
siriphan.cs@gmail.com
นภพร ทัศนัยนา
siriphan.cs@gmail.com
สิทธิพร พันธุ์พิริยะ
siriphan.cs@gmail.com
ชาญวิทย์ อินทรักษ์
siriphan.cs@gmail.com
<div> <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของการฝึกโดยใช้แรงต้านที่มีต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงบนและช่วงล่างของนักกีฬาฟุตบอลชาย มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอุดรธานี อายุ 18-22 ปี เพศชาย จำนวน 20 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่างได้รับการฝึกโดยใช้แรงต้านและการทดลองครั้งนี้ฝึกทั้ง 8 สัปดาห์ ๆ ละ 3 ครั้ง ๆ ละ 60 นาที เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย โปรแกรมการฝึกโดยใช้แรงต้าน และทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ<br />ช่วงบนและช่วงล่าง โดยใช้สถิติทดสอบ Paired sample t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉลี่ยของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงบนและช่วงล่างภายในกลุ่มทดลองก่อนการฝึกและหลังการฝึกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่าการได้รับการฝึกโดยใช้แรงต้านเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงบนและช่วงล่างสูงของนักกีฬาฟุตบอลชายได้อย่างมีประสิทธภาพ</p> </div>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/279138
ผลของการฝึกการจินตภาพประกอบเสียงดนตรีบรรเลงเพื่อการผ่อนคลายที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในตนเองและความแม่นยำในการยิงลูกโทษของนักกีฬาฟุตซอลชาย
2025-02-26T09:37:44+07:00
ประกิต หงษ์แสนยาธรรม
prakitsport@gmail.com
สิทธิพร พันธุ์พิริยะ
prakitsport@gmail.com
วิสูตร์ ทองดีเจริญ
prakitsport@gmail.com
ชาญวิทย์ อินทรักษ์
prakitsport@gmail.com
ดลภา พศกชาติ
prakitsport@gmail.com
<div> <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของการฝึกจินตภาพเพื่อการผ่อนคลายร่วมกับดนตรีบรรเลงที่มีผลต่อความเชื่อมั่น<br />ในตนเองและความแม่นยำในการยิงลูกโทษของนักกีฬาฟุตซอลชาย มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอุดรธานี อายุ 18-22 ปี เพศชาย จำนวน 10 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงได้รับการฝึกจินตภาพเพื่อการผ่อนคลายร่วมกับดนตรีบรรเลง โดยการทดลองครั้งนี้ฝึกทั้ง 8 สัปดาห์ ๆ ละ 3 ครั้ง ๆ ละ 12 นาที เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย โปรแกรมการฝึกการฝึกจินตภาพเพื่อการผ่อนคลายร่วมกับดนตรีบรรเลง และแบบสอบถามความวิตกกังวลตามสถานการณ์ (CSAI-2R) โดยใช้สถิติทดสอบ Paired sample t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของความเชื่อมั่นในตนเองและความแม่นยำในการยิงลูกโทษภายในกลุ่มทดลองก่อนการฝึกและหลังการฝึกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการฝึกจินตภาพเพื่อการผ่อนคลายร่วมกับดนตรีบรรเลงเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตนเองและความแม่นยำในการยิงลูกโทษของนักกีฬาฟุตซอลชายเพิ่มขึ้น</p> </div>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/279266
WRITING THE ADVANCED GUZHENG PERFORMANCE TECHNIQUES INTRODUCTORY HANDBOOK FOR HIGH SCHOOL STUDENT AT JIAYINTANG LIUXING GUZHENG TRAINING SCHOOL
2025-03-03T22:24:40+07:00
FU YASUN
fu.yasunbkk@gmail.com
NAYOS SARTJINPONG
fu.yasunbkk@gmail.com
<p>This study used a qualitative method approach with the following objectives: (1) to study advanced Guzheng performance techniques from key informants at Jiayintang Liu Xing Guzheng Training School, and (2) to develop an advanced Guzheng performance techniques introductory handbook. Qualitative data were collected through interviews from key informants by using the interview form which was evaluated by experts, with score of 0.86.</p> <p>The findings showed that training the basics of playing the guzheng is an important component of advanced techniques, such as sitting position, hand placement, left and right hand use, hand shaking, finger use, etc. There are 10 important techniques for high school students include: (1) Fan Yin (overtones), (2) Pa Yin (four note arpeggio), (3) Pa Yin (seven note arpeggio), (4) Shuang Shou Pa Yin (two hand arpeggio), (5) Dao Pa Yin (reverse arpeggio), (6) Lun Zhi (circular finger), (7) Da Zhi Yao (single finger shaking), (8) Shuang Zhi Yao (double finger shaking), (9) Sao Yao (sweeping shaking), and (10) Dian Zou (dotting). The introductory handbook on advanced Guzheng performance techniques is divided into 3 chapters: Chapter 1, Overview and background of the Guzheng; Chapter 2, Fundamentals and advanced playing techniques of the Guzheng; And Chapter 3, Advanced Guzheng performance techniques, which includes explanations of playing symbols, playing methods, practice methods, song applications, demonstration clips, music notes from user suggestions, and other important information.</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/279648
ความตระหนักรู้ถึงแบรนด์ ความน่าเชื่อถือ ความโดดเด่น ที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการซื้อเครื่องประดับแบรนด์หรูของไทยของพฤติกรรมผู้บริโภค Generation MZ
2025-03-22T12:21:12+07:00
ฤดีชนก รุ่งเรืองไมตรี
ruedeechanok_run@utcc.ac.th
วริศรา กลมทุกสิ่ง
warisaraklom@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดของแบรนด์หรูไทย (โดยเฉพาะเครื่องประดับ) ในการเข้าสู่เวทีสากล ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่ม Generation Millennial และ Generation Z ของไทย โดยมุ่งเน้นศึกษาความตระหนักรู้ถึงแบรนด์ ความน่าเชื่อถือและความโดดเด่นของแบรนด์ที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการซื้อสินค้าแบรนด์หรูและศักยภาพในการขยายตลาดไปสู่ระดับสากล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือผู้บริโภคชาวไทยกลุ่ม Generation Millennial และ Generation Z ในการซื้อเครื่องประดับแบรนด์หรู โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุเชิงเส้นตรง</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ความตระหนักรู้ถึงแบรนด์ของเครื่องประดับหรูไทยอยู่ในระดับมาก 2) ความน่าเชื่อถือของแบรนด์อยู่ในระดับมาก 3) ความโดดเด่นของแบรนด์อยู่ในระดับมาก และ 4) ความตระหนักรู้ถึงแบรนด์ ความน่าเชื่อถือ และความโดดเด่นของแบรนด์ส่งผลต่อความตั้งใจในการซื้อสินค้าแบรนด์หรูของกลุ่มผู้บริโภค Generation Millennial และ Generation Z อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของแบรนด์หรูไทยให้สามารถขยายตัวในตลาดสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/279784
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานไฟฟ้าแทนรถจักรยานยนต์แบบสันดาป
2025-03-27T15:50:33+07:00
ภูริต สันติโชติวงศ์
dxrxxt@gmail.com
อภิชญา บุญลาภ
apichaya.chanw@ku.th
เขตโสภณ อิทธิกฤตานนท์
Kisopon.2001@gmail.com
นริศรา ภาควิธี
narissara.par@ku.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานไฟฟ้าแทนรถจักรยานยนต์แบบสันดาป ได้แก่ ปัจจัยประโยชน์ ปัจจัยคุณค่า และปัจจัยทัศนคติ ซึ่งใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจออนไลน์โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่ใช้รถจักรยานไฟฟ้าที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรี มีอายุตั้งแต่ 18-60 ปี ไม่จำกัดเพศ การสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็นด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนการประเมิน และผ่านการตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยทุกข้อคำถามมีค่าดัชนี<br />ความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งชุดมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัคเท่ากับ 0.965 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การวิเคราะห์สมการการถดถอยพหุคูณ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยนี้พบว่า ผู้ที่ใช้รถจักรยานไฟฟ้าแทนรถจักรยานยนต์แบบสันดาปส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุ 18-28 ปี วุฒิการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้อยู่ที่ 10,001-20,000 บาท และมีสถานภาพโสด โดยผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยประโยชน์ ปัจจัยคุณค่า และปัจจัยทัศนคติโดยรวมส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานไฟฟ้าแทนรถจักรยานยนต์แบบสันดาป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยปัจจัยประโยชน์มีปัจจัยรายด้านที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ การรับรู้ความง่ายในการใช้งานและการรับรู้ประโยชน์ในการใช้งาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับปัจจัยคุณค่าพบว่ามีปัจจัยรายด้านที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ คือ คุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนปัจจัยคุณค่าด้านสังคมพบว่าไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังพบว่า ปัจจัยทัศนคติมีรายด้าน ได้แก่ ความรู้สึก และพฤติกรรม ส่งผลต่อตัวแปรตาม ในขณะที่ ปัจจัยความรู้ความเข้าใจ ไม่ส่งผลต่อตัวแปรตาม</p> <p>ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงจูงใจให้คนหันมาใช้รถจักรยานไฟฟ้า ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้วางแนวทาง<br />ด้านนโยบาย การตลาด และการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมให้คนหันมาใช้พาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/279954
รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
2025-04-04T16:10:32+07:00
รองฤทธิ์ ลีละยุทธสุนทร
rongrit.leelayuthsoontorn@gmail.com
บุรพร กำบุญ
buraporn.kum@gmail.com
สุชาติ ปรักทยานนท์
prak.suchart@gmail.com
ฐนันวริน โฆษิตคณิน
thananwarin89@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย <br />2) ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และ 3) รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร พนักงาน บริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างของแฮร์ (Hair,2010) จำนวน 360 ราย การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 12 ราย เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างด้วยโปรแกรมลิสเรล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้จำหน่ายรถยนต์ คือ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด การจัดการนวัตกรรม คุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้า ความได้เปรียบทางการแข่งขัน 2) ตัวแปรคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้าได้รับอิทธิพลจากตัวแปรการจัดการนวัตกรรมมากที่สุด (CFI = 0.966, GFI = 0.911, AGFI = 0.772 และ SRMR = 0.041) และ 3) รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามีความเชื่อมโยงกันกับการดำเนินงานของกลุ่ม<br />ผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/280773
การพัฒนาแนวทางบริหารจัดการในภาวะวิกฤติของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-05-09T14:00:09+07:00
ธนบวร สิริคุณากรกุล
ttnbw1112@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบันในการบริหารจัดการในภาวะวิกฤติของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบริหารจัดการในภาวะวิกฤติของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 3) ศึกษาการพัฒนาแนวทางบริหารจัดการในภาวะวิกฤติของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจากผู้แทนผู้ประกอบการธุรกิจ จำนวน 12 คน แล้วนำมาหาข้อสรุปด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและเสนอแนะอ้างอิงทฤษฎีดำเนินการจัดระเบียบข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการณ์ปัจจุบันจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านสังคม วัฒนธรรม และปัจจัยด้านเทคโนโลยีเป็นบทสะท้อนการบริหารจัดการในภาวะวิกฤติของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบริหารจัดการในภาวะวิกฤติพบว่า คุณลักษณะของผู้ประกอบการในเรื่องความคิดเชิงนวัตกรรม (β = 0.174) ส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (β = 5.130) และกลยุทธ์ธุรกิจของผู้ประกอบการในเรื่องกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (β = 0.410) โดยมีสมการมีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 68 และ 3) การพัฒนากลยุทธ์ การจัดการผลิต เทคโนโลยีนวัตกรรม และแรงงานให้มีความสามารถ มีกระบวนการทำงานที่สอดคล้องและกระชับและมีประสิทธิภาพส่งผลต่อการพัฒนาแนวทางบริหารจัดการในภาวะวิกฤติของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/280922
การบริหารจัดการและพัฒนาภาครัฐของผู้นำท้องถิ่น : กรณีศึกษาเทศบาลเมือง จังหวัดปทุมธานี
2025-05-15T21:30:22+07:00
ธนะพัฒน์ วิริต
tanapat.v0707@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารจัดการและการพัฒนาภาครัฐผู้นำท้องถิ่นในเขตเทศบาลเมืองในจังหวัดปทุมธานี 2) เปรียบเทียบการบริหารจัดการและการพัฒนาภาครัฐผู้นำท้องถิ่นในเขตเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักธรรมาภิบาลกับการบริหารจัดการและพัฒนาภาครัฐของผู้นำท้องถิ่นในเขตเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที ค่าเอฟและการทดสอบสมมติฐานด้วยค่าที (t-test) <br />ค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการและการพัฒนาภาครัฐผู้นำท้องถิ่นโดยรวมมีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) = 3.53, S.D.=0.847) มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ประกอบด้วยด้านธรรมาภิบาลของผู้นำท้องถิ่น โดยรวมมีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) = 3.52, S.D.=0.844) และด้านการบริหารจัดการและพัฒนาภาครัฐของผู้นำ โดยรวมมีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) = 3.56, S.D.=0.895) 2) ผลการเปรียบเทียบโดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้นปัจจัยส่วนบุคคลในเรื่องเพศ สถานภาพ รายได้ต่อเดือนมีความ และระยะเวลาที่อาศัยอยู่เทศบาลเมืองในจังหวัดปทุมธานีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 และ 3)ความสัมพันธ์ระหว่างหลักธรรมาภิบาลกับการบริหารจัดการและพัฒนาภาครัฐของผู้นำท้องถิ่นมีความสัมพันธ์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางมีความสัมพันธ์เท่ากับ .521 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีสมการมีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 63 และสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ Z<sub>r</sub> = .375Z<sub>6</sub> + .345Z<sub>7</sub> + .124Z<sub>3</sub> + .106Z<sub>1</sub> ตามลำดับ</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/280923
ประสิทธิผลการบริหารองค์การที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของบุคลากร ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี
2025-05-15T22:05:33+07:00
ศิราณี เมฆลอย
siranee.m5151@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารองค์การและการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 2) เปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารองค์การที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี โดยจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และ 3) ศึกษาประสิทธิผลการบริหารองค์การที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีจำนวน 190 คน ค่าสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ค่าเอฟ และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1)ระดับประสิทธิผลการบริหารองค์การและการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี โดยรวมมีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) = 3.89, S.D.=0.916) มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วย 2) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารองค์การที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของบุคลากรโดยจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคลโดยสรุปพบว่าโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้น เพศ สถานภาพ และระยะเวลาในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05และ 3) ประสิทธิผลการบริหารองค์การมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของบุคลากรโดยด้านลักษณะของบุคลากรในหน่วยงาน <br />(β=0.253) มากที่สุด รองลงมาด้านการกำหนดทิศทางขององค์การ (β=0.179) ยกเว้นด้านการสร้างปัจจัยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง(β=0.108) ด้านการพัฒนากลยุทธ์ (β=0.051) และด้านการเชื่อมโยงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ (β=0.018) ไม่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/281368
การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจท้องถิ่น: กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท แหล่งมรดกโลก จังหวัดอุดรธานี
2025-06-07T20:07:17+07:00
อดุลย์ ทองแกม
adul@stu.ac.th
วิชาญ แสนปาง
adul@stu.ac.th
ปณิฎฐา พรรณวิเชียร
adul@stu.ac.th
สำเริง นนศิริ
adul@stu.ac.th
กิตติกรณ์ หนองหารพิทักษ์
adul@stu.ac.th
วศิน หาสอดส่อง
adul@stu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจท้องถิ่น <br />โดยใช้กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยว งานวิจัยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (R&D) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ (1) การศึกษาความต้องการของผู้ใช้ (2) การออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์ม และ (3) การทดสอบประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบถามจำนวน 3 ตอน รวม 25 ข้อ และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสำหรับผู้เชี่ยวชาญ โดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักท่องเที่ยว 20 คน ผู้ประกอบการท้องถิ่น 5 คน และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ 5 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยระดับความเห็นของกลุ่มตัวอย่างต่อแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก โดยฟังก์ชันที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ ระบบแนะนำสถานที่แบบ AI ระบบ Augmented Reality (AR) และระบบจองบริการ ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวเท่ากับ 4.20 (SD = 0.45) และความเห็นของผู้ประกอบการท้องถิ่นเกี่ยวกับศักยภาพของแพลตฟอร์มในการช่วยบริหารจัดการข้อมูลท้องถิ่นอยู่ที่ระดับ 4.30 (SD = 0.51) อย่างไรก็ตาม ควรพัฒนาเพิ่มเติมด้านการรองรับหลายภาษา ฟังก์ชัน AI Chatbot และขยายการใช้งานแพลตฟอร์มไปยังพื้นที่แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมอื่น ๆ ในประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประโยชน์ในการใช้งาน</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/281458
การออกแบบโมชั่นกราฟิก เรื่อง ที่มาของชื่ออำเภอในจังหวัดนครปฐม
2025-06-12T10:39:17+07:00
เบญญาภา สุกใส
benyapasooksai@gmail.com
ณัฐปคัลภภ์ กิตติสุนทรพิศาล
nattapakal.kit@rmutr.ac.th
พันธวัจน์ สร้อยมะณี
benyapasooksai@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อออกแบบสื่อโมชั่นกราฟิก เรื่องที่มาของชื่ออำเภอในจังหวัดนครปฐม 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของสื่อโมชันกราฟิก เรื่องที่มาของชื่ออำเภอในจังหวัดนครปฐม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) โมชั่นกราฟิก เรื่องที่มาของชื่ออำเภอในจังหวัดนครปฐม 2) แบบประเมินคุณภาพโมชั่นกราฟิก เรื่องที่มาของชื่ออำเภอในจังหวัดนครปฐมจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านและ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของโมชั่นกราฟิก เรื่องที่มาของชื่ออำเภอในจังหวัดนครปฐม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) โมชั่นกราฟิก เรื่อง ที่มาของชื่ออำเภอในจังหวัดนครปฐม มีจำนวน 1 ตอน ความยาว 9.02 นาที 2) ผลการประเมินคุณภาพสื่อโดยผู้เชี่ยวชาญ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน <br />ได้แก่ ด้านเนื้อหา อยู่ในระดับดี (Mean = 4.41, S.D. = 0.51) และด้านคุณภาพสื่ออยู่ในระดับดีมาก (Mean = 4.55, S.D. = 0.51) 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง อยู่ในระดับดี (Mean = 4.39, S.D. = 0.67)</p> <p> </p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/281460
การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดด้วยสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
2025-06-12T11:35:49+07:00
ก้องเกียรติ หิรัญเกิด
kongkieat.hir@rmutr.ac.th
ณัฐปคัลภภ์ กิตติสุนทรพิศาล
nattapakal.kit@rmutr.ac.th
เบญญาภา สุกใส
benyapasooksai@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อพัฒนากิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดด้วยสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดของนักศึกษาด้วยสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริม โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลอง จากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองคือนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) กิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดของนักศึกษาด้วยสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา มีเทคนิควิธีการหรือรูปแบบการเรียนการสอนที่ทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมทำให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาทักษะด้านการคิดที่ดีขึ้น ผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดด้วยสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.57 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48 2) ผลการประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรมพัฒนาทักษะการคิดของนักศึกษาด้วยสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริมของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />เท่ากับ 0.50</p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/279307
MUSHROOM MANAGEMENT THEORY: UNVEILING SHADOWS AND CULTIVATING INSIGHTS
2025-03-05T12:22:44+07:00
LI JIANLAN
somsuptrakul_s@silpakorn.edu
MATTANA WANGTHANOMSAK
somsuptrakul_s@silpakorn.edu
SUKANYA SOMSUPTRAKUL
somsuptrakul_s@silpakorn.edu
<p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">Mushroom management theory, aptly named after the way mushrooms grow in the dark, refers to a management style where information is not efficiently shared, which often resulted in a toxic workplace culture. In this review paper, the researcher delves into the origins, characteristics, countermeasures and practical application cases in business organizations of this intriguing metaphor, aiming to provide actionable insights and research suggestions for leaders, practitioners, and researchers. </span></p>
2025-07-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล