วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj <p>วารสารสุโขทัยธรรมาธิราชมีวัตถุประสงค์เพื่อพิมพ์บทความด้านสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ</p> <p>- สาขาศิลปวัฒนธรรม<br />- สาขากฎหมาย การเมือง การปกครอง<br />- สาขาการศึกษา<br />- สาขาการพัฒนาชุมชนและสังคม<br />- สาขาการสื่อสารและสารสนเทศ</p> <p>โดยมีกําหนดเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือนธันวาคม</p> <p>บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการกลั่นกรองและประเมินคุณภาพจากกองบรรณาธิการวารสารสุโขทัยธรรมาธิราชและผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน แบบ <span style="font-weight: 400;"><span class="fontstyle0">double-blind Peer Review</span></span></p> มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช th-TH วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช 0857-6955 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> <p><span class="fontstyle0">ห้ามนำข้อความทั้งหมด หรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสาร</span></p> การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครพนม เขต 1 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/267662 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู 2) ประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู การวิจัยมีทั้งหมด 3 ระยะ คือระยะที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู ระยะที่ 2 การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในระยะนี้ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียนและครู จำนวน 331 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามแบบตอบสนองคู่ ความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม สภาพที่เป็นจริงเท่ากับ 0.98 และสภาพที่มุ่งหวังเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน PNI<sub>modified</sub> ระยะที่ 3 การศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1.สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู มี 5 องค์ประกอบ ดังนี้ การสร้างและพัฒนาหลักสูตร 2) การออกแบบการเรียนรู้ 3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4) การใช้และพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ และ 5) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2.<span style="font-size: 0.875rem;"> สภาพที่เป็นจริงของสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู อยู่ในระดับมาก (</span><img style="font-size: 0.875rem;" title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.93 ) และ สภาพที่มุ่งหวังของสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู อยู่ในระดับมากที่สุด ( </span><img style="font-size: 0.875rem;" title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.70 ) 3.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู มี 2 ด้านคือ ด้านการสร้างและพัฒนาหลักสูตร (PNI</span><sub>modified</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.238) และ ด้านการใช้และพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ (PNI</span><sub>modified</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.208) 4.</span><span style="font-size: 0.875rem;">แนวทางพัฒนาสมรรถด้านด้านการจัดการเรียนรู้ของครูมีจำนวน 2 ด้าน คือ ด้วยด้านการสร้างและพัฒนาหลักสูตร และด้านการใช้และพัฒนาสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้</span></p> ธนกฤต อินธริชัย วัลนิกา ฉลากบาง เอกลักษณ์ เพียสา ธีรนันท์ โมธรรม Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-01-24 2024-01-24 36 2 6 20 ความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในกิจการก่อสร้าง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/266698 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคล (2) ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในกิจการก่อสร้างทั้งของประเทศไทย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และประเทศสาธารณรัฐเกาหลี (3) วิเคราะห์ความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในกิจการก่อสร้าง และ (4) เสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในกิจการก่อสร้าง</p> <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิจัยเอกสาร โดยผู้วิจัยได้ทำการศึกษาจากตัวบทกฎหมาย ตำรา เอกสารวิชาการต่าง ๆ เช่น วารสาร บทความ รายงานการวิจัย และคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) จากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลพบว่านิติบุคคลไม่สามารถมีความรับผิดทางอาญาบางประเภทได้โดยตรง เพราะนิติบุคคลเป็นเพียงบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้น แต่รับผิดในโทษบางประเภทได้ เช่น ค่าปรับ (2) ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลเกี่ยวกับความปลอดภัยในกิจการก่อสร้างทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติอื่นๆ กำหนดความผิดและกำหนดโทษไว้ อย่างไรก็ดี นิติบุคคลที่กระทำผิดจะถูกลงโทษทางอาญาได้เพียงแค่สถานเดียวคือโทษปรับทำนองเดียวกันกับกฎหมายของต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่จะแตกต่างกันที่ประเทศไทยไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายสำหรับการลงโทษปรับนิติบุคคลที่กระทำความผิดซ้ำ (3) จากการวิเคราะห์ความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในกิจการก่อสร้าง พบว่า มีเพียงบทลงโทษปรับสถานเดียวในความผิดแต่ละครั้ง ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นประกอบกับสถานะทางเศรษฐกิจ หรือการมีทุนสูงของนิติบุคคล ทำให้ไม่เข็ดหลาบอาจกลับมากระทำความผิดซ้ำได้ (4) ผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในกิจการก่อสร้างโดยเพิ่มเติมบทบัญญัติของพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 เกี่ยวกับการลงโทษปรับนิติบุคคลที่กระทำความผิดซ้ำ</p> ไทยศักดิ์ วงศ์คำ สิริพันธ์ พลรบ พงษ์สิทธิ์ อรุณรัตนากุล Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-01-24 2024-01-24 36 2 21 44 การพิจารณาคดีอาญาลักษณะการประชุมทางจอภาพ ตามร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคแรก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/266700 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี วิวัฒนาการ และหลักการของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 (2) ศึกษากฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 กฎหมายไทยเปรียบเทียบกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ค.ศ. 1966 (ICCPR) และการพิจารณาคดีผ่านจอภาพ ประเทศอเมริกาประเทศอังกฤษ (3) วิเคราะห์ปัญหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 กฎหมายไทยเปรียบเทียบกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ค.ศ. 1966 (ICCPR) และการพิจารณาคดีผ่านจอภาพ ประเทศอเมริกา และประเทศอังกฤษ (4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172</p> <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิจัยเอกสาร โดยศึกษาจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ของไทยและกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผ่านจอภาพของประเทศอเมริกา และ ประเทศอังกฤษ บทความ วารสาร เอกสารทางวิชาการ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ ข้อมูลจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ </p> <p> ผลการศึกษาพบว่า (1)การพิจารณาคดีอาญาของไทยเน้นการคุ้มครองสิทธิจำเลยอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลักเกณฑ์สำคัญคือต้องพิจารณาคดีในศาลโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย (2) ยังไม่มีกฎหมายไทยให้มีการพิจารณาคดีอาญาโดยที่คู่ความอยู่นอกศาลได้ แต่พยานอาจอยู่นอกศาลได้ (3) จากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าประเทศอเมริกา และประเทศอังกฤษ มีกฎหมายให้การพิจารณาคดีอาญาผ่านจอภาพโดยคู่ความอยู่นอกศาลได้ ในส่วนของประเทศไทยแม้มีการระบาดของโรคโควิดหลายระลอกก็ต้องเลื่อนการพิจารณาคดีออกไป เพราะยังไม่มีการตราหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้มีการพิจารณาคดีผ่านจอภาพโดยคู่ความอยู่นอกศาลได้ (4) สมควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาในกรณีที่เกิดภัยพิบัติสาธารณะหรือมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัย ให้มีการพิจารณาคดีทางจอภาพโดยคู่ความอยู่นอกศาลได้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต</p> ธารินทร์ จาดพันธ์อินทร์ วรรณวิภา เมืองถ้ำ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-01-24 2024-01-24 36 2 45 66 การเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรสด้วยการปรึกษาคู่สมรส https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/267747 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาโปรแกรมการเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรสด้วยการปรึกษาคู่สมรส 2. ศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรสด้วยการปรึกษาคู่สมรส กลุ่มตัวอย่างคือ คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และใช้ชีวิตสมรสร่วมกันมากกว่า 1 ปี ขึ้นไป มีสัญชาติไทย ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรี จำนวน 20 คู่ ทำการสุ่มอย่างง่ายเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 10 คู่ ซึ่งมีความสมัครใจเข้าร่วมการทดลองและมีค่าเฉลี่ยคะแนนจากมาตรวัดความสำเร็จในชีวิตสมรสต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ มาตรวัดความสำเร็จในชีวิตสมรส และโปรแกรมการเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรส สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ ผลการวิจัยพบว่า 1.โปรแกรมการเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรสดำเนินการให้การปรึกษาจำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 60-90 นาที 2.ศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรสของคู่สมรส พบว่า 1) กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรสด้วยการปรึกษาคู่สมรส มีคะแนนความสำเร็จในชีวิตสมรสระยะหลังทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตด้วยการปรึกษาคู่สมรส มีคะแนนความสำเร็จในชีวิตสมรสในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05</p> วรัญญา คงปรีชา เพ็ญนภา กุลนภาดล ดลดาว วงศ์ธีระธรณ์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-01-24 2024-01-24 36 2 67 82 การยอมรับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของการผลิตหอมแดงของเกษตรกร ในพื้นที่อำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/267821 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพสังคม เศรษฐกิจและการผลิตหอมแดงของเกษตรกร (2) การยอมรับการผลิตหอมแดงตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร (3) ปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการยอมรับการผลิตหอมแดงตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกร ประชากรที่ศึกษา คือ เกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงในอำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรปี 2564-2565 จำนวน 137 ราย ใช้สูตร ท่าโร่ ยามาเน่ ในการกำหนดกลุ่มตัวอย่างที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 120 ราย โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลในงานวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยการหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการจัดลำดับ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 53.23 ปี มีประสบการณ์ปลูกหอมแดงเฉลี่ย 23.52 ปี เข้าร่วมการอบรมการผลิตหอมแดงตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี เฉลี่ย 1 ครั้ง/ปี มีพื้นที่ปลูกเฉลี่ย 5.49 ไร่ มีรายได้เฉลี่ย 268,833.33 บาท/ปี มีต้นทุนเฉลี่ย 116,983.33 บาท/ปี เกษตรกรใช้หัวพันธุ์ที่เก็บเองและขายผลผลิตให้พ่อค้าคนกลาง 2) เกษตรกรยอมรับการผลิตหอมแดงตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีในระดับมาก (เฉลี่ย 3.68) ได้แก่ มีการจัดการก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างปลอดภัย ใช้หัวพันธุ์หอมแดงที่ปลอดโรค พื้นที่เพาะปลูกเหมาะสม มีการบันทึกข้อมูลและมีการใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย 3) เกษตรกรประสบปัญหาถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางและปัญหาราคาขายของหอมแดงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานไม่แตกต่างกับหอมแดงทั่วไป โดยมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการร่วมกันแก้ไขปัญหา เจ้าหน้าที่ควรพัฒนาทักษะและความรู้ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีให้แก่เกษตรกรให้มากขึ้น</p> มณีนิล อินขัติ นารีรัตน์ สีระสาร สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-01-24 2024-01-24 36 2 83 96 การส่งเสริมปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวของเกษตรกรในอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี https://so05.tci-thaijo.org/index.php/stouj/article/view/267867 <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกร 2) ความรู้เกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวของเกษตรกร 3) สภาพการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวของเกษตรกร 4) การส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวของเกษตรกร และ 5) ปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวของเกษตรกร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวในอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ที่ขึ้นทะเบียนจากกรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2566 จำนวน 145 ราย โดยศึกษาจากเกษตรกรทั้งหมด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าตํ่าสุด ค่าสูงสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดอันดับ ผลการวิจัย พบว่า 1) เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 56.56 ปี จำนวนแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 2.51 คน ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว เฉลี่ย 1.26 ครั้ง จากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร พื้นที่ปลูกนาข้าวเฉลี่ย 40.59 ไร่ มีรายได้ทำนาเฉลี่ยต่อไร่ 6,175.66 บาท ต้นทุนเฉลี่ยต่อไร่ 3,687.00 บาท ผลผลิตข้าวเฉลี่ย 772.83 กิโลกรัม และจำหน่ายผลผลิตราคาเฉลี่ยตันละ 8,251.72 บาท 2) เกษตรกรส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวของเกษตรกรในระดับมากที่สุด ในประเด็นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดและมีความรู้ในระดับน้อย 3) สภาพการใช้ปุ๋ยในนาข้าวเกษตรกรใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักในระยะเตรียมดิน ไถกลบพืชปุ๋ยสดก่อนการทำนา ใช้ปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดในระยะข้าวแตกกอ 4) การส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวอยู่ในระดับมาก โดยเกษตรกรต้องการได้รับการส่งเสริมแบบกลุ่ม โดยฝึกอบรมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ และ5) เกษตรมีปัญหาเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวของเกษตรกร ในระดับมาก ประเด็นการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง และเกษตรกรมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว ควรมีการรวมกลุ่มเกษตรกรฝึกอบรมวิธีการผลิต วิธีใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง</p> พิมพกานต์ ใบระหมาน นารีรัตน์ สีระสาร สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-01-24 2024-01-24 36 2 97 112