วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal <h4><strong>วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ</strong></h4> <p>สำนักงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ได้จัดทำวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวารสารที่ตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการที่ครอบคลุมสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจและการจัดการ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยา และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีกำหนดการตีพิมพ์ราย 6 เดือน (จัดพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี) เผยแพร่ระหว่างเดือนมกราคม-เดือนมิถุนายน และระหว่างเดือนกรกฎาคม-เดือนธันวาคม และเป็นวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) <strong>กลุ่มที่ 2</strong> <strong>ซึ่งการรับรองคุณภาพวารสารครั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572</strong></p> <p>บทความทุกเรื่องต้องเป็นต้นฉบับที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น ๆ บทความทุกเรื่องจะได้รับการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) จำนวน 3 ท่าน ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากลั่นกรองความถูกต้องทางวิชาการ โดยประเมินบทความตามเกณฑ์และแบบฟอร์มที่กำหนดในลักษณะปกปิดรายชื่อผู้เขียนบทความและผู้ที่เกี่ยวข้อง (Double-blind peer review) บทความที่ได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนหรือเจ้าของผลงาน</p> <p>กองบรรณาธิการวารสารมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของวารสารให้มีคุณภาพตามมาตรฐานและเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และผลงานวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพทางวิชาการของท้องถิ่นสู่ความเป็นสากล<br /><br /></p> <p><strong>ISSN : 1906-0327 (Print)</strong></p> <p><strong>ISSN 3027-6063 (Online)</strong></p> th-TH <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกบทความเพื่อการศึกษา แต่ให้อ้างอิงแหล่งที่มาให้ครบถ้วนสมบูรณ์</p> journal@sskru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง) journal@sskru.ac.th (นางสาวศิริภัทรา คำมะรักษ์) Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การประเมินโครงการเศรษฐกิจพอเพียงของกลุ่มยุวเกษตรกรโรงเรียนบ้านนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277078 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินบริบท 2) ประเมินปัจจัยนำเข้า 3) ประเมินกระบวนการดำเนินงาน 4) ประเมินผลผลิต โครงการเศรษฐกิจพอเพียงของกลุ่มยุวเกษตรกร โรงเรียนบ้านนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน และผู้ปกครอง จำนวน 125 คน ผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 11 คน โดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน การสุ่มอย่างง่าย และการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป มีค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป และแบบสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหาเชิงประเด็น<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านบริบท ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการจัดทำโครงการ รองลงมาคือ ความต้องการจำเป็นในการจัดทำโครงการ 2) ด้านปัจจัยนำเข้า ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือด้านอาคารสถานที่และแหล่งเรียนรู้ รองลงมาคือ ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ และด้านบุคลากรในการดำเนินงาน 3) ด้านกระบวนการ ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือการดำเนินงานโครงการ รองลงมาคือ การวางแผนโครงการ การปรับปรุงแก้ไขโครงการ และการตรวจสอบและการติดตามโครงการ 4) ด้านผลผลิต ดำเนินการประเมิน 4 ประเด็น ดังนี้ 4.1) การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ความพอประมาณ รองลงมาคือ การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี และ ความมีเหตุผล 4.2) การประเมินผลการดำเนินกิจกรรม ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้ง 5 กิจกรรม ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือฐานปลูกผักปลอดสารพิษ รองลงมาคือ ฐานเพาะเห็ดนางฟ้า และฐานเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน 4.3) การประเมินความพึงพอใจ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือนักเรียนมีส่วนร่วมและมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในการร่วมกิจกรรม รองลงมาคือนักเรียนสามารถนำความรู้จากฐานการเรียนรู้ไปถ่ายทอดให้กับผู้ปกครองได้ นักเรียนได้เรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติงานจริง สร้างประสบการณ์การทำงานและเกิดความริเริ่ม สร้างสรรค์ 4.4) การสนทนากลุ่ม พบว่า โครงการเป็นการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกิจกรรมฐานการเรียนรู้ เป็นแนวทางการส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้นักเรียนทำตนให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น สามารถนำความรู้ที่ได้ไปแบ่งปัน ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่นสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน สร้างวินัยและความรับผิดชอบ ซึ่งต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน</p> ณัฐรดา ดำเนินผล, เบญจพร ชนะกุล, อโนทัย ประสาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277078 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้เกม เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเศษส่วนที่มีตัวส่วนเท่ากัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนมารีย์นิรมล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277294 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้เกม 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็มในแต่ละข้อ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนมารีย์นิรมล ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวนนักเรียน 25 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จำนวน 12 แผน รวม 12 ชั่วโมง 2) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นแบบทดสอบอัตนัยจำนวน 12 ใช้วัดหลังเรียนแต่ละแผน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 3 ระดับ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ พบว่า นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็มในแต่ละข้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้เกม อยู่ในระดับมาก</p> นารีรัตน์ สุพรรณ, ปริญา ปริพุฒ, สมถวิล ขันเขตต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277294 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278107 <p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล 2) เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล จำแนกตามสถานภาพตำแหน่งการปฏิบัติงาน ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของโรงเรียน <br />3) ศึกษาปัญหาและแนวทางในการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครูวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที (t-test) แบบเป็นอิสระต่อกัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) กรณีพบความแตกต่างใช้วิธีการทดสอบความแตกต่างรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe's method) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาและครูวิชาการที่มีตำแหน่งการปฏิบัติงานต่างกัน มีความคิดเห็นโดยรวม ไม่แตกต่างกัน 3) ปัญหาและแนวทางการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล ปัญหาที่พบ คือ โรงเรียนขาดครูและบุคลากรที่เข้าใจและสามารถปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน ครูสอนไม่ตรงตามวิชาเอก ครูไม่ครบชั้นและขาดแคลนครู ครูมีภาระงานพิเศษอื่นมากเกินไป งบประมาณในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีไม่เพียงพอ และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการนิเทศการศึกษาไม่มากเท่าที่ควร โดยแนวทางแก้ไขและพัฒนาคือ มีการจัดอบรมเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อให้เชื่อมโยงกับหลักสูตรของสถานศึกษา จัดครูให้ตรงตามเอกและให้ครบชั้น ส่งเสริมให้ครูได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการศึกษามากที่สุด</p> แพรวพรรณ ทาสมบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278107 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารแบบมีส่วนร่วมของครูในการจัดการเรียนรู้ ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277210 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของครูในการจัดการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของครูในการจัดการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาแนวทางส่งเสริมการบริหารแบบมีส่วนร่วมของครูในการจัดการเรียนรู้ ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ศรีสะเกษ ยโสธร ปีการศึกษา 2565 จำนวน 364 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) และการเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.975 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที ค่าเอฟ และการสังเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของครูในการจัดการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคอุบัติใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของครูในการจัดการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ พบว่าผู้บริหารและครูที่มีตำแหน่งต่างกัน เมื่อพิจารณาโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01, ผู้บริหารและครูที่ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานต่างกัน เมื่อพิจารณาโดยรวมมีความคิดเห็น ไม่แตกต่างกัน, ผู้บริหารและครูที่มีขนาดโรงเรียนต่างกัน โดยภาพรวมพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางส่งเสริมการบริหารแบบมีส่วนร่วมของครูในการจัดการเรียนรู้ ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ พบว่า ด้านการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ควรมีแนวทางให้ครูมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการ PLC ส่งเสริมครูผู้สอน มีการอบรม, ด้านการวางแผนการใช้หลักสูตร ของสถานศึกษา ควรมีการจัดการประชุม มีปฏิทินการดำเนินงานชัดเจน, ด้านการดำเนินการใช้หลักสูตร ควรให้ครูเลือกรูปแบบการเรียนการสอนตามความเหมาะสม ส่งเสริมให้ครูได้รับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อการผลิตสื่อ, ด้านการนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินการใช้หลักสูตร ควรมีขั้นตอน มีการรายงานผลตามรูปแบบ มีการติดตามผล ให้ขวัญกำลังใจ และสนับสนุน อย่างต่อเนื่อง, ด้านการสรุปผลการดำเนินงานและเขียนรายงาน ควรมีรูปแบบเป็นระบบ เป็นขั้นตอน มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ และด้านการนำข้อมูลไปใช้ในการปรับหลักสูตรของสถานศึกษา ควรนำข้อมูลที่ได้จากการรายงานผลมาพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้อง เหมาะสม เข้ากับสถานการณ์ของโรคอุบัติใหม่</p> วทันยา ภาษาพรม, พิมล วิเศษสังข์, อุดมพันธ์ พิชญ์ประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277210 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิผลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277275 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ 2) เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 343 คน กลุ่มเป้าหมายในการสัมภาษณ์ จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.986 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปร ใช้การทดสอบค่าที การทดสอบค่าเอฟ และการทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา พบว่า มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) จากการศึกษาแนวทางการการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ประกอบด้วย 5 ด้าน ดังนี้ 3.1) ด้านการจัดสร้างอาคารสถานที่ ควรมีการจัดทำงบประมาณให้ชัดเจนในการสร้างอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับความจำเป็น และมีการแต่งตั้งบุคลากรที่ต้องรับผิดชอบให้ชัดเจนเพื่อป้องกันความ 3.2) ด้านการใช้อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ควรมีความปลอดภัยในการใช้ อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมต้องไม่มีการชำรุดและจะต้องมีการซ่อมแซมอยู่เสมอ 3.3) ด้านการบำรุงอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ควรมีงบประมาณในการบำรุงให้เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของผู้เรียนและคนที่มาใช้บริการ 3.4) ด้านการควบคุมดูแลอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ควรมีวิธีการและขั้นตอนในการใช้อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน ต้องมีการตรวจสอบอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมว่ายังใช้ได้ 3.5) ด้านการประเมินผลการใช้งานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ควรมีการสรุปรายงานผลการปฏิบัติงานให้เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับการใช้และการปรับปรุงอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมพร้อมใช้ในการจัดการเรียนการสอน และเป็นการการเรียนรู้ที่คุ้มค่ามากที่สุด</p> อานันท์ จันทศิลา, อุดมพันธ์ พิชญ์ประเสริฐ, พิมล วิเศษสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277275 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277975 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เปรียบเทียบพฤติกรรมสารสนเทศ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จำแนกตาม เพศ อายุ ชั้นปีการศึกษา และคณะ และปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 380 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบค่าทีแบบเป็นอิสระต่อกัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว การทดสอบความแตกต่างรายคู่ใช้วิธี LSD และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือของนักศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือ พบว่า นักศึกษาที่มีเพศต่างกันและสังกัดสังกัดคณะ/วิทยาลัยต่างกันมีพฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือ ทั้งโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ส่วนนักศึกษาที่มีอายุและชั้นปีการศึกษาต่างกันมีพฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือแตกต่างกันทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีมือถือ และด้านรูปแบบการเรียนรู้ ส่งผลต่อพฤติกรรมสารสนเทศบนโทรศัพท์มือถือของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ เท่ากับ 0.863 และมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 74.50 และสามารถนำมาเขียนสมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ = 0.584 + 0.636 (X<sub>1</sub>) + 0.125 (X<sub>4</sub>) สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน <sub>y</sub> = 0.657 (Z<sub>1</sub>) + 0.134 (Z<sub>4</sub>)</p> ลำพึง บัวจันอัฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277975 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278488 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 346 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ได้รางวัลต่าง ๆ จำนวน 4 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง และเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .97 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ เมื่อพบความแตกต่าง ทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของ Scheffé และการวิเคราะห์เนื้อหาแบบพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา มีระดับภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์<br />ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ปัญหาและ<br />แนวทางการแก้ปัญหา (1) ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ขาดการสื่อสารให้บุคลากรเข้าใจตรงกัน ควรมีการสื่อสารให้มีความเข้าใจตรงกันชี้แจงเหตุผลในการตัดสินใจให้ทราบ (2) ด้านการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ ขาดการกำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน ควรมีการกำหนดบทบาทหน้าที่มอบหมายงานอย่างชัดเจนให้เกียรติและความไว้ใจ (3) ด้านการมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ ขาดการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากร ควรมีการมอบขวัญกำลังใจ รางวัลตอบแทนแก่บุคลากรที่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมาย (4) ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล กระบวนการประเมินผลไม่ชัดเจน ควรทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และประโยชน์ของการประเมินผล</p> นภัสวรรณ ศักดิ์วิจารณ์, ภาณุพงศ์ บุญรมย์, สมฤทัย เตาจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278488 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 แรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278380 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ทำงานและขนาดของโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางสร้างแรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย และกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 323 คน และเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 47 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t การทดสอบค่า F และตรวจสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีของ เชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาแรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ในภาพรวมและรายด้าน มีแรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก โดยมีแรงจูงใจใน ด้านความสามัคคีในองค์การอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือด้านการได้รับการยอมรับนับถือ 2) ผลการเปรียบเทียบแรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 จําแนกตำแหน่งหน้าที่ ประสบการณ์การทำงาน ตามขนาดโรงเรียน วุฒิการศึกษา พบว่า ตำแหน่งหน้าที่ ประสบการณ์การทำงาน ขนาดโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านวุฒิการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) เพื่อเสนอแนวทางสร้างแรงจูงใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา ควรมีค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับค่าครองชีพในปัจจุบัน ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับเรื่องแรงจูงใจที่จะส่งผลต่อการปฏิบัติงาน เนื่องจากบุคลากรเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้องค์การขับเคลื่อนไปตามเป้าหมายที่มีการตั้งไว้</p> ศรัณย์ ประสาร, พงษ์ธร สิงห์พันธ์, นเรศ ขันธะรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278380 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง ตำบลป่าเด็งและตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/279487 <p>การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพบริบทพื้นฐานของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ 2) เพื่อประเมินศักยภาพของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามและแบบประเมินศักยภาพกับกลุ่มตัวอย่างได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ตำบลห้วยแม่เพรียงและตำบลป่าเด็ง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 32 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสนทนากลุ่มกับ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เนื้อหาผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพบริบทพื้นฐานของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกกาแฟแบบผสมผสาน ไม่ใช้สารเคมีในการดูแลรักษา สายพันธุ์กาแฟที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โรบัสตา และมีวิธีการแปรรูปเมล็ดกาแฟด้วยกระบวนการ Dry Process 2) ผลการประเมินศักยภาพของเกษตรกร เรียงจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความรู้ในการผลิตกาแฟของเกษตร รองลงมาด้านการบริหารจัดการ และด้านการบริหารจัดการทางการเงินและงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ในการผลิต ตามลำดับ และ 3) แนวทางการส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง พบว่า 1) ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ตามองค์ประกอบการบริหารจัดการ ได้แก่ ด้านความรู้ในการผลิตกาแฟ ด้านการบริหารจัดการทางการเงินและงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ในการผลิต ด้านการบริหารจัดการ 2) ควรมีการเยี่ยมเยียน พบปะเกษตรกรเพื่อ ติดตาม แลกเปลี่ยน ผลลัพธ์ของการถ่ายทอดความรู้ ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อหาแนวทางการแก้ไขและพัฒนา 3) ควรมีการสนับสนุนเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพของเกษตรกร 4) ควรมีการติดตาม และประเมินผลลัพธ์ เพื่อหาแนวทางการแก้ไขและพัฒนา และ 5) ควรมีการจัดการข้อมูลเพื่อการวางแผนการผลิตและการจัดจำหน่าย รวมถึงเพื่อการบริหารจัดการในลักษณะกลุ่มผู้ประกอบการผลิตกาแฟ</p> ศศิวิมล กาหลง, วิภวานี เผือกบัวขาว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/279487 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 พุทธจริยศาสตร์ของตัวละครในหนังสือเรียนวรรณคดีวิจักษ์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277392 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพุทธจริยศาสตร์ของตัวละครในหนังสือเรียนวรรณคดี วิจักษ์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวนทั้งหมด 5 เรื่อง ได้แก่ 1) กาพย์พระไชยสุริยา 2) ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา 3) รามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบนนทก 4) พระอภัยมณี ตอนพระอภัยมณี หนีนางผีเสื้อสมุทรและ 5) บทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพุทธจริยศาสตร์และนำเสนอผลการวิจัยในรูปแบบการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า พุทธจริยศาสตร์ของตัวละครในหนังสือเรียนวรรณคดีวิจักษ์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ปรากฏ 3 ระดับ ได้แก่ ศีลธรรมระดับเบื้องต้นคือเบญจศีล ศีลธรรมระดับกลางคือกุศลกรรมบถ 10 และศีลธรรมระดับสูงคือมรรคมีองค์ 8 โดยตัวละครในแต่ละเรื่องได้แสดงพฤติกรรมทั้งทางกาย วาจาและใจตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของตัวละครและถึงแม้ว่าตอนจบของแต่ละเรื่องอาจมีทั้งสุขและทุกข์ล้วนเกิดจากผลของการกระทำที่ตนเองได้ประพฤติ</p> วรวิทย์ มีลี, กีรติ ธนะไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277392 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ประสบการณ์และมุมมองนักศึกษาต่อการใช้ ChatGPT เพื่อเสริมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ: กรณีศึกษานักศึกษาภาษาอังกฤษธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277847 <p>การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษโดยเฉพาะการเขียนยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับนักศึกษาไทย อีกทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยียังมีบทบาทสำคัญในวงการการศึกษาอย่างมาก เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในการเรียนการสอนอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน การวิจัยนี้ศึกษาประสบการณ์และทัศนคติของนักศึกษาต่อการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ChatGPT เพื่อช่วยในการเสริมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (English for Specific Purposes: ESP) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักศึกษาภาษาอังกฤษธุรกิจที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจ จำนวน 63 คน การศึกษาใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง โดยเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามและสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเพื่อสำรวจประสบการณ์และทัศนคติของนักศึกษาต่อการใช้ ChatGPT ช่วยในการเสริมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีประสบการณ์ต่อการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ChatGPT ในระดับมากที่สุด (X̄ = 4.23, SD = 0.74) และมีทัศนคติต่อการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ChatGPT ในระดับมากที่สุด (X̄ = 4.28, SD = 0.71) โดย ChatGPT มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะการเขียน โดยช่วยในการปรับปรุงไวยากรณ์ คำศัพท์ และโครงสร้างเนื้อหา แม้ว่าจะมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ความแม่นยำและความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม แต่ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าการบูรณาการเครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT สามารถช่วยพัฒนาทักษะการเขียนของนักศึกษาและเสริมการเรียนการสอนในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในบริบท ESP ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI และเปิดโอกาสในการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบูรณาการเทคโนโลยีในกระบวนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในอนาคต</p> อินทิรา ศักดิ์เมียนแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/277847 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/280114 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) ศึกษาระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4) ศึกษาตัวแปรพยากรณ์ของปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารโรงเรียนและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2567 จำนวน 341 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .987 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับของปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช พบว่า มีความสัมพันธ์กันในทางบวก อยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 4) ตัวแปรพยากรณ์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช พบว่าตัวแปรพยากรณ์ที่ดี ที่สุด 3 ด้าน คือ ด้านผู้บริหาร ด้านครู และด้านสื่อและเทคโนโลยี สามารถร่วมกันทำนายการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ได้ร้อยละ 62.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p> </p> รัตนาพร สีเมฆ, พระครูวุฒิชัยการโกศล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/280114 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการใช้ Generative AI เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/279223 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการใช้ Generative AI เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจหลังการใช้ Generative AI <strong>รูปแบบการวิจัยเชิงทดลอง (</strong><strong>Experimental Design) แบบ One-Group Posttest Only Design</strong> กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้เข้าร่วมอบรมนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แอปพลิเคชัน Generative AI แบบประเมินทักษะการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล แบบประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลทำโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการใช้ Generative AI เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล พบว่า หลังการใช้งานผู้เข้ารับการอบรมมี</li> </ol> <p>ทักษะการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลอยู่ในระดับดีมาก และเมื่อทดสอบเปรียบเทียบเกณฑ์คะแนนทักษะการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล <br />หลังใช้งาน ร้อยละ 80 พบว่า คะแนนหลังใช้งานสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <ol start="2"> <li>ความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรมหลังใช้ Generative AI อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 66, S.D. = .35)</li> </ol> ศยามน อินสะอาด, ทิชพร นามวงศ์, บุษกร เชี่ยวจินดากานต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/279223 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาไทย โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278529 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตัวสะกดแม่เกย กก กบ รายวิชาภาษาไทย ระหว่างห้องที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐานกับห้องที่เรียนแบบปกติ 2) ศึกษาทักษะการอ่าน เรื่อง ตัวสะกดแม่เกย กก กบ รายวิชาภาษาไทย โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ตัวสะกดแม่เกย กก กบ รายวิชาภาษาไทย โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนอนุบาลกันทรวิชัย จำนวน 51 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ได้มาโดยใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3) แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียง 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติแบบ t-test (Independent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตัวสะกดแม่เกย กก กบ รายวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐานสูงกว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 ที่เรียนด้วยการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการอ่าน เรื่อง ตัวสะกดแม่เกย กก กบ รายวิชาภาษาไทย โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน 3) นักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ตัวสะกดแม่เกย กก กบ รายวิชาภาษาไทย</p> รัตติกาล สารกอง, กนกวรรณ ช่างยันต์, ชัญญาวีร์ จงเทพ, บุษบา ฤทธิ์ลือชัย, ธนโชติ อิ่มสมบูรณ์, วารินทิพย์ ศรีกุลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/278529 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลศรีสะเกษ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/279496 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล และกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดลกับกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ และ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดลกับเกณฑ์ร้อยละ 75</p> <p> รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง วัดหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ห้องเรียน มีนักเรียนห้องละ 30 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา 2) แผนการการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา 3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา และ 4) แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนตัวแปรพหุนาม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา<br />ปีที่ 4 กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดลมีค่าเฉลี่ย 78.167 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 13.613 และค่าเฉลี่ยความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เท่ากับ 74.033 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 15.599 ตามลำดับ ส่วนนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ มีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เท่ากับ 61.500 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 13.400 และค่าเฉลี่ยความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เท่ากับ 53.600 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 12.053 ตามลำดับ และพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนทั้งสองกลุ่มมีความสัมพันธ์กัน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดลสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดลไม่สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> พัชรี ชื่นชาย, วินิจ เทือกทอง, สุรีรัตน์ อารีรักษ์สกุล ก้องโลก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sskrujournal/article/view/279496 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700