https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/issue/feed วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช 2025-09-05T13:22:19+07:00 รองศาสตราจารย์ทัศนีย์วรรณ์ ศรีประดิษฐ์ tx.aaoffice@stou.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารสุโขทัยธรรมาธิราชมีวัตถุประสงค์เพื่อพิมพ์บทความด้านสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ</p> <p>- สาขาศิลปวัฒนธรรม<br />- สาขากฎหมาย การเมือง การปกครอง<br />- สาขาการศึกษา<br />- สาขาการพัฒนาชุมชนและสังคม<br />- สาขาการสื่อสารและสารสนเทศ</p> <p>โดยมีกําหนดเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือนธันวาคม</p> <p>บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการกลั่นกรองและประเมินคุณภาพจากกองบรรณาธิการวารสารสุโขทัยธรรมาธิราชและผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน แบบ <span style="font-weight: 400;"><span class="fontstyle0">double-blind Peer Review</span></span></p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/275944 บทความวิชาการ การให้คำปรึกษาในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง 2025-04-03T14:14:04+07:00 อุมาภรณ์ สุขารมณ์ umaporn.mink@gmail.com โยธกา ภักดีเมฆานนท์ umaporn.mink@gmail.com <p> บทความวิชาการเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาโดยเน้นแนวคิดใหม่ในการให้คำปรึกษาให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง<br /> วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาในช่วงปี 2020-2024 มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาตามสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้การปรึกษาผ่านเทคโนโลยีเป็นที่นิยมและจำเป็นมากขึ้น รวมถึงแนวคิดการให้คำปรึกษาแบบองค์รวม การเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม ขอบข่ายของการให้บริการปรึกษา สามารถพิจารณาตามลักษณะของปัญหาและความต้องการของผู้รับคำปรึกษา บทบาทและหน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษา ประกอบไปด้วยการเป็นผู้ฟังและเข้าใจ ให้การสนับสนุนและแนะนำแนวทาง ให้ความรู้ และรักษาความลับ รวมถึงประเมิน และวางแผนกระบวนการให้คำปรึกษาเหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิดทฤษฎีการให้คำปรึกษาเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบัน</p> <p> บทสรุป การให้คำปรึกษาจะดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของผู้ให้คำปรึกษา ประกอบด้วยมุมมอง แนวความคิด และทัศนคติ ในอันที่จะมีผลเอื้ออำนวยต่อการทำงานทางด้านการแนะแนว และการให้บริการปรึกษาให้สัมฤทธิ์ผลมากขึ้น มีการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมพื้นฐานในตัวของผู้ให้คำปรึกษาจากนักจิตวิทยาเพื่อดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดนั้น</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/277483 ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองท้องที่กับการปกครองท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะ: กรณีศึกษา ตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา 2024-12-17T09:57:26+07:00 น้ำผึ้ง คำสอาด peung_jangko@hotmail.com ธนศักดิ์ สายจำปา peung_jangko@hotmail.com ขจรศักดิ์ สิทธิ peung_jangko@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ความสัมพันธ์เชิงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองท้องที่และฝ่ายปกครองท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะของตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา (2) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความร่วมมือกันของการปกครองท้องที่และการปกครองท้องถิ่นในการจัดบริการสาธารณะของตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา และ (3) ปัญหาอุปสรรค และเสนอแนะแนวทางความร่วมมือในการจัดทำบริการสาธารณะของการปกครองท้องที่และการปกครองท้องถิ่น ของตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 8 คน ได้แก่ ข้าราชการ ผู้บริหาร ผู้นำชุมชน ตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลเสม็ดใต้ และประชาชนในพื้นที่จาก 6 หมู่บ้าน เครื่องมือที่ผู้วิจัยใช้คือแบบสัมภาษณ์ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า (1) ความสัมพันธ์เชิงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองท้องที่และฝ่ายปกครองท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะของตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา คือ ทั้งฝ่ายท้องที่และฝ่ายท้องถิ่น จะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนแล้วนำมาเข้ากลไก กระบวนการของรัฐในการจัดบริการสาธารณะ เป็นการประสานงานกันโดยอำเภอเป็นตัวกลาง โดยฝ่ายท้องที่นำโดยผู้นำชุมชนมีหน้าที่ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองท้องที่และการปกครองท้องถิ่นในการทำงานร่วมกันเพื่อจัดบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วในการแบ่งหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการปกครองท้องที่ การปกครองท้องถิ่น และรวมถึงองค์กรต่างๆในการดูแลประชาชนในพื้นที่ (2) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความร่วมมือกันของการปกครองท้องที่และการปกครองท้องถิ่นในการจัดบริการสาธารณะของตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา คือ 1) ความเดือดร้อนของประชาชน ณ ปัจจุบัน เพื่อตอบสนองหรืออำนวยประโยชน์ให้กับประชาชน แก้ไขความเดือดร้อนให้ประชาชนได้จริง 2) การวางแผนงานเพื่อรองรับปัญหาในอนาคต และ 3) การจัดสรรงบประมาณ และ (3) ปัญหาอุปสรรค ในการจัดทำบริการสาธารณะของการปกครองท้องที่และการปกครองท้องถิ่น ของตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/277813 การรับรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจรกรรมทางวรรณกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2024-12-28T19:00:38+07:00 สมพร พุทธาพิทักษ์ผล psomporn@gmail.com <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจรกรรมทางวรรณกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และเปรียบเทียบการรับรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจรกรรมทางวรรณกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ระหว่างนักศึกษาที่ศึกษาแผน ก (วิทยานิพนธ์) กับ แผน ข (การศึกษาค้นคว้าอิสระ) งานวิจัยนี้เป็นการสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม ประชากรคือ นักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่ลงทะเบียนในภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2566 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 287 คน จำแนกเป็นผู้ศึกษาแผน ก จำนวน 157 คน และแผน ข จำนวน 130 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจรกรรมทางวรรณกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ทั้ง 4 ด้าน ล้วนอยู่ในระดับปานกลาง โดยความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายของมหาวิทยาลัยและโทษของการโจรกรรมทางวรรณกรรมมีค่าเฉลี่ยในระดับสูงสุด รองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติการโจรกรรมทางวรรณกรรม การรับรู้เกี่ยวกับขอบเขตของการโจรกรรมทางวรรณกรรม และที่ได้ค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจของตนในการโจรกรรมทางวรรณกรรม ส่วนการเปรียบเทียบการรับรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจรกรรมทางวรรณกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ระหว่างนักศึกษาที่ศึกษาแผน ก (วิทยานิพนธ์) กับ แผน ข (การศึกษาค้นคว้าอิสระ) และระหว่างนักศึกษาต่างชั้นปีนั้น ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/275427 โขน สรร สุข : นวัตกรรมการฝึกหัดโขนเพื่อการเสริมสร้างสุขภาวะ 2025-02-19T09:22:53+07:00 ณรงค์ฤทธิ์ เชาว์กรรม narongrit.chao@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบและขั้นตอนการฝึกหัดโขนเบื้องต้น 2) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการฝึกหัดโขนเพื่อการเสริมสร้างสุขภาวะ ชุด โขน สรร สุข ขอบเขตด้านเนื้อหาคือ การศึกษารูปแบบและขั้นตอนการฝึกหัดโขนพระเบื้องต้นเท่านั้น ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงผสานวิธี และเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ จากนั้นนําข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์เชิงคุณภาพและนําสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมทั้งใช้การวิเคราะห์ข้อมูลผลการประเมินเชิงปริมาณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลจากการวิจัย พบว่า 1) การฝึกหัดโขนพระเบื้องต้น ประกอบด้วย (1) ตบเข่า วัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้จังหวะและความพร้อมเพรียง (2) ถองสะเอว เพื่อฝึกทักษะการยักย้ายใช้ลำตัวและการเอียงศีรษะ (3) เต้นเสา เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา (4) ถีบเหลี่ยม เพื่อให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติท่าเหลี่ยมได้อย่างถูกต้องและสวยงาม (5) ดัดมือ ดัดแขน เพื่อให้ข้อมือ นิ้วมือและลำแขนงอนโค้งสวยงาม &nbsp;(6) รำเพลงช้าเพลงเร็ว (โขนพระ) เพื่อให้มีทักษะการปฏิบัติท่ารำโขนพระ และทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายให้มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กับจังหวะของทำนองเพลง 2) การสร้างสรรค์นวัตกรรม ประกอบด้วย แนวคิดการบูรณาการองค์ความรู้การฝึกหัดโขนพระสู่การเสริมสร้างสุขภาวะ แนวคิดการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับเยาวชน และแนวคิดการส่งเสริมการเรียนรู้วรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ รูปแบบของนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 3 ช่วง 6 เพลง โดยแต่ละช่วงจะประกอบด้วยเพลงจำนวน 2 เพลง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ปฐมบทรามเกียรติ์ ใช้เพลงที่สื่อถึงบ่อเกิดและการเรียนรู้ตัวละครรามเกียรติ์โดยใช้กระบวนท่าสำหรับการอบอุ่นร่างกาย ช่วงที่ 2 สงครามรามเกียรติ์ ใช้เพลงที่สื่อถึงเรื่องราวของสงครามรามเกียรติ์ โดยใช้กระบวนท่าสำหรับการออกกำลังกาย ช่วงที่ 3 อวสานรามเกียรติ์ ใช้เพลงที่สื่อถึงจุดจบของเรื่องรามเกียรติ์ โดยใช้กระบวนท่าสำหรับการลดสภาวะร่างกาย องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัย เรื่อง โขน สรร สุข : นวัตกรรมการฝึกหัดโขนเพื่อการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดี&nbsp; ได้แก่ (1) แนวทางการบูรณาการแนวคิดโขนกับแนวคิดสุขภาวะ&nbsp; (2) ความสัมพันธ์ของกระบวนท่ากับโครงสร้างกล้ามเนื้อ&nbsp; และ (3) ทักษะกระบวนการสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/275198 ผลการปรึกษากลุ่มทฤษฎีพิจารณา เหตุผล อารมณ์ และพฤติกรรม ต่อปฏิกิริยาความเครียดทางอารมณ์ของนิสิตปริญญาตรี 2024-11-20T16:03:51+07:00 วิไลพร ขอบขัน wiliapon.khobkhan@gmail.com ประชา อินัง Pracha@go.buu.ac.th เพ็ญนภา กุลนภาดล pennapha@go.buu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาผลการปรึกษากลุ่มทฤษฎีพิจารณา เหตุผล อารมณ์ และพฤติกรรมต่อปฏิกิริยาความเครียดทางอารมณ์ของนิสิตปริญญาตรี เน้นถึงการตอบสนองทางอารมณ์และการกระทำต่อความเครียดจากการประเมินตามความคิดที่เชื่อมโยงถึงการเกิดปัญหาสุขภาพจิตของกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา อายุ 18 - 20 ปี ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีและสัมภาษณ์ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเข้าการปรึกษากลุ่ม จำนวน 20 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลอง จำนวน 10 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 10 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามปฏิกิริยาความเครียดทางอารมณ์และโปรแกรมการปรึกษากลุ่มทฤษฎีพิจารณา เหตุผล อารมณ์ และพฤติกรรมต่อปฏิกิริยาความเครียดทางอารมณ์ของนิสิตปริญญาตรี จำนวน 10 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 90 นาที แบ่งระยะการทดลองเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผลการทดลอง (4 สัปดาห์) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนวัดซ้ำ ประเภทหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่ม</p> <p>ผลวิจัยพบว่านิสิตกลุ่มทดลองในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลองมีปฏิกิริยาความเครียดทางอารมณ์ดีกว่าระยะก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลองนิสิตกลุ่มทดลองมีปฏิกิริยาความเครียดทางอารมณ์ดีกว่านิสิตกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/275396 การพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM 2025-03-17T15:17:21+07:00 นพดล กองศิลป์ noppadok@g.swu.ac.th ทินภัทร ศรีคะชินทร์ Noppadok@g.swu.ac.th <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อวิเคราะห์คุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิด เชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 212 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามประเมินความต้องการจำเป็นของนักเรียนในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAMแผนการสอนตามกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM และแบบวัดทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม </p> <p style="font-weight: 400;">ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) จำนวน 152 คน พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความต้องการจำเป็นในกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM ที่ต้องได้รับการพัฒนาในทุกด้าน โดยมีความต้องการจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเนื้อหาที่ใช้ในกิจกรรมมากที่สุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.788) รองลงมา คือ บทบาทการเรียนรู้ของผู้เรียน อารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน และเจคติของผู้เรียน (PNI<sub>modified</sub> = 0.696, 0.606 และ 0.405 ตามลำดับ) เมื่อนำผลการประเมินความต้องการจำเป็นไปใช้ในการออกแบบและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 6 หน่วยการเรียนรู้ (2) การวิเคราะห์คุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ระดับความเหมาะสมของกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยด้านสื่อและแหล่งเรียนรู้มีคะแนนความเหมาะสมเฉลี่ยสูงที่สุด (<em>M</em>= 4.73, SD= 0.31) ตามด้วยด้านความสอดคล้องขององค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ (<em>M</em> = 4.73, SD= 0.31) ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ (<em>M</em> = 4.63, SD= 0.32) และด้านการวัดและประเมินผล (<em>M</em> = 4.20, SD= 0.00) 2) และ (3) ผลการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) จำนวน 60 คน ก่อนและหลังได้รับกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM พบว่านักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t =18.7; p &lt;.001) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM สามารถทำให้นักเรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมได้</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/275375 การสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ เรื่อง “ละครรำ” สำหรับเด็กและเยาวชน 2025-03-20T13:46:50+07:00 ธิติมา อ่องทอง thitima.bpi@gmail.com <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ เรื่อง “ละครรำ” สำหรับเด็กและเยาวชนดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาและสำรวจข้อมูลเชิงเอกสาร การสำรวจข้อมูลภาคสนาม โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และนำข้อมูลที่ได้มาสร้างสรรค์เป็นสื่อนวัตกรรมในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์</p> <p> ผลจากการวิจัย พบว่า การสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ เรื่อง “ละครรำ” สำหรับเด็กและเยาวชนประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การกำหนดแนวความคิดและรูปแบบ เป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความรู้เรื่องศิลปะการแสดงละครรำสำหรับเด็กและเยาวชน ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ 2) การกำหนดและนำเสนอเนื้อหา มีการคัดเลือกและกำหนดเนื้อหาเชิงวิชาการโดยสอดแทรกท่าทางนาฏศิลป์ที่ใช้ในการแสดงละครรำผ่านภาพวาด ประกอบด้วย 9 หัวข้อ ได้แก่ ละครรำ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน อาวุธที่ปรากฎในการแสดงละครรำ เครื่องโรงในการแสดงละครรำ จารีตในการแสดงละครรำ การฝึกหัดละครรำ และภาษาท่าเบื้องต้น โดยนำเสนอเนื้อหาผ่านข้อความ ภาพ และสัญลักษณ์ 3) การออกแบบองค์ประกอบหนังสือ ใช้แนวคิดเชิงอนุรักษ์ร่วมกับแนวคิดความงามทางด้านทัศนศิลป์ในการนำเสนอภาพและข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแสดงละครรำให้มีความถูกต้องตามรูปแบบและจารีตของการแสดง ตลอดจนเพื่อสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน ประกอบด้วยการออกแบบสร้างสรรค์ภาพประกอบ การคัดเลือกรูปแบบอักษร สีที่ใช้ในการออกแบบ และการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ 4) การจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการอ่านที่สามารถใช้งานได้ทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีฟังก์ชันการใช้งานที่อำนวยความสะดวกในการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/275703 ผลของการปรึกษา เชิงจิตวิทยา ออนไลน์ ทฤษฎีเล่าเรื่องต่อภาวะหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์ 2025-05-02T10:03:43+07:00 กัญญารัตน์ ระลึกชอบ gggggkanya@gmail.com เสกสรรค์ ทองคำบรรจง 64920647@go.buu.ac.th เพ็ญนภา กุลนภาดล 64920647@go.buu.ac.th <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของการปรึกษาออนไลน์เชิงจิตวิทยาทฤษฎีเล่าเรื่องต่อภาวะหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อศึกษาผลของการปรึกษาออนไลน์เชิงจิตวิทยาทฤษฎีเล่าเรื่องต่อภาวะหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานบริการสาธารณสุขของเขตสุขภาพที่ 6 ที่มีความสมัครใจเข้าร่วมวิจัย จำนวน 20 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองจำนวน 10 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 10 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ แบบประเมินภาวะหมดไฟในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยพัฒนาจากแบบวัดภาวะหมดไฟในการทำงาน ฉบับภาษาไทย แปลมาจากแบบวัด Maslach burnout inventory (MBI) โดยสิระยา สัมมาวาจและโปรแกรมการปรึกษา เชิงจิตวิทยา ออนไลน์ ทฤษฎีเล่าเรื่อง ต่อภาวะหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีการให้การปรึกษา จำนวน 8 ครั้ง ครั้งละ 45-60 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมระยะเวลาในการให้การปรึกษาทั้งสิ้น 4 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับการให้การปรึกษา กลุ่มตัวอย่างจะได้รับการประเมินภาวะหมดไฟในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผล วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำประเภทหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่ม เมื่อพบความแตกต่างจึงเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย แบบคู่โดยใช้วิธี Bonferroni</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการปรึกษาออนไลน์เชิงจิตวิทยาทฤษฎีเล่าเรื่องต่อภาวะหมดไฟในกลุ่มทดลอง มีคะแนนภาวะหมดไฟในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์น้อยกว่ากลุ่มควบคุม ในระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และบุคลากรทางการแพทย์ในกลุ่มทดลอง มีคะแนนภาวะหมดไฟในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผลน้อยกว่าระยะก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า การปรึกษาออนไลน์เชิงจิตวิทยาทฤษฎีเล่าเรื่องสามารถลดภาวะหมดไฟในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้</p> 2025-09-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช