https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/issue/feed วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี 2025-11-06T00:00:00+07:00 ผศ.ดร.เกวลิณ อังคณานนท์ sru.journal@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เป็นวารสารเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทัศน์ บทความวิจารณ์หนังสือ และจดหมายถึงบรรณาธิการ มีกำหนดออกปีละ 2 ฉบับ คือ มกราคม – มิถุนายน และ กรกฎาคม – ธันวาคม บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องจัดเตรียมอย่างถูกต้องสมบูรณ์ตามมาตรฐานวารสารวิชาการ และ<strong>ผ่านการพิจารณาคุณค่าจาก </strong><strong>3 ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีการตรวจพิจารณาแบบผู้ประเมินไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน ( anonymous reviewer / anonymous author )</strong></p> <p>วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เปิดรับบทความประกอบด้วย 6 สาขาวิชา ดังนี้</p> <p> 1. สาขาวิชารัฐศาสตร์</p> <p> 2. สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์</p> <p> 3. สาขาวิชาการศึกษา</p> <p> 4. สาขาวิชาการท่องเที่ยว</p> <p> 5. สาขาวิชาบริหารธุรกิจและการจัดการ</p> <p> 6. สาขาวิชาสังคมศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ประเภทของบทความที่จะรับ ประกอบด้วย บทความวิชาการ (Article) บทความงานวิจัย (Research Article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) โดยรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานีกำหนดค่าการตรวจความซ้ำซ้อนด้วยโปรแกรม CopyCatch ผ่านเว็บไซต์ Thaijo ในระดับไม่เกิน 10% สำหรับบทความวิจัยและบทความวิชาการ โดยมีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/284876 ผู้ทรงคุณวุฒิ 2025-11-04T10:53:10+07:00 Reviewers sru.journal@gmail.com <p>-</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/284891 บทบรรณาธิการ 2025-11-05T11:27:53+07:00 บรรณาธิการ sru.journal@gmail.com <p>-</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/272260 วิวัฒนาการทางภาษาและวัฒนธรรมของอุตสาหกรรมโรงแรมไทย 2024-07-10T10:26:39+07:00 กฤตภาส ขวัญยืน krittabhas.k@phuket.psu.ac.th <p>การศึกษานี้สำรวจการบรรจบกันของภาษา วัฒนธรรม และการบริการ โดยการติดตามวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์และภาษาของคำว่า “hotel” ตั้งแต่จุดกำเนิดจนถึงการปรับเปลี่ยนในภาษาไทยปัจจุบันว่า “โรงแรม” การศึกษานี้เจาะลึกถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมภายในบริบทของการบริการแบบไทย การศึกษานี้ใช้แนวทางสหวิทยาการโดนผสานการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ การศึกษาทางภาษา และการสำรวจทางวัฒนธรรม เพื่อค้นหาเอกลักษณ์พิเศษของการบริการแบบไทย ซึ่งสะท้อนผ่านแนวคิดของคำว่า “น้ำใจ” ซึ่งแสดงถึงความเอื้อเฟื้อและความอบอุ่น ผลการศึกษาให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับผลกระทบเชิงลึกของมรดกทางวัฒนธรรมต่อการปฏิบัติการต้อนรับในยุคปัจจุบัน โดยเน้นถึงศักยภาพในการใช้ “ความเป็นไทย” เพื่อสร้างประสบการณ์และบริการที่โดดเด่นและน่าจดจำในอุตสาหกรรมโรงแรมที่มีการแข่งขันในประเทศไทย</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/284875 แนะนำผู้เขียน 2025-11-04T10:51:03+07:00 Authors sru.journal@gmail.com <p>-</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/271793 ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์และมิติของโมเดล SERVQUAL ต่อความพึงพอใจของลูกค้าในโรงแรมหรูในประเทศไทย 2024-06-20T10:26:34+07:00 มันจิริ คุนเต manjri.kunte@gmail.com นีโน่ ฟาน เดอร์ เมด manjri.kunte@gmail.com <p>งานวิจัยนี้ต้องการวิเคราะห์บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในฐานะ "ตัวกลั่นกรอง" โดยศึกษาว่า AI เข้าไปมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างมิติคุณภาพการบริการตามโมเดล SERVQUAL ความคาดหวังที่มีต่อ AI ด้านความพยายาม ประสิทธิภาพ อิทธิพลทางสังคม และความพึงพอใจของลูกค้า ในบริบทของโรงแรมหรูในประเทศไทย การวิจัยเชิงปริมาณรวบรวมข้อมูลจาก 400 คน ที่เคยเข้าพักโรงแรมหรูนับตั้งแต่ช่วงหลังการระบาดของโรค ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก สำรวจแบบออนไลน์ โดยใช้มาตรวัด SERVQUAL (17 รายการ) ใช้ค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยสำคัญ คือ ความมั่นใจ ความน่าเชื่อถือ และความเห็นอกเห็นใจเป็นปัจจัยหลักที่บ่งชี้ถึงความพึงพอใจของลูกค้า AI ทำหน้าที่เป็นตัวกลั่นกรองต่อผลกระทบของ "การจับต้องได้" ที่มีต่อความพึงพอใจของลูกค้า ผลการวิจัยนี้ ขัดแย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าผลลัพธ์ (การกลั่นกรองของ AI) จะเป็นไปในเชิงลบ ซึ่งหมายความว่า AI อาจไม่ได้ลดทอนผลกระทบของ Tangibles อย่างที่คาดไว้แต่แรก ผู้บริหารโรงแรมหรูสามารถใช้ผลวิจัยนี้เพื่อวางแผนและกำหนดกลยุทธ์การนำ AI มาใช้ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการบริการและความพึงพอใจของลูกค้า การศึกษานี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างความรู้เกี่ยวกับบทบาทของ AI ที่มีต่อโมเดล SERVQUAL และความพึงพอใจของลูกค้าในบริบทโรงแรมหรูของไทย งานวิจัยนี้จะได้รับประโยชน์มากขึ้นหากมีขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นขยายขอบเขตไปศึกษาโรงแรมราคาประหยัด และใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพหรือแบบผสมผสาน เพื่อให้ได้มุมมองเชิงลึกด้านการบริหารจัดการ</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/271796 กระบวนการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์วรรณกรรมเยาวชน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2024-05-20T11:58:38+07:00 จันทร์จิรา หาวิชา jass_v_@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลความต้องการและ 2) พัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์วรรณกรรมเยาวชนร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชัน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ครูผู้สอนวิชาภาษาไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 3 คน ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จำนวน 75 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ครูผู้สอนควรใช้สื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัยและดึงดูดความสนใจด้วยวรรณกรรมที่เหมาะสมกับวัย ประกอบกับการจัดการเรียนรู้ที่ประยุกต์ใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจและสร้างความผูกพันในการเรียน ด้านเนื้อหาที่นักเรียนมีความต้องการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เรื่องเล่าน่ารู้ ร้อยละ 60.53 นิทานแฟนตาซี ร้อยละ 52.64 และเรื่องสั้นแนวมิตรภาพ ร้อยละ 52.64 ตามลำดับ สำหรับรูปแบบ การประเมินผลที่นักเรียนต้องการคือแบบฝึกหัด คิดเป็นร้อยละ 43.43</p> <p>ผลการประเมินหนังสืออิเล็กทรอนิกส์โดยผู้เชี่ยวชาญมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดที่ 4.52 โดยด้านการเข้าถึงเนื้อหาและด้านเนื้อหามีค่าเฉลี่ยสูงสุดที่ 4.74 และ 4.72 ตามลำดับ ขณะที่แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านวิเคราะห์โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้รับการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยมีค่าเฉลี่ยรวม 4.64 ทั้งนี้ ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ ด้านสื่อและเวลา และด้านกิจกรรมการเรียนรู้และภาระงานมีค่าเฉลี่ย 4.80, 4.80 และ 4.73 ตามลำดับ สะท้อนถึงประสิทธิภาพและความเหมาะสมของนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/274494 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดโครงงานเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสารเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองงา 2024-08-23T09:31:30+07:00 กัณฐิกาญจน์ คุ้มหอยกัน 63052505001@student.sru.ac.th วัฒนา รัตนพรหม wattana.rat@sru.ac.th กฤษณี สงสวัสดิ์ vikritsanee@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดโครงงานเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 2) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง การทดสอบกลุ่มเดียวก่อนเรียนและหลังเรียน โดยศึกษากับประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 4 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 แผน 3) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง จำนวน 30 ข้อ 4) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ จำนวน 30 ข้อ และ5) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\left(\mu\right)" alt="equation" /> ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\left(\sigma\right)" alt="equation" /> และค่าร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดโครงงานเป็นฐานร่วมกับสื่อดิจิทัล มีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.52/82.22 และค่าดัชนีประสิทธิผล (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 0.70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย 20.27 สูงกว่าก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย 9.95 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย 24.05 สูงกว่าก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย 11.27 และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/263794 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความต้องการเดินทางและกลับมาท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวไทยในเกาะกูด ภายใต้การรับรู้ความเสี่ยงจากสถานการณ์ COVID-19 2023-12-04T11:08:07+07:00 อิสระพงษ์ พลธานี isarapong_aaa@hotmail.com อุมาพร บุญเพชรแก้ว isarapong_aaa@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความต้องการเดินทางและกลับมาท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวไทยในเกาะกูด ภายใต้การรับรู้ความเสี่ยงจากสถานการณ์ COVID-19 โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ทำการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง 401 คน ทําการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญกับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวพื้นที่เกาะกูด จังหวัดตราด และวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์โมเดลมิมิค</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า โมเดลเชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นตามสมมติฐานมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าไคสแควร์สัมพัทธ์ (CMIN/DF) เท่ากับ 1.94 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้อง (GFI) เท่ากับ 0.93 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบ (CFI) เท่ากับ 0.96 ค่าดัชนีรากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของการประมาณค่า ความคาดเคลื่อน (RMSEA) เท่ากับ 0.04 และค่า Norm Fit Index (NFI) เท่ากับ 0.92 โดยนักท่องเที่ยวมีความเต็มใจที่จะเดินทาง นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางกลับมาอีกครั้งหาได้รับรู้ข้อมูลถึงความเสี่ยงที่จะได้รับจากการเดินทางท่องเที่ยว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p&lt;.05 โดยปัจจัยที่จะส่งผลต่อการรับรู้ความเสี่ยงที่จะได้รับ ได้แก่ความประทับใจก่อนการเดินทาง ความตั้งใจในการเดินทาง และการรับรู้ถึงสภาวะความเสี่ยงที่จะได้รับจากตนเอง โดยอิทธิพลเชิงบวก (β) 0.66, 0.25, และ 0.21 ตามลําดับ โดยที่ปัจจัยทั้ง 3 นี้สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนในการรับรู้ถึงความเสี่ยงที่จะได้รับจากการเดินทางได้ร้อยละ 97 (R2) และผลการวิจัยนี้สามารถเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่สามารถนำไปพัฒนาการให้บริการหรือการเตรียมพร้อมสำหรับการบริการให้มีประสิทธิภาพผ่านการกำหนดเป็นนโยบายและแผนงานต่าง ๆ ในการสร้างการรับรู้ถึงความเสี่ยงที่จะได้รับจากการเดินทางท่องเที่ยว ของนักท่องเที่ยว</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/270032 แนวทางการยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวทางน้ำในคลัสเตอร์อันดามันของประเทศไทย 2024-04-02T14:16:49+07:00 ไพฑูรย์ มนต์พานทอง mpaithoon@hotmail.com สุรพร มุลกุณี surapornmul@gmail.com <p>การศึกษา “การยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวทางน้ำในคลัสเตอร์อันดามันของประเทศไทย” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ของท้องถิ่นที่สามารถยกระดับสู่การท่องเที่ยวทางน้ำในคลัสเตอร์อันดามัน 2) เพื่อศึกษาโอกาสและความท้าทายในการยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวทางน้ำในคลัสเตอร์อันดามัน และ 3) เพื่อเสนอแนวทางในการยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวทางน้ำในคลัสเตอร์อันดามัน โดยใช้การประชุมกลุ่มย่อย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาได้แก่กลุ่มภาครัฐ เอกชน และชุมชนในคลัสเตอร์ท่องเที่ยวอันดามันในจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ โดยใช้การสุ่มแบบเจาะจงและแบบลูกหิมะที่มีแบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือ ใช้การวิเคราะห์ผลแบบแก่นสาระ ผลการศึกษา พบว่า อัตลักษณ์ท้องถิ่นร่วมในคลัสเตอร์อันดามัน ได้แก่ อาหารท้องถิ่น ทะเล วิถีชีวิต และความหลากหลายทางเชื้อชาติ จากโอกาสและความท้าทายในการยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวทางน้ำจึงนำเสนอแนวทางในการยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่น เช่น การสร้างระบบนิเวศ การพัฒนาทักษะบุคลากร การสนับสนุนจากภาครัฐ เป็นต้น</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/269829 ผลกระทบสุขภาพชุมชนจากการจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อการอุปโภค บริโภคในภาวะภัยแล้ง: กรณีศึกษาชุมชนลุ่มน้ำแม่เลาะ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 2024-03-07T10:48:16+07:00 สามารถ ใจเตี้ย samartcmru@gmail.com <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจปัญหาแหล่งทรัพยากรน้ำ เพื่อการอุปโภค บริโภค 2) วิเคราะห์ผลกระทบสุขภาพชุมชนจากการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคในภาวะภัยแล้ง และ 3) สังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อลดและป้องกันผลกระทบสุขภาพชุมชนจากการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคในภาวะภัยแล้งบนฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชน จำนวน 180 คน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวน 29 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ และการประชุมเชิงปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า แม่น้ำสายหลักและลำห้วยสาขามีปริมาณน้ำน้อย ไหลช้า และขุ่น บ่อน้ำตื้นและบ่อน้ำบาดาลมีปริมาณน้ำลดลง ส่วนระบบน้ำประปาหมู่บ้านประชาชนมีความเห็นว่าน้ำที่ผลิตได้ไม่สะอาดและไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ทั้งนี้ การจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคในภาวะภัยแล้งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ด้านลบ ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการระบบประปาหมู่บ้าน และความต้องการการใช้น้ำในครัวเรือน และผลกระทบด้านบวก ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรน้ำ และการอนุรักษ์แหล่งน้ำ ในส่วนข้อเสนอเชิงนโยบายมีข้อเสนอให้เพิ่มจำนวนคณะกรรมการประปาในแต่ละหมู่บ้าน สนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอ สร้างความเท่าเทียมในการใช้น้ำ และสื่อสารข้อมูลสภาพปัญหาน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคในภาวะภัยแล้ง และผู้นำชุมชนและหน่วยงานที่รับผิดชอบควรสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ </p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/275165 ปัจจัยที่มีผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจรถตู้เช่าในเขตภาคใต้ของประเทศไทยตามมุมมองของการดำเนินงานเชิงดุลยภาพ 2024-09-25T11:02:29+07:00 สมเกียรติ ส้มเกลี้ยง purai1404@gmail.com อัจฉราวรรณ รัตนพันธ์ purai1404@gmail.com ธนายุ ภู่วิทยาธร purai1404@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เพื่อค้นหาปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจรถตู้ที่ให้บริการหรือให้เช่าสามารถอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยแวดล้อมการดำเนินธุรกิจรถตู้เช่าในเขตภาคใต้ 2) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดธุรกิจรถตู้เช่า 3) ศึกษาปัจจัยความอยู่รอดของธุรกิจรถตู้เช่า 4) เปรียบเทียบความอยู่รอดของธุรกิจรถตู้เช่าจำแนกตามปัจจัยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และ 5) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของธุรกิจรถตู้เช่า กลุ่มตัวอย่าง 400 กิจการ สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิจากผู้ประกอบการรถตู้ในเขตภาคใต้ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย 12,650 กิจการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สมการถดถอย</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ครอบครัวเคยประกอบอาชีพธุรกิจรถตู้เช่า มีรถตู้ 1-3 คัน และประกอบธุรกิจรถตู้มากกว่า 15 ปี 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของธุรกิจรถตู้เช่าภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ปัจจัยความอยู่รอดของธุรกิจรถตู้เช่าภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 4) กลุ่มตัวอย่างที่มีการศึกษา มีประสบการณ์ในธุรกิจรถตู้ และมีขนาดของธุรกิจที่แตกต่างกันมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 5) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการดำเนินธุรกิจรถตู้เช่ามีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของธุรกิจรถตู้เช่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถพยากรณ์ความอยู่รอดของธุรกิจรถตู้เช่า โดยรวมร้อยละ 83.90</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/271841 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้ออาหารฟังก์ชันที่มีส่วนผสม ของขมิ้นชัน ของผู้สูงอายุ ในอำเภอเมือง จังหวัดสุ‍ราษฎร์‍ธา‍นี 2024-05-29T13:53:16+07:00 กรวินท์ เขมะพันธุ์มนัส korawin_s@hotmail.com ณัฐวุฒิ หารสุวรรณ natthawutt522@gmail.com ธีรวัฒน์ เพชรลาย teerawatphetlai@gmail.com วนัชพร ชิตเดชะ wanatt9965@gmail.com วรยศ วงศ์สุวรรณ worayot021@gmail.com สอางค์ทิพย์ แสนเฉย saangthip0627@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้ออาหารฟังก์ชันที่มีส่วนผสมของขมิ้นชัน ของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดสุ‍ราษฎร์‍ธา‍นี ได้แก่ ปัจจัยด้านทัศนคติต่อการซื้ออาหารฟังก์ชัน ด้านการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ด้านการรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม และด้านความใส่ใจสุขภาพ ด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จํานวน 200 คน ที่มีความตั้งใจซื้ออาหารฟังก์ชันที่มีส่วนผสมของขมิ้นชัน สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มตามสะดวก เครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติเชิงพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคุณ เพื่อทดสอบสมมุติฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 60 - 69 ปี มีสถานภาพสมรส มีรายได้ 10,001 - 15,000 บาท และมีประสบการณ์การซื้อร้อยละ 19.50 ผลการทดสอบสมมติฐาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้ออาหารฟังก์ชันที่มีส่วนผสมของขมิ้นชัน ของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดสุ‍ราษฎร์‍ธา‍นี พบว่า ปัจจัยด้านการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (β = 0.31) และปัจจัยด้านการรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม (β = 0.48) ส่งผลต่อความตั้งใจซื้ออาหารฟังก์ชันมีส่วนผสม ของขมิ้นชัน ของผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดสุ‍ราษฎร์‍ธา‍นี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้านทัศนคติต่อการซื้ออาหารฟังก์ชัน และปัจจัยด้านความใส่ใจสุขภาพ ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้ออาหารฟังก์ชันมีส่วนผสมของขมิ้นชันของผู้สูงอายุ ในอำเภอเมือง จังหวัดสุ‍ราษฎร์‍ธา‍นี<strong> </strong></p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/srj/article/view/269513 การพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาสังคม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 2024-02-01T09:29:09+07:00 สุดถนอม ตันเจริญ sudthanom.t@bsru.ac.th วิทยา วิสูตรเรืองเดช sudthanom.t@bsru.ac.th <p>การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาสังคม ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างเครือข่ายประชาสังคมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ในตำบลบ้านเกาะ 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ของวิสาหกิจชุมชนที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากทรัพยากรที่มีอยู่ตามศักยภาพของชุมชน โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มครอบคลุมทุกหมู่บ้าน รวม 400 คน และสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบแนะนำต่อ ที่เข้าร่วมในกระบวนการวิจัย 50 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์และการถดถอยพหุคูณ และวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า โครงการวิจัยนี้สามารถสร้างเครือข่ายประชาสังคมโดยการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาและนักวิจัยกับอำเภอเมืองสมุทรสาคร สภาเกษตรกร พัฒนาชุมชน เกษตรอำเภอ องค์การบริหารส่วนตำบล และวิสาหกิจชุมชนสองแห่งในตำบลบ้านเกาะ มีส่วนร่วมคิดแนวทางแก้ปัญหาในการผลิตของชุมชนและเสนอแนวทางการพัฒนา ผลการพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จากเครือข่ายภาคประชาสังคม ผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์จากปลา ได้แก่ พิซซ่าปลานิล และปลายอ (ยี่สก) สมุนไพร ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จของวัตถุประสงค์และเป้าหมายการวิจัยทุกประการ</p> 2025-11-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี