Suan Sunandha Asian Social Science https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal <p><strong>Suan Sunandha Asian Social Science journal (ชื่อเดิมวารสารสวนสุนันทาวิชาการและวิจัย) </strong><a href="https://drive.google.com/file/d/1U3qKekxs2rzdkDrhOPqd9evOcsfyC8Xj/view?usp=drive_link">เตรียมต้นฉบับก่อนส่งเข้าระบบ*</a></p> <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต</strong></p> <p>Suan Sunandha Asian Social Science journal เป็นวารสารวิชาการระดับชาติที่สนับสนุนโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพหรืองานวิจัยด้าน ศึกษาศาสตร์, สาขาศิลปศาสตร์ และสาขาการท่องเที่ยว วารสารเป็นสื่อกลางในการเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง </p> <p><strong>ข้อมูลวารสาร</strong></p> <p>Suan Sunandha Asian Social Science journal ยินดีรับบทความวิจัยด้านศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ตีพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม) จัดทำโดยสถาบันวิจัยและพัฒนา บทความจะได้รับการประเมินคุณภาพของบทความ ทั้งในด้านเนื้อหา และความเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของวารสาร จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่านในสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ul> <li class="show">เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานทางวิชาการหรือผลงานวิจัยที่มีคุณภาพด้าน ศึกษาศาสตร์, สาขาศิลปศาสตร์ และสาขาการท่องเที่ยว</li> <li class="show">เพื่อเป็นสื่อในการนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการด้าน ศึกษาศาสตร์, สาขาศิลปศาสตร์ และสาขาการท่องเที่ยว</li> </ul> <p><strong>เลขประจำวารสาร (ISSN): <a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/3027-8627">3027-8627</a></strong> <strong>(Online)</strong></p> <p><strong>เลขเดิมที่ขอยกเลิกเพื่อเปลี่ยนชื่อวารสารใหม่</strong></p> <p><strong>ISSN: 1905-9353</strong></p> <p><strong>ISSN: 2697-6331 (Online)</strong></p> <p> </p> <p><strong>การประเมิน:</strong> Double-blind (ผู้ประเมินไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน) </p> <p><strong>สาขาที่เปิดรับ</strong></p> <p><strong>สาขาศึกษาศาสตร์ </strong>ที่มีสาระเกี่ยวกับ</p> <ul> <li>ปรัชญาการศึกษา</li> <li>การพัฒนาหลักสูตร</li> <li>การจัดการเรียนรู้</li> <li>การประเมินผล</li> <li>จิตวิทยา</li> <li>นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา</li> <li>วิจัยและสถิติการศึกษา</li> </ul> <p><strong>สาขาศิลปกรรมศาสตร์ </strong>ที่มีสาระเกี่ยวกับ </p> <ul> <li>ปรัชญาและศาสนา</li> <li>ศิลปวัฒนธรรม-ศิลปะการแสดง</li> <li> ประวัติศาสตร์</li> <li>ชาติพันธุ์</li> <li> ศิลปกรรม-สถาปัตยกรรม</li> </ul> <p><strong>สาขาการท่องเที่ยว </strong>ที่มีสาระเกี่ยวกับ</p> <ul> <li>การจัดการธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยว</li> <li>ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว</li> <li>ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว</li> <li>อารยธรรมและประวัติศาสตร์สำหรับการท่องเที่ยว</li> <li>พฤติกรรมนักท่องเที่ยว</li> </ul> <p><strong>บทความที่เปิดรับ</strong></p> <ul> <li>บทความวิจัย* (ด้านศึกษาศาสตร์)</li> <li>บทความวิชาการและบทความวิจัย (ด้านศิลปศาสตร์)</li> <li>บทความวิชาการและบทความวิจัย (ด้านการท่องเที่ยว)</li> </ul> <p><strong>ภาษา</strong><strong>:</strong> ภาษาไทยและอังกฤษ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมในการเผยแพร่</strong><strong>:</strong> ไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน</p> <p> 1,000 บาท ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน (จะเรียกเก็บหลังจากบทความผ่านประเมินรอบกองบรรณาธิการและผู้แต่งแจ้งความประสงค์ผ่านแบบรับรองบทความเพื่อตีพิมพ์)</p> <p><strong>การเผยแพร่</strong><strong>:</strong> 2 ฉบับต่อปี <a href="https://drive.google.com/file/d/1YpKAWKyuUBINpe8vP8CnFEGiEQrVmTis/view?usp=drive_link">ปฏิทินรับบทความ</a></p> <p>เล่ม 1 (มกราคม-มิถุนายน)</p> <p>เล่ม 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม)</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร:</strong> <a href="https://ird.ssru.ac.th/en/home">สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา</a></p> <p><strong>การวัดดัชนีและบทคัดย่อ</strong></p> <p>วารสารสวนสุนันทาวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้รับการจัดอันดับโดย <a href="https://tci-thailand.org/?p=3796">ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI)</a>, <a href="https://scholar.google.com/">Google Scholar</a>, <a href="https://www.asean-cites.org/aci_search/journal.html?b3BlbkpvdXJuYWwmaWQ9NDgz">ASEAN Citation Index (ACI)</a></p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ <a href="http://www.ird.ssru.ac.th/th/home" target="_blank" rel="noopener">สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันท</a>า</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> irdjournal@ssru.ac.th (Research and Publication Department) anuphan.su@ssru.ac.th (Anuphan Suttimarn) Mon, 30 Jun 2025 23:42:44 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ศิลปประดิษฐ์เชิงปรัชญา: นัยยะทางศิลปวัฒนธรรมส่งเสริมคุณค่าชีวิต https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277854 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์นัยยะทางปรัชญาและศิลปวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปประดิษฐ์ในบริบทของสังคมไทย 2) ศึกษาบทบาทของศิลปประดิษฐ์ในการส่งเสริมคุณค่าชีวิตในมิติด้านจิตใจ วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาศิลปประดิษฐ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและการส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวัตถุประสงค์ที่ 1 ใช้การวิเคราะห์เอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ วัตถุประสงค์ที่ 2 ใช้การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และวัตถุประสงค์ที่ 3 ใช้การวิเคราะห์นโยบายและกรณีศึกษา</p> <p> การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการตามกรอบแนวคิดเชิงปรัชญาที่ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ สุนทรียศาสตร์ อภิปรัชญา จริยศาสตร์ และญาณวิทยา ผลการวิจัยพบว่า ศิลปประดิษฐ์สะท้อนคุณค่าเชิงปรัชญาที่สัมพันธ์กับทั้ง 4 มิติอย่างลึกซึ้ง มีนัยยะทั้งในด้านสุนทรียภาพของความงาม (Aesthetics) ที่แสดงอัตลักษณ์ความเป็นไทยจากงานศิลปประดิษฐ์ ด้านอภิปรัชญา (Metaphysics) ที่เชื่อมโยงวัตถุกับจิตวิญญาณอย่างกลมกลืน ด้านจริยศาสตร์ (Ethics) ที่ส่งเสริมคุณค่าทางศีลธรรมผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ และด้านญาณวิทยา (Epistemology) ที่ถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น ศิลปประดิษฐ์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผ่านการสร้างสติและสมาธิ การรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน แนวทางการพัฒนาควรผสมผสานความเป็นดั้งเดิมกับนวัตกรรม ใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และบูรณาการเข้ากับการศึกษาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม</p> หัฏฐพล อำภารส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277854 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 Innovative Use of Traditional Cultural Elements: The Practice and Exploration of Personal Artistic Creation https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/279005 <p> This research focuses on unique ways to incorporate Chinese culture into personal art. This research examines seven current Chinese female oil painters to see how traditional cultural components are incorporated into modern art and how these findings can inform my own work. Chinese female oil painters combine history and modernity in contemporary art, showing unique styles. They use Western techniques and traditional cultural aspects in their work, deepening cultural expression and creating a unique style that blends modernism with indigenous traits. All procedures compare how seven current Chinese female oil painters use traditional cultural components in their works and find ways to incorporate them into personal art for meaningful and new expression. This study examines artistic fusion methods to see how traditional cultural elements can be reinterpreted and revitalized in individual creative practices, creating a unique artistic language that preserves cultural heritage and matches contemporary aesthetics. Apply study findings to personal production and creatively use traditional cultural aspects to create new artistic expressions. Mixed research methods are used in this study. mostly qualitative inquiry, some quantitative analysis. The qualitative research uses literature analysis, case studies, and open coding to reveal how female oil painters use traditional cultural aspects. Quantitative analysis uses descriptive statistics to evaluate and improve artistic innovation methods. By exploring the intrinsic spirit of traditional cultural elements and integrating Western expressive techniques with traditional Chinese artistic components, artists can enrich their visual language, making their works more modern and culturally distinct while increasing audience engagement. Through personal artistic exploration, this research emphasizes cultural consciousness in modern art. It also gives modern Chinese female oil painters a reference method and practical advice for art education, visual communication, and cultural identity study.</p> Bo Pang, Pisit Puntien ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/279005 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 มุมมองชาวเยอรมันที่มีต่อพฤติกรรมคนไทยในมิติเชิงวัฒนธรรม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276759 <p> งานวิจัยเรื่อง "มุมมองชาวเยอรมันที่มีต่อพฤติกรรมคนไทยในมิติเชิงวัฒนธรรม" มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษามุมมองทางวัฒนธรรมของชาวเยอรมันที่มีต่ออุปนิสัยของคนไทย 2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบรูปแบบการสื่อสารและการแสดงความคิดเห็นระหว่างวัฒนธรรมไทยและเยอรมัน 3) เพื่อศึกษาความแตกต่างในมิติด้านการบริหารเวลาและการวางแผนระหว่างวัฒนธรรมไทยและเยอรมัน การวิจัยเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูล ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview)รายบุคคล ในรูปแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) ผ่านแพลตฟอร์มการสื่อสารออนไลน์ ได้แก่ Line และ WhatsApp โดยคัดลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ ครูชาวเยอรมันที่สอนภาษาเยอรมันในประเทศไทย จำนวน 6 ราย และชาวเยอรมันที่แต่งงานกับผู้หญิงไทย จำนวน 5 ราย ข้อมูลนำมาวิเคราะห์ประเด็นหลักตามกรอบแนวคิดมิติเชิงวัฒนธรรม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) กลุ่มครูชาวเยอรมันที่ทำงานในประเทศไทยส่วนใหญ่มีระยะเวลาทำงานในประเทศไทยน้อยกว่า 3 ปี ในขณะที่กลุ่มชาวเยอรมันที่แต่งงานกับชาวไทยส่วนใหญ่ใช้ชีวิตกับคู่ชีวิตคนไทยมากกว่า 10 ปี (2) การแสดงออกทางความคิดเห็นของคนไทยที่ไม่ตรงไปตรงมา ถูกมองว่าอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการหลีกเลี่ยงการติดต่อ อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างยังเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยที่ช่วยลดความขัดแย้ง (3) ลักษณะนิสัยของคนไทยที่ได้รับการชื่นชม ได้แก่ ความมีน้ำใจ การให้ความช่วยเหลือ การมองโลกในแง่ดี ความรักสงบ และการทุ่มเทให้กับครอบครัว (4) ลักษณะนิสัยที่ชาวเยอรมันมีทัศนคติเชิงลบหรือไม่เข้าใจ ได้แก่ การไม่ตรงต่อเวลา การไม่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา การขาดการวางแผนระยะยาว และประเพณีหรือโครงสร้างทางสังคมบางอย่างเช่น การให้ความสำคัญกับสินสอดและการเคารพผู้อาวุโส</p> ธีรภัทร์ บุญฤทธิ์, สุภาภรณ์ สุวรรณโอภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276759 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การปรับตัวทางวัฒนธรรมของผู้หญิงไทยที่สมรสกับชาวเยอรมันและอาศัยอยู่ในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276783 <p> งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการปรับตัวทางวัฒนธรรมผู้หญิงไทยที่สมรสกับชาวเยอรมันและอาศัยอยู่ในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 2.เพื่อศึกษาความสามารถทางการสื่อสารภายใต้วัฒนธรรมเยอรมันของผู้หญิงไทยที่สมรสกับชาวเยอรมันและอาศัยอยู่ในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีกลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิงไทยที่สมรสกับชาวเยอรมันและอาศัยอยู่ในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีจำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ แบบสอบถาม 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1ข้อมูลโดยทั่วไป ส่วนที่ 2 ข้อมูลคำถามด้านความสามารถทางการสื่อสารภายใต้วัฒนธรรมเยอรมัน 20 คำถาม ส่วนที่ 3 ข้อมูลด้านการปรับตัวทางวัฒนธรรมเยอรมัน นำข้อมูลที่ได้โดยทำการวิเคราะห์ด้วยการหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แยกประเภทตามลักษณะการปรับตัวทางวัฒนธรรมเยอรมันโดยหาค่าเฉลี่ยเป็นร้อยละ <br /> ผลการวิจัยพบว่า1.กลุ่มเป้าหมายจำนวน 100 คน สามารถปรับตัวได้ 43 คน คิดเป็นร้อยละ 43 มีระดับขั้นของการปรับตัวอยู่ที่ระดับที่ 4 คือขั้นที่สามารถปรับตัวได้อย่างสมบูรณ์ คือ 1.กลุ่มที่เข้าใจและยอมรับวัฒนธรรมเยอรมันได้ทั้งหมดและมีความสุขที่ได้อยู่ประเทศสหพันธ์รัฐเยอรมนีมากที่สุด 2.ภาพรวมความสามารถทางการสื่อสารภายใต้วัฒนธรรมเยอรมันผู้หญิงไทยที่สมรสกับชาวเยอรมันและอาศัยอยู่ในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีที่มาเป็นอันดับหนึ่งคือ ความสามารถทางการแสดงความรู้สึก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> ̅= 3.62) ระดับความสามารถทางการสื่อสารมาก อับดับที่สองคือความสามารถทางความคิด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.07) มีระดับความสามารถทางการสื่อสารปานกลาง และอันดับที่สามคือ ความสามารถทางการสื่อสารภายใต้วัฒนธรรมเยอรมันที่น้อยที่สุดคือ ความสามารถในการปฏิบัติ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 2.83) ระดับความสามารถทางการสื่อสารปานกลาง </p> วิชนีย์ สุวรรณสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276783 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรม แรงจูงใจ การตัดสินใจ และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมทางการท่องเที่ยวของผู้พิการทางการได้ยินชาวไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276997 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรม แรงจูงใจ การตัดสินใจ และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมทางการท่องเที่ยวของผู้พิการทางการได้ยินชาวไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้พิการทางการได้ยินชาวไทย 425 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ การเก็บข้อมูลดำเนินการผ่านสองช่องทาง ได้แก่ การเก็บแบบสอบถามออนไลน์ และการลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนาม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้พิการทางการได้ยินชาวไทยโดยส่วนใหญ่ท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน เดินทางร่วมกับครอบครัว เพื่อน ญาติ บางครั้งเดินทางคนเดียวไม่มีผู้ช่วยส่วนตัว เดินทางท่องเที่ยว 1-2 ครั้งต่อปีใช้เวลา 1 คืน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 2,001 – 3,000 บาท โดยวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวเอง รับรู้ข้อมูลทางการท่องเที่ยวจากเฟซบุ๊ก และชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก อุทยาน ใช้รถส่วนบุคคลและเลือกพักรีสอร์ต เดินทางช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ก่อนการเดินทางมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ระหว่างการเดินทางมีการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ และหลังการเดินทางท่องเที่ยวมีการแบ่งปันและแชร์ประสบการณ์ลงโซเชียลมีเดีย เช่น อัพภาพ วิดีโอ ข้อความบอกเล่าความรู้สึก และแรงจูงใจ กระบวนการตัดสินใจ และความตั้งใจเชิงพฤติกรรมทางการท่องเที่ยวอยู่ในระดับมาก ปัญหาและอุปสรรคในการเดินทางท่องเที่ยว คือ ปัญหาด้านการสื่อสาร สิ่งอำนวยความสะดวก และทัศนคติของพนักงานบริการ นอกจากนี้ยังมีความต้องการทางการท่องเที่ยว ได้แก่ มัคคุเทศก์ภาษามือ ป้ายสื่อความหมายแบบข้อความ รูปภาพ สัญลักษณ์ การบริการที่เท่าเทียม โดยผู้ที่มีเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถนำผลการศึกษาไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน เพื่อให้เข้าถึงการท่องเที่ยวอย่างเท่าเทียม</p> จินณพัษ โดมินิค, ณัฐธิดา จันทร์สีโคตร, ชนิดาภา จันทรเสนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276997 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่น https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277018 <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์<br />ของนักท่องเที่ยวชาวไทยในจังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยในจังหวัดขอนแก่น และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยในจังหวัดขอนแก่น ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการแจกแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งเพศชาย และเพศหญิงที่เดินทางมาท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 520 ตัวอย่าง ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้าง</p> <p> การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยในจังหวัดขอนแก่น พบว่าปัจจัยที่มีผลมากที่สุดต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดขอนแก่น คือ ปัจจัยดึง (Pull factors) โดยสิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ ประสบการณ์และวัฒนธรรมที่แปลกใหม่ และ ความโดดเด่นของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์</p> จินณภัษ โดมินิค, ธนบดี นามลักษณ์, รัตติกานต์ คำวันดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277018 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชัน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ เรื่องจำนวนเต็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277292 <p> การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม 2) ศึกษาระดับพัฒนาการด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนห้วยผึ้งพิทยา จำนวน 33 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ค่าพัฒนาการสัมพัทธ์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง จำนวนเต็ม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชัน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) นักเรียนจำนวน 6 คน มีพัฒนาการระดับสูงมาก คิดเป็นร้อยละ 18.18 ของนักเรียนทั้งหมด นักเรียนจำนวน 13 คน มีพัฒนาการระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 39.39 ของนักเรียนทั้งหมด และนักเรียนจำนวน 14 คน มีพัฒนาการระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 42.43 ของนักเรียนทั้งหมด (3) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.51, <em>S.D.</em>= 0.77) และเมื่อพิจารณารายข้อพบว่าทุกข้ออยู่ในระดับคุณภาพมากขึ้นไป</p> ยศธพรชัย คำทะเนตร, ปวีณา ขันธ์ศิลา, ประภาพร หนองหารพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277292 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษด้วยการโค้ชตามกระบวนการ SSRU https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277280 <p> กระบวนการพัฒนาครูและชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียน การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการโค้ชตามกระบวนการ SSRU ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยครูผู้ได้รับการโค้ชตามกระบวนการ SSRU ได้แก่ Storytelling (S) Self-reflection (S) Resourcefulness (R) และ Using new pedagogies (U) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้จากการเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 ประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 จำนวน 84 คน และ 2) ครูจำนวน 2 คน การวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย 1) สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำมาใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสำรวจความคิดเห็นของครูที่มีต่อการโค้ชตามกระบวนการ SSRU และ ความสามารถของนักเรียนด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ 2) การวิเคราะห์เอกสารใช้วิเคราะห์ผลของการโค้ชตามกระบวนการ SSRU ต่อการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครู</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลการโค้ชด้วยกระบวน SSRU ประกอบด้วย (1) ครูสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะไปสร้างสื่อทางเลือกอื่นๆเพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และ (2) ค่าคะแนนทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้นทุกระดับชั้น โดยระดับชั้นอนุบาลคิดเป็นร้อยละ 90.35 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 88 และระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 96.43 การวิจัยนี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนารูปแบบการจัดการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษซึ่งจะนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนที่สูงขึ้น</p> ศศิพร พงศ์เพลินพิศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277280 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการแบบเปิด ร่วมกับการแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276895 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) ศึกษาลักษณะการแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคำบงพิทยาคม จำนวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ กล้องถ่ายภาพ เครื่องบันทึกวีดิทัศน์และแบบบันทึกการสะท้อนผลหลังการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ดังนี้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลการพัฒนาสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการแสดงแทนทาง หลังจากใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ โดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 73.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 (2) นักเรียนสามารถแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ด้วยรูปภาพเกี่ยวกับโจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ดังต่อไปนี้ (2.1) การแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ด้วยรูปภาพเกี่ยวกับโจทย์ปัญหาการบวก ลบเศษส่วน นักเรียนใช้การวาดรูปบล็อกสี่เหลี่ยมแสดงแทนสิ่งที่โจทย์กำหนดให้ได้ และ (2.2) การแสดงแทนทางคณิตศาสตร์ด้วยรูปภาพเกี่ยวกับโจทย์ปัญหาการคูณ หารเศษส่วน นักเรียนใช้การวาดรูปวงกลมแสดงแทนสิ่งที่โจทย์กำหนดให้ได้</p> วราภรณ์ พันมะวงค์, ปวีณา ขันธ์ศิลา, ประภาพร หนองหารพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276895 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276884 <p> การวิจัยนี้ ศึกษาเรื่อง การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบการท่องเที่ยว ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยว ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี และ 4) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี เป็นงานวิจัยแบบผสมเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์และประชุมกลุ่มย่อยกลุ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า (1) องค์ประกอบการท่องเที่ยว ของตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี อยู่ในระดับมาก องค์ประกอบที่มีศักยภาพสูงสุดคือ ด้านจุดดึงดูดการท่องเที่ยว (2) การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยว ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี อยู่ในระดับมากที่สุด โดยศักยภาพการท่องเที่ยวสูงสุด คือ ด้านพื้นที่ (3) แนวทางการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี พบว่า ชุมชนควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ กำหนดช่องทางการขายให้หลากหลาย เข้าถึงง่าย มีการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง ทำแผนส่งเสริมการตลาด พัฒนาการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และฝึกอบรมทักษะด้านการทำการตลาดและเทคโนโลยี (4) แนวทางการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตำบลบางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี ชุมชนควรมุ่งเน้นการนำเสนอวิถีชีวิตของชาวชุมชนที่แท้จริง เน้นให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เน้นสินค้าที่มีอยู่ในชุมชน และควรดำเนินการด้วยตัวชุมชนเอง ตามแนวทางการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นการต่อยอด 2.ขั้นการเพิ่มค่า 3. ขั้นการหาจุดต่าง 4. ขั้นการสร้างกระแส</p> เปรมปรีดา ทองลา, เพ็ญศิริ สมารักษ์, บุษรา บรรจงการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/276884 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 พฤติกรรมการท่องเที่ยว แรงจูงใจ และการตัดสินใจ ของนักท่องเที่ยวเชิงกัญชาเพื่อสุขภาพ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277125 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเชิงกัญชาเพื่อสุขภาพ 2) เพื่อวิเคราะห์แรงจูงใจทางการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงกัญชาเพื่อสุขภาพ โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักท่องเที่ยวนักทัศนาจร และผู้มาเยือนชาวไทย จำนวนทั้งสิ้น 400 ตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมีวิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ค่าร้อยละ, การแจกแจงความถี่, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, Independent Samples T–Test, One–Way ANOVA และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 21-25 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี สถานภาพโสด อาชีพนักศึกษา มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า นักท่องเที่ยวที่มีเพศ อายุ สถานภาพ และอาชีพที่แตกต่างกัน ทำให้การตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงกัญชาเพื่อสุขภาพแตกต่างกัน ผลการวิเคราะห์แรงจูงใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงกัญชาเพื่อสุขภาพพบว่า แรงจูงใจด้านร่างกายและจิตใจ ด้านการซื้อขายสินค้าและบริการจากกัญชาเพื่อสุขภาพ ด้านความอยากรู้อยากลอง และด้านนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงกัญชาเพื่อสุขภาพอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> วิชิตชัย ธรรมชาติ, จินณพัษ โดมินิค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277125 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการออกแบบและการสร้างสื่อการเรียนการสอนของนักศึกษาโดยใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ด้วยกระบวนการสอนแบบโมเดลซิปปา (CIPPA) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277599 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาผลการพัฒนาทักษะการออกแบบสื่อการเรียนการสอนของนักศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง Augmented Reality (AR) 2) ศึกษาผลการพัฒนาทักษะการสร้างสื่อการเรียนการสอนของนักศึกษาโดยใช้เทคโนโลยี AR และ 3) ออกแบบและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะดังกล่าว โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR ร่วมกับกระบวนการสอนตามโมเดลซิปปา (CIPPA Model) ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 21 คน เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. แบบประเมินทักษะการออกแบบสื่อการเรียนการสอน และ 3. แบบประเมินทักษะการสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยี AR โดยผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือจากผู้เชี่ยวชาญ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าเฉลี่ย (𝑥̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>S.D.</em>)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษามีทักษะการออกแบบสื่อการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี AR อยู่ในระดับมากที่สุด 𝑥̄= 4.68 (2) นักศึกษามีทักษะการสร้างสื่อการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี AR อยู่ในระดับมากที่สุด 𝑥̄= 4.71 และ (3) กิจกรรมการเรียนรู้ที่ออกแบบและดำเนินการด้วยเทคโนโลยี AR ร่วมกับกระบวนการสอนแบบโมเดลซิปปา สามารถส่งเสริมการพัฒนาทักษะการออกแบบและสร้างสื่อการเรียนการสอนของนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ประพาพร มั่นคง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ssajournal/article/view/277599 Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700