วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs <p><strong>วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ </strong>เกิดมาจากปณิธานของมหาวิทยาลัยศรีปทุม คือ “ปัญญา เชี่ยวชาญ เบิกบาน คุณธรรม” และปรัชญาที่ว่า “การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ” โดยมุ่งหวังว่าวารสารฉบับนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลทางการวิจัยและทางวิชาการระดับชาติทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สำหรับคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ ตลอดจนนิสิตและนักศึกษา รวมทั้งผู้สนใจทั่วไป</p> มหาวิทยาลัยศรีปทุม en-US วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2985-1718 <p>1. กองบรรณาธิการสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาและตัดสินการตีพิมพ์บทความในวารสาร<br>2. บทความทุกเรื่องจะได้รับการตรวจสอบทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ข้อความและเนื้อหาในบทความที่ตีพิมพ์เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว มิใช่ความคิดเห็นและความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br>3.การคัดลอกอ้างอิงต้องดำเนินการตามการปฏิบัติในหมู่นักวิชาการโดยทั่วไป และสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง</p> กรอบการวิเคราะห์ปัจจัยสู่ความยั่งยืนสำหรับธุรกิจให้เช่าโกดัง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/273821 <p>การดำเนินธุรกิจให้เช่าโกดังในปัจจุบันต้องเผชิญกับหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์ การดำเนินงาน บทความนี้นำเสนอกรอบการวิเคราะห์ที่ผสมผสานแนวคิดของ Triple Bottom Line, PESTEL และ VRIN เพื่อประเมินปัจจัยที่นำไปสู่ความยั่งยืนสำหรับธุรกิจให้เช่าโกดัง กรอบการทำงานดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในองค์กรได้อย่างครอบคลุม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การบูรณาการทั้ง 3 กรอบการวิเคราะห์ทำให้ธุรกิจให้เช่าโกดังสามารถประเมิน แรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย พร้อมทั้งวิเคราะห์จุดแข็งและทรัพยากรภายในที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น เทคโนโลยีโลจิสติกส์ขั้นสูง โครงสร้างพื้นฐาน และทำเลที่ตั้ง โดยมุ่งเน้นสร้างความสมดุลระหว่างผลประกอบการทางธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การบูรณาการกรอบการทำงานนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจให้เช่าโกดัง เนื่องจากช่วยให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง โดยการใช้ประโยชน์จากโอกาสภายนอกและจุดแข็งภายในเพื่อความได้เปรียบในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม</p> ณัฏฐ์ปภัสร์ อามีรอวา ศุภวัฒน์ สุขะปรเมษฐ สุนันทา เสถียรมาศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 230 243 Enhancing the Future Skill Development of Learners through The FIRST Module Based on Labor Market Demands https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/275761 <p>This paper aims to provide the guidance to the educational institution and the organization for understanding disruptive external factor changing that impact toward shifting job landscape and skillset of needed people in workplace. This paper depicts the module regarding on the 21<sup>st</sup> century skill, core future skill, and how importance of generic skill, including life skill that affected from the contextual environment in learning. These issues have strongly influenced toward the learners’ capability and competency in performance. Reskill and upskill are the solution(s) for existing human development that replaces new hiring. The FIRST framework is the tool for cultivating via all 5 steps are focusing on learner, integrating the positive group, reviewing activity, sequence of activity, and transforming into action respectively. Alternatively, after graduated, it would have 2 choices generally; entrepreneur and employee in organization. FIRST module with 5 steps in teaching for ready to be an entrepreneur and FIRST module with 5 steps with ready to work for employability. Each learners’ objective has different approach, direction, details and activities through FIRST framework either entrepreneurial entrepreneurship with extra re – up skill training or students with special course(s) in learning. Herewith, self - lifelong learning consciousness should be fundamental cultivated for all in every level of teaching.</p> Muenjit Jitsoonthornchaikul ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 244 258 คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/281914 <p>คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับ</p> สุบิน ยุระรัช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 259 264 An Application of Plant-based Solution Patinated Brass to Fashion Accessory Design https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/275163 <p>Intentional patina on metal is traditionally accelerated using highly corrosive, inorganic chemicals. Plant-based solution is a safer alternative, uses plant parts to induce patina on copper and brass. Although mildly corrosive, it produces distinctive patinas on 0.1 mm-thin brass and copper sheets. However, the sensitivity of its patinas and the thin metal sheet presented a challenge for application to craft/design objects. This research was set to explore a safer metalsmithing process by combining plant patination on brass sheets with cold connection and demonstrating it on a fashion accessory. The study was divided into four parts: 1) Patination Experiment, 2) Cold Joining Experiment, 3) Design, and 4) Production. Rose apple solution on brass was selected for its colors and durability. The types of cold joining experiments were Wire Hoop Joint and the Interlocking Tab and Slot Joint. The results: Interlocking Tab and Slot Joint can be well applied to plant-patinated 0.1 mm-thin brass sheets. The fashion accessory (shoulder bag) incorporated aesthetic value of the patina created by sustainable method and demonstrated an application of the material through the adoption of modular system. The result can be further applied to surface design, product design, and interior design. Further research should explore different modular shapes and sizes that allow the unique visual characteristic of plant-induced patinas to take center stage and to create more possibilities in design.</p> Pattiya Harputpong Eakachat Joneurairatana Veerawat Sirivesmas ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 11 26 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลด้านนวัตกรรมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อร่วมเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจบีซีจีในประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/275182 <p>การขับเคลื่อนเศรษฐกิจบีซีจีในประเทศไทยมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ การส่งเสริมให้ SMEs มีประสิทธิผลด้านนวัตกรรมจึงเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยและพัฒนารูปแบบปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลด้านนวัตกรรมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อร่วมเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจบีซีจีในประเทศไทย โดยมุ่งศึกษาความสามารถในการใช้ความรู้ นวัตกรรมแบบเปิด และประสิทธิผลด้านนวัตกรรมของ SMEs โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ วิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในภาคส่วนของ SMEs จำนวน 321 คน พบว่า SMEs ไทยมีระดับความสามารถในการใช้ความรู้ อยู่ในระดับมาก และมีระดับนวัตกรรมแบบเปิดและประสิทธิผลด้านนวัตกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด ในขณะที่ ผลการวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง พบว่า ความสามารถในการใช้ความรู้มีอิทธิพลทางตรงต่อนวัตกรรมแบบเปิดและประสิทธิผลด้านนวัตกรรม อีกทั้ง นวัตกรรมแบบเปิดไม่เพียงแต่มีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิผลด้านนวัตกรรม แต่ยังมีบทบาทเป็นตัวแปรส่งผ่านอิทธิพลระหว่างความสามารถในการใช้ความรู้และประสิทธิผลด้านนวัตกรรมด้วย ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า SMEs ควรส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนาความรู้และทักษะขั้นสูง และหน่วยงานภาครัฐควรใช้กลยุทธ์นวัตกรรมแบบเปิดในการส่งเสริมให้ SMEs มีประสิทธิผลด้านนวัตกรรมที่สูงขึ้น</p> วิลาส วิถีไพร ปิยะวิทย์ ทิพรส ประสงค์ ปราณีตพลกรัง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 27 44 การวิเคราะห์กลุ่มพหุโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความสำเร็จของระบบสารสนเทศ การขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยระหว่างแพลทฟอร์มของลาซาด้าและชอปปี้ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/275423 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการรับรู้คุณภาพของระบบสารสนเทศการขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย (2) ศึกษาความสำเร็จของระบบสารสนเทศการขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย (3) พัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความสำเร็จของระบบสารสนเทศการขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย และ (4) ตรวจสอบความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความสำเร็จของระบบสารสนเทศการขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยระหว่างผู้ใช้แพลทฟอร์มของลาซาด้าและชอปปี้ การศึกษาใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 800 คน ซึ่งเป็นผู้บริโภคที่ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มลาซาด้าและชอปปี้ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์บน google form วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์กลุ่มพหุ ผลการวิจัยปรากฏว่า (1) การรับรู้คุณภาพระบบสารสนเทศการขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย มีการรับรู้อยู่ในระดับมาก (2) ความสำเร็จของระบบสารสนเทศการขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย ความสำเร็จอยู่ในระดับมาก (3) โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยที่การรับรู้คุณภาพของข้อมูล การรับรู้คุณภาพของระบบ และการรับรู้คุณภาพการให้บริการ ส่งผลทางตรงต่อความตั้งใจใช้ระบบสารสนเทศ และส่งผลทางอ้อมต่อความสำเร็จของระบบสารสนเทศผ่านความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ และตัวแปรทั้งหมดสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 82 และ (4) โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความสำเร็จของระบบสารสนเทศการขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยที่พัฒนาขึ้นมีความแปรเปลี่ยนระหว่างแพลทฟอร์มของลาซาด้าและชอปปี้</p> กานต์พิชา สุมังคะละ พูลพงศ์ สุขสว่าง ปริญญา เรืองทิพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 45 58 การสร้างเสริมสมรรถนะของครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาคุณธรรมเชิงพฤติกรรม ของวัยรุ่นในสังคมยุคดิจิทัล: กรณีศึกษาใน 17 จังหวัดภาคเหนือ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/276164 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสมรรถนะที่จำเป็นของครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาคุณธรรมเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นในสังคมยุคดิจิทัล (2) เพื่อศึกษาแนวทางสำหรับครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาคุณธรรมเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นในสังคมยุคดิจิทัล (3) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาคุณธรรมเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นในสังคมยุคดิจิทัล (4) เพื่อจัดทำหลักสูตรอบรมระยะสั้นเพื่อสร้างเสริมสมรรถนะและพฤติกรรมที่จำเป็นของครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาคุณธรรมเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นในสังคมยุคดิจิทัลและนำไปใช้อบรมในพื้นที่เป้าหมาย การวิจัยนี้เป็นการ<em>วิจัย</em>แบบ<em>ผสมผสานโดยทำการวิจัยใน 17 จังหวัดภาคเหนือ</em><em> </em>ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 2,550 คน ทำการสัมภาษณ์เชิงลึก และใช้หลักสูตรอบรมระยะสั้น ประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลังการอบรม ทำการวิเคราะห์เนื้อหา และใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test Dependent ผลการวิจัยพบว่า ครอบครัวและชุมชนจำเป็นต้องมีสมรรถนะที่สำคัญได้แก่ สมรรถนะด้านความรู้ การสื่อสาร การเป็นแบบอย่าง และความสัมพันธ์ เป็นต้น แนวทางสำหรับครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาคุณธรรมเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นได้แก่ การแลกเปลี่ยนความคิด การให้ความรู้ การสร้างวินัย และประพฤติเป็นแบบอย่าง เป็นต้น โดยข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญประกอบด้วย การสนับสนุนให้ครอบครัวและชุมชนได้พัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยี และอบรมพัฒนาคุณธรรมเชิงพฤติกรรมและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ชุมชน และวัยรุ่นอย่างเหมาะสม เป็นต้น นอกจากนี้การอบรมหลักสูตรระยะสั้นฯ พบว่าผลสัมฤทธิ์ของคะแนนการอบรมก่อนและหลังมีคะแนนแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 โดยกลุ่มตัวอย่างมีความรู้เพิ่มขึ้นหลังการอบรม</p> พิษนุ อภิสมาจารโยธิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 59 75 Exploring Design Characteristics in Kindergarten Interior Spaces: A Case Study in Ho Chi Minh City, Vietnam https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/276360 <p>In recent years, the number of young children attending school has been increasing in Ho Chi Minh City, Vietnam (HCMC, VN). This growth has led to a substantial rise in the construction of kindergartens. However, the quality of these schools may vary due to multiple factors. As a result, it is essential to propose standardized design requirements to adapt the fundamentals of children’s development and help to enhance children’s experience within the kindergarten environment, with a particular focus on interior space where young children spend most of their school day. The primary aims of this paper are to explore key design characteristics in kindergarten interior space; and to understand educators' perspectives on the design requirements for optimizing learning interior space in kindergartens, focusing on the context of HCMC, VN. The methodology includes a literature review, case study analysis, and interviews with educators. As a result, the paper suggests that key design characteristics in kindergarten interior spaces should be prioritized during the design process to enhance the efficiency of learning environments and support children’s developmental needs. Four main themes are identified: functional factors, aesthetic factors, psychological factors, and interactional factors. The outcomes of this study have benefits to various user groups and participants, including kindergarten policy makers educators, architects, and interior designers, as well as the value of returning to the fundamentals of the educational goals through children's perceptual and physical interaction with the interior environment.</p> An NguyenThiTam Eakachat Joneurairatan Veerawat Sirivesmas ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 76 93 การศึกษาความต้องการและแนวทางการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ สำหรับบุคคลในชุมชน พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/276704 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการและแนวทางในการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ สำหรับบุคคลในชุมชน พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นผู้ประกอบการในชุมชนพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 122 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้ เป็นแบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์กับความคาดหวังของผู้ประกอบการ ประกอบด้วย 6 ด้าน ดังนี้ การบริหารจัดการ การตลาด เทคโนโลยีสารสนเทศ การผลิต บัญชีและการเงิน และทรัพยากรมนุษย์/บุคลากร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน และค่าสถิติ Modified Priority Needs Index Modified (PNI<sub>modifiled</sub>) ผลการวิจัย พบว่า (1) ผลการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นใน การพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ สำหรับบุคคลในชุมชน พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจค้าขาย ประเภทอาหารคาว อยู่ในพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา มีรายได้เฉลี่ยระหว่าง 10,001-30,000 บาท เมื่อพิจารณาจำแนกตามรายด้าน พบว่า ความแตกต่างระหว่างสภาพปัจจุบันและความคาดหวังความเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ ภาพรวมมีค่า PNI<sub>modifiled</sub> เท่ากับ .0612 โดยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสูงสุด มีค่า PNI<sub>modifiled</sub> เท่ากับ .1165 รองลงมาด้านการตลาด มีค่า PNI<sub>modifiled</sub> เท่ากับ .0668 ส่วนด้านที่ต่ำสุด คือ ด้านทรัพยากรมนุษย์/บุคลากร PNI<sub>modifiled</sub> เท่ากับ .0576 (2) แนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการสมัยใหม่ ด้วยการออกแบบ “หลักสูตรยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจชุมชน” แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ดำเนินการจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ประกอบการในชุมชน ระยะที่ 2 การติดตามผลการพัฒนาธุรกิจหลังการฝึกอบรม</p> สิรินธร สินจินดาวงศ์ ณัฐธยาน์ ตรีผลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 94 105 ประสบการณ์ของผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด กรณีศึกษา โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง (สังกัดกรุงเทพมหานคร) กรุงเทพมหานคร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/276800 <p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้สารเสพติดของผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง (สังกัดกรุงเทพมหานคร) กรุงเทพมหานคร เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกซึ่งครอบคลุมประสบการณ์ ประกอบด้วย (1) ประวัติการใช้สารเสพติดในอดีตและปัจจุบัน (2) ประสบการณ์ การเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูครั้งแรก (3) ประสบการณ์การบำบัดฟื้นฟูภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ในกลุ่มประชากรจำนวน 10 คน และนำผลการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดเคยผ่านการบำบัดฟื้นฟูรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง(ระบบสมัครใจ บังคับบำบัด ต้องโทษ) ซึ่งสาเหตุในการเริ่มใช้สารเสพติดเกิดจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ (1) ด้านสังคมและสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการที่มีบุคคลใกล้ชิด ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดจึงทำให้เกิดความอยากรู้ อยากลอง และเลียนแบบพฤติกรรมการใช้สารเสพติด (2) ด้านปัญหาครอบครัวที่มีความตึงเครียดและมีความขัดแย้งจึงทำให้บุคคลเลือกใช้สารเสพติดในการบรรเทาความเครียดจากประสบการณ์บำบัดฟื้นฟูครั้งแรกในระบบกฎหมายเดิม พบว่า ผู้ให้ข้อมูลยังคงหวนกลับไปใช้สารเสพติดซ้ำและยังเลิกไม่ได้ ทั้งในขณะอยู่ระหว่างการบำบัดฟื้นฟูและหลังเสร็จสิ้นการบำบัดฟื้นฟูแล้ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย ดังนี้ (1) อุปสรรคด้านระยะเวลาการบำบัดฟื้นฟู (2) สภาพแวดล้อมและกลุ่มเพื่อน (3) ปัญหาด้านจิตใจและอารมณ์ ทั้งนี้ ยังพบข้อจำกัดด้านแรงจูงใจและทัศนคติต่อการบำบัดแบบเข้มงวด ทำให้รู้สึกถูกบังคับมากกว่าสมัครใจ ส่วนประสบการณ์บำบัดฟื้นฟูภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีความคิดเห็นที่ดีต่อระบบการบำบัดแบบเปิดโอกาสให้ผู้เสพยาสมัครใจยินยอมเข้ารับการบำบัดได้ตลอดช่วงกระบวนการยุติธรรม ส่งเสริมการเข้าถึงกระบวนการบำบัดฟื้นฟูมากยิ่งขึ้น โดยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการปฏิบัติต่อผู้ใช้สารเสพติดโดยใช้แนวทางการให้บริการทางการแพทย์มากกว่าการลงโทษทางกระบวนการยุติธรรม เสมือนผู้เสพเป็นผู้ป่วย มิใช่ ผู้ต้องโทษ</p> ธิดารัตน์ เจิดประวัติ วรรณพร เตชะไกศิยวณิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 106 122 แบบจำลองเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรและสมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงานบริการส่วนหน้า ของโรงแรมระดับ 4-5 ดาวในประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/276860 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรและสมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงานบริการส่วนหน้าของโรงแรมระดับ 4-5 ดาวในประเทศไทย (2) เพื่อศึกษาเส้นทางและขนาดอิทธิพลของความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอิทธิพลผลต่อสมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงานบริการส่วนหน้าของโรงแรมระดับ 4-5 โดยส่งผ่านพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร (3) เพื่อพัฒนาแบบจำลองเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรและสมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงานบริการส่วนหน้าของโรงแรมระดับ 4-5ในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษา คือ พนักงานบริการส่วนหน้าของโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ในประเทศไทย จำนวน 400 คน ผู้วิจัยกำหนดจากจำนวนพารามิเตอร์ที่ต้องประมาณค่าโดยกำหนดอัตราส่วนระหว่างหน่วยตัวอย่างต่อจำนวนพารามิเตอร์ (หรือตัวแปร) เป็น 20 ต่อ 1 โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยนามาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ได้แก่ การวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์โมเดลด้วยสมการโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่าแบบจำลองเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรและสมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงานบริการส่วนหน้าของโรงแรมในประเทศไทย มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าดัชนีวัดความสอดคล้องดังนี้ CMIN/df = 2.841, CFI = 0.945, IFI = 0.942 และ RMR = 0.036 ซึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อสมรรถนะในการปฏิบัติงาน ได้แก่ 1) ปัจจัยความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (β = 0.62, p &lt; 0.05), 2) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (β = 0.54, p &lt; 0.05), 3) พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร (β = 0.48, p &lt; 0.05)</p> กฤตชญา เทพสุริวงค์ กาญจนพัฐ กลับทับลัง รวิวรรณ พวงสอน จุฑามาศ พรหมมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 123 136 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/276871 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา (1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา (2) การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน (3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน และ (4) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 362 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า (1) ภาวะผู้นำเชิง กลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (2) การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กรแห่ง การเรียนรู้ของโรงเรียนมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (4) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการประเมินและควบคุมกลยุทธ์ (X5) การกำหนดทิศทางองค์กร (X1) การนำ กลยุทธ์ไปปฏิบัติ (X4) และการคิดเชิงกลยุทธ์ (X2) สามารถร่วมกันพยากรณ์การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนได้ร้อยละ 78.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้<br />สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ คือ<br />Y ̂= 1.223 + 0.261(X5) + 0.230(X1) + 0.129(X4) + 0.113(X2)<br />และสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ<br />Z ̂y = 0.332(Z5) + 0.275(Z1) + 0.160(Z4) + 0.138(Z2)</p> ราตรี พิมพ์ศักดิ์ พรเทพ เสถียรนพเก้า ทรัพย์หิรัญ จันทรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 137 152 การประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในการวางแผนจัดเส้นทางเดินรถจัดเก็บขยะ ด้วยวิธีปัญหาการจัดเส้นทางสำหรับยานพาหนะ Vehicle Routing Problem (VRP) กรณีศึกษาเทศบาลตำบลท่าข้าม จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/277260 <p>บทความวิจัยนี้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์ปัญหาการจัดเส้นทางเดินรถ โดยมีการเก็บรวมรวบข้อมูลปฐมภูมิ ทุติยภูมิ นำเข้าข้อมูลผ่านโปรแกรมระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ Quantum GIS (QGIS) เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดเส้นทางการเดินรถด้วยฟังก์ชันปัญหาการจัดเส้นทางเดินรถ (Vehicle Routing Problem: VRP) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดเก็บขยะมูลฝอยในพื้นที่เทศบาลตำบลท่าข้ามที่มีระยะทางจัดเก็บขยะโดยรวมต่อสัปดาห์ไกล จึงต้องการลดระยะทางการจัดเก็บขยะให้สั้นลด และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ของรถเก็บขยะเพื่อลดปัญหาขยะตกค้างในพื้นที่ ภายใต้เงื่อนไข เช่น จำนวนรถเก็บขนขยะ ปริมาณของขยะที่บรรทุกต้องไม่เกินความสามารถในการบรรทุกขยะของรถเก็บขนขยะ เวลาที่ใช้ในการเก็บขยะต้องไม่เกินเวลางานของพนักงานที่กำหนด รวมถึงความเร็วในการเดินรถเฉลี่ยในแต่ละเส้นทาง ผลจากการศึกษา พบว่า การจัดเส้นทางจัดเก็บขยะมูลฝอยในแต่ละวันใหม่ตามแนวคิดของการค้นหาย่านคำตอบข้างเคียงใกล้เคียง Large Neighborhood Search (LNS) ซึ่งมีการจัดเส้นทางในการเก็บขยะใหม่ มีผลลัพธ์สอดคล้องตามวัตถุประสงค์การศึกษา คือ ทำให้มีระยะทางโดยรวมต่อสัปดาห์ของการจัดเก็บขยะมูลฝอยที่สั้นลงเหลือระยะทางรวม 253.60 กิโลเมตร จากระยะทางเดิม 336.90 กิโลเมตร และทำให้รอบการจัดเก็บต่อสัปดาห์ลดลงเหลือ 18 รอบ จากเดิม 21 รอบ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ของรถเก็บขยะได้ เนื่องจากเส้นทางใหม่จากการศึกษาทำให้ประโยชน์จากการใช้รถจัดเก็บขยะโดยรวมต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นร้อยละ 82.39 ของปริมาณความจุรวม จากเดิมที่มีประโยชน์การใช้รถร้อยละ 70.62 ของปริมาณความจุรวม</p> กุสุมา พิริยาพรรณ อภิญญา พงษ์ปรีชา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 153 170 ทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/277531 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา (1) ระดับทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 (2) ระดับคุณภาพผู้เรียน (3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 กับคุณภาพผู้เรียน และ (4) อำนาจพยากรณ์ทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็น ผู้บริหารโรงเรียนและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 349 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า (1) ทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (2) คุณภาพผู้เรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (3) ทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 กับคุณภาพผู้เรียนมีความสัมพันธ์กันทางบวก ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (4) ทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (X<sub>5</sub>) ทักษะ การสร้างชุมชนการเรียนรู้ (X<sub>3</sub>) ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (X<sub>2</sub>) และทักษะการจัดการชั้นเรียน (X<sub>1</sub>) สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณภาพผู้เรียนได้ร้อยละ 50.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ชลรวินทร์ โล่อมรินทร์ชัย วัลนิกา ฉลากบาง อภิสิทธิ์ สมศรีสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 171 182 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมจีนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/279616 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อออกแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมจีนโดยการใช้กิจกรรมเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (2) เพื่อวัดทักษะความคิดสร้างสรรค์จากการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมจีนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา Enjoy Chinese Culture ในหมวดวิชาเลือกเสรีของโรงเรียนเอกชน ภาคการศึกษาที่ 2/2567 จำนวน 25 คน จากการเลือกแบบอาสาสมัคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย (1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมจีนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 9 แผน และ (2) แบบวัดทักษะความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คะแนนค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทียบกับเกณฑ์ตามที่กำหนดผลการวิจัย พบว่า (1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมจีนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ จำนวน 9 แผน มีขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นกระตุ้น 2) ขั้นนำเสนอความรู้และประสบการณ์ 3) ขั้นปฏิบัติกิจกรรม และผลสะท้อนกลับ และ 4) ขั้นประเมินผล มีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (2) ผลการวัดทักษะความคิดสร้างสรรค์ อยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก</p> หมิงฮุย จย่า ผุสดี กลิ่นเกสร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 183 197 ผลกระทบของความระมัดระวังทางบัญชี และความเสี่ยงทางการเงินที่มีต่อมูลค่ากิจการของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย: บทบาทการกำกับของอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์รวม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/279823 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ผลกระทบของความระมัดระวังทางบัญชี และความเสี่ยงทางการเงินที่มีต่อมูลค่ากิจการของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์รวมในบทบาทของตัวแปรกำกับ และอายุของกิจการในฐานะตัวแปรควบคุม กลุ่มตัวอย่างมีจำนวนทั้งสิ้น 72 บริษัท เก็บข้อมูลทุติยภูมิรายปีตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ถึงปี พ.ศ.2566 เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 10 ปี โดยใช้สมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณในการวิเคราะห์ผลกระทบระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 คือ ตัวแปรอิสระ ประกอบด้วย ความระมัดระวังทางบัญชีและความเสี่ยงทางการเงิน กลุ่มที่ 2 คือ ตัวแปรกำกับ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์รวม กลุ่มที่ 3 คือ ตัวแปรควบคุม ได้แก่ อายุของกิจการ และกลุ่มที่ 4 ตัวแปรตาม ได้แก่ คือมูลค่ากิจการ ผลการศึกษาพบว่า ความระมัดระวังทางบัญชีและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์รวมส่งผลกระทบทางบวกต่อมูลค่ากิจการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนอายุของกิจการและความเสี่ยงทางการเงินส่งผลกระทบทางลบต่อมูลค่ากิจการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์รวมมีบทบาทในการกำกับความสัมพันธ์ของความเสี่ยงทางการเงินและมูลค่ากิจการ แต่ไม่มีบทบาทในการกำกับความสัมพันธ์ของความระมัดระวังทางบัญชีและมูลค่ากิจการ </p> บุษรินทร์ ัลัภย์มงคลชัย พรวรรณ นันทแพศย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 198 213 ปัจจัยการตลาดในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมเปี๊ยะและน้ำพริกสำเร็จรูป: ความสอดคล้องและความต่างระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการในร้านสะดวกซื้อ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/278709 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความสอดคล้องและความต่างของปัจจัยทางการตลาดที่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคให้ความสำคัญในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมเปี๊ยะและน้ำพริกสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้แนวคิดส่วนประสมทางการตลาด (4Ps) เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา งานวิจัยนี้ดำเนินการในรูปแบบการวิจัยเชิงกรณีศึกษา ประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ขนมเปี๊ยะและน้ำพริกสำเร็จรูป และการสำรวจเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภค จำนวน 100 ราย สำหรับผลิตภัณฑ์ขนมเปี๊ยะ และ 105 ราย สำหรับน้ำพริกสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการตลาดในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากที่สุด ได้แก่ รสชาติของสินค้า ความสะอาดของผลิตภัณฑ์ และความคุ้มค่าระหว่างคุณภาพกับราคา นอกจากนี้การจัดวางสินค้าภายในร้านอย่างมีหมวดหมู่และดึงดูดสายตาก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเช่นกัน ในขณะที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญในประเด็นที่สอดคล้องกันบางประการ ได้แก่ รสชาติ วัตถุดิบ และความสะดวกในการซื้อ อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าสนใจคือมุมมองที่แตกต่างระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่มีความสม่ำเสมอ ในขณะที่ผู้ประกอบการกลับมุ่งเน้นไปที่การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ฉลากสินค้า และภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ข้อค้นพบดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการควรศึกษาความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง เช่น การพัฒนาปัจจัยทางการตลาดด้านการจัดโปรโมชั่นและการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดค้าปลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> วิสาข์ เชี่ยวสมุทร กานต์ เชาวน์นิรัติศัย พิชญ์ณัฐ เนื่องจำนงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 25 1 214 229 บทบรรณาธิการ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/spurhs/article/view/281912 สุบิน ยุระรัช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-29 2025-06-29 25 1 1 10