วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj <p><strong>วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล ได้ผ่านการรับรองคุณภาพรอบที่ 5 พ.ศ. 2568 – 2572 จัดอยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย TCI 2 กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</strong> ได้จัดทำเป็น 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบตีพิมพ์ (Print) หมายเลข ISSN 2408-1728 (Print) และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ISSN 2586-9868 (Online) ที่พิมพ์เผยแพร่ บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p>มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์บทความดังกล่าวในกลุ่มสาขาศึกษาศาสตร์ บริหารธุรกิจ การบัญชี การตลาด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยีดิจิทัล นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐศาสนประสานศาสตร์ สหวิทยาการจัดการ การจัดการอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เทคโนโลยีมัลติมีเดียและแอนิเมชัน นิเทศศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ส่งเสริมการเกษตร ศิลปะ วัฒนธรรม และสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นสื่อกลางแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้เกิดแนวคิด เทคนิค วิธีการนำไปพัฒนาทางวิชาการ ตลอดจนเป็นเวทีนำเสนอเผยแพร่ผลงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไปทุกหน่วยงาน โดยมีกำหนดออกราย 6 เดือน หรือ 2 ฉบับต่อปี</p> <p>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-Blind Review)</p> <p><strong>Published Rate (อัตราค่าตีพิมพ์)<br /></strong>1) บทความภาษาไทย ค่าธรรมเนียม แบบปกติ 4,500 บาท<br />2) บทความภาษาอังกฤษ ค่าธรรมเนียม แบบปกติ 5,500 บาท</p> <p>(ชำระเงินหลังจากผ่านการตรวจสอบบทความเบื้องต้น เพื่อนำส่งผู้ทรงคุณวุฒิอ่านและประเมินบทความ)</p> วิทยาลัยสันตพล (Santapol College) th-TH วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล 2408-1728 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล ถือว่าเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือรับผิดชอบใดๆ</p> การเติบโตของสินค้าตราห้างในตลาดค้าปลีก: มุมมองจากยุโรปสู่ประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/276023 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้ด้านการเจริญเติบโตของสินค้าตราห้างในตลาดค้าปลีกจากมุมมองยุโรปสู่ประเทศไทย สินค้าตราห้างถือเป็นตลาดที่เกิดใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ มุ่งเน้นความคุ้มค่าด้านราคาโดยสินค้าตราห้างมีลักษณะคล้ายกับสินค้าแบรนด์ใหญ่ มีคุณภาพทัดเทียม สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสำคัญโดยเฉพาะในยุโรปและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย เนื่องจากสินค้านี้มีโอกาสทำกำไรให้กับเจ้าของแบรนด์ได้ค่อนข้างสูง และมีการบริหารไม่ยุ่งยากซับซ้อน ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตที่สำคัญคือ ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นและการรับรู้คุณภาพสินค้าที่ดีขึ้นของผู้บริโภคและพฤติกรรมการซื้อขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ติดต่อกันได้โดยตรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย สินค้าตราห้างมีการเติบโตอย่างมากในยุโรป สำหรับประเทศไทยห้างค้าปลีกที่มีสินค้าตราห้างก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จึงเป็นโอกาสและความท้าทายของตลาดค้าปลีกในปัจจุบันและอนาคต</p> บุญชัย ปลื้มสืบกุล สุขุม เฉลยทรัพย์ ศิโรจน์ ผลพันธิน พิทักษ์ จันทร์เจริญ สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 120 128 HUMAN RESOURCE MANAGEMENT IN CHINA: PAST, PRESENT AND FUTURE https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/276504 <p>As competition in the education industry intensifies and the knowledge economy evolves, the significance of Human Resource Management (HRM) in university institutions. This study aims to explore how HRM affects the sustainable development and competitiveness improvement of universities. This article begins with a theoretical analysis to define the concept of HRM and its particular relevance within university education. The subsequent analysis examines the multi-dimensional framework of university development, encompassing its connotation, goals, and key influencing factors. The article further elaborates on the positive effects of HRM on university teaching quality, scientific research capabilities, organizational culture, and social services. On this basis, the main challenges currently faced by university HRM are discussed, such as talent mobility, institutional constraints, resource limitations, and internationalization pressure. Finally, optimization strategies are proposed, including building a scientific human resources system, enhancing talent training and development, fostering diversity among teaching staff, and improving decision-making efficiency and transparency. The conclusions of this study aim to provide strategic insights for university education managers to better utilize human resource advantages and promote the comprehensive and sustainable development of universities.</p> CAILING TANG MATTANA WANGTHANOMSAK SUKANYA SOMSUPTRAKUL Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 129 135 THE APPPLICATION OF CONFUCIANISM IN CHINESE HUMAN RESOURCE MANAGEMENT https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/276505 <p>Confucianism, with its profound influence on Chinese culture and society, has played a significant role in shaping the principles and practices of human resource management in China. This article aims to explore the application of Confucian values in the context of Chinese human resource management, focusing on how traditional wisdom can be integrated with modern management techniques to enhance organizational effectiveness. The research methods and theoretical framework of this article are mainly based on case studies and the core values of Confucian culture, and how these values are applied and reflected in modern human resource management.</p> LIU DAN MATTANA WANGTHANOMSAK SUKANYA SOMSUPTRAKUL Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 136 144 ผลของการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทยที่มีต่อการจัดการความเครียด ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/273186 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาและเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการจัดการความเครียดก่อนและหลังการจัดกิจกรรม<br />พลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทย และเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับคะแนนความเครียดกับระดับคะแนนเฉลี่ยการจัดการความเครียด กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนนาวังศึกษาวิช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 55 คน เครื่องมือวิจัยโดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทย จำนวน 8 แผน แบบวัดความเครียดกรมสุขภาพจิต (SPST – 20) และแบบประเมินพฤติกรรมการจัดการความเครียดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ (Dependent sample t-test) และ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติ<br />ที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระดับความเครียดของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก่อนการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้<br />เกมการละเล่นพื้นบ้านไทยอยู่ระดับปานกลางและหลังการจัดกิจกรรมอยู่ในระดับน้อย และมีระดับการจัดการความเครียดก่อนการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทยอยู่ระดับปานกลางและหลังการจัดกิจกรรมอยู่ในระดับมาก ระดับการจัดการความเครียดของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหลังได้รับการจัดกิจกรรมพลศึกษาโดยใช้เกมการละเล่นพื้นบ้านไทยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และระดับของการจัดการความเครียดและระดับความเครียดของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีความสัมพันธ์กันในเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ภูวดล เกิดศักดิ์ นิรุตติ์ สุขดี รจนา ป้องนู Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 1 10 ประสิทธิผลการบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคดิจิทัลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/273704 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาการบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคดิจิทัลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล <br />2) ศึกษาปัญหาอุปสรรคการบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคดิจิทัลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และ 3) เสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมของประสิทธิผลการบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคดิจิทัลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ใช้วิธีการดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีวิจัยเอกสารและวิจัยสนามจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ 1) ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ หรือผู้แทน 2) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการฝ่ายหรือผู้แทน และ 3)ผู้ จัดการส่วน และพนักงานเจ้าที่ในสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลรวมทั้งสิ้นจำนวน 15 คน แล้วนำมาแยกประเด็นตามข้อคําถามจัดระเบียบข้อมูลหาข้อสรุปตีความอย่างเป็นระบบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคดิจิทัล เป็นบทสะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความสามารถ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพจากระบบเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาบุคลากรให้เป็นคนเก่งคนดี มีคุณภาพ มีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง โดยยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และมีรับผิดชอบต่อหน้าที่ 2) ปัญหาอุปสรรคการบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคดิจิทัล มีข้อค้นพบดังนี้ (2.1) ปัญหาด้านบุคลากร (2.2) ปัญหาด้านงบประมาณ (2.3) ปัญหาด้านวัสดุอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ (2.4) ปัญหาด้านฐานข้อมูลทรัพยากรบุคคล (2.5) ปัญหาด้านการวางแผนกำลังคน และ (2.6) ปัญหาด้านนโยบายผู้บริหาร และ 3) แนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลไปพร้อมๆ กับความพร้อมในการยกระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรจากสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม จูงใจ ที่เป็นธรรม เหมาะสม และสร้างความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงความเป็นองค์กรดิจิทัลต่อไป</p> สุวัฒน์ งามแสง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 11 21 ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการทางภาษี : กรณีศึกษาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการ จ้างแรงงานผู้สูงอายุของสถานประกอบการ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/273935 <p>บทความทางวิจัย ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการทางภาษี : กรณีศึกษาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุของสถานประกอบการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและมาตรการทางกฎหมาย ในการนำมาตรการลดหย่อนภาษีของสถานประกอบการในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ และศึกษาข้อดี ข้อบกพร่องตลอดถึงปัญหาทางกฎหมายของสถานประกอบการและผู้สูงอายุที่ได้รับผลกระทบทางกฎหมาย และปัญหาอุปสรรคต่อการส่งเสริมการจ้างแรงงานผู้สูงอายุของสถานประกอบการ โดยศึกษาวิเคราะห์พระราชฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร(ฉบับที่ 639) พ.ศ. 2560 ที่บังคับใช้ในปัจจุบันที่ไม่สอดคล้องกับสภาพสิทธิประโยชน์ในทางภาษีของและงานผู้สูงอายุและสถานประกอบการ</p> <p> จากการศึกษาวิเคราะห์ ปัญหา อุปสรรค เกี่ยวกับการนำมาตรการลดหย่อนภาษีของสถานประกอบการในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ ดังนี้คือ ในการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อลดหย่อนภาษีของสถานประกอบการ รัฐได้ออกพระราชกฤษฎีกาซึ่งเป็นกฎหมายของฝ่ายบริหารเพื่อส่งเสริมและให้ความคุ้มครอง ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายนับเป็นข้อดีของการ<br />เลือกออกกฎหมายบังคับใช้โดยรัฐและในประเด็นนี้เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายเฉพาะคือพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ในเรื่องสิทธิของผู้สูงอายุตามมาตรา 11 รัฐควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติผู้สูงอายุในด้านสิทธิประโยชน์ของผู้สูงอายุและสถานประกอบการที่จ้างแรงงานผู้สูงอายุ อันเป็นการรองรับมาตรการในการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อให้การส่งเสริมการจ้างแรงงานผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตเกี่ยวกับบทบัญญัติในพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบททางสังคมและเศรษฐกิจหลายประการ ที่ควรจะต้องปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เหมาะสม เช่น สถานประกอบกิจการตามมาตรา 3 แห่งพระราชฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรฯ กำหนดเฉพาะบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญธรรมดาหรือคณะบุคคล และการกำหนดจำนวนลูกจ้างผู้สูงอายุไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนลูกจ้าง ซึ่งเป็นการกำหนดจำนวนที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางด้านสังคม และเศรษฐกิจ และบทบัญญัติที่เจาะจงเฉพาะผู้สูงอายุตามมาตรา 4(2) คือจะต้องเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดที่จ้างอยู่ก่อนแล้ว หรือที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมจัดหาแรงงานกระทรวงแรงงานรวมทั้งความไม่เหมาะสมของค่าจ้างตามมาตรา 3 วรรคท้ายเป็นต้น</p> บัญชา วิทยอนันต์ กำธร กำประเสริฐ อดุลย์ ทานาราช พรทิพย์ พิมพ์สุรโสภณ โยษิตา ศรีทองกูล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 22 31 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตระหนักรู้คุณค่าของอำนาจละมุนเรื่องศิลปะการต่อสู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/274236 <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์และสร้างสมการพยากรณ์ความตระหนักรู้คุณค่าของ</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;"><br /><span lang="TH">อำนาจละมุนเรื่องศิลปะการต่อสู้ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ปีการศึกษา</span> 2567 <span lang="TH">จำนวน</span> 850 <span lang="TH">คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ วิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</span></span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">ผลการวิจัย พบว่า</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;"> 1) <span lang="TH">ทุกปัจจัยมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</span> 2) <span lang="TH">ทุกปัจจัยมีความสัมพันธ์กับความตระหนักรู้คุณค่าของ</span><br /><span lang="TH">อำนาจละมุนเรื่องศิลปะการต่อสู้ในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ</span> 0.01 3) <span lang="TH">ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตระหนักรู้คุณค่าของอำนาจละมุนเรื่องศิลปะการต่อสู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ</span> 0.01 <span lang="TH">มี</span> 5 <span lang="TH">ปัจจัย </span><span lang="TH">โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ ปัจจัยด้านประสบการณ์เกี่ยวกับอำนาจละมุน</span> (</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'Calibri',sans-serif; color: windowtext;">β</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">=0.26) <span lang="TH">ด้านการ</span><span lang="TH">จัดเรียนการสอนเกี่ยวกับอำนาจละมุน</span> (</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'Calibri',sans-serif; color: windowtext;">β</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">=0.23) <span lang="TH">ด้านนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับอำนาจละมุน </span>(</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'Calibri',sans-serif; color: windowtext;">β</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">=0.22) <span lang="TH">ด้านการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอำนาจละมุน </span>(</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'Calibri',sans-serif; color: windowtext;">β</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">=0.19) <span lang="TH">ด้านกิจกรรมพัฒนานักศึกษาเกี่ยวกับอำนาจละมุน </span>(</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'Calibri',sans-serif; color: windowtext;">β</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">=0.11) <span lang="TH">ซึ่งสามารถร่วมกันทำนายความตระหนักรู้คุณค่าของอำนาจละมุนเรื่องศิลปะการต่อสู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติได้ร้อยละ</span> 75.60 </span></p> ศิรามล ดีพุดซา ธนารีย์ วงษ์จันทร์ ธิติพงษ์ สุขดี ดิฏฐชัย จันทร์คุณา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 32 41 การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชนในเขตเทศบาลตำบลหลักห้า จังหวัดสมุทรสาคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/274574 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลบริบทของพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลหลักห้า อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในเขตเทศบาลตำบลหลักห้า อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร 3) เพื่อพัฒนาเส้นทางและโปรแกรมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลตำบลหลักห้า อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยว จำนวน 400 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบไม่เฉพาะเจาะจง ผู้ให้ข้อมูลหลักในการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม จำนวน 38 คน และการสนทนากลุ่ม จำนวน 20 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และแบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาและเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>1. บริบทของพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลหลักห้า อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ดังนี้ เชิงศาสนา ได้แก่ วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสรและเม่งซวงเซี่ยงตั๊ว เชิงเกษตร ได้แก่ <br />สวนไพศาล บ้านสวนแช่มชื่นและสวนผลไม้นายตั้ม และเชิงวัฒนธรรม ได้แก่ ไทยทรงดำและชุมชนเก่าริมน้ำหลักห้าโดยมีองค์ประกอบทางการท่องเที่ยวทั้งสิ่งดึงดูดใจ กิจกรรมการท่องเที่ยว การเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักอาศัย การมีส่วนร่วมของชุมชน ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและเป็นส่วนหนึ่งด้านการท่องเที่ยว มีความสามัคคี มีความพร้อมพัฒนาด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี</li> <li>2. แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในเขตเทศบาลตำบลหลักห้า อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว ประกอบไปด้วย ปัจจัยผลัก (Push Factors) โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.82, S.D.=0.37) ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.91, D.=0.29) รองลงมา ได้แก่ การแสวงหาความรู้/สิ่งใหม่ ๆ ให้แก่ตนเอง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.89, S.D.=0.31) ปัจจัยดึงดูด (Pull Factors) โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.73, S.D.=0.42) การเข้าถึงมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅= 4.86, S.D.=0.34) รองลงมาได้แก่ สิ่งอำนวยความสะดวกมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.79, S.D.=0.38) 3) การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวควรเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวในรูปแบบผสมผสาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งศาสนา การเกษตรและวัฒนธรรม สามารถแบ่งได้ดังนี้ เส้นทาง 1 วัน ได้แก่ เส้นทางที่ 1 ไทยทรงดำ สวนไพศาล วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร เส้นทางที่ 2 วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสรสวนผลไม้นายตั้ม เม่งซวงเซี่ยงตั๊ว ชุมชนเก่าริมน้ำหลักห้า เส้นทางที่ 3 วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร บ้านสวนแช่มชื่น เม่งซวงเซี่ยงตั๊ว ชุมชนเก่าริมน้ำหลักห้า เส้นทาง 2 วัน 1 คืน ได้แก่ เส้นทางที่ 4 วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร เม่งซวงเซี่ยงตั๊ว ชุมชนเก่าริมน้ำหลักห้า บ้านสวนแช่มชื่น สวนผลไม้นายตั้ม เส้นทางที่ 5 ไทยทรงดำ สวนไพศาล วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร เม่งซวงเซี่ยงตั๊ว ชุมชนเก่าริมน้ำหลักห้า บ้านสวนแช่มชื่น สวนผลไม้นายตั้ม</li> </ol> มัชฌิมา อุดมศิลป์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 42 51 การบริหารจัดการคุณภาพระบบสารสนเทศที่มีผลต่อการยอมรับเทคโนโลยีการชำระภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาของตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสุขภาพและความงามในกรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/275503 <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ </span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">1) <span lang="TH">ศึกษาระดับการบริหารจัดการคุณภาพระบบสารสนเทศ และการยอมรับเทคโนโลยี</span><span lang="TH">การชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ </span>2) <span lang="TH">ศึกษาการบริหารจัดการคุณภาพระบบสารสนเทศที่มีผลต่อการยอมรับเทคโนโลยีการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสุขภาพและความงามในกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงาม จำนวน </span>200 <span lang="TH">คน เครื่องมือที่ใช้</span><span lang="TH">ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบถดถอยพหุคูณ</span></span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">ผลการวิจัยพบว่า </span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">1) <span lang="TH">ระดับการบริหารจัดการคุณภาพระบบสารสนเทศ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง และระดับการยอมรับเทคโนโลยีการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</span> 2) <span lang="TH">การบริหารจัดการคุณภาพระบบสารสนเทศที่มีผลต่อการยอมรับเทคโนโลยีการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสุขภาพและความงาม</span><span lang="TH">ในกรุงเทพมหานคร คือ ด้านความพึงพอใจของผู้ใช้งาน (</span></span><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'Calibri',sans-serif; color: windowtext;">β</span> <span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">= .36, p &lt; 0.001) <span lang="TH">อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และให้ค่า </span>R<sup>2</sup> = 0.61 <span lang="TH">โดยด้านอื่นไม่ส่งผลต่อการยอมรับเทคโนโลยีการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา</span></span></p> อุดม สมบูรณ์ผล กฤษฎา ตันเปาว์ จินตาภา บัวอุไร ฐานิสรา เพ็ชรรื่น พีร์ เพ็ชรรื่น Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 52 59 มาตรการควบคุมเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยการเจริญพันธุ์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/275763 <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm; tab-stops: 42.55pt;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิวัฒนาการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์โดยวิธีการตั้งครรภ์แทน 2) ศึกษากฎหมายของประเทศไทย ประเทศแคนาดาและเครือรัฐออสเตรเลีย (รัฐควีนส์แลนด์) 3) วิเคราะห์ปัญหามาตรการทางกฎหมาย และ 4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้มีประสิทธิภาพการวิจัยนี้ป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิจัยเอกสาร โดยการค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจาก ตัวบทกฎหมาย หนังสือ บทความ เอกสารทางวิชาการ งานวิจัย วิทยานิพนธ์และข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้มีประสิทธิภาพต่อไป</span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm; tab-stops: 42.55pt;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">ผลการวิจัยพบว่า</span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm; tab-stops: 42.55pt;"><span style="color: windowtext; font-family: 'TH Sarabun New', sans-serif; font-size: 14pt; text-indent: 1cm;">1. การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันทางการแพทย์โดยวิธีการตั้งครรภ์แทนมีวิวัฒนาการจากการบำบัดรักษาการมี</span><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">บุตรยาก ในอดีตใช้วิธีการผสมเทียมต่อมาพัฒนามาเป็นวิธีการตั้งครรภ์แทน ปรากฏแนวคิดจากความต้องการสืบทอดดำรงเผ่าพันธุ์ชีวิตมนุษย์ แก้ไขปัญหาการไม่สามารถมีบุตรได้หรือมีบุตรยาก โดยรัฐบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมการตั้งครรภ์แทนมิให้ถูกนำไปใช้ในทาง<br />มิชอบโดยนำทฤษฎีความรับผิดทางอาญาและทฤษฎีการลงโทษทางอาญามาใช้บัญญัติกฎหมายที่มีโทษทางอาญา </span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm; tab-stops: 42.55pt;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">2. ประเทศไทยกำหนดมาตรการทางกฎหมายควบคุมมิให้ดำเนินการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าและมิให้</span><span style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;"><br /><span lang="TH">นำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ไปใช้ในทางมิชอบ ปรากฏในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ส่วนประเทศแคนาดากำหนดมาตรการทางกฎหมายควบคุมมิให้ดำเนินตั้งครรภ์แทนซึ่งมีผลประโยชน์ตอบแทนและมิให้นำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของมนุษย์ไปใช้ในทางมิชอบ ปรากฏในพระราชบัญญัติช่วยการเจริญพันธุ์ของมนุษย์ ค.ศ.2004 ส่วนในเครือรัฐออสเตรเลีย (รัฐควีนส์แลนด์) กำหนดมาตรการทางกฎหมายควบคุมมิให้ดำเนินการดำเนินการตั้งครรภ์แทนเชิงพาณิชย์ กำหนดให้การคุ้มครองเด็กและผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตั้งครรภ์แทนอย่างครอบคลุม ปรากฏในพระราชบัญญัติการตั้งครรภ์แทน ค.ศ.2010 </span></span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm; tab-stops: 42.55pt;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">3. กฎหมายของประเทศแคนาดากำหนดบทลงโทษสูงกว่ากฎหมายไทยหลายมาตรการโดยกำหนดให้เป็นโทษทางอาญา<br />ทั้งโทษจำคุกและปรับแตกต่างจากกฎหมายไทยซึ่งเป็นเพียงโทษทางจริยธรรมอันส่งผลต่อประสิทธิภาพในการข่มขู่ยับยั้งการกระทำความผิด ในกฎหมายของเครือรัฐออสเตรเลีย (รัฐควีนส์แลนด์) กำหนดคำนิยาม การตั้งครรภ์แทนเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน กำหนดขอบเขตความรับผิดของแพทย์ กำหนดการคุ้มครองวัตถุหรือข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจาะจงและการคุ้มครองเด็กครอบคลุมหลังจากเด็กเกิด แตกต่างจากกฎหมายไทยที่ไม่มีกำหนดคำนิยามขอบเขตความรับผิดที่ชัดเจนและการคุ้มครองที่ครอบคลุมเพียงพอ </span></p> <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm; tab-stops: 42.55pt;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">4. จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 โดยแก้ไขเพิ่มเติมคำนิยามและขอบเขตความรับผิดให้ชัดเจน กำหนดบทลงโทษที่มีประสิทธิภาพ และกำหนดมาตรการในการคุ้มครองผู้เกี่ยวข้องอย่างครอบคลุม เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพต่อไป</span></p> ภูธเนศ ภูหาด อิงครัต ดลเจิม วิกรณ์ รักษ์ปวงชน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 60 70 ผลของการฝึกเซอร์กิตเทรนนิ่งที่มีต่อมวลกล้ามเนื้อและมวลไขมันในร่างกายของนักศึกษาชาย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/275823 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกเซอร์กิตเทรนนิ่งที่มีต่อมวลกล้ามเนื้อและมวลไขมันในร่างกายของนักศึกษาชาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอุดรธานี อายุ 18-22 ปี เพศชาย จำนวน 20 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงได้รับการฝึกเซอร์กิตเทรนนิ่งจำนวน 20 คนและการทดลองครั้งนี้ฝึกทั้ 8 สัปดาห์ ๆ ละ 3 ครั้ง ๆ ละ 60 นาที เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย โปรแกรมการฝึกโดยใช้น้ำหนักตัวรูปแบบเซอร์กิตเทรนนิ่ง (Ji-Woon Kim, Yeong-Chan Ko, Tae-BeomSeo &amp; Young-Pyo Kim, 2018) และ<br />เครื่องวิเคราะห์สัดส่วนของร่างกาย รุ่น Jawon Medical Plus X-scan (รุ่น UHM-101) ใช้สถิติทดสอบ Paired sample t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ค่าเฉลี่ยของมวลกล้ามเนื้อและมวลไขมันภายในกลุ่มทดลองก่อนการฝึกและหลังการฝึกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่าการได้รับการฝึกเซอร์กิตเทรนนิ่งเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ส่งผลให้มีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและมวลไขมันในร่างกายลดลง</p> สิทธิพร พันธุ์พิริยะ ชาญวิทย์ อินทรักษ์ ณัฐศิษฐ์ สุวรรณวัฒน์ พรีส รักษาสมัย Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 71 76 แนวทางกลยุทธ์การตลาดสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษา : ผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทอาหารที่มีระดับต่ำกว่า 5 ดาว ในเขตอำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/276131 <p class="Default" style="text-indent: 1.0cm; line-height: 90%;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; line-height: 90%; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: windowtext;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาศักยภาพการดําเนินงานวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑประเภทอาหาร 2. เพื่อศึกษาปญหาและอุปสรรคการดําเนินงานเพื่อพัฒนาสูระดับ 5 ดาว ของผลิตภัณฑประเภทอาหาร และ 3. เพื่อกําหนดแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และลกยุทธ์การตลาดสูระดับ 5 ดาว ของผลิตภัณฑประเภทอาหาร ในอำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี วิธีการดำเนินวิจัยเป็นการศึกษาศักยภาพ ปัญหา และข้อจำกัดในการบริหารจัดการด้านการตลาด ของวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารที่มีระดับต่ำกว่า 5 ดาว ในอำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี เพื่อหาแนวทางกลยุทธ์การตลาดสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ วิสาหกิจชุมชนที่ผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ได้จำนวน 5 กลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย มีจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดสนทนากลุ่ม และนำข้อมูลที่ได้จากการประชุม มาตีความวิเคราะห์สรุปผลเชิงเหตุผลและดำเนินการประเมินความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การตลาดเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พบว่า 1) ดานการผลิตมีวัตถุดิบและแรงงานในท้องถิ่นที่ยังไม่เพียงพอ 2) ดานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ วิสาหกิจชุมชนยังมีความเข้าใจในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถยื่นขอยกระดับดาวไม่มากนัก และต้องการรูปแบบการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่าง 3) ด้านความเข้มแข็งของชุมชน สมาชิกมีอาชีพรับจ้างทำงานอื่นๆ ด้วย ทำให้การบริหารจัดการไม่ต่อเนื่อง 4) ดานการตลาด สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า แหล่งจำหน่ายยังไม่เข้าถึงลูกค้ารายใหม่ และยังไม่มีการโฆษณาสินค้าที่หลากหลาย 5) ดานเรื่องราวของผลิตภัณฑ วิสาหกิจชุมชนมีการจัดทําเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ 6) ด้านคุณภาพสินค้า มีการควบคุมคุณภาพในการผลิต แต่ต้องพัฒนาเพิ่มศักยภาพในกระบวนการผลิตให้ดีขึ้น 7) ด้านรูปลักษณผลิตภัณฑ์ มีการออกแบบบรรจุภัณฑ์หลายรูปแบบแต่เก็บรักษาสินค้าให้คงคุณภาพที่สมบูรณ์ไว้ไม่ได้นาน โดยแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร ระดับต่ำกว่า 5 ดาว ของอำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ 1. มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน คัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากแหล่งผลิตที่หลากหลาย 2. สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารที่มีเอกลักษณ์ด้วยทรัพยากรในท้องถิ่น 3. มีการใช้ระบบสมาชิกและสร้างการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน 4.มีการสื่อสารการตลาดและสร้างช่องทางการขายในรูปแบบใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีออนไลน์เข้ามาช่วยสนับสนุน 5.สร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวชุมชนผ่านเครือข่ายจากหน่วยงานราชการและสถาบันการศึกษาอย่างต่อเนื่อง 6. มีการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และคำนึงถึงผลกระทบต่อต้นทุน 7. มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สามารถเก็บรักษาสินค้าได้นานขึ้น มีรูปลักษณ์ที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของลูกค้า</span></p> กิตติพล สระบัว รุ่งศิริ สระบัว เยาวลักษณ์ มุงวงษา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 77 89 การพัฒนาความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/276549 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ตำบลโคกตะเคียนอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ใช้รูปแบบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมสนทนากลุ่ม กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 20 ราย โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยกระบวนการมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึก และจัดเวทีการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลโคกตะเคียนมีการดำเนินงานกลุ่ม แบ่งเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการบริหารจัดการกลุ่ม 2) ด้านการผลิต 3) ด้านการตลาด 4) ด้านการมีส่วนร่วม 5) ด้านการเงิน และ 6) ด้านผู้นำ โดยมีปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับกลยุทธ์บริหารจัดการไม่ชัดเจนทั้งการผลิต การจำหน่าย และการจัดทำบัญชี ทั้งนี้ศักยภาพการผลิตยังไม่ได้มาตรฐาน ขาดข้อมูลการวางแผนการดำเนินงาน ซึ่งจากปัญหาอุปสรรคดังกล่าวมีแนวทางในการพัฒนาเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งของกลุ่มคือ 1) การพัฒนาร่วมกับกลุ่มภายใน โดยการพัฒนาผู้นำและสมาชิกให้มีความรู้ความสามารถ และ 2) การพัฒนาร่วมกับกลุ่มภายนอก โดยการสร้างเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทั้งด้านการผลิต การตลาดและการบริหารจัดการ ไปสู่การสร้างกลยุทธ์เพื่อพัฒนากลุ่มให้เกิดความเข้มแข็งโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของสินค้าและมีมาตรฐาน</p> ทรงกลด พลพวก นวรัตน์ นิธิชัยอนันต์ ธราธร ภูพันเชือก วิมลกานต์ นิธิศิริวริศกุล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 90 99 THE INFLUENCE OF NATIVE FAMILY ON COLLEGE STUDENTS' MENTAL HEALTH https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/274475 <p>Mental health has become an increasingly significant concern in higher education institutions in China. With the rapid development of China's economy and society, pressure on college students has grown exponentially. The demands of academic performance, social integration, and future career prospects contribute to the stress experienced by students. This study explored these relationships through questionnaires distributed to 411 college students from diverse backgrounds in China. By synthesizing quantitative and qualitative research methods and combining a literature review of existing studies, this study explores the current situation and related to factors of college students' leadership from various aspects, such as family environment, campus culture, and social identity. The study used questionnaires and in-depth interviews as data collection methods, and developed corresponding research tools. The study findings confirm hypotheses on mental health issues among Chinese college students and the impact of family origin. This highlights the need for mental health support services and family education programmes. Regional differences in mental health suggest cultural and social influence. This study provides valuable insights for improving students’ mental health and informing policy decisions. Further research can explore additional factors that influence mental health and evaluate the effectiveness of interventions.</p> XI LYU SUJANYA SOMBATTEERA Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 100 107 THE RELEVANCE OF EASTERN ECONOMIC CORRIDOR (EEC) IN ENHANCING’S THAILAND ECONOMIC POLICY https://so05.tci-thaijo.org/index.php/scaj/article/view/277138 <p>The research was studied relevance of Eastern Economic Corridor (EEC) and Thailand Economic policy on the purposes to find out current situations and innovate in accordance with the scenario. With research method in qualitative approach which essential analysis elements and discrete research tools implemented for this study, and 20 key informants from both public and private sectors as random sampling were collected by dept-interview were used in this study. </p> <p>The results of studying that the relationship at the most were grown the region, systemized strength as same as reduced income inequality, and physical environment as same as managing productivity. When the least were developed internationality, developed country economic, and sustained skill performance, operated flexibly, and serviced processes at the least.</p> <p>By concern, in case of EEC in movement more effective for development and there are aimed businesses that promote in advanced technology and innovation in impacts.</p> EKSIRI NIYOMSILP Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-01 2025-01-01 11 1 108 119