วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal <p>วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัยเป็นวารสารที่รองรับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยสาขาทางการศึกษาและการเรียนรู้ สาขาสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้เเก่ หลักสูตรและการสอน การวิจัยทางการศึกษา การบริหารการศึกษา จิตวิทยาการศึกษาและการเรียนรู้ พัฒนศึกษา นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา การศึกษานอกระบบโรงเรียน การศึกษาตลอดชีวิต นิเทศการศึกษา การพัฒนาวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา สุขศึกษาและพละศึกษา</p> <p>ทั้งนี้ วารสารในแต่ละฉบับ จะปรากฏบทความวิชาการพิเศษหรือบทความวิจัยพิเศษ และบทปริทัศน์หนังสือ ซึ่งกองบรรณาธิการจะเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา/ กองบรรณาธิการอาวุโสวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย / กองบรรณาธิการวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย เขียนบทความวิชาการพิเศษ หรือบทความวิจัยพิเศษ และบทปริทัศน์หนังสือ โดยนำบทความดังกล่าวตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย</p> <p><strong>รูปแบบการกลั่นกรองบทความก่อนลงตีพิมพ์ (Peer reviews) </strong></p> <p>1. ผู้เสนอบทความจะ<strong><u>ต้องจัดพิมพ์บทความตามรูปแบบ (</u></strong><strong><u>Template)</u></strong> ที่วารสาร วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย กำหนดเท่านั้น (ดาว์นโหลด<a href="https://drive.google.com/drive/folders/18fZCdfYtO02Ys1A0-w977SxD6jvgyD_G?usp=sharing">รูปแบบบทความ (Template)</a>)</p> <p>2. วารสารใช้รูปเเบบการประเมินบทความเเบบ Double-ฺBlind Peer Review โดยผู้ประเมินบทความ (Reviewer) ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง (Author) เเละผู้แต่ง (Author) ไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน (Reviewer) </p> <p>3. บทความจะได้รับการอ่านประเมิน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จากภายนอกและภายในมหาวิทยาลัยในสาขาวิชานั้นๆ จำนวน 3 ท่านต่อเรื่อง </p> <p><strong>การจัดทำวารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย</strong></p> <p>วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัยมีการจัดทำวารสาร เป็น รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ISSN 2672-9199 ตั้งแต่ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป กำหนดออกวารสาร ปีละ 2 ฉบับ ได้เเก่ 1) ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และ 2) ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าใช้จ่ายในการรับบทความเพื่อตีพิมพ์</strong></p> <p>ผู้เสนอบทความจะต้องชำระค่าดำเนินการในอัตรา 3,000.- บาทต่อหนึ่งบทความ หลังจากได้รับการพิจาณาจากจากคณะกรรมการกองบรรณาธิการฯเบื้องต้นเรียบร้อยเเล้ว ก่อนนำส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวน 3 ท่านต่อเรื่อง ประเมินบทความต่อไป</p> <p><strong>ช่องทางการชำระเงิน</strong></p> <p>1. โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขานครปฐม ประเภทบัญชี ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 106-3-61819-1 ชื่อบัญชี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (รับโอนเงิน) หรือ </p> <p>2. ชำระเงินสดด้วยตนเอง ที่งานคลังฯ สำนักงานคณบดี ชั้น 2 อาคารศึกษา 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร</p> <p>หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ 062-9199536</p> th-TH [email protected] (อาจารย์ ดร.ชินัณ บุญเรืองรัตน์ ) [email protected] (นางสาวศิริพร กันธะรส) Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 รายชื่อกองบรรณาธิการวารสาร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269804 <p> </p> รายชื่อ กองบรรณาธิการวารสาร Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269804 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ใบรองปก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269806 ใบรองปก Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269806 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ที่ต่มีอความสามารถในการวิเคราะห์สาเหตุและผลสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/265867 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ 2) ศึกษาความสามารถในการวิเคราะห์สาเหตุและผลสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยวิธีการทางประวัติศาสตร์และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ ได้มาโดยวิธีการจับฉลากโดยใช้ห้องเรียน เป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบวัดความสามารถในการวิเคราะห์สาเหตุและผลสืบเนื่องและ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการวิเคราะห์สาเหตุและผลสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมากและ 3) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ฐาปนีย์ รักภูบาล, ศศิพัชร จำปา, ชัยรัตน์ โตศิลา Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/265867 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลของกิจกรรมมวยไทยที่มีต่อสมรรถภาพทางกายและการเคลื่อนไหวพื้นฐานของเด็กปฐมวัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266025 <p>วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมมวยไทยสำหรับนักเรียนระดับชั้นปฐมวัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถภาพทางกายและการเคลื่อนไหวพื้นฐาน 2) เปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายและทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของนักเรียนชั้นปฐมวัย ระหว่างก่อนกับหลังการเข้าร่วมกิจกรรมมวยไทย 3) เปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายและทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน หลังการทดลอง ระหว่างกลุ่มเข้าร่วมกิจกรรมมวยไทยกับกลุ่มการจัดการเรียนรู้ตามปกติ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นปฐมวัย อายุ 5-6 ปี โรงเรียนวัดบางปลา (เมธีจุลารักษ์) จำนวน 30 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กิจกรรมมวยไทยสำหรับนักเรียนระดับปฐมวัย จำนวน 18 กิจกรรม แบบประเมินทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน และแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทย อายุ 4-6 ปี ของกรมพลศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมมวยไทยสำหรับนักเรียนระดับชั้นปฐมวัยทั้ง 18 กิจกรรม มีคุณภาพสามารถนำไปใช้ได้ 2) สมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กำลังของกล้ามเนื้อ ความอดทนของกล้ามเนื้อ และองค์ประกอบของร่างกาย หลังการทดลองสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านความเร็ว และความคล่องแคล่วว่องไว ไม่พบความแตกต่าง ส่วนทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานด้านการยืน การเดิน การกระโดด สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในด้านการวิ่งไม่พบความแตกต่างและ 3) สมรรถภาพทางกายและทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน ระหว่างกลุ่มทดลองกับการจัดการเรียนรู้ปกติ พบว่า ด้านความอ่อนตัว สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนรายการอื่นไม่พบความแตกต่าง</p> ศราวุธ ก้อนทอง, ต่อศักดิ์ แก้วจรัสวิไล Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266025 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรของอำเภอโมงฤษี จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266008 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรของอำเภอโมงฤษี จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา 2) ศึกษาเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วม และ 3) แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรในอำเภอโมงฤษี จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยคือเกษตรกรที่เป็นสมาชิกในสหกรณ์การเกษตร จำนวน 300 คน ผู้ให้ข้อมูลหลักในการสัมภาษณ์ระดับลึกจำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ระดับลึก การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา ใช้การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ระดับลึกใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรของอำเภอโมงฤษี จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) ปัจจัยส่วนบุคคลประกอบด้วย อายุ ระดับการศึกษา และกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่แตกต่างกัน จะมีส่วนร่วมในสหกรณ์การเกษตรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับ 0.05 3) แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรคือ ผู้นำและภาครัฐควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการทำบัญชีการเงินให้แก่สมาชิกทุกคน ภาครัฐควรช่วยปกป้องสหกรณ์การเกษตร ด้านกฎหมาย และส่งเสริมให้สหกรณ์มีการทำธุรกิจเพิ่มเติม และช่วยทางด้านเงิน เพื่อให้สหกรณ์ได้เอาไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนร่วมในสหกรณ์การเกษตร</p> ฬาย โละภัทร, รัชฎาพร เกตานนธ์ Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266008 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาความพึงพอใจต่อการประสานงานและดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดตารางสอน ของอาจารย์ในโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266831 <p>การศึกษาความพึงพอใจต่อการประสานงาน และดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดตารางสอนของอาจารย์โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการการศึกษาครั้งนี้ คืออาจารย์ในโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 51 คนซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการประสานงานและดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดตารางสอนของอาจารย์ในโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านการประสานงาน ด้านการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดตารางสอน และด้านบุคลิกภาพของผู้ให้บริการ เป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนำเฉพาะค่าเฉลี่ยมาเทียบกับเกณฑ์เพื่อจำแนกและอธิบายระดับความพึงพอใจเป็นรายข้อ รายด้าน และภาพรวม</p> นภษร ทำกินรวย Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266831 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการหน่วยบริการการศึกษาและส่งเสริมวิชาชีพครู (ทะเบียน) โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266832 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการหน่วยบริการและส่งเสริมวิชาชีพครู (ทะเบียน) โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 280 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้บริการหน่วยบริการและส่งเสริมวิชาชีพครู (ทะเบียน) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าระดับ ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการหน่วยบริการและส่งเสริมวิชาชีพครู (ทะเบียน) โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) อยู่ในระดับมากที่สุด</p> จารุวรรณ มีใจดี Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266832 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจต่อการให้บริการของฝ่ายการเงินโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266833 <p>วิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการให้บริการของฝ่ายการเงินโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) ซึ่งได้จากการเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญจากผู้ที่เข้ามาใช้บริการจริงจำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม โดยมีความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.91 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการเก็บแบบสอบถามความพึงพอใจชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ (X) และ (S.D.) นำค่าเฉลี่ยที่ได้มาเทียบกับเกณฑ์เพื่อแปลความหมาย และอธิบายระดับความพึงพอใจในรายด้านและรายข้อ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจต่อการให้บริการของฝ่ายการเงินโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) โดยรวมอยู่ในระดับมากขึ้นไป และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านกระบวนการ/ ขั้นตอน การให้บริการ อยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.59) ด้านเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรที่ให้บริการ อยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.69) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.64)</p> ธัญญ์ธิชา วงษ์ศรีเจริญ Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266833 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับคิวอาร์โค้ดที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาสุขศึกษา และพลศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266089 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนกับหลัง การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับคิวอาร์โค้ด 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับคิวอาร์โค้ดกับเกณฑ์ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาสุขศึกษาและพลศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับคิวอาร์โค้ด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ต่อการเรียนวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระกัน และการทดสอบทีกรณีกลุ่มตัวอย่างเดียว<br />ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับคิวอาร์โค้ดมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2.</span><span style="font-size: 0.875rem;">นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับคิวอาร์โค้ด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br /></span>3. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับคิวอาร์โค้ด มีความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> กนกศักดิ์ ขุมโมกข์, พรรณราย เทียมทัน Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266089 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับแอปพลิเคชันพลิกเกอร์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266587 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับแอปพลิเคชันพลิกเกอร์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับแอปพลิเคชันพลิกเกอร์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และ 3) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับแอปพลิเคชันพลิกเกอร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขาวง จำนวน 30 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกันและการทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับแอปพลิเคชันพลิกเกอร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับแอปพลิเคชันพลิกเกอร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับแอปพลิเคชันพลิกเกอร์มีความคงทนในการเรียนรู้หลังผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์</p> วนิดา เกตุเส็ง, พรรณราย เทียมทัน Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266587 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชันที่มีต่อทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266830 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน และหลังการจัดการเรียนรู้กับเกณฑ์ ร้อยละ70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชัน และหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชันกับเกณฑ์ร้อยละ70 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลเมืองชัยนาท จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่ม อย่างง่าย เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระกัน และกรณีกลุ่มตัวอย่างเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชันมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05</p> <p>2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชันมีผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ชื่นกมล เกิดอ้น, พรรณราย เทียมทัน Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266830 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 สมรรถนะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครู ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266891 <p>การวิจัยนี้ศึกษา 1) ระดับสมรรถนะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา 3) สมรรถนะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จำนวน 316 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับอยู่ที่ .979 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwise</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสมรรถนะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาครู ด้านการสรรหาและจัดการบุคลากร ด้านการสื่อสารและ สร้างความสัมพันธ์ และด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ 2) ระดับการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ และ ด้านการจัดการเรียนรู้ 3) สมรรถนะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา 3 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาครู ด้านการสรรหาและจัดการบุคลากรและ ด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ สามารถอธิบายความแปรปรวนของการปฏิบัติงานของครู ในภาพรวมได้ร้อยละ 61.1</p> นุตประวีณ์ ญาณจันทร์, ตวงทอง นุกูลกิจ, สุภาวดี วงษ์สกุล Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266891 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การประเมินสภาพความคาดหวังและสภาพความเป็นจริงในการพัฒนาสมรรถนะความเป็นครูในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266997 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อประเมินสภาพความคาดหวังและสภาพความเป็นจริงในการพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 2) เปรียบเทียบสภาพความคาดหวังและสภาพความเป็นจริงในการพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 และ 3) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสภาพความเป็นจริงในการพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ 1) นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต 2) ครูพี่เลี้ยง ในสถานศึกษา และ 3) ผู้บริหารศึกษาในสถานศึกษา ที่นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู จำนวน 122 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามการวิจัย ซึ่งได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ (X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่ม ที่ไม่เป็นอิสระจากกัน (Paired Samples T-Test)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า<br /></strong>1) สภาพความคาดหวังในการพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.54, S.D. = 0.41) ส่วนสภาพความเป็นจริงในการพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X = 4.28, S.D. = 0.52) และ 2) สภาพความเป็นจริงน้อยกว่าสภาพความคาดหวังทั้งโดยรวมและรายสมรรถนะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> มารีย๊ะ ปุเต๊ะ, รจเรข กำแหงกิจ, จิตติมา มานะการ Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/266997 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดชุมชนเป็นฐานร่วมกับการศึกษาเชิงวิพากษ์ เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267031 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดชุมชนเป็นฐานร่วมกับการศึกษา เชิงวิพากษ์ที่ส่งเสริมคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) ศึกษาคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลก ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดชุมชนเป็นฐานร่วมกับการศึกษาเชิงวิพากษ์ โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสานวิธี กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนบ้านแม่ข้าวต้มหลวง ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 19 คน จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) กิจกรรมการเรียนรู้ 2) แบบประเมินคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลก 3) แนวคำถามการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิตที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าสถิติแบบนอนพาราเมตริก Wilcoxon-signed rank test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดชุมชนเป็นฐานร่วมกับการศึกษาเชิงวิพากษ์ มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 2. คุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 และกิจกรรมการเรียนรู้ส่งผลให้นักเรียนตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม ยึดมั่น ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน เห็นคุณค่า เคารพในความแตกต่าง และมีความเป็นพหุพลเมืองทั้งระดับท้องถิ่น ชาติ และโลก</p> ภูวดล คารินทา, วสันต์ สรรพสุข Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267031 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนที่ส่งเสริมทักษะอาชีพและทักษะการประกอบการของนักเรียนโรงเรียนเทศบาลวัดศรีดอนไชย จังหวัดเชียงใหม่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267133 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนที่ส่งเสริมทักษะอาชีพและทักษะการประกอบการของนักเรียน เพื่อพัฒนารูปแบบ เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานตามรูปแบบ และเพื่อประเมินความพึงพอใจต่อการดำเนินงานตามรูปแบบ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในปีการศึกษา 2565 ได้แก่ บุคลากร จำนวน 36 คน ตัวแทนชุมชน จำนวน 5 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1-3 จำนวน 157 คน และผู้ปกครอง จำนวน 157 คน รวมทั้งสิ้น 355 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประชุมกลุ่ม คู่มือของรูปแบบ แบบประเมินทักษะอาชีพ แบบประเมินทักษะการประกอบการ และแบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า 1. การสร้างความสัมพันธ์ได้ 4 ด้าน ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสถานศึกษา การแสวงหาภาคีเครือข่าย และการบริการชุมชน 2. รูปแบบการบริหารสถานศึกษาด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนที่ส่งเสริมทักษะอาชีพและทักษะการประกอบการของนักเรียน ประกอบด้วย 6 ส่วน ได้แก่ ทฤษฎีพื้นฐานและหลักการ วัตถุประสงค์ ระบบและกลไกการดำเนินงาน วิธีการดำเนินงาน แนวทางการวัดและประเมินผล และเงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ 3. การศึกษาผลการดำเนินงานตามรูปแบบ นักเรียนมีทักษะอาชีพ และทักษะการประกอบการอยู่ในระดับที่สูงขึ้น และ 4. บุคลากร มีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานตามรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> ณัฏฐนันท์ ลังการัตน์ Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267133 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267181 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) พัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3) ทดลองใช้หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และ 4) เพื่อประเมินและปรับปรุงหลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสังกัด เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม จำนวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) แบบประเมินความเหมาะสมของหลักสูตรก่อนการนำไปทดลองใช้ 3) แบบประเมินทักษะความฉลาดทางดิจิทัล และ 4) แบบประเมินรับรองหลักสูตร สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) จากผลการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ พบว่า หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีความสำคัญในการนำมาพัฒนานักเรียนให้มีสามารถในการปรับตัวและอยู่บนโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย 2) หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบไปด้วยเนื้อหาจำนวน 8 ทักษะ โดยมีผลการประเมินคุณภาพหลักสูตรโดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก 3) การทดลองใช้หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล พบว่า นักเรียนมีผลคะแนนสอบหลังเรียนมากกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผลการประเมินรับรองหลักสูตร โดยผู้ทรงคุณวุฒิในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก</p> สุมาลี สุนทรา Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267181 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาสมรรถนะทางวิชาชีพครูระดับปฐมวัยด้านการจัดการเรียนรู้ในจังหวัดร้อยเอ็ด https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267201 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาสมรรถนะทางวิชาชีพครูรดับปฐมวัยด้านการจัดการเรียนรู้ ในจังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาศักยภาพของครูปฐมวัยตามสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ ในจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูระดับปฐมวัย ในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งได้มาจากวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) จำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ คู่มือการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แบบทดสอบก่อนและหลังฝึกอบรมสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และค่า t – test โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัย พบว่า 1. การพัฒนาสมรรถนะทางวิชาชีพครูรดับปฐมวัยด้านการจัดการเรียนรู้ ในจังหวัดร้อยเอ็ด มีประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับครูระดับปฐมวัยในจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 94.00/90.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2. การพัฒนาศักยภาพของครูปฐมวัยตามสมรรถนะ ด้านการจัดการเรียนรู้ ในจังหวัดร้อยเอ็ด การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการใช้การจัดกิจกรรมการสอนสำหรับครูปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 ในจังหวัดร้อยเอ็ด มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21</p> ศักดิ์ศรี สืบสิงห์, นิธินาถ อุดมสันต์, สุภิมล บุญพอก Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267201 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้สื่อ GSP ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนคันธพิทยาคาร จังหวัดตรัง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267358 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ก่อนและหลังเรียน กลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้สื่อ GSP และกลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ระหว่างกลุ่มได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้สื่อ GSP และกลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนคันธพิทยาคาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน มีนักเรียนห้องเรียนละ 27 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้สื่อ GSP 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ และ 4) แบบทดสอบความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์การแปรผัน ความเบ้ ความโด่ง และการวิเคราะห์ความแปรปรวนตัวแปรพหุนามแบบวัดซ้ำผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความสัมพันธ์กันสูง ในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้สื่อ GSP สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> วิลาวรรณ ไสยแก้ว, สุรีรัตน์ อารีรักษ์สกุล ก้องโลก, วินิจ เทือกทอง Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267358 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมการสอนเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267836 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนานวัตกรรมการสอนนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรม แบบทดสอบก่อนและหลังฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และค่า t – test โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยสรุปได้ พบว่า 1) นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.50/81.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2) นักศึกษาได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> สุภิมล บุญพอก, ศักดิ์ศรี สืบสิงห์, นิธินาถ อุดมสันต์ Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267836 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย (4 ปี) (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/268210 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย (4 ปี)(หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยประเมินผลโดยใช้รูปแบบ CIPP Model ของแดเนียล แอล สตัฟเฟิลบีม ร่วมกับแนวคิดเรื่องเกณฑ์การประเมินหลักสูตรเกณฑ์ AUN QA กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารคณะศึกษาศาสตร์ คณาจารย์ ผู้ใช้บัณฑิต นักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่า เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และประเด็นคำถามในการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผลประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย (4 ปี) (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ดังนี้ 1) ด้านสภาวะแวดล้อม มีความเหมาะสม 2) ด้านปัจจัยนำเข้า มีความเหมาะสมภาพรวมระดับมาก 3) ด้านกระบวนการ และ 4) ด้านผลผลิต มีความเหมาะสมภาพรวมระดับมากที่สุด</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. แนวทางในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังตามความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ 1) พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้รอบทั้งในศาสตร์ภาษาไทยและการสอนภาษาไทย ภูมิปัญญาทางภาษา 2) พัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนการสอนได้อย่างสร้างสรรค์ ทันสมัย เหมาะสมกับบริบท 3) ส่งเสริมผู้เรียนด้านการวิจัย การพัฒนานวัตกรรม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน 4) ส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรม</span></p> <p>3. แนวทางการพัฒนาหลักสูตร ได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อม ออกแบบหลักสูตรให้ตรงความต้องการของตลาดแรงงาน ด้านปัจจัยนำเข้า ปรับเนื้อหาของวิชาให้ทันสมัยมากขึ้น ด้านกระบวนการ ออกแบบรายวิชาที่ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี และเน้นพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 และด้านผลผลิต พัฒนาผู้เรียนด้านทักษะการสื่อสาร ส่งเสริมด้านคุณธรรมจริยธรรม</p> ชลธิชา หอมฟุ้ง, อธิกมาส มากจุ้ย Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/268210 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบบอร์ดเกมการศึกษา เรื่อง ฮูปแต้ม เพื่อส่งเสริมการเห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ท้องถิ่น และการสร้างสรรค์งานศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดมหาสารคาม https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267960 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลในการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3. เพื่อทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ 3.1. เพื่อประเมินการเห็นคุณค่าของศิลปกรรมท้องถิ่น 3.2. เพื่อประเมินความพึงพอใจ 4. เพื่อปรับปรุงชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนอนุบาลกันทรวิชัย จ.มหาสารคาม จำนวน 40 คน จากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือในการวิจัย 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ 2. แบบประเมินการเห็นคุณค่าของศิลปกรรมท้องถิ่น 3. แบบสัมภาษณ์ผู้เรียนแบบการสนทนากลุ่ม 4. แบบประเมินผลงานทัศนศิลป์ 5. แบบประเมินความพึงพอใจฯ ผลการวิจัย (1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ ความสอดคล้องกับความต้องการ และผู้เรียนมีความสนใจการเรียนรู้แบบเกมคิดเป็น 81.7% (2) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ ประกอบด้วย แผน 8 แผน บอร์ดเกมฯ 3 เกม คือ บอร์ดเกมสีของฮูปแต้ม บอร์ดเกมวาด ๆ ทาย ๆ ฮูปแต้ม และบอร์ดเกมช่างแต้ม (3) ผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า 3.1) ผลการประเมินการเห็นคุณค่าของศิลปกรรมท้องถิ่นอยู่ในระดับดีมาก (X = 3.3) จากการสัมภาษณ์ผู้เรียนแบบการสนทนากลุ่มพบว่า นักเรียนสามารถแสดงความรู้สึก สามารถเสนอวิธีการในการอนุรักษ์ ปกป้อง และบอกวิธีการที่จะเผยแพร่ในแบบของตนเองได้ และผลการประเมินผลงานศิลปะอยู่ในระดับ ดีมาก (X = 3.4) 3.2) ผลการประเมินความพึงพอใจ อยู่ในระดับ มากที่สุด (X = 4.0) 4) มีการปรับปรุงชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯเพื่อให้ชุดกิจกรรมฯนี้ มีความสมบูรณ์</p> สายพิรุณ ยอดศิริ, วิสูตร โพธิ์เงิน, ปรีชา เถาทอง, พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/267960 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ห้องเรียนกลับด้านในการสอนออนไลน์เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/268914 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการจัดการฐานข้อมูลก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับด้านในการสอนออนไลน์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการจัดการฐานข้อมูล ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 11 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) แผนการสอนรายวิชาการจัดการฐานข้อมูลโดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับด้านในการสอนออนไลน์ และ 2) สื่อวิดีทัศน์ ใบงาน กิจกรรม โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาการจัดการฐานข้อมูล ในหัวข้อย่อยเรื่องคีย์หลัก ความสัมพันธ์ของข้อมูล การเขียนแบบจำลองข้อมูล และการทำให้เป็นบรรทัดฐาน และ 2) แบบสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลผลการเรียนรู้โดยการหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบรายคู่ก่อนและหลังเรียน และคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับด้านในการสอนออนไลน์รายวิชาการจัดการฐานข้อมูล มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีพัฒนาการรวมเฉลี่ยร้อยละ 58.33 ซึ่งอยู่ในระดับสูง</p> ปริศนา มัฌชิมา, สายสุดา ปั้นตระกูล Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/268914 Mon, 08 Jan 2024 00:00:00 +0700 ผลการใช้กลยุทธ์ SCIM-C ที่มีต่อความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269048 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กลยุทธ์ SCIM-C และ 2) ศึกษาพัฒนาการความเข้าใจบริบท ทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กลยุทธ์ SCIM-C กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ลาดหญ้า กาญจนบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนหน่วยการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กลยุทธ์ SCIM-C จำนวน 3 แผน และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบวัดความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ จำนวน 3 ฉบับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กลยุทธ์ SCIM-C อยู่ในระดับดีมาก และ 2) พัฒนาการความเข้าใจบริบท ทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กลยุทธ์ SCIM-C สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้ง 3 ระยะ</p> สุทธิพงษ์ โชติรมย์, ชัยรัตน์ โตศิลา, ศศิพัชร จำปา Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269048 Tue, 16 Jan 2024 00:00:00 +0700 สารบัญ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269808 <p> </p> Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269808 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ChatGPT กับการศึกษายุคดิจิทัล https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269776 <p>บทความวิชาการเรื่องนี้ มุ่งนำเสนอสาระความรู้เกี่ยวกับ ChatGPT ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่ให้บริการตอบคำถามข้อมูลต่าง ๆ แบบอัตโนมัติที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ถือเป็นเรื่องใหม่ มีประโยชน์อย่างมากที่หลายสถาบันการศึกษาให้ความสนใจและสนับสนุนในการนำมาใช้ในการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย ซึ่ง ChatGPT มีบทบาทในกระบวนการสอนและการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตามการใช้งาน ChatGPT อาจมีความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของข้อมูลที่เกิดขึ้น เนื่องจากข้อมูลที่ประมวลผลมานั้นเป็นชุดข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลในอินเทอร์เน็ตมาประมวลให้ผู้ใช้งานโดยไม่ได้คัดกรองเฉพาะเนื้อหาที่มาจากแหล่งข้อมูลที่มาตรฐานความน่าเชื่อถือเท่านั้น อาจทำให้มีการนำเสนอเนื้อหาที่มีความผิดพลาดหรือบิดเบือนร่วมด้วย ดังนั้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องวิเคราะห์ ประเมินความถูกต้องและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อนการนำไปใช้งาน</p> เขมณัฏฐ์ มิ่งศิริธรรม Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269776 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 บทปริทัศน์หนังสือ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269793 ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269793 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269798 <p> </p> รายชื่อ ผู้ทรงคุณวุฒิ Copyright (c) 2023 วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/269798 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700