สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร </strong></p> <p><strong> </strong>เป็นเวทีสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพ นักศึกษาและบุคคลทั่วไปในการเผยแพร่ผลงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางวิชาการที่เขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ที่เกี่ยวกับด้านการเรียนการสอน การบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน วัดและประเมินผล จิตวิทยาการศึกษา การศึกษาปฐมวัย การสอนวิทยาศาสตร์ทั่วไป นวัตกรรม เทคโนโลยีการศึกษาและคอมพิวเตอร์ ภาษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ประยุกต์ การสอนภาษาไทยและภาษาต่างประเทศและด้านอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับศึกษาศาสตร์ในรูปแบบของบทความวิจัยและบทความวิชาการต้นฉบับ บทความวิจัยและบทความวิชาการที่นำเสนอในการประชุมวิชาการ หรือ ได้รับตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือประมวลผลการประชุมทางวิชาการ (Proceedings) ที่นำมาเรียบเรียงใหม่ และกลั่นกรองใหม่ </p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ</strong></p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ภายใน 30 มิถุนายน)<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ภายใน 31 ธันวาคม)</p> <p style="text-align: justify;">ก่อนการเผยแพร่ทุกบทความต้องได้รับการกลั่นกรองและประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง 3 ท่านหากเป็นบทความภายในจะต้องได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกเท่านั้น การประเมินบทความจะเป็นแบบ Double-blinded ผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน และผู้ประเมินไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์</p> <p style="text-align: justify;"><span style="text-decoration: underline;"><strong>บทความและข้อความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป ในกรณีที่มีการลอกเลียนหรือแอบอ้างโดยปราศจากการอ้างอิงหรือทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานของผู้เขียนกรุณาแจ้งให้กองบรรณาธิการทราบต่อไป</strong></span></p> th-TH nathaya_boo@vu.ac.th (Assistant Professor Dr. Nathaya Boonkongsaen) pennapa_nom@vu.ac.th (Miss Pennapa Nomsungnoen) Wed, 04 Jun 2025 15:20:20 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาทักษะการประดิษฐ์พวงกุญแจจากภูมิปัญญาท้องถิ่นตามความเชื่อตาแหลว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบทีมเป็นฐาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/269301 <h4 style="margin-bottom: 0cm; line-height: normal; tab-stops: 1.0cm;"><span lang="TH">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการประดิษฐ์พวงกุญแจจากภูมิปัญญาท้องถิ่นตามความเชื่อ</span><span lang="TH">ตา<span style="letter-spacing: -.2pt;">แหลว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้แบบทีมเป็นฐานกับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 2) ศึกษาความ</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.2pt;">พึงพอใจ</span><span lang="TH">ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังได้รับการพัฒนาทักษะการประดิษฐ์พวงกุญแจจากภูมิปัญญาท้องถิ่นตามความเชื่อตาแหลว ด้วยการจัดการเรียนแบบทีมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/6 แผนการเรียน</span><span lang="TH">ศิลป์-ทั่วไป ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น จำนวน </span><span lang="TH">30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัด</span><span lang="TH">การเรียนรู้จำนวน 2 โดยแผนที่ 1 และแผนที่ 2 มีความเหมาะสมแผนอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 5.00 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.00 2) แบบประเมินทักษะการประดิษฐ์พวงกุญแจตาแหลว โดยมีค่า </span>IOC <span lang="TH">ระหว่าง 0.67</span> – <span lang="TH">1.00 และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบทีมเป็นฐาน มีค่า </span>IOC <span lang="TH">ทุกข้อเท่ากับ 1.00 สถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยประชากรโดยการทดสอบวิลคอกซัน (</span>Wilcoxon Signed Rank Test for One Sample)</h4> <p> </p> <h4 style="margin-bottom: 0cm; line-height: normal; tab-stops: 1.0cm;"><span lang="TH">ผลการวิจัย พบว่า 1</span>)<span lang="TH"> ผลการเปรียบเทียบทักษะการประดิษฐ์พวงกุญแจจากภูมิปัญญาท้องถิ่นตามความเชื่อตาแหลว ของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบทีมเป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 19.17 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.91 2) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังได้รับการพัฒนาทักษะการประดิษฐ์พวงกุญแจจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามความเชื่อตาแหลว ด้วยการจัดการเรียนแบบทีมเป็นฐาน</span><span style="text-indent: 0cm; font-size: 0.875rem;">ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.84 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.20</span></h4> เกศแก้ว นารีแก้ว, ศรีสุดา พัฒจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/269301 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารหลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏตามแนวคิดทุนมนุษย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273800 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารหลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏตามแนวคิดทุนมนุษย์ ประชากร คือ หลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่ง จำนวน 38 แห่ง รวม 3,172 หลักสูตร กลุ่มตัวอย่าง คือ หลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 343 หลักสูตร โดยใช้วิธีกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie &amp; Morgan ด้วยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายโดยใช้ตารางเลขสุ่ม ผู้ให้ข้อมูล คือ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร หลักสูตรละ 2 คน รวม 686 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารหลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏตามแนวคิดทุนมนุษย์ แบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ แบ่งออกเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ตอนที่ 2 ความเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารหลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏตามแนวคิดทุนมนุษย์ จำนวน 5 ด้าน รวมทั้งหมด 312 ข้อ และตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ จำนวน 5 ข้อ มีค่าความตรงทุกข้อเท่ากับ 1.0 และค่าความเที่ยงทั้งฉบับเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารหลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ด้านการจัดสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้มีความจำเป็นในการพัฒนามากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการออกแบบหลักสูตร ด้านการประเมินหลักสูตร ด้านการนำหลักสูตรไปใช้ และด้านการจัดบุคลากร มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาต่ำที่สุด</p> จักรพงษ์ ปัญญาพูนตระกูล, พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273800 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/270561 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัล 2) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัล 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัล และ 4) ศึกษาแนวทางการพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัล โดยใช้แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.979 กลุ่มตัวอย่างเป็นครู จำนวน 400 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกนและทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และค่าสัมประสิทธิ์พหุคูณถดถอยแบบขั้นตอน ขั้นตอนที่ 2 สร้างแนวทางการพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลด้วยการสนทนากลุ่มและประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า การมีจรรยาบรรณวิชาชีพ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ได้แก่ การมีทักษะในการสื่อสาร 2) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัลของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายปัจจัยพบว่า ปัจจัยการจูงใจมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ ปัจจัยลักษณะองค์การ และปัจจัยการบริหาร ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ได้แก่ ปัจจัยการทำงาน 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัล ได้แก่ ปัจจัยจูงใจ ปัจจัยลักษณะองค์การ ปัจจัยการบริหาร และปัจจัยการทำงาน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัล ร้อยละ 48.90 (R<sup>2</sup> =0.489) และ 4) แนวทางการพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคดิจิทัล ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ วิธีการพัฒนา และตัวชี้วัด และมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายปัจจัย พบว่า ปัจจัยจูงใจ มีความเหมาะสมสูงที่สุด รองลงมาคือ ปัจจัยลักษณะองค์การ ปัจจัยการบริหาร และปัจจัยการทำงาน</p> จารุณี ชาลี, สงวนพงศ์ ชวนชม, สมบูรณ์ ตันยะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/270561 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในโรงเรียน เขตอำเภอหนองกี่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271832 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู ในโรงเรียน เขตอำเภอหนองกี่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 และ 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในโรงเรียน เขตอำเภอหนองกี่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน และขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในโรงเรียนในเขตอำเภอหนองกี่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำนวน 183 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นโดยใช้ขนาดของสถานศึกษาเป็นชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้องของแบบสอบถามอยู่ที่ 1.00 ทุกข้อ และค่าความเชื่อมั่นโดยรวมทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานใช้ F-test เมื่อพบความแตกต่างทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในโรงเรียน เขตอำเภอ หนองกี่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามค่าเฉลี่ย จากมากไปหาน้อย คือ ด้านการบริหารความเสี่ยง ด้านการมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง ด้านการทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม ด้านการคิดสร้างสรรค์ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม 2) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในโรงเรียน เขตอำเภอหนองกี่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 พบว่า จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้น ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรมไม่แตกต่างกัน และ 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในโรงเรียนเขตอำเภอหนองกี่สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 พบว่า จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 </p> จิรพร แฟมไธสง, ชวลิต เกตุกระทุ่ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271832 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 โมเดลการวัดสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของครูสุขศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/268745 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของครูสุขศึกษา ในจังหวัดนครราชสีมา และ 2) ตรวจสอบโมเดลการวัดสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของครูสุขศึกษาในจังหวัดนครราชสีมาที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ ครูสุขศึกษาที่สอนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 300 คน โดยใช้วิธีสุ่มแบบโควตา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของครูสุขศึกษามีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.38-0.78 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของครูสุขศึกษา ในจังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.21, S.D. = 0.38) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการเข้าใจตนเอง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.23, S.D. = 0.55) รองลงมา ด้านการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.21, S.D. = 0.53) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการรู้คิด มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.18, S.D. = 0.42) ตามลำดับ และ 2) โมเดลการวัดสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานของครูสุขศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์พิจารณาได้จากค่า : <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi&amp;space;" alt="equation" /><sup>2</sup> = 2.54, df = 6, p = 0.952, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi&amp;space;" alt="equation" /><sup>2</sup>/ df = 0.42 GFI = 1.00, AGFI = 0.99, RMSER = 0.00 และ RMR = 0.00</p> ชยพล ธงภักดี, จักรพงษ์ พร่องพรมราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/268745 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารความปลอดภัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในโรงเรียน เขตอำเภอจักราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272192 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารความปลอดภัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในโรงเรียนเขตอำเภอจักราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 และ 2) เปรียบเทียบการบริหารความปลอดภัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษาที่ปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนในโรงเรียนเขตอำเภอจักราช จำนวน 186 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีจับสลาก เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารความปลอดภัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากสุดอันดับแรก คือ การป้องกัน รองลงมา คือ การปราบปราม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือการปลูกฝัง 2) การเปรียบเทียบการบริหารความปลอดภัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมแตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าความปลอดภัยของสถานศึกษา ด้านการป้องกัน การปลูกฝัง และการปราบปราม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และการเปรียบเทียบการบริหารความปลอดภัยของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู จำแนกตามขนาดสถานศึกษาที่ปฏิบัติงาน โดยภาพรวมแตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ความปลอดภัยของสถานศึกษา ด้านการป้องกัน และการปราบปราม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> นงนลิน ขาวจันทร์คง, ชุติมา พรหมผุย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272192 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำใฝ่บริการผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอจักราช ตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272245 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอจักราช ตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 และ 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอจักราช ตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูผู้สอนในโรงเรียนเขตอำเภอจักราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 จำนวนทั้งสิ้น 186 คน ได้จากการเทียบจำนวนประชากรกับตารางการหากลุ่มตัวอย่างของ เครจซี่และมอร์แกน โดยการสุ่มแบบเป็นชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) จากนั้นจึงทำการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีจับสลาก การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอจักราช ตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากสุดอันดับแรก คือ การส่งเสริมและช่วยเหลือผู้อื่น รองลงมา คือ การบริการผู้อื่นก่อนคิดถึงประโยชน์ส่วนตน และการรับฟังความคิดเห็นและการยอมรับผู้อื่น ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การทำตัวให้น่าเชื่อถือ 2) การเปรียบเทียบภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอจักราช ตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 พบว่า จำแนกตามวุฒิการศึกษาต่างกัน โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามประสบการณ์การทำงานต่างกัน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามขนาดของสถานศึกษาต่างกัน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> นิอร เพ็ชรกระโทก, ชุติมา พรหมผุย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272245 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563) มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272233 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษาตามกรอบ CIPP Model และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ผู้ให้ข้อมูล 163 คน ประกอบด้วยอาจารย์ประจำหลักสูตร/อาจารย์ผู้สอน จำนวน 15 คน นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 46 คน ศิษย์เก่า จำนวน 70 คน และผู้ใช้บัณฑิตหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษาที่สำเร็จการศึกษา ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างที่ประยุกต์มาจากการทบทวนวรรณกรรม และหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากแบบสัมภาษณ์ โดยการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอในเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการประเมินทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านบริบท ด้านบริบท ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต พบว่า อาจารย์ประจำหลักสูตร/อาจารย์ผู้สอน และศิษย์เก่า มีการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส่วนนักศึกษาปัจจุบันมีการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) แนวทางในการพัฒนาหลักสูตร 4 ด้าน คือ (1) ด้านบริบท: ควรปรับเนื้อหารายวิชาให้ทันสมัยให้ส่งเสริมความเป็นผู้บริหารในยุคการเปลี่ยนแปลงให้มากขึ้น (2) ด้านปัจจัยนำเข้า: ควรส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เทคโนโลยีในการเรียนแบบใหม่ๆ มีระบบการสนับสนุนการเรียน ควรมีสื่อการสอนที่หลากหลาย และทันสมัย (3) ด้านกระบวนการ : อาจารย์ประจำหลักสูตรทุกคนควรมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารหลักสูตร ร่วมคิดร่วมทำและทำงานเป็นทีม ควรจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย และการจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้สูงขึ้น จัดระบบอาจารย์ที่ปรึกษาให้นักศึกษาสามารถเลือกที่ปรึกษาได้อย่างอิสระและเหมาะสม และ (4) ด้านผลผลิต: ควรมีการปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาคุณลักษณะของนักศึกษา ทั้งด้านวิชาการและเพิ่มทักษะวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา</p> <p> </p> บุญญ์กัญญ์ จิระเพิ่มพูน, ชุติมา พรหมผุย, อำนาจ อยู่คำ, พิเชษฐ์ พรหมผุย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272233 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมฝึกอบรมแบบผสมผสาน เรื่อง การออกแบบการเรียนการสอนเชิงอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น ตามกรอบการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของคุรุสภา สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครูสังคมศึกษา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273818 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานการออกแบบการเรียนการสอนเชิงอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น ตามกรอบการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของคุรุสภา สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครูสังคมศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการสนทนากลุ่ม (จำนวน 5 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ใช้วิธีการเชิงคุณภาพ โดยใช้การเก็บข้อมูลจากการสังเคราะห์เอกสาร และการสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูล และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย การวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์แบบอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ในสภาวการณ์ปัจจุบันนโยบายทางการศึกษาชาติ ระบุให้ภารกิจสำคัญของครู และสถานศึกษา ต้องมีการอนุรักษ์ สืบสาน และทำนุบำรุงมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นโดยนำมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการศึกษา ครูสังคมศึกษาจึงต้องมีความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนเชิงอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น ซึ่งมีความเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับพฤติกรรมบ่งชี้บางข้อของสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตน ตามมาตรฐานวิชาชีพครู พ.ศ. 2564 ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการฝึกอบรม คือ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอนเชิงอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น ตามกรอบการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของคุรุสภา ของนักศึกษาวิชาชีพครูสังคมศึกษา จำนวน 10 พฤติกรรมบ่งชี้ กำหนดระดับคุณภาพ 5 ระดับ ตามเกณฑ์การประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของคุรุสภา แนวทางการพัฒนากิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสานที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาที่เน้นการเรียนรู้จากการเชื่อมโยงประสบการณ์ การนำตนเอง และงานในหน้าที่</p> ปรัชญา เหลืองแดง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273818 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272522 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) สร้างแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และ 3) ประเมินแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 612 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีค่าความสอดคล้อง (IOC) 0.50-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>) ค่ามัธยฐาน และพิสัยควอไทล์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์การพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและการจัดลำดับความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประกอบด้วย (1) ด้านการติดตามผลการดำเนินงานให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา (2) ด้านการประเมินผลและการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา (3) ด้านการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองให้แก่หน่วยงานต้นสังกัด (4) ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา (5) ด้านการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาจากผลการประเมินตนเอง (6) ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และ (7) ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2) แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย (1) ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 5 แนวทาง (2) ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 7 แนวทาง (3) ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา 5 แนวทาง (4) ด้านการประเมินผลและการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา 5 แนวทาง (5) ด้านการติดตามผลการดำเนินการให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา 6 แนวทาง (6) ด้านการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองให้แก่หน่วยงานต้นสังกัด และ 5 แนวทาง และ (7) ด้านการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาจากผลการประเมินตนเอง 5 แนวทาง 3) ผลการประเมินแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</p> รัตนาภรณ์ จันทนา, วานิช ประเสริฐพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272522 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความเป็นสถานศึกษาปลอดภัย ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271520 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความเป็นสถานศึกษาปลอดภัย ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 2) ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความเป็นสถานศึกษาปลอดภัย ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 และ 3) ตรวจสอบความเที่ยงตรงตามสภาพขององค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความเป็นสถานศึกษาปลอดภัย ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้รักษาการในตำแหน่ง ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 465 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ มีค่าความเชื่อมั่น 0.98 ใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ เพื่อพิจารณาจัดกลุ่มตัวบ่งชี้ให้ถูกต้องโดยยืนยันจากค่าสถิติ เพื่อลดจำนวนตัวแปรของตัวแปรย่อย และหมุนแกนแบบตั้งฉากด้วยวิธีแวร์ริแมกซ์ จากนั้นได้นำตัวบ่งชี้ที่ได้จากการดำเนินการข้างต้นมาสร้างแบบสอบถาม และนำไปเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้รู้แจ้งชัด ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ที่ได้รับรางวัลสถานศึกษาปลอดภัย อย่างน้อย 1 ครั้ง ในรอบ 10 ปี จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยกับเกณฑ์ (µ = 3.51) โดยใช้สถิติ t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความเป็นสถานศึกษาปลอดภัย ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ 72 ตัวบ่งชี้ สามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวบ่งชี้ ได้ร้อยละ 72.715 และจากการนำตัวบ่งชี้ที่ค้นพบไปทดสอบกับกลุ่มผู้รู้แจ้งชัดปรากฏว่ามีนัยสำคัญทางสถิติทุกตัวบ่งชี้ และสามารถยืนยันได้ว่าตัวบ่งชี้ ทั้ง 72 ตัวบ่งชี้ มีความเที่ยงตรงตามสภาพ</p> วาชินี บุญญพาพงศ์, สมบูรณ์ ตันยะ, สงวนพงศ์ ชวนชม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271520 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียน โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272399 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ 2)สร้างรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ 3)ประเมินรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์การวิจัยแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 การศึกษาความต้องการจำเป็นของการจัดการศึกษา เพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ ตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ด้วยการสนทนากลุ่มและตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างคือ โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 95 โรงเรียน ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์เพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ มีความต้องการจำเป็นในการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียน จำนวน 8 ด้าน คือ (1) ด้านการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการพัฒนาอาชีพ (2) ด้านการสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพ (3) ด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ภายในสถานศึกษา (4) ด้านการวัดความถนัดด้านอาชีพและความถนัดด้านวิชาการของนักเรียน (5) ด้านการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะด้านอาชีพและการมีงานทำ (6) ด้านการสร้างความตระหนักในการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำ (7) ด้านการศึกษาความต้องการตลาดแรงงาน (8) ด้านการพัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างทักษะด้านอาชีพและการมีงานทำ 2) รูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ประกอบด้วย (1) หลักการและเหตุผล (2) วัตถุประสงค์ (3) สาระสำคัญ (4) แนวทางสู่การปฏิบัติ (5) เงื่อนไขความสำเร็จ และ 3) รูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ มีความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด</p> ศราวุธ ศรีหาบุญทัน, ชูเกียรติ วิเศษเสนา, วรสิทธิ์ รัตนวราหะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272399 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271831 <h5>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 จำแนกตาม วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และ ขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 จำนวน 310 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือในการวิจัยคือ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 ทุกข้อและมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยด้วยการทดสอบที (t-test) และการทดสอบเอฟ (F-test)</h5> <p> </p> <h5>ผลการวิจัย พบว่า 1) การมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ผลการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 พบว่า (1) ครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการ ภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 (2) ครูที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานต่างกัน ภาพรวมไม่แตกต่างกัน (3) ครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน ภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</h5> ศุภวรรณ เกิดมงคล, ชวลิต เกตุกระทุ่ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271831 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบทเรียนโปรแกรม Desmos เพื่อพัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273132 <h4 style="margin-bottom: 0cm; line-height: normal; tab-stops: 1.0cm;"><span lang="TH" style="color: windowtext;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ </span><span lang="TH">1) ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบทเรียนโปรแกรม </span>Desmos <span lang="TH">เพื่อพัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 2) ศึกษา</span><span lang="TH">ผลการพัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบทเรียนโปรแกรม </span>Desmos <span lang="TH">เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 22 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย ด้วยเทคนิคการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผน</span><span lang="TH">การจัดการเรียนรู้ 2) บทเรียนโปรแกรม </span>Desmos <span lang="TH">3) แบบประเมินผลการจัดการเรียนรู้ 4) แบบทดสอบวัดมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาวิเคราะห์แบบประเมินผลเพื่อสังเคราะห์แนวทาง สถิติที่ใช้ทดสอบ คือ การทดสอบที (</span>t-test Dependent Samples) </h4> <h4 style="margin-bottom: 0cm; line-height: normal; tab-stops: 1.0cm;"> </h4> <p> </p> <h4 style="margin-bottom: 0cm; line-height: normal; tab-stops: 1.0cm;">ผลการวิจัย พบว่า 1) แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบทเรียนโปรแกรม Desmos เพื่อพัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ (1) สถานการณ์ปัญหา (2) ระบุข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง (3) การสร้างแนวคิดและสมมุติฐาน (4) ตรวจสอบความรู้เดิมและศึกษาความรู้ใหม่ (5) การนำความรู้มาประยุกต์ใช้ (6) สรุปข้อมูลให้มีโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ คือ (ก) ครูควรให้นักเรียนคุ้นชินกับการนำเทคโนโลยีบทเรียน Desmos มาใช้ในการเรียนรู้ (ข) ในระหว่างทำกิจกรรมครูควรสร้างโอกาสให้นักเรียนได้ร่วมวิเคราะห์ปัญหา หาวิธีแก้ปัญหากับเพื่อนในกลุ่ม (ค) ครูควรกำหนดเวลาในการทำบทเรียน โดยดูที่ความพร้อมและความสามารถของนักเรียน (ง) ครูควรติดตามการทำบทเรียนโปรแกรม Desmos ผ่าน Dashboard History พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ และ (จ) ครูควรคอยกระตุ้นนักเรียนเป็นระยะ ในระหว่างทำกิจกรรม 2) ผลการพัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ พบว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบทเรียนโปรแกรม Desmos เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส มีการพัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</h4> โศภิษฐา คงธน, อาทร นกแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273132 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้ปัญหาปลายเปิดที่มีต่อความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273263 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาปลายเปิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จํานวน 36 คน ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิด เรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลม จํานวน 7 แผน และแบบทดสอบวัดความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลม โดยเป็นข้อสอบแบบถูกผิดและเขียนแสดงเหตุผล จำนวน 10 ข้อ และข้อสอบแบบอัตนัยที่ให้แสดงแนวคิดและวิธีทำอย่างละเอียด จำนวน 5 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมีความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลม หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาปลายเปิด ในภาพรวม สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 2) นักเรียนสามารถตอบข้อสอบข้อที่ต้องแสดงเหตุผลได้ถูกต้องทั้งคำตอบและเหตุผล พบว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 12.58 คะแนน จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน และนักเรียนสามารถทำข้อสอบแบบอัตนัยที่ให้แสดงแนวคิดและวิธีทำอย่างละเอียดได้ถูกต้อง พบว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 23 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน</p> สาริศา ปิ่นทอง, ทรงชัย อักษรคิด, ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273263 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วันสำคัญทางศาสนาและการปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/269729 <h5>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วันสำคัญทางศาสนาและการปฏิบัติตน ของพุทธศาสนิกชน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการจัดการเรียนรู้เรื่อง วันสำคัญทางศาสนาและการปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโนนขุยสามัคคี อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วันสำคัญทางศาสนาและการปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ได้ค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้ค่าความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน ได้ค่าความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 1.00 ทุกข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานการวิจัย โดยใช้สถิติทดสอบที</h5> <p> </p> <h5>ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานอยู่ในระดับมากที่สุด</h5> สุภัสสร โคตรมณี, ศิริพร พึ่งเพ็ชร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/269729 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การสร้างชุดฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Active Learning ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/274235 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพของชุดฝึกการพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Active Learning 2) ศึกษาคะแนนชุดฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อชุดฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 52 คน ของ โรงเรียนอนุบาลบ่อพลอยและนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 16 คน ของโรงเรียนบ้านหนองกระทุ่ม ได้มาด้วยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้ เทคนิคการสอนแบบ Active Learning ค่าความสอดคล้อง IOC ระหว่าง 0.66-1.0 2) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเกี่ยวกับอาหารเป็นชนิดแบบเลือกตอบ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อชุดฝึกทักษะการเขียนโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Active Learning สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Active Learning มีค่าความสอดคล้อง IOC ระหว่าง 0.66-1.0 2) ผลการเปรียบเทียบผลคะแนนทักษะเขียนภาษาอังกฤษหลังการเรียนรู้ผ่านเทคนิคการสอนแบบ Active Learning ของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลบ่อพลอย สูงกว่าก่อนการใช้เทคนิคการสอนแบบ Active Learning อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการเปรียบเทียบค่าคะแนนทักษะเขียนภาษาอังกฤษหลังการเรียนรู้ผ่านเทคนิคการสอนแบบ Active Learning ของนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองกระทุ่ม สูงกว่าก่อนเรียนรู้การใช้เทคนิคการสอนแบบ Active Learning อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลบ่อพลอยและโรงเรียนบ้านหนองกระทุ่มโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> อนัญญา เอกจีน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/274235 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การวัดความยาว สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272696 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ส่งเสริมความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การวัดความยาว สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 2) ศึกษาความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ผู้เข้าร่วมวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียน 6 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ซึ่งมีเกณฑ์ในการเลือก คือ เป็นนักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เรื่องการวัดความยาว จำนวน 3 แผน แบบสะท้อนผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ใบกิจกรรม แบบสังเกตการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ และแบบทดสอบความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์เป็นแบบอัตนัย จำนวน 4 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.67-1.00 มีค่าความยากง่ายของข้อสอบรายข้อตั้งแต่ 0.50-0.75 มีค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบรายข้อตั้งแต่ 0.47-0.67 และค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา การให้คะแนนแบบแยกประเด็น และการตรวจสอบแบบสามเส้า </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ มีประเด็นที่ควรเน้น คือ การออกแบบสถานการณ์ปัญหาในชีวิตจริงที่ใกล้ตัว โดยมีวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลายเพื่อให้นักเรียนได้เกิดการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ มีการใช้คำถามกระตุ้นความคิดเพื่อนำไปสู่การระดมสมองและอภิปรายร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา มีการประยุกต์ใช้แนวคิดทางคณิตศาสตร์ นำเสนอผลลัพธ์ของสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ 2) ความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในระหว่างการจัดการเรียนรู้ นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์ทั้ง 4 องค์ประกอบอยู่ในระดับดีเยี่ยมแต่หลังจากการเรียนรู้นักเรียนได้ทำแบบทดสอบความสามารถในการอภิปรายทางคณิตศาสตร์พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถอยู่ในระดับดีเยี่ยมทั้ง 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การเสนอความคิดและให้เหตุผลสนับสนุนแนวคิดของตนเอง 2) การให้หลักฐานสนับสนุนแนวคิด 3) การโต้แย้งแนวคิดที่แตกต่างและให้เหตุผลสนับสนุนการโต้แย้งแนวคิด แต่นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถอยู่ในระดับดี ในด้านที่ 4) การให้เหตุผลสนับสนุนแนวคิดของผู้อื่น</p> อรอุมา ชินมาลา, น้ำทิพย์ องอาจวาณิชย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/272696 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารความปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ป. ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273131 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารความปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ป. ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา 2) เปรียบเทียบการบริหารความปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ป. ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา สถานศึกษาที่มีขนาดต่างกัน และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารความปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ป. ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ในวงจรคุณภาพเดมมิ่ง ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านมาตรการป้องกัน ด้านมาตรการปลูกฝัง และด้านมาตรการปราบปรามจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา ประชากร ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 50 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา 1 ท่าน และรองผู้อำนวยการสถานศึกษา 1 ท่าน ครูที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานความปลอดภัยในสถานศึกษา 1 ท่าน รวมสถานศึกษาละ จำนวน 3 ท่าน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 150 ท่าน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้องของแบบสอบถามอยู่ที่ 1.00 ทุกข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยนำเสนอ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการบริหารความปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ป. ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารความปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ป. ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมาจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกัน และ 3) ผลการศึกษาแนวทางและการพัฒนาการบริหารความปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ป. ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ในวงจรคุณภาพเดมมิ่ง ประกอบด้วย 3 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการด้านการป้องกัน สถานศึกษาควรมีการประชุม วางแผนการดำเนินงาน พร้อมทั้งจัดทำแผนด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยการระบุความเสี่ยงด้านความปลอดภัย พร้อมกับจัดทำนโยบายและขั้นตอนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยตามความเสี่ยงที่ระบุ 2) มาตรการด้านการปลูกฝัง สถานศึกษาควรจัดลำดับความรุนแรงเร่งด่วนของความปลอดภัยสถานศึกษา มีการวางแผนปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยเพิ่มเนื้อหาด้านความปลอดภัยสถานศึกษาที่สอดคล้องกับความรุนแรงเร่งด่วน และ 3) มาตรการด้านการปราบปราม สถานศึกษา</p> <p> </p> อลงกต สระนอก, ชวลิต เกตุกระทุ่ม, อำนาจ อยู่คำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/273131 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700 การรู้หนังสือของเด็กปฐมวัย: ความท้าทายในโลกยุคดิจิทัล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271507 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องการรู้หนังสือของเด็กปฐมวัย ในโลกยุคดิจิทัล แก่ผู้ปกครอง ครูปฐมวัย และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก และ 2) เสนอแนะแนวทางการพัฒนา การรู้หนังสือของเด็กปฐมวัย ที่มีการผสมผสานการใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุล และเหมาะสมกับวัยของเด็ก การรู้หนังสือของเด็กปฐมวัย เป็นการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญในชีวิตของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่มีความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเด็น ยุคนี้เด็กมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและสื่อหลายรูปแบบผ่านอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งอาจส่งผลดีต่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เด็กเสียสมาธิหรือมีปัญหาการจัดการเวลาและสุขภาพ ผู้ปกครองและครูต้องมีบทบาทในการเลือกสื่อที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและคุณภาพของเนื้อหา เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งานสื่อดิจิทัล การใช้อุปกรณ์ดิจิทัล และแอปพลิเคชันที่สามารถเสริมสร้างทักษะการอ่านและเขียนของเด็กได้ รวมถึงมีการควบคุมและกำกับดูแล เพื่อไม่ให้เด็กพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป จนสูญเสียทักษะการอ่านและเขียนด้วยตนเอง การจำกัดเวลาในการใช้สื่อดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญต่อการป้องกันไม่ให้เด็กใช้เวลามากเกินไปในการเล่นเกมหรือดูวิดีโอ จนทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพและพฤติกรรมการเรียนรู้ทั้งนี้ในยุคดิจิทัลควรเป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยผสมผสานระหว่างการใช้สื่อดิจิทัลกับการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมและการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาทั้งด้านทักษะทางวิชาการและทักษะทางสังคม</p> รัตนวดี รอดภิรมย์, สมพร ชาลีเครือ, ลัดดา เชียงนางาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิกขา วารสารศึกษาศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/271507 Wed, 04 Jun 2025 00:00:00 +0700