https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/issue/feed วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 2024-04-29T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง journal@sskru.ac.th Open Journal Systems <h4><strong>วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ</strong></h4> <p>สำนักงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ได้จัดทำวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวารสารที่ตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการที่ครอบคลุมสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจและการจัดการ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยา และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีกำหนดการตีพิมพ์ราย 4 เดือน (จัดพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี) เผยแพร่ระหว่างเดือนมกราคม-เดือนเมษายน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหาคม และระหว่างเดือนกันยายน-เดือนธันวาคม และเป็นวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) <strong>กลุ่มที่ 2</strong> <strong>ซึ่งการรับรองคุณภาพวารสารครั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567</strong></p> <p>บทความทุกเรื่องต้องเป็นต้นฉบับที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น ๆ บทความทุกเรื่องจะได้รับการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) จำนวน 3 ท่าน ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากลั่นกรองความถูกต้องทางวิชาการ โดยประเมินบทความตามเกณฑ์และแบบฟอร์มที่กำหนดในลักษณะปกปิดรายชื่อผู้เขียนบทความและผู้ที่เกี่ยวข้อง (Double-blind peer review) บทความที่ได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนหรือเจ้าของผลงาน</p> <p>กองบรรณาธิการวารสารมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของวารสารให้มีคุณภาพตามมาตรฐานและเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และผลงานวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพทางวิชาการของท้องถิ่นสู่ความเป็นสากล<br /><br /></p> <p><strong>ISSN : 1906-0327 (Print)</strong></p> <p><strong>ISSN 3027-6063 (Online)</strong></p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264658 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 2023-04-25T17:43:23+07:00 อัจฉรา แจ่มใส 64054010114@srru.ac.th ศุภธนกฤษ ยอดสละ 64054010114@srru.ac.th ประภาพร บุญปลอด stu6430117101@365.sskru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ประเมินแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหาร สถานศึกษาจำนวน 29 คน ครูจำนวน 306 คน รวมทั้งสิ้น 335 คน และทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 และผู้วิจัยใช้วิธีดำเนินการระดมสมอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากและสภาพที่พึงประสงค์ของ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก ได้แก่ 1) การสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน 2) การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 3) การสร้างแรงบันดาลใจ 2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 พบว่า ได้จำนวนทั้งสิ้น 5 องค์ประกอบหลัก 20 แนวทางย่อย ได้แก่ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มี 4 แนวทาง ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล มี 4 แนวทาง ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ มี 4 แนวทาง ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์มี 4 แนวทาง และด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา มี 4 แนวทาง 3.ประเมินแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 พบว่า ผลการประเมินความถูกต้องความเหมาะสม และความเป็นไปได้ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดทุกองค์ประกอบ</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264634 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 2023-04-25T17:39:32+07:00 ทักษพร สายพญาศรี 64054010117@srru.ac.th ศุภธนกฤษ ยอดสละ 64054010117@srru.ac.th วสันต์ชัย กากแก้ว 64054010117@srru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 และ 3) ประเมินแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 จำนวน 288 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 และการสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นเดียวกัน และเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1) การตัดสินใจ 2) การประสานงาน 3) วัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม 4) วิสัยทัศน์ร่วม และ 5) ภาวะความเป็นผู้นำ 2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยการ วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก สรุปได้แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 30 แนวทาง 3. การประเมินแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา มีผลการประเมินความถูกต้อง/ความเหมาะสม/ความเป็นไปได้ ของแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และได้วิธีการพัฒนาภาวะผู้นำแบบกระจายความเป็นผู้นำ จำนวนทั้งสิ้น 5 วิธี ได้แก่ 1) การดูงานนอกสถานที่ 2) การมอบหมายโครงการ 3) การหมุนเวียนงาน 4) การมอบหมายงาน และ 5) การให้คำปรึกษา</p> <p> </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264617 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2023-05-03T16:30:26+07:00 จีรนันท์ ปัญญาสาร 64054010110@ms.srru.ac.th ศุภธนกฤษ ยอดสละ 64054010110@ms.srru.ac.th ประภาพร บุญปลอด 64054010110@ms.srru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) ประเมินความถูกต้อง ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา และระยะที่ 3 ประเมินแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 70 คน และครูหัวหน้ากลุ่มงาน 4 ฝ่าย จำนวน 280 คน รวม 350 คน และทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ มีระดับความเชื่อมั่น 0.91 จำนวน 50 ข้อ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหาร มีจำนวน 5 แนวทาง คือ (1) การให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงบวก (2) การสนับสนุนทางสังคม (3) พฤติกรรมประชาธิปไตย (4) พฤติกรรมการมีอำนาจ และ (5) การฝึกอบรมและการแนะนำ 25 แนวทางย่อย และ 4 วิธีการพัฒนา ได้แก่ การอบรม การอบรมเชิงปฏิบัติการ การศึกษาดูงาน และการสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง 3) ผลการประเมินความถูกต้อง ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบสอนงานของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264616 ภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2023-04-25T17:30:52+07:00 ณัฐพล จันทร์เพ็ง 64054010101@srru.ac.th ศุภธนกฤษ ยอดสละ 64054010101@ms.srru.ac.th ทรงเดช สอนใจ 64054010101@ms.srru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาและสังเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำแบบ ให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ กำหนดการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาและสังเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยศึกษาจากแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องจากนักวิชาการ จำนวน 10 คน ประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบโดยผู้ทรงโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน เครื่องมือการวิจัย คือแบบประเมิน ระยะที่ 2 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 70 คน และครูหัวหน้างาน 4 ฝ่าย 280 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 3 ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา ด้วยวิธีการสนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 11 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของภาวะผู้นำให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา ได้องค์ประกอบภาวะผู้นำแบบให้บริการ 7 องค์ประกอบ คือ (1) การเสริมพลังอำนาจ (2) การบริการ (3) ความนอบน้อม (4) การรับฟัง (5) การตระหนักรู้ (6) การมีวิสัยทัศน์ และ (7) การไม่เห็นแก่ตัว ผลการวิเคราะห์การประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบให้บริการของผู้บริหารสถานศึกษา มีจำนวน 30 แนวทาง และวิธีการพัฒนา จำนวน 4 วิธี ได้แก่ 1) การฝึกอบรม 2) การศึกษาดูงาน 3) การประชุมเชิงปฏิบัติการ และ 4) การศึกษาต่อ</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264652 ปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานบุคคล ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษานครพนม 2023-05-05T12:52:44+07:00 นราดล ยตะโคตร 131480naradon@gmail.com บุญมี ก่อบุญ 131480naradon@gmail.com เอกลักษณ์ เพียสา 131480naradon@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาระดับความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการบริหารกับความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน 4) เพื่อศึกษาอำนาจพยากรณ์ของปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน 5) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน จำนวน 341 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน การได้มาของกลุ่มตัวอย่างใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยทางการบริหารของผู้บริหารโรงเรียน มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง 0.60-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 ส่วนแบบสอบถามเกี่ยวกับความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียรสัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยทางการบริหารกับความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r<sub>xy</sub>=0.76) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4) ปัจจัยทางการบริหารของผู้บริหารโรงเรียน ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหาร (X<sub>1</sub>) ด้านการพัฒนาบุคลากร (X<sub>5</sub>) ด้านงบประมาณ (X<sub>3</sub>) ด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วม (X<sub>6</sub>) ด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การ (X<sub>4</sub>) และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (X<sub>2</sub>) มีอำนาจพยากรณ์ความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน (Y) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีอำนาจพยากรณ์ร้อยละเท่ากับ 69 <br />5) แนวทางพัฒนาปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน มีจำนวน 6 ด้าน คือ ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหาร ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านงบประมาณ ด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การ ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วม</p> <p> </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264535 การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดเมตาคอกนิชัน 2023-05-08T09:05:36+07:00 อรทัย วรรณวุฒิ orathaiwannawut1995@gmail.com ปาริชาติ ประเสริฐสังข์ orathaiwannawut1995@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทศนิยมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดเมตาคอกนิชันให้มีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป ในการวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบัณฑิตวิทยา จำนวน 12 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดเมตาคอกนิชัน เรื่อง ทศนิยม แบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เป็นแบบอัตนัย จำนวน 4 ข้อ และแบบสัมภาษณ์นักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 12 คน มีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเมตาคอกนิชันสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยในวงรอบปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ผ่านเกณฑ์ 10 คน จากนักเรียนทั้งหมด 12 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 และวงรอบปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ผ่านเกณฑ์ 12 คน คิดเป็นร้อยละ 100 แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเมตาคอกนิชันที่มุ่งให้นักเรียนมีกระบวนการคิด กำกับ ควบคุม และประเมินความคิดของตนเองอย่างเป็นระบบ สามารถพัฒนาการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนได้</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/265245 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลกับองค์การแห่งการเรียนรู้ ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 2023-05-20T04:58:18+07:00 ศุภาวณีย์ ระคนจันทร์ stu6430117225@sskru.ac.th พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง stu6430117225@sskru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลกับองค์การแห่งการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 32 คนและครูจำนวน 290 คน รวมทั้งสิ้น 322 คน ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษเขต 3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.974 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ การมีวิสัยทัศน์ยุคดิจิทัล รองลงมาคือ ความเป็นมืออาชีพด้านดิจิทัล และค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับน้อยที่สุดคือ การสร้างวัฒนธรรมยุคดิจิทัล 2) ระดับองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษเขต 3 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม รองลงมาคือ ด้านการใช้เทคโนโลยี และค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับน้อยที่สุดคือ ด้านการเพิ่มอำนาจแก่บุคคล 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลกับองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษเขต 3 มีความสัมพันธ์กันในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ 0.850</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/265009 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์กับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 2023-05-17T14:18:25+07:00 วิยะดา เจียวรัมย์ 64054010128@srru.ac.th ศุภธนกฤษ ยอดสละ 64054010128@ms.srru.ac.th พนา จินดาศรี 64054010128@ms.srru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา และ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์กับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 จำนวน 341 คนซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยค่าความเชื่อมั่นภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ 0.96 และค่าความเชื่อมั่นการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา เท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 2) การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์มีความสัมพันธ์กับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ 0.824 </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/265172 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ 2023-05-31T13:47:42+07:00 จรัญญา ทองวิเศษ jarunya.moon55@sskru.ac.th พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง Jarunya.moon55@sskru.ac.th จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์ Jarunya.moon55@sskru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผูบริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ กลุมตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ตัวแทนของประชากร <br />ในโรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ รุ่นที่ 1 และ 2 กำหนดให้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ได้จำนวน 92 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลในแต่ละโรงเรียน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 1 คน และครู 3 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 368 คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีคาความเชื่อมั่น เทากับ 0.975 สถิติที่ใชในการวิเคราะขอมูล ไดแก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบวา 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากทุกด้าน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรม จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับมากกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ในระดับสูงสุด เท่ากับ 0.782</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/265371 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมทักษะการแต่งหน้าเพื่อการอาชีพ สำหรับนักศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร 2023-05-20T05:03:24+07:00 ศิริชัย สมคะเณย์ sirichaisomkane@gmail.com พรชัย ผาดไธสง sirichaisomkane@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมทักษะการแต่งหน้า เพื่อการอาชีพสำหรับนักศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร 2) เพื่อศึกษาทักษะการปฏิบัติการแต่งหน้าเพื่อการอาชีพ เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังใช้หลักสูตรฝึกอบรมทักษะการแต่งหน้าเพื่อ การอาชีพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตำบล สามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสำรวจความต้องการในการพัฒนาอาชีพเพื่อการแต่งหน้า 2) หลักสูตรฝึกอบรมทักษะการแต่งหน้าเพื่อการอาชีพ 3) แบบวัดทักษะการปฏิบัติการแต่งหน้าเพื่ออาชีพ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีเทียบกับเกณฑ์ และการทดสอบทีแบบไม่อิสระ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรฝึกอบรมทักษะการแต่งหน้าเพื่อการอาชีพ พบว่า หลักสูตร มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.84 - 5.00 คิดเป็นร้อยละ 98.40 2) นักศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ที่ได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรฝึกอบรมทักษะการแต่งหน้าเพื่อการอาชีพ มีทักษะการปฏิบัติการแต่งหน้าเพื่อการอาชีพ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) นักศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ที่ได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรฝึกอบรมทักษะการแต่งหน้าเพื่อการอาชีพ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264597 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 2023-05-30T07:31:17+07:00 อรัญญา แสนสีแก้ว aranya.n.sans@gmail.com วัลนิกา ฉลากบาง aranya.n.sans@gmail.com พรเทพ เสถียรนพเก้า aranya.n.sans@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน 2) ระดับประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลกับประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน 4) อำนาจพยากรณ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน และ 5) แนวทางพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 จำนวน 468 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่ส่งผลกับประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนด้านการจัดการเรียนรู้ ความเข้าใจของผู้ปกครองและชุมชน ความรู้และทักษะของครูผู้สอน และบทบาทผู้บริหารโรงเรียน มีอำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 77.80 5) แนวทางพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียน มี 4 องค์ประกอบ คือ การจัดการเรียนรู้ ความเข้าใจของผู้ปกครองและชุมชน ความรู้และทักษะของครูผู้สอน และบทบาทผู้บริหารโรงเรียน</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/265001 การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ตามแนวคิดของมาร์ซาโน วิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2023-05-29T17:43:33+07:00 ปิยะพงษ์ บัวแก้ว chemistrynms26@gmail.com สัจธรรม พรทวีกุล chemistrynms26@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ตามแนวคิดของมาร์ซาโนวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kurt Lewin กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโหรา จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนการรู้ 2) แบบประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ตามแนวคิดของมาร์ซาโน 3) แบบบันทึกภาคสนาม ได้แก่ แบบบันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมนักเรียนโดยครู แบบบันทึกหลังการสอนของครู สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนมีคะแนนการประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ตามแนวคิดของมาร์ซาโนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 คิดเป็นร้อยละ 100 โดยผ่านเกณฑ์การประเมินตั้งแต่วงรอบที่ 2 ซึ่งมีคะแนนอยู่ระหว่างร้อยละ 71.00-95.33 และวงรอบที่ 3 ซึ่งเป็นวงรอบวิจัยเพื่อทำการประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ซึ่งมีคะแนนอยู่ระหว่างร้อยละ 86.67-100.00</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/264496 การศึกษาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มจัดการศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเนินมะปราง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 2023-05-31T13:58:13+07:00 นาขวัญ สุรนันท์ nakwan.s@psru.ac.th ณิรดา เวชญาลักษณ์ Nakwan.s@psru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มจัดการศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเนินมะปราง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรคือ ผู้บริหาร และครู จำนวน 173 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 18 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง และครู จำนวน 105 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย รวม 123 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่น 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มจัดการศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเนินมะปราง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การฟัง รองลงมา คือ การสร้างสังคมชุมชน การเห็นอกเห็นใจ การโน้มน้าวใจ และการให้บริการ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ วิสัยทัศน์ </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/268520 การศึกษากรอบความคิดของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษเพื่อจัดทำคู่มือพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโต 2023-11-01T18:58:51+07:00 ชนมน สุขวงศ์ chanamonsookawong@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายของงานวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับกรอบความคิดแบบเติบโตของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 2) จัดทำคู่มือพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2/2565 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 314 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดศึกษากรอบความคิด จำนวน 30 ข้อ โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.72 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.การศึกษาระดับกรอบความคิดแบบเติบโต นักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ศรีสะเกษมี 5 องค์ประกอบ คือ 1) มุมมองต่อความเชื่อเกี่ยวกับสติปัญญาของตนเอง 2) มุมมองต่อปัญหาและอุปสรรค 3) มุมมองต่อผลสะท้อนหรือคําวิพากษ์วิจารณ์ 4) การตอบสนองต่อความล้มเหลวและ 5) เป้าหมายในการเรียนรู้ พบว่า กรอบความคิดในด้านเป้าหมายในการเรียนรู้ มีในระดับมาก รองลงมาคือกรอบความคิดในด้านมุมมองต่อความเชื่อเกี่ยวกับสติปัญญาของตนเอง มีคะแนนเฉลี่ย 3.90 อยู่ในระดับมาก กรอบความคิดในด้านมุมมองต่อผลสะท้อนหรือคําวิพากษ์วิจารณ์ มีคะแนนเฉลี่ย 3.84 อยู่ในระดับมาก กรอบความคิดในด้านการตอบสนองต่อความล้มเหลวมีคะแนนเฉลี่ย 3.83 อยู่ในระดับมากและกรอบความคิดในด้านมุมมองต่อปัญหาและอุปสรรคมีคะแนนเฉลี่ย 3.61 อยู่ในระดับมาก และมีคะแนนกรอบความคิดโดยรวมเฉลี่ย 3.82 อยู่ในระดับมาก</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2.การสร้างคู่มือพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโต ซึ่งผ่านการประเมินและตรวจสอบเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ผลการประเมินพบว่าความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของคู่มือพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโต นักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษอยู่ในระดับมากที่สุดมีคะแนนเฉลี่ย 4.67 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยระดับสูงสุด คือ ด้านความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ มีคะแนนเฉลี่ย 4.76 รองลงมา คือ ด้านความเหมาะสมด้านการใช้ภาษาและการสื่อสารมีคะแนนเฉลี่ย 4.67 ความเหมาะสมด้านเนื้อหามีคะแนนเฉลี่ย 4.60 และความเหมาะสมด้านการใช้ประโยชน์มีคะแนนเฉลี่ย 4.60 ตามลำดับ</span></p> <p> </p> 2023-12-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/270457 ผลของโปรแกรมความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศร่วมกับบอร์ดเกมส์ UNO “SEX-เสี่ยงเลี่ยงได้” ในนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 2024-02-13T12:09:11+07:00 กฤตภาส สีหะวงษ์ Krittapart.s@kkumail.com นาฏนภา หีบแก้ว ปัดชาสุวรรณ์ Krittapart.s@kkumail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศร่วมกับบอร์ดเกมส์ UNO “SEX-เสี่ยงเลี่ยงได้” ในนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ รูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มทดลองจำนวน 35 คน ได้รับโปรแกรมความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศร่วมกับบอร์ดเกมส์ UNO “SEX-เสี่ยงเลี่ยงได้” กิจกรรม ได้แก่ การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลความรอบรู้สุขภาพทางเพศด้วยกิจกรรม “ตุ๊กตาล้มลุก” การพัฒนาความเข้าใจผ่านกิจกรรม “รู้เขา รู้เรา” ซึ่งเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “QQR (Quantity, Quality, Route of transmission)” การพัฒนาการการรู้เท่าทันสื่อสุขภาพทางเพศด้วยการสื่อสารเรื่องเพศ การสื่อสารความรอบรู้สุขภาพทางเพศด้วยกิจกรรมแลกน้ำ เพื่อพัฒนาการตัดสินใจในการหลีกเลี่ยงร่วมกับการใช้บอร์ดเกมส์ UNO “SEX-เสี่ยงเลี่ยงได้ และละครบทบาทสมมุติ และกลุ่มเปรียบเทียบจำนวน 35 คน ซึ่งใช้ชีวิตตามปกติ ระยะเวลาการดำเนินกิจกรรม 10 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามก่อนและหลัง การทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยภายในกลุ่ม และระหว่างกลุ่ม โดยใช้สถิติ Paired t–test และ Independent t–test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนการเข้าถึง การเข้าใจ การรู้เท่าทันสื่อ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการตัดสินใจ และการจัดการตนเองเพื่อป้องกันโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์มากกว่าก่อนการทดลองและมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt; 0.001 และภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean difference = 8.17, 95%CI = 7.16 ถึง 9.18; p-value &lt;0.001) และมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean difference = 8.51, 95%CI = 6.84 ถึง 10.19 ; p-value &lt;0.001) ดังนั้น โปรแกรมความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศร่วมกับบอร์ดเกมส์ UNO “SEX-เสี่ยงเลี่ยงได้” สามารถนำไปใช้ในการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ให้กับนักศึกษาได้อย่างเหมาะสม</p> <p><strong> </strong></p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ