Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai
<p> </p> <p> </p> <h1>Silpakorn University e-Journal<br />(Social Sciences, Humanities, and Arts)</h1> <p>ชื่อเดิม "วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร" ISSN (เดิม) 2586-8489 (Online) </p> <p>ปรับชื่อใหม่เป็น "Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)" ISSN 2985-2536 (Online) ทั้งนี้ ตั้งแต่ ปีที่ 43 ฉบับที่ 5 (กันยายน - ตุลาคม) พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป</p> <p>เป็นวารสารที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาวิชาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปะ ของนักวิชาการทั้งภายใน และภายนอกมหาวิทยาลัย เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ และส่งเสริมให้นักวิชาการและผู้สนใจได้นำเสนอผลงานทางวิชาการในรูปแบบของบทความวิจัยและบทความวิชาการที่มีคุณภาพ</p> <p><strong>ISSN 2985-2536 (Online)</strong><br /><strong>ภาษา: ภาษาไทย</strong><br /><strong>จำนวนฉบับต่อปี: 6 ฉบับต่อปี (ฉบับที่ 1 มกราคม - กุมภาพันธ์, ฉบับที่ 2 มีนาคม - เมษายน, ฉบับที่ 3 พฤษภาคม - มิถุนายน, ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม, ฉบับที่ 5 กันยายน - ตุลาคม, ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม)</strong></p> <h1>Silpakorn University e-Journal<br />(Social Sciences, Humanities, and Arts)</h1> <p>Former name "Silpakorn University Journal" ISSN 2586-8489 (Online) </p> <p>The title was changed to "Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)" ISSN 2985-2536 (Online) Since volume 43 issue 5 (September - October) of the year 2023 onwards.</p> <p>The journal features articles and research note/articles in the fields of Social Sciences, Humanities and Arts. lts aim to encourage and disseminate scholarly contributions by the University's faculty member and researchers. Well researched, innovative works by other scholars are welcome. Our mission is to promote awareness of and compatibility with the dynamics of study area among researchers, academicians and professors.</p> <p><strong>ISSN 2985-2536 (Online)</strong><br /><strong>Language: Thai </strong><br /><strong>Issue per year: 6 </strong><strong>Issues (Issue 1 January - February, Issue 2 March - April, Issue 3 May - June, Issue 4 </strong><strong>July - August, Issue 5 September - October, Issue 6 November - December)</strong></p> <p> </p>สำนักงานบริหารการวิจัย นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศิลปากรen-USSilpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)2985-2536วิถีชีวิตดิจิทัล : พฤติกรรมของผู้ฟังรายการพอดแคสต์ในประเทศไทย (Digital lifestyle: Behavior of podcast listeners in Thailand)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/266745
<p>สื่อพอดแคสต์ (podcast) เป็นสื่อดิจิทัลที่สอดรับกับพฤติกรรมของวิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอินเทอร์เน็ตที่เอื้อต่อการเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสาร งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิถีชีวิตดิจิทัล พฤติกรรมของผู้ฟังรายการพอดแคสต์ในประเทศไทย ด้วยการใช้แบบสอบถามทางออนไลน์กับผู้ฟังรายการพอดแคสต์ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยกำหนดให้ต้องเป็นผู้ฟังรายการพอดแคสต์ที่มีประสบการณ์ในการฟังต่อเนื่อง 3 เดือน จำนวน 400 ตัวอย่าง ผลการวิจัยพบว่า ผู้ฟังรายการพอดแคสต์เป็นผู้ที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีและสูงกว่าระดับปริญญาตรีขึ้นไป โดยส่วนใหญ่อาศัยในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นกลุ่ม Generation Y ที่มีพฤติกรรมรับฟังรายการพอดแคสต์ในระยะเวลาสั้น โดยรับฟังขณะเดินทางหรือช่วงพักจากการทำงาน ส่วนในด้านพฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบดิจิทัลของผู้ฟังพอดแคสต์ในประเทศไทย พบว่า การมีเทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์ มีผลต่อการรับรู้และเข้าถึงของผู้รับชมจำนวนมาก ส่วนผู้จัดรายการพอดแคสต์ที่มีประสิทธิภาพนั้น มีส่วนในด้านความสนใจ ทำให้รายการเกิดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และประเด็นหรือหัวข้อที่น่าสนใจมีส่วนกับความคิดเห็นต่อการรับฟังรายการพอดแคสต์เป็นอย่างมาก ผลการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตรายการพอดแคสต์ ทำให้เข้าใจพฤติกรรมและบริบทของผู้ฟังสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยวิถีชีวิตดิจิทัลที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีผลต่อการบริโภคสื่อมากยิ่งขึ้น และวิถีชีวิตของผู้ฟังเองก็ต้องการใช้ประโยชน์จากการรับฟังเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเอง</p> <p>Podcast media is a digital platform that aligns with the lifestyles of people in the modern era. With digital technology and internet systems facilitating access to communication devices, this research aims to study the digital lifestyle and behavior of podcast listeners in Thailand. The study employed an online questionnaire distributed to podcast listeners as a sample group, with the criteria requiring participants to have at least three months of continuous podcast listening experience. A total of 400 samples were collected. The research findings reveal that podcast listeners have an educational background at the undergraduate level or higher. The majority reside in Bangkok and its metropolitan area and belong primarily to Generation Y. They tend to listen to podcasts for short periods, often during commutes or work breaks. Regarding the behavior and digital lifestyle of podcast listeners in Thailand, it was found that social media technology significantly influences audience awareness and accessibility. Effective podcast hosts play a key role in capturing and sustaining listener interest, making programs more engaging. Additionally, intriguing topics or themes strongly impact listeners’ opinions about podcasts. The results of this study will benefit podcast producers by enhancing their understanding of the behavior and contexts of media consumers in an evolving digital lifestyle. As technology increasingly shapes media consumption, listeners seek to leverage podcasts for self-directed learning and personal development. </p> <p> </p>อ้อมใจ บุษบง (Ormchai Bugsabong)กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ (Kullatip Sartararuji)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-202024-12-20112ผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (Achievements in implementing the community natural resource and environment management project, fiscal year 2020)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/258667
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามและประเมินผลที่เกิดกับชุมชนจากการดำเนินโครงการจำเป็นเร่งด่วน ภายใต้โครงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชน ตามแผนพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามแนวพระราชดำริ (โครงการปิดทองหลังพระ) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกควบคู่กับแนวคิดและทฤษฎีการประเมินผลโครงการ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมด 72 ราย ผลการศึกษาพบว่า โครงการที่ดำเนินงานในพื้นที่ 8 จังหวัด สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี โดยเฉพาะด้านการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิต เช่น การจัดการน้ำในพื้นที่และการส่งเสริมความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้โครงการยังสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความจำเป็นในการสนับสนุนงบประมาณและการขยายผลโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้นและพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน การศึกษานี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานโครงการที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในอนาคต และเป็นแนวทางสำหรับการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาในระดับชุมชนที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> <p>This study aimed to monitor and evaluate the impacts of urgent projects implemented under the Natural Resources and Community Environmental Management Program, aligned with the Applied Rural Area Development Plan under the Royal Initiative (Pid Thong Laung Phra Foundation), during fiscal year 2020. Utilizing in-depth interviews guided by project evaluation theories, the sample comprised 72 stakeholders and relevant officials. The study found that projects implemented in eight provinces effectively addressed community needs, particularly by improving environmental conditions and quality of life. Initiatives such as water management and environmental education were highlighted, and the projects also encouraged broad community participation. However, recommendations include the need for increased funding and expanding project coverage to additional and adjacent areas, critical for sustainable development. The study can inform strategies to align future project implementation with community needs and serve as a guideline for improving sustainable community development processes.</p>ศุภฤกษ์ โออินทร์ (Supharerk O-in)อภิเศก ปั้นสุวรรณ (Apisek Punsuwan)อริศา จิระศิริโชติ (Arisa Jirasirichote)กมลพร อุปการแก้ว (Kamonporn Upakankaew)สมคิด ภูมิโคกรักษ์ (Somkid Phumkokrux)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-202024-12-201322ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานด้านนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์ของอาสาสมัครหน่วยกู้ภัยพิษณุโลก มูลนิธิประสาทบุญสถาน (Opinions on the problems and obstacles in forensic science and forensic medicine operations of Phitsanulok rescue volunteers of the Prasatbunyasathan Foundation)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/268425
<p>การเก็บและรักษาพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสืบสวนหาผู้กระทำความผิดในคดีอาญาเมื่อมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส อาสาสมัครกู้ภัยมักจะถูกร้องขอจากญาติให้เร่งรีบช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทันที ซึ่งอาจทำให้พยานหลักฐานเกิดการปนเปื้อนและเกิดการสูญหาย ดังนั้นเพื่อป้องกันหรือลดความสูญเสียของพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาเพื่อประเมินความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานด้านนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์ของอาสาสมัครหน่วยกู้ภัยพิษณุโลกด้วยการใช้วิธีวิจัยเชิงพรรณนา โดยใช้แบบสอบถามเชิงสำรวจเก็บข้อมูลจากตัวอย่างอาสาสมัครหน่วยกู้ภัยพิษณุโลก มูลนิธิประสาทบุญสถาน ที่เป็นพนักงานประจำและมีบัตรประจำตัว (ยังไม่หมดอายุ) จำนวน 112 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ผลการศึกษา พบว่า อาสาสมัครกู้ภัยส่วนใหญ่มีระดับความคิดเห็นปานกลาง ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานเรียงจากมากไปน้อย 3 ลำดับ มากที่สุด คือ การถ่ายภาพวัตถุพยานในสถานที่เกิดเหตุ รองลงมา คือ การเก็บวัตถุพยาน และการป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุร่วมกับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และยังพบอีกว่า มูลเหตุจูงใจเป็นปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานด้านนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวชศาสตร์ทุกข้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นแนวทางในการนำมูลเหตุจูงใจ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญอย่างยิ่งในการคัดกรองอาสาสมัครกู้ภัยเพื่อให้ได้อาสาสมัครกู้ภัยที่มีใจรักและพร้อมอุทิศตนต่อการทำงาน นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากการศึกษายังนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครมูลนิธิให้มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานตามแนวทางของกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากยิ่งขึ้นต่อไป</p> <p>Collecting and preserving evidence at crime scenes is essential for investigating and identifying perpetrators. When someone is seriously injured, rescue volunteers are often urged by relatives to immediately assist, which may lead to evidence contamination or loss. To minimize this risk, the researcher assessed the opinions of Phitsanulok rescue volunteers regarding problems and obstacles in forensic science and medicine practices using descriptive research methods. A survey was conducted among 112 permanent volunteers with valid ID cards from the Phitsanulok Rescue Unit, Prasatbunyasathan Foundation, using simple random sampling. The results indicated that most volunteers held moderate opinions, with the top three challenges being: photographing evidence at the scene, followed by collecting evidence, and securing the scene while assisting the injured. Additionally, motivation, as a personal factor, was significantly related to their opinions on forensic science and medicine practices. The study’s finding will inform the screening process for passionate and dedicated rescue volunteers. Moreover, the results can help improve the work processes of foundation volunteers to enhance the efficiency and effectiveness of future judicial operations.</p>ณัฐพล ระแบบเลิศ (Natthapol Rabablert)มูฮำหมัด นิยมเดชา (Muhammad Niyomdecha)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-222024-12-222335เดปอทู : ประติมากรรมสำนึกรักษ์ป่า (Dae Paw Thoo: Sculpture for awareness and conservation of the forest)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/272131
<p>บทความวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบทวัฒนธรรม วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ทั้งในด้านประวัติความเป็นมา แนวคิด ความคิดความเชื่อในการอนุรักษ์รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) เพื่อสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรม “เดปอทู : ประติมากรรมสำนึกรักษ์ป่า” โดยการสังเคราะห์และนำองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาในพื้นที่บ้านห้วยหินลาดใน หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นการเลือกตัวอย่างแบบจงใจ มาเป็นแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมร่วมสมัยเพื่อกระตุ้นสำนึกอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ผลการศึกษา พบว่า 1) วัฒนธรรม ระบบความเชื่อ ศาสนา และวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ยึดโยงผู้คนในสังคมเข้าด้วยกัน โดยการพึ่งพาอาศัยกันและยังคงอยู่ในสำนึกของชาวปกาเกอะญอ พิธีกรรมบางส่วนมีความสัมพันธ์ระหว่างคน ธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ จึงทำให้คงวิถีชีวิต ความคิดความเชื่อในการเคารพ อนุรักษ์รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) ผู้วิจัยได้สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมจากไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติ ทั้งหมด 3 ชุด รวม 7 ผลงาน ได้แก่ ชุดที่ 1 เดปอทู จำนวน 5 ผลงาน ชุดที่ 2 สายสัมพันธ์คน-ป่า จำนวน 1 ผลงาน และชุดที่ 3 เมล็ดพันธุ์จิตวิญญาณ จำนวน 1 ผลงาน เพื่อเป็นการสะท้อนความเชื่อ แนวคิดในการดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคน ธรรมชาติ และสิ่งเหนือธรรมชาติ ในการเป็นสื่อกลางที่จะทำให้ผู้ชมเกิดการรับรู้และเรียนรู้เป็นฐานการอนุรักษ์รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีส่วนช่วยส่งผลให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่เยาวชนและผู้ที่สนใจต่อไป</p> <p>This research article aims to 1) study the Pakakayo ethnic group in the northernmost part of Thailand by examining their historical background, ideological dimensions, and beliefs related to nature and environmental conservation, and 2) create the sculpture titled “Dae Paw Thoo: Sculpture for Awareness and Conservation of the Forest,” using insights from field research conducted in Ban Huai Hin Lat Nai Village, Moo 7, Ban Pong Subdistrict, Wiang Pa Pao District, Chiang Rai Province. The research employed purposive sampling to gather information that would inspire the creation of a contemporary sculpture aimed at promoting environmental consciousness and nature conservation. The study’s findings indicate that 1) the Pakakayo’s religious beliefs, culture, and way of life foster community unity through a system of mutualism. Their ceremonies, which reflect the interaction between humans, nature, and the supernatural, help preserve their way of life and reinforce their respect for and conservation of nature and the environment. 2) The researcher created a series of sculptures from interwoven bamboo strips, comprising three sets with a total of seven pieces. The first set, “Dae Paw Thoo,” consists of five pieces; the second set, “Relation between Man and Forest,” includes one piece; and the third set, “Seed of the Spirits,” consists of one piece. These works reflect the Pakakayo’s beliefs and concepts about the relationship between people, nature, and the supernatural, serving as a medium to enhance awareness and understanding of environmental conservation. This process also contributes to the expansion of knowledge among youth and other interested individuals.</p>จักรกริช ฉิมนอก (Chakkrit Chimnok)ฉลองเดช คูภานุมาต (Chalongdej Khuphanumat)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-232024-12-233647การออกแบบลวดลายและบรรจุภัณฑ์ผ้าย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มศรีนาคาโมเดล ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง (Designing patterns and packaging for naturally dyed fabrics, Srinaka Model Group, Ban Na Subdistrict, Srinagarindra District, Phatthalung Province)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/273455
<p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการลวดลายผ้าย้อมสีธรรมชาติและบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มศรีนาคาโมเดล ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง 2) ออกแบบและพัฒนาลวดลายผ้าย้อมสีธรรมชาติและบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มศรีนาคาโมเดล ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อลวดลายผ้าย้อมสีธรรมชาติและบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มศรีนาคาโมเดล ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการจัดสนทนากลุ่ม และการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มศรีนาคาโมเดลต้องการให้ออกแบบลวดลายผ้าและบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ในการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยสามารถออกแบบลวดลายผ้าได้ 3 ลาย ได้แก่ 1) ลายดอกขมิ้นศรีนาคา 2) ลายดอกไม้ป่าเขาคราม และ 3) ลายผลไม้เขาคราม ส่วนบรรจุภัณฑ์ออกแบบได้ 2 รูปแบบ คือ แบบกล่องและแบบถุง โดยใช้วัสดุกระดาษ ลวดลายบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมี 3 ลาย ได้แก่ 1) ลายธรรมชาติพันธุ์ไม้เขาคราม 2) ลายสีของธรรมชาติ และ 3) ลายดอกไม้เขาคราม ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจต่อลวดลายผ้าย้อมสีธรรมชาติและบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมสีธรรมชาติ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด การวิจัยครั้งนี้จึงเป็นแนวทางในการออกแบบและพัฒนาลวดลายผ้าย้อมสีธรรมชาติและบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มศรีนาคาโมเดล ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า รวมถึงการต่อยอดไปสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ ตลอดถึงการสร้างความเข้มแข็งและการตระหนักรู้ของคนในชุมชน หน่วยงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้เล็งเห็นถึงอัตลักษณ์และคุณค่าของทรัพยากรท้องถิ่น</p> <p>The objectives of this study were: 1) to study the problems and needs related to naturally dyed fabric patterns and packaging for naturally dyed fabric products from Srinaka Model Group, Ban Na Subdistrict, Srinagarindra District, Phatthalung Province; 2) to design and develop these patterns and packaging; and 3) to assess the satisfaction of the target group with the designs. The study used a mixed research approach, including qualitative methods (interviews and focus groups) and quantitative methods (satisfaction questionnaires). The research results showed that the group wanted designs reflecting local identity. In this study, the researchers designed three fabric patterns: 1) Srinaka turmeric flower, 2) Khao Khram wildflower, and 3) Khao Khram fruit. Two packaging formats were also created: a box and a bag, both made from paper. The three packaging patterns were: 1) Khao Khram natural plant, 2) natural color, and 3) Khao Khram flower. The target group expressed the highest level of satisfaction with the designs. This research provides guidelines for designing and developing naturally dyed fabric patterns and packaging for products from Srinaka Model Group, enhancing the value to the products. It also supports commercial development and strengthens community awareness, enabling stakeholders to recognize the identity and value of local resources.</p>อัฏฐพล เทพยา (Auttaphon Theppaya)สมัคร แก้วสุกแสง (Samak Kaewsuksaeng)ทิพย์ทิวา สัมพันธมิตร (Thipthiwa Sampanthamit)นินนาท์ จันทร์สูรย์ (Ninna Jansoon)ศรชัย อินทะไชย (Sonchai Intachai)อานุช คีรีรัฐนิคม (Anut Kiriratnikom)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-232024-12-234861การเปิดรับและความคิดเห็นของผู้บริโภคในประเทศไทยที่มีต่อการนำเสนอแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง (Exposure and opinion of consumers in Thailand towards the presentation of brands via AI influencers)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/272563
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเปิดรับการนำเสนอแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง และ 2) ศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อการนำเสนอแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง โดยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจด้วยแบบสอบถามออนไลน์กับกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน และเคยเห็นการสื่อสารการตลาดของแบรนด์ที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมานใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การเปรียบเทียบพหุคูณ และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 18-25 ปี มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี เป็นนักเรียน/นักศึกษา มีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท และอาศัยในกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่ไม่ได้ติดตามอินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง แต่เห็นค่อนข้างบ่อย ผ่านป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เคยเห็นนำเสนอแบรนด์เอไอเอส 5 จีมากที่สุด ในลักษณะไลฟ์สไตล์ รูปแบบภาพและข้อความ และ 2) กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อการนำเสนอแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริงทั้งด้านบุคลิกภาพ ความน่าเชื่อถือ และรูปแบบการนำเสนอ การทดสอบสมมติฐาน พบว่า ผู้บริโภคที่มีอายุแตกต่างกันเปิดรับการนำเสนอแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริงแตกต่างกัน ผู้บริโภคที่มีเพศ การศึกษา และที่อยู่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน และการเปิดรับมีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลจากการศึกษาวิจัยสามารถนำไปพัฒนาองค์ความรู้ด้านนิเทศศาสตร์การตลาดให้มีความทันสมัย และเป็นแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับแบรนด์</p> <p>This research investigated: 1) the exposure of consumers in Thailand to brand presentation by AI influencers and 2) their opinions on these presentations. A quantitative approach was used, with a self-administered online questionnaire distributed to 400 Thai consumers aged 18 or older who had seen brands using AI influencers. Data analysis employed descriptive statistics, including frequency, percentage, mean, and standard deviation. Inferential statistics included One-Way ANOVA, multiple comparisons, and correlation analysis. The findings revealed that: 1) most respondents were female, aged 18-25, with a bachelor’s degree, students, earning less than 10,000 baht per month, and living in Bangkok. While they did not follow AI influencers, they frequently saw them on billboards, particularly AIS 5G lifestyle presentations featuring photos and text. 2) Respondents held positive opinions about AI influencers’ personality, credibility, and presentation. The hypothesis testing found that consumers of different ages had varying exposure to brand presentations by AI influencers. Consumers with different genders, education levels, and residential areas also had different opinions. Exposure to AI influencers’ brand presentations was significantly correlated with opinions at the 0.05 level. This research contributes to the development of modern marketing communication knowledge and provides insights to enhance a brand’s competitive capabilities.</p>นภารัตน์ พฤกษ์สุราลัย (Naparat Prueksuralai)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-232024-12-236275นวัตกรรมวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบในศตวรรษที่ 21 (Innovations in robotics and automation systems in fully automated warehouses in the 21st century)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/272729
<p>งานวิจัยเรื่องนี้ดำเนินการวิจัยด้วยการบูรณาการความสามารถของมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์ ภายใต้กรอบ Human-in-the-loop เพื่อสร้างผลลัพธ์การวิจัยที่มีคุณภาพสูงและเป็นไปตามหลักจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานวัตกรรมวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบในศตวรรษที่ 21 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้วิธีการวิจัยร่วมกันหลากหลายวิธี ประกอบด้วย การวิเคราะห์เนื้อหาเว็บไซต์ การวิจัยกรณีศึกษา การสังเกตการณ์ภาคสนาม กลุ่มตัวอย่างเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 175 เว็บไซต์ และกรณีศึกษาบริษัทโซลูชันคลังสินค้าอัตโนมัติ จำนวน 15 กรณีศึกษา คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูล ฐานข้อมูลเก็บรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ มีการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์และตีความหมายร่วมกับวิธีการวิเคราะห์แบบอุปนัยผนวกกับการวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบเหตุการณ์ และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า ปรากฏข้อค้นพบเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผลการวิจัยพบว่า นวัตกรรมวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบในศตวรรษที่ 21 กำลังเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของอุตสาหกรรมคลังสินค้า 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) การจัดการวัสดุอัตโนมัติ 2) หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ 3) ระบบจัดเก็บและเรียกข้อมูลอัตโนมัติ 4) รถนำทางอัตโนมัติ และ 5) หุ่นยนต์จัดเรียงพาเลท ผลการศึกษาที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ผู้ผลิต ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศ การนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ปรับปรุงความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง ผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้ผลลัพธ์เหล่านี้ในการพัฒนากฎระเบียบและมาตรฐาน ในขณะที่นักการศึกษาสามารถบูรณาการข้อมูลเชิงลึกเข้ากับการฝึกอบรม เพื่อยกระดับทักษะของกำลังคน สำหรับการจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติในอนาคต</p> <p>This research was conducted by integrating human abilities with artificial intelligence under the Human-in-the-loop framework to produce high-quality research outcomes that adhere to ethical principles. The objective is to study innovations in robotics and automation systems in fully automated warehouses in the 21<sup>st</sup> century. It is a qualitative research study that employs a variety of collaborative research methods, including content analysis of websites, case study research, and field observations. The sample group consisted of 175 websites related to the topic and 15 case studies from companies offering automated warehouse solutions, selected through purposive sampling. The research tools included a data recording forms, a database for data collection, and artificial intelligence tools. Big data analysis was conducted, followed by data interpretation using inductive analysis methods combined with event comparison analysis. The reliability of the data was verified using a triangulation method, and the findings were consistent in the same direction. The research findings indicate that innovations in robotics and automation systems in fully automated warehouses in the 21<sup>st</sup> century are transforming operations of the warehouse industry in five areas, which include: 1) Automated material handling, 2) Autonomous mobile robots, 3) Automated storage and retrieval systems, 4) Automated guided vehicles, and 5) Palletizing robots. The results of the study will be beneficial to operations in the logistics industry, manufacturers, software developers, and government agencies aiming to promote the development of Industry 4.0 in the country. The adoption of these innovations will help organizations improve efficiency, reduce costs, enhance safety, and optimize inventory management. Policymakers can use these findings to develop regulations and standards, while educators can integrate these insights into training programs to enhance the skills of the workforce for managing future automated warehouses.</p>โกศล จิตวิรัตน์ (Kosol Jitvirat)กันยาวีร์ เมฆีวราพันธ์ (Kanyavee Makeevaraphan)กันธิชา เจริญไวยเจตน์ Kandhicha Charoenvaichatภครัช เพลิดพริ้ง (Phakharach Plirdpring)ธนธร จงศิริฐิติศักดิ์ (Thanathon Chongsirithitisak)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-232024-12-237691Th-AI: สร้างสรรค์ลายรดน้ำด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Th-AI: Generation of Thai lacquerwork patterns using AI techniques)
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/272548
<p>บทความวิจัยนี้นำเสนอกระบวนการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลายรดน้ำของไทยที่ถือว่าเป็นวิสุทธิศิลป์ และเป็นภูมิปัญญาของครูช่างไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI ในการสร้างลวดลายรดน้ำที่สลับซับซ้อน และทดลองนำมาประยุกต์กับศิลปะแบบอื่น ๆ ให้มีลักษณะร่วมสมัย ผ่านการใช้ Stable Diffusion ซึ่งเป็นแบบจำลอง (model) ทางด้านการสร้างภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ จากผลการทดลอง ผู้วิจัยสามารถสร้างลายรดน้ำที่ผสมผสานกับตัวละคร (character) ทำให้ได้ผลงานที่มีลักษณะเป็นศิลปะไทยร่วมสมัย ซึ่งได้รับการประเมินความพึงพอใจและการสัมภาษณ์เชิงลึกในมุมมองของความถูกต้องตามหลักการแบบดั้งเดิมในการสร้างสรรค์ลายรดน้ำ กับความคาดหวังในเทคโนโลยี AI ที่จะนำมาใช้ในการอนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดศิลปะไทยจากกลุ่มเป้าหมายซึ่งได้รับความพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ความถูกต้องของลายในระดับปานกลาง และความคาดหวังในเทคโนโลยีอยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าถึงแม้เทคโนโลยีปัจจุบันจะยังไม่สามารถสร้างสรรค์ลายรดน้ำได้อย่างถูกต้องตามหลักการที่ครูช่างศิลปะไทยได้วางหลักการเอาไว้ แต่ผลงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากงานวิจัยครั้งนี้ก็สามารถทำให้เห็นถึงมุมมองทัศนคติของศิลปิน นักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะไทยในการที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างสรรค์และเผยแพร่ผลงานของตนให้เกิดการอนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดในวงกว้างและเข้าถึงทุกกลุ่มสืบไป</p> <p>This research explores the application of advanced artificial intelligence (AI) in revitalizing the sacred art of Thai lacquerwork patterns, a symbol of Thailand’s cultural heritage and artisanal wisdom. The main objective is to utilize AI’s capabilities to generate complex lacquer patterns and experiment with their adaptation into other forms of art to achieve a contemporary style. This is done through the use of Stable Diffusion, an AI-based image generation model. From the experiments, the researchers were able to create lacquer patterns that integrate characters, resulting in artworks that exhibit a contemporary Thai art style. These were assessed for satisfaction and through in-depth interviews, exploring the accuracy of the patterns in relation to traditional principles of lacquer pattern creation, as well as expectations for AI technology in preserving, continuing, and developing Thai art. The target group showed moderate satisfaction with the overall outcome, moderate accuracy of the patterns, and high expectations for the technology. This indicates that while current technology cannot fully replicate the traditional principles established by Thai artisans, the creative work produced through this research demonstrates the perspective and attitude of artists and scholars in the Thai art field toward using technology to create, preserve, and widely disseminate their work, ensuring its continuation and expansion to reach a broad audience.</p>ธนัช จิรวารศิริกุล (Tanat Jiravansirikul)ศุภชัย อารีรุ่งเรือง (Supachai Areerungruang)
Copyright (c) 2024 Silpakorn University e-Journal (Social Sciences, Humanities, and Arts)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-232024-12-2392105