https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/issue/feed
วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
2025-07-23T15:53:28+07:00
อาจารย์ ดร.ชินัณ บุญเรืองรัตน์
boonroungrut_c@su.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัยเป็นวารสารที่รองรับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยสาขาทางการศึกษาและการเรียนรู้ สาขาสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้เเก่ หลักสูตรและการสอน การวิจัยทางการศึกษา การบริหารการศึกษา จิตวิทยาการศึกษาและการเรียนรู้ พัฒนศึกษา นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา การศึกษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาตลอดชีวิต นิเทศการศึกษา การพัฒนาวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา สุขศึกษาและพละศึกษา</p> <p>ทั้งนี้ วารสารในแต่ละฉบับ จะปรากฏบทความวิชาการพิเศษหรือบทความวิจัยพิเศษ และบทปริทัศน์หนังสือ ซึ่งกองบรรณาธิการจะเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา/ กองบรรณาธิการอาวุโสวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย / กองบรรณาธิการวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย เขียนบทความวิชาการพิเศษ หรือบทความวิจัยพิเศษ และบทปริทัศน์หนังสือ โดยนำบทความดังกล่าวตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย</p> <p><strong>รูปแบบการกลั่นกรองบทความก่อนลงตีพิมพ์ (Peer reviews) </strong></p> <p>1. ผู้เสนอบทความจะ<strong><u>ต้องจัดพิมพ์บทความตามรูปแบบ (</u></strong><strong><u>Template)</u></strong> ที่วารสาร วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย กำหนดเท่านั้น (ดาว์นโหลด<a href="https://drive.google.com/drive/folders/18fZCdfYtO02Ys1A0-w977SxD6jvgyD_G?usp=sharing">รูปแบบบทความ (Template)</a>)</p> <p>2. วารสารใช้รูปเเบบการประเมินบทความเเบบ Double-ฺBlind Peer Review โดยผู้ประเมินบทความ (Reviewer) ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง (Author) เเละผู้แต่ง (Author) ไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน (Reviewer) </p> <p>3. บทความจะได้รับการอ่านประเมิน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จากภายนอกและภายในมหาวิทยาลัยในสาขาวิชานั้นๆ จำนวน 3 ท่านต่อเรื่อง </p> <p><strong>การจัดทำวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย</strong></p> <p>วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัยมีการจัดทำวารสาร เป็น รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ISSN 2672-9199 ตั้งแต่ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป กำหนดออกวารสาร ปีละ 2 ฉบับ ได้เเก่ 1) ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และ 2) ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าใช้จ่ายในการรับบทความเพื่อตีพิมพ์</strong></p> <p>ผู้เสนอบทความจะต้องชำระค่าดำเนินการในอัตรา 3,000.- บาทต่อหนึ่งบทความ หลังจากได้รับการพิจาณาจากจากคณะกรรมการกองบรรณาธิการฯเบื้องต้นเรียบร้อยเเล้ว ก่อนนำส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวน 3 ท่านต่อเรื่อง ประเมินบทความต่อไป</p> <p><strong>ช่องทางการชำระเงิน</strong></p> <p>1. โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขานครปฐม ประเภทบัญชี ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 106-3-61819-1 ชื่อบัญชี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (รับโอนเงิน) หรือ </p> <p>2. ชำระเงินสดด้วยตนเอง ที่งานคลังฯ สำนักงานคณบดี ชั้น 2 อาคารศึกษา 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร</p> <p>หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ 062-9199536</p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/281472
ใบรองปก
2025-06-12T17:11:30+07:00
ใบรองปก
Siripornkantharos.yingying@gmail.com
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/273268
ผลการจัดการเรียนรู้วิชาฮอกกี้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันที่มีต่อทักษะกีฬาฮอกกี้ และความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2024-05-29T16:04:24+07:00
ภาวนา สลอดตะคุ
wobkide@gmail.com
สุวิมล สพฤกษ์ศรี
wobkide@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะกีฬาฮอกกี้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้วิชาฮอกกี้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขัน 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากการจัดการเรียนรู้วิชาฮอกกี้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขัน และ3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาฮอกกี้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขัน วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้องที่ 14 แผนการเรียนพลานามัย โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบทักษะกีฬาฮอกกี้ 3) แบบประเมินความสามารถในการทำงานเป็นทีมและ 4) แบบประเมินความพึงใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> <strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า</p> <ol> <li>ทักษะกีฬาฮอกกี้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้วิชาฮอกกี้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>พัฒนาการความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากการจัดการเรียนรู้วิชาฮอกกี้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขัน เพิ่มสูงขึ้น</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการการจัดการเรียนรู้วิชาฮอกกี้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขัน <br />อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/273326
การศึกษาความสามารถทางการพูดภาษาจีนของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการพูดภาษาจีน
2024-06-07T09:52:38+07:00
ภัทรปภา ทองแท่งใหญ่
aradeek@yahoo.com
อารดี เก้าเอี้ยน
phattharapaphar@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถทางการพูดภาษาจีนของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรก่อน และหลังการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการพูดภาษาจีน และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ คือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรจำนวน 53 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการพูดภาษาจีน 2) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน 3) แบบทดสอบความสามารถ<br />ทางการพูดภาษาจีนก่อน และหลังเรียน และแบบบันทึกคำตอบ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา ซึ่งผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษามีความสามารถทางการพูดภาษาจีนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการพูดภาษาจีนในภาพรวมในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/273284
ผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเมืองลุงบ้านเราที่มีต่อความภาคภูมิใจ ในท้องถิ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2024-06-26T16:56:04+07:00
ธนะพล พุ่มพูล
Nongneaw67@gmail.com
เพ็ญพนอ พ่วงแพ
Nongneaw67@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเมืองลุงบ้านเราของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) ศึกษาความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเมืองลุงบ้านเรา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านบ่อทราย ตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 1 จำนวนนักเรียน 11 คนซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Simpling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย <br />1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเมืองลุงบ้านเรา แบบวัดความภาคภูมิใจในท้องถิ่น แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ เรื่องเมืองลุงบ้านเรา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน และการทดสอบค่า (t-test dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของนักเรียนที่เรียนโดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเมืองลุงบ้านเราของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/275787
การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคแผนผังมโนทัศน์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2024-10-04T09:04:35+07:00
ดวงหทัย โพธิ์ศรีขาม
duanghathaiduanghathai7@gmail.com
ญดา ธาดาณัฐภักดิ์
duanghathaiduanghathai7@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคแผนผังมโนทัศน์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพ 70/70 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคแผนผังมโนทัศน์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคแผนผังมโนทัศน์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6 จำนวน 38 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคแผนผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.00/83.16 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 70/70 2) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคแผนผังมโนทัศน์ มีค่าเฉลี่ย 15.84 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.02 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน<br />ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคแผนผังมโนทัศน์มีค่าเฉลี่ย 24.89 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.67 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/275933
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนลาซาลจันทบุรี (มารดาพิทักษ์) จังหวัดจันทบุรี
2024-10-07T10:29:52+07:00
ญาณี เทียบแสน
cakelscm55@hotmail.co.th
ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์
cakelscm55@hotmail.com
ดวงเดือน สุวรรณจินดา
cakelscm55@hotmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานกับนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานกับนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนลาซาลจันทบุรี(มารดาพิทักษ์) จังหวัดจันทบุรี จำนวน 2 ห้องเรียน รวมนักเรียน 77 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม โดยกลุ่มทดลอง จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจำนวน 36 คน และกลุ่มควบคุม จัดการเรียนรู้แบบปกติ จำนวน 41 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และ 3) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีผลการศึกษา พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/275974
แนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดนครสวรรค์
2024-10-08T09:23:46+07:00
อุทุมพร ขันกสิกรรม
autumpron69p@gmail.com
ปพนสรรค์ โพธิพิทักษ์
autumpron69@gmail.com
สายทิตย์ ยะฟู
autumpron69@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาปัญหาการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) หาแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และ 3) ประเมินแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การดำเนินการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ดำเนินการโดยใช้แบบสอบถามแนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กับผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 217คน จากนั้นทำการประชุมสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน และทำการประเมินแนวทางการดำเนินงานกับผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 12 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย 2) แนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ควรมีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบในแต่ละงานให้ชัดเจน ควรทำการวิเคราะห์สภาพปัญหาความต้องการของสถานศึกษาและชุมชนเพื่อใช้ในการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา ควรกำกับติดตามผลการดำเนินการตามแผนอย่างสม่ำเสมอ และตรวจสอบคุณภาพการศึกษาด้วยวิธีการที่หลากหลาย และ 3) การประเมินแนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ด้านความถูกต้อง ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ และด้านความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276024
ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีโอเคไฟว์อาร์ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชันที่มีต่อความสามารถ ในการอ่าน และเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2024-11-18T16:21:58+07:00
อภิวัฒน์ ปรีชามาตย์
apiwatprechamat@gmail.com
พรรณราย เทียมทัน
pannarait@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีโอเคไฟว์อาร์ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีโอเคไฟว์อาร์ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชันกับเกณฑ์ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม และ 3) ศึกษาเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา<br />ปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีโอเคไฟว์อาร์ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดห้วยเปล้า จำนวน 39 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่<br />1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบวัดความสามารถในการอ่าน และ 3) แบบวัดเจตคติ การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระกัน และการทดสอบทีกรณีกลุ่มตัวอย่างเดียว ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276105
การจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์แบบกลุ่มร่วมมือ CIRC ร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizlet ที่ส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียนสัทอักษรภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2024-10-21T11:44:35+07:00
นภัทรัตน์ พรสิราธนรัชต์
earnnpp6@gmail.com
วิชยา โยชิดะ
earnnpp6@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์แบบกลุ่มร่วมมือ CIRC ร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizlet ของนักเรียนตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษรภาษาจีนของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์แบบกลุ่มร่วมมือ CIRC ร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizlet และ 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนคำศัพท์สัทอักษรภาษาจีนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์แบบกลุ่มร่วมมือ CIRC ร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizlet กับเกณฑ์ร้อยละ 75 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนอนุบาลมหาสารคาม จำนวน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบอ่านสัทอักษรภาษาจีน แบบทดสอบทักษะการเขียนคำศัพท์สัทอักษรภาษาจีน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์แบบกลุ่มร่วมมือ CIRC ร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizlet มีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.08/79.94 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 2) ทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษรภาษาจีนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ทักษะการเขียนคำศัพท์สัทอักษรภาษาจีนของนักเรียนหลังเรียนเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 75</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276177
ผลของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจในการเรียนรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-10-21T13:51:46+07:00
กลัญญู เพชราภรณ์
kalanyoo.pe@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครูกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวณ 68 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครูมีพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก 2) นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครูมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครูมีความพึงพอใจในการเรียนอยู่ในระดับมาก</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276737
ผลการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านบูรณาการ กับกระบวนการทางปัญญา (IELFIC) ที่มีต่อความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ และความจำขณะคิดของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
2024-11-18T09:43:06+07:00
ดวงตา ใจเพชร
61810059@go.buu.ac.th
ภัทราวดี มากมี
pattrawadee@go.buu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของกลุ่มทดลองก่อนและหลังจากได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านบูรณาการกับกระบวนการทางปัญญา (IELFIC) 2) เปรียบเทียบความจำขณะคิดของกลุ่มทดลองก่อนและหลังจากได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้นวัตกรรม IELFIC 3) เปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและความจำขณะคิดของนักศึกษาในกลุ่มทดลองหลังจากได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้นวัตกรรม IELFIC กับนักศึกษาในกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษด้วยวิธีดั้งเดิม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล จำนวน 90 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ 1) นวัตกรรม IELFIC จำนวน 20 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 3) แบบประเมินความจำขณะคิด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแปรปรวนพหุคูณ และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01; 2) คะแนนเฉลี่ยความจำขณะคิดหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01; 3) คะแนนเฉลี่ยทักษะการอ่านภาษาอังกฤษและคะแนนเฉลี่ยความจำขณะคิดหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่านักศึกษาในกลุ่มควบคุมอย่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276840
การประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ.2562) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
2024-11-19T11:31:54+07:00
อารดี เก้าเอี้ยน
aradeek@yahoo.com
เก็จวิรัล ตั้งสิริวัสส์
aradeek@yahoo.com
ภัทรปภา ทองแท่งใหญ่
aradeek@yahoo.com
วนิดา ชูเกียรติวัฒนากุล
aradeek@yahoo.com
วิชยา กรพิพัฒน์
aradeek@yahoo.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความคาดหวัง ความต้องการ และผลสะท้อนกลับที่มีต่อหลักสูตรโดยใช้โมเดล CIPPI ของ Daniel L. Stufflebeam เพื่อประเมินสภาพแวดล้อม ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลผลิต และผลกระทบของหลักสูตร โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูล 6 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารคณะอาจารย์ประจำหลักสูตร ผู้ทรงคุณวุฒิ นักศึกษาปัจจุบัน บัณฑิต และกลุ่มผู้ใช้บัณฑิต เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562)</p> <p>จากการศึกษาพบว่า หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) <br />มีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน มีการกำหนดจุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ และโครงสร้างหลักสูตร รวมถึงการคัดเลือกนักศึกษา อาจารย์ผู้สอน และการจัดการเรียนการสอนโดยรวมที่เหมาะสม นักศึกษาส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาตามเวลาที่กำหนด และบัณฑิตได้รับความพึงพอใจจากผู้ใช้บัณฑิตในระดับสูง แต่หลักสูตรยังคงมีประเด็นที่ต้องปรับปรุง อาทิ การทำความร่วมมือกับภายใน ระบบการทำงานที่ซับซ้อน การขาดแคลนบุคลากรสายสนับสนุนที่มีความรู้ทางภาษาจีน ปัญหาผลงานวิชาการของอาจารย์มีจำนวนน้อย ระดับความรู้ภาษาจีนของนักศึกษาที่เข้าศึกษาไม่เท่ากันอย่างเห็นได้ชัด นักศึกษาขาดการเตรียมบทเรียน และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง นักศึกษาบางส่วนไม่สามารถจบการศึกษาตามเวลาที่กำหนดได้ การเปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนในการกำหนดเกณฑ์การประเมินต่าง ๆ น้อย และสภาพแวดล้อมที่ต้องพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้น เป็นต้น</p> <p>สำหรับผลการศึกษาด้านความคาดหวัง และความต้องการที่มีต่อหลักสูตร ผู้ให้ข้อมูลเสนอว่า ควรทำความร่วมมือกับหน่วยงานภายใน และภายนอก ปรับการเรียงลำดับวัตถุประสงค์ การเปิดรายวิชา และการเปิดรับอาจารย์คนจีน ผลักดันให้อาจารย์ทำผลงานวิชาการมากขึ้น และไม่ควรเปลี่ยนเอกสารประกอบการสอนบ่อยเกินไป หลักสูตรควรพิจารณาเกณฑ์การรับนักศึกษา อัตราค่าธรรมเนียมนักศึกษาโครงการพิเศษ กระตุ้นให้นักศึกษาเตรียมบทเรียนล่วงหน้า และศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง รวมทั้งเร่งแก้ปัญหานักศึกษาที่ไม่สามารถจบการศึกษาตามกำหนดได้ หลักสูตรยังควรพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษ การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้แก่นักศึกษา ในด้านการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ผู้ให้ข้อมูลเสนอว่า ควรพิจารณาเรื่องระยะเวลา ภาระงาน และกำหนดเกณฑ์การประเมินนักศึกษาให้เป็นเอกภาพ กระบวนการนิเทศควรใช้วิธีการสุ่มแทนการนัดหมาย นอกจากนี้ หลักสูตรยังควรเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก และแหล่งค้นคว้าข้อมูลภาษาจีนสำหรับอาจารย์ และนักศึกษา</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276887
ความหมายความสำเร็จในอาชีพวิทยากรอิสระ: การตีความผ่านมุมมองจิตวิทยา
2024-11-27T09:47:10+07:00
วิชญพงศ์ ธนภัทรธาดากรณ์
tham.tk1991@gmail.com
จิตรา ดุษฎีเมธา
tham.tk1991@gmail.com
สุเมษย์ หนกหลัง
tham.tk1991@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายของความสำเร็จในอาชีพของอาชีพวิทยากรอิสระเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพโดยใช้แนวการศึกษาเฉพาะกรณี โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นวิธีการหลักในการเก็บข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ วิทยากรอิสระ จำนวน 15 คน คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบสโนว์บอลล์ เป็นการเลือกตัวอย่างแบบอ้างอิงด้วยบุคคลและผู้เชี่ยวชาญ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลโดยการตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล การตรวจสอบการดำเนินงานวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ ความไว้วางใจได้ และการยืนยันผลการวิจัย</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่าการให้ความหมายของความสำเร็จในอาชีพของอาชีพวิทยากรอิสระ แบ่งเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ 1. เส้นทางสู่ความสำเร็จของอาชีพวิทยากรอิสระ ประกอบด้วย การมีศิลปะในการถ่ายทอดความรู้,อาชีพสร้างรายได้และความมั่นคงทางการเงิน, เส้นทางสู่ชีวิตที่สมดุล และการพัฒนาตนเอง พัฒนาอาชีพ: เส้นทางสู่การเป็นวิทยากรชั้นนำ 2. การเป็นผู้ปลุกพลังแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วย วิทยากรผู้สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเรียนรู้ และวิทยากรผู้ถ่ายทอดประสบการณ์สู่การลงมือปฏิบัติ 3. การเป็นผู้ปฏิวัติองค์กรสู่ความเป็นเลิศ ประกอบด้วย ผู้ยกระดับองค์กรสู่ความเป็นเลิศ, การยอมรับจากลูกค้า: กุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนของวิทยากรอิสระ และการผสานระบบและเครือข่ายในโลกของวิทยากรอิสระ</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276909
การพัฒนาความสามารถในการผลิตสื่อการสอนของนักศึกษาวิชาชีพครู สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยโดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ และเทคนิคการทำงานเป็นทีม
2024-11-26T10:52:04+07:00
อารีพร ภูคงสด
areeporn.p@ku.th
<p>วิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาความสามารถในการผลิตสื่อการสอนของนักศึกษาวิชาชีพครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยโดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือและเทคนิคการทำงานเป็นทีม 2) เปรียบเทียบความสามารถในการผลิตสื่อการสอนของนักศึกษาวิชาชีพครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยโดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือและเทคนิคการทำงานเป็นทีมก่อนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักศึกษาวิชาชีพครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ในมหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี จำนวน 29 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือและเทคนิคการทำงานเป็นทีม 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือและเทคนิคการทำงานเป็นทีม และ 3) แบบประเมินความสามารถในการผลิตสื่อการสอน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบหาค่าที และการทดสอบทีกรณีกลุ่มตัวอย่างเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. นักศึกษาวิชาชีพครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือและเทคนิคการทำงานเป็นทีม มีความสามารถในการผลิตสื่อการสอนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. นักศึกษาวิชาชีพครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือและเทคนิคการทำงานเป็นทีมมีความสามารถในการผลิตสื่อการสอนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/276933
การพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิด สำหรับนักศึกษาครูในการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์
2024-11-29T15:04:24+07:00
สายพิณ สังคีตศิลป์
saipin_sun@g.cmru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพ พัฒนาสมรรถนะ และศึกษาผลการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิดสำหรับนักศึกษาครูในการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาศิลปศึกษา จำนวน 47 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบ 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิด 3) แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ 4) แบบประเมินสมรรถนะทางการคิด 5) แบบประเมินความพึงพอใจ 6) แบบบันทึก 7) แบบสังเกต สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดของนักศึกษาครูในการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ พบว่า นักศึกษามีการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิดสำหรับนักศึกษาครูในการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ การเตรียมการ การปฏิบัติการ การพัฒนาและการปฏิบัติการ การสะท้อนผล 3) ผลของการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิดสำหรับนักศึกษาครูในการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ พบว่า นักศึกษามีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิด โดยรวมรวมอยู่ในระดับดี และมีสมรรถนะทางการคิดในการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ โดยรวมอยู่ในระดับดีอีกทั้ง ความพึงพอใจของนักศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/277162
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิด เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
2024-12-18T14:36:37+07:00
ฝนฟ้า บุญปก
65010552013@msu.ac.th
อัฐพล อินต๊ะเสนา
Autthapon.in@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิดเพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิด และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนภัทรบพิตร จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิด จำนวน 6 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ซึ่งเป็นแบบทดสอบอัตนัย และแบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent Sample) ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิดเพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 80.03/79.08 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิดมีความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแผนผังความคิดมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.57, S.D. = 0.59)</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/277272
กลยุทธ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนตะกุกใต้ศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร
2024-12-18T14:02:49+07:00
พรพิมล วิมัติ
nongpontest@gmail.com
ญาณิศา ญาณิศา
pornpimon200235@gmail.com
จิรศักดิ์ แซ่โค้ว
pornpimon200235@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) สร้างกลยุทธ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 3) ประเมินกลยุทธ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ดำเนินการ 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยสอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนจำนวน 24 คนซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 สร้างกลยุทธ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยการยกร่างกลยุทธ์และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และระยะที่ 3 ประเมิน กลยุทธ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาครู และบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนจำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยภาพรวมเท่ากับ 0.65 (PNI<sub>Modified</sub> = 0.65) เรียงตามค่าเฉลี่ยความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล และด้านการส่งต่อตามลำดับ 2) กลยุทธ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนประกอบด้วย 6 กลยุทธ์ 22 โครงการ/กิจกรรรมและ 31 ตัวชี้วัดความสำเร็จและ 3) กลยุทธ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/277325
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองบัว (เอี่ยมแสงโรจน์) สำนักงานเขตบางเขน สังกัดกรุงเทพมหานคร
2025-01-28T15:24:28+07:00
ศิรินารถ สุธาสิโนบล
pangsikaa@gmail.com
กุลภัสสรณ์ วิจิตรธรรมรส
kulphatsorn1905@gmail.com
นันท์นภัส ศิริโภคานนท์
sinsin26022000@gmail.com
กนิษฐ์ ศรีเคลือบ
Pangsikaa@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ระดับการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนในโรงเรียนบ้านคลองบัว (เอี่ยมแสงโรจน์) สำนักงานเขตบางเขน สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนจำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถามเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าในตนเองซึ่งพิจารณาในสององค์ประกอบหลัก ได้แก่ สัมพันธภาพทางครอบครัวและการสนับสนุนทางสังคม จากผลการวิจัยพบว่า ระดับการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนอยู่ในระดับปานกลาง โดยปัจจัยด้านสัมพันธภาพทางครอบครัวมีผลต่อการเห็นคุณค่าในตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคมมีผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้คือการจัดกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวและสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนให้นักเรียนมีความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้น</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/277391
ผลการจัดการเรียนรู้แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้งร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน ที่มีต่อทักษะการคิดเชิงคำนวณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาเทคโนโลยีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-12-24T11:11:44+07:00
กนกวรรณ หมวกเอี่ยม
kanokwan.mua@nsru.ac.th
พรรณราย เทียมทัน
annxiie@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้งร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้งร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดท่าทอง จำนวน 37 คน ที่ได้จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบวัดทักษะการคิดเชิงคำนวณ และ 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />และการทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้งร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน มีทักษะการคิดเชิงคำนวณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้งร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/277443
ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคทีเอไอร่วมกับแอปพลิเคชัน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2024-12-24T11:17:31+07:00
ทิพยารัตน์ ฐากูรบุตร
tippayarat.t@nsru.ac.th
พรรณราย เทียมทัน
tippayarat.t@nsru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อน และหลังการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคทีเอไอร่วมกับแอปพลิเคชัน และ 2) ศึกษาเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคทีเอไอร่วมกับแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเขาทรายทับคล้อพิทยา จำนวน 32 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคทีเอไอร่วมกับแอปพลิเคชัน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคทีเอไอร่วมกับแอปพลิเคชันมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคทีเอไอร่วมกับแอปพลิเคชันมีเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/277519
การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียน ตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพของครูโรงเรียนวัดสมหวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1
2025-02-07T09:44:39+07:00
สุกัญญา อนันตกระจาย
anantakrajai@gmail.com
ญาณิศา บุญจิตร์
anantakrajai@gmail.com
จิรศักดิ์ แซ่โค้ว
anantakrajai@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพของครูโรงเรียนวัดสมหวัง 2) พัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพของครูโรงเรียนวัดสมหวัง และ 3) ประเมินผลการพัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพของครูโรงเรียนวัดสมหวัง กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครูโรงเรียนวัดสมหวัง จำนวน 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามสภาพการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพ แบบทดสอบ ความรู้ความเข้าใจ แบบประเมินการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพและแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพของครูโรงเรียนวัดสมหวังอยู่ในระดับปานกลาง 2) การพัฒนาสมรรถนะครูในการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพดำเนินการโดยการอบรมเชิงปฏิบัติการและการนิเทศภายใน และ 3) ผลการพัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพพบว่าครูมีความรู้ความเข้าใจหลังการอบรมเชิงปฏิบัติการสูงขึ้น มีทักษะในการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพ อยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจในการพัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียนตามแนวทางห้องเรียนคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/277464
การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
2025-01-21T15:44:51+07:00
ปาณเดชา ทองเลิศ
phandacha01@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2) ศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงใน สถานศึกษาสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการ <br />การอาชีวศึกษา มีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มชั้นภูมิ จากวิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวศึกษา และวิทยาลัยการอาชีพ ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 297 คน และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ 9 คน ได้มาจากการเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามความคิดเห็น และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น .90 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทุกด้าน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2 ด้าน คือ 1) ด้านการบริหารสถานศึกษา 2) ด้าน ผลลัพธ์และความสำเร็จ และอยู่ในระดับมาก 4 ด้าน คือ 1) ด้านหลักการบริหารสถานศึกษา 2) ด้าน การจัดการเรียนรู้ 3) ด้านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและ 4) ด้านพัฒนาบุคลากร ส่วนผลการศึกษา แนวทาง การบริหารฯ พบว่า 1) กระบวนการพัฒนาสถานศึกษา ควรมีการจัดระบบการบริหาร โดยกำหนด นโยบาย แผนงานการปฏิบัติงาน เน้นการมีส่วนร่วม ใช้หลักการบริหารงานหลายรูปแบบ 2) คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของผู้เรียน ควรพัฒนาผู้เรียน ให้มีวินัย ประหยัด มีคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต จิตอาสา มีทักษะชีวิต ดำรงตนได้ อย่างมีความสุข 3) บุคลากรดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ควรส่งเสริมให้ซื่อสัตย์สุจริต แบ่งปัน ใช้จ่ายประหยัด ขยัน อดทน 4) ควรให้ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วม เป็นคณะกรรมการสถานศึกษา ให้การถ่ายทอดความรู้ ตามวิถีชุมชน ให้ทุนการศึกษา วัสดุอุปกรณ์ ต่าง ๆ<br />5) ผู้บริหารคาดหวังให้ทุกคน มีส่วนร่วมการปฏิบัติงานด้านการเรียนการสอน มีสื่อที่ทันสมัย และพัฒนาตนเอง ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/279346
รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิถีชีวิตถัดไปของนักศึกษาครูสังคมศึกษา เพื่อแก้ปัญหาภาวะถดถอยในการเรียนรู้ของจังหวัดกาญจนบุรี
2025-04-21T09:16:33+07:00
อรพิณ ศิริสัมพันธ์
orapin.sirisamphan@gmail.com
ปรณัฐ กิจรุ่งเรือง
osirisamphan@hotmail.com
ดวงหทัย โฮมไชยะวงศ์
osirisamphan@hotmail.com
พรพิมล รอดเคราะห์
osirisamphan@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สังเคราะห์ ทดลองใช้ และประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิถีชีวิตถัดไปของนักศึกษาครูสังคมศึกษาเพื่อแก้ปัญหาภาวะถดถอยในการเรียนรู้ของจังหวัดกาญจนบุรีใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ นักศึกษาครูสังคมศึกษา 32 คน และนักเรียนมัธยมศึกษา 836 คน จาก 13 โรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนในพื้นที่มีภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ในทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การคิดขั้นสูง และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีจริยธรรม(2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมี 5 องค์ประกอบและกระบวนการสอน 4 ขั้นตอน ได้รับการประเมินในระดับมากที่สุด (M = 4.55, S.D. = 0.57) (3) หลังทดลองใช้รูปแบบ คะแนนการแก้ปัญหาภาวะถดถอยในการเรียนรู้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาครูเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมากที่สุด (4) ผลการสนทนากลุ่มพบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นช่วยให้การสอนเป็นระบบมากขึ้น ส่งเสริมกิจกรรมเชิงรุก และนักเรียนมีทักษะสังคมศึกษาดีขึ้น นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (M = 4.68, S.D. = 0.47) สรุปได้ว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิถีชีวิตถัดไปมีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะทางสังคมศึกษาและช่วยแก้ปัญหาภาวะถดถอยในการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/279358
ผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นของเด็กปฐมวัย
2025-06-10T16:15:49+07:00
กฤตชญาภา น้อยทิม
kritchayapa.n@ku.th
ปิยะนันท์ หิรัณย์ชโลทร
kritchayapa.n@ku.th
ชลาธิป สมาหิโต
kritchayapa.n@ku.th
<p>บทความวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานที่มีผลต่อการเข้าอกเข้าใจผู้อื่นของเด็กปฐมวัย ดำเนินการวิจัยโดยใช้รูปแบบแบบหนึ่งกลุ่มทดสอบก่อนหลัง กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กปฐมวัย ชาย และหญิง อายุระหว่าง 4 - 5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย แผนการการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานจำนวน 8 แผน และแบบประเมินความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นของเด็กปฐมวัย 2 องค์ประกอบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง โดยก่อนการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.21 คะแนนค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.50 คะแนน และหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 22.04 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.20 คะแนน โดยพบว่าหลังการทดลองเด็กปฐมวัยแสดงความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นทั้ง 2 องค์ประกอบ คือ เด็กสามารถแสดงออกถึงการเข้าใจความรู้สึก ความคิด และมุมมองของผู้อื่น เข้าใจว่าผู้อื่นสามารถมีความรู้สึกแตกต่างจากตนเอง โดยใช้เหตุผล มาเชื่อมโยงประสบการณ์ของตนเองกับประสบการณ์ของผู้อื่น และค่อย ๆ คาดเดา และเด็กสามารถตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึก และความต้องการทั้งทางบวก และทางลบของเพื่อน และผู้อื่นผ่านการแสดงออกด้วยทางท่า และคำพูด</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/279052
Expectations of Employers Toward the Doctor of Medicine Program Faculty of Medicine Siriraj Hospital
2025-03-18T15:18:37+07:00
Phachadapan Odompet
phachadapan.odo@mahidol.ac.th
Punyanut Phinchoo
phachadapan.odo@mahidol.ac.th
Onchuma Klinjitto
phachadapan.odo@mahidol.ac.th
<p><strong>Background:</strong> The Faculty of Medicine at Siriraj Hospital in Thailand graduates medical students who enter the hospital workforce. Therefore, exploring what employers expect from the medical education curriculum can help improve the Doctor of Medicine program.</p> <p><strong> Objective/ purpose:</strong> The objective of this study is to explore the expectations, strengths, opportunities, and recommendations for the Faculty of Medicine Siriraj Hospital's Doctor of Medicine program from the perspectives of employers of medical graduates.</p> <p><strong> Design and Methodology:</strong> This research used secondary data from the education department's project to study about employers' perspectives on medical graduates. It collected both quantitative and qualitative data through questionnaires and focus group discussions to explore the strengths of the Siriraj’s Doctor of Medicine program, areas for improvement, desired distinctive qualities of Siriraj graduates, and essential competencies for medical graduates.</p> <p><strong> Results:</strong> The perspectives gathered from employers of medical graduates reveal three key insights. First, the key strength of the Doctor of Medicine program is that graduates demonstrate comprehensive knowledge that meets professional standards. Second, the primary area needing improvement is effective communication skills. Third, employers expect Siriraj medical graduates to possess robust lifelong learning skills.</p> <p> <strong>Conclusion and Implications:</strong> Employers have specific expectations when hiring medical graduates. They want these graduates to achieve their goals and meet the needs of the workplace. noted that everyone sets personal goals to reach success. This research indicates that, from the employers' perspective, they want that graduates from Siriraj will have an important quality which is lifelong learning skills.</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/280908
The Development of a Self-Learning Video Package to Enhance English Proficiency for TOEIC Preparation for Thai Undergraduate Students at Rajamangala University of Technology Tawan-ok
2025-07-23T15:53:28+07:00
Apapan Tiyawong
apapan_ti@rmutto.ac.th
Arisa Rungruengphol
Pisan_to@rmutto.ac.th
Pisan Tongnoppakun
Pisan_to@rmutto.ac.th
<p>This study aimed to (1) develop an effective self-instructional video package for TOEIC preparation based on the 80/80 efficiency criterion, (2) compare learning achievement between an experimental group and a control group, and (3) examine students’ satisfaction and opinions toward the developed media. The participants consisted of 92 undergraduate students, divided equally into an experimental group (n = 46) and a control group (n = 46). The research instruments included seven instructional video lessons, an achievement test, a satisfaction questionnaire, and a semi-structured interview. Data were analyzed using the E1/E2 efficiency indices, t-tests, and qualitative content analysis.</p> <p>The findings revealed that the developed media met the specified efficiency criterion (E1 = 80.11, E2 = 87.26). The experimental group showed significantly higher post-test achievement scores than the control group at the .05 level of significance. Students reported a high level of satisfaction, particularly with the content quality and the learning system. Suggestions for improvement included adding interactive activities, providing content summaries, and enhancing system stability. The media design was grounded in Knowles' theory of andragogy and Grow’s Self-Directed Learning (SSDL) Model, supporting a structured and progressive approach to autonomous learning. The instructional package shows potential for adaptation in English courses aimed at standardized test preparation or other specific purposes in various educational contexts.</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/281746
สารบัญ
2025-06-25T09:37:26+07:00
สารบัญ
Siripornkantharos.yingying@gmail.com
<p>-</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/281790
รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ
2025-06-26T16:13:17+07:00
รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ
Siripornkantharos.yingying@gmail.com
<p>-</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/281791
รายชื่อกองบรรณาธิการวารสาร
2025-06-26T16:22:13+07:00
รายชื่อกองบรรณาธิการวารสาร
Siripornkantharos.yingying@gmail.com
<p>-</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย