https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/issue/feed
สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-12-08T13:34:18+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสาวลักษณ์ ยอดวิญญูวงศ์
Poo.sert@gmail.com
Open Journal Systems
<p>สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรมีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์ผลงานวิจัย ผลงานสร้างสรรค์ และผลงานวิชาการ สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ การศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การพัฒนาชุมชน วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์นิติศาสตร์ บริหารธรุกิจ การท่องเที่ยว และนิเทศศาสตร์</p> <p> วารสารเผยแพร่แก่นักวิชาการ และบุคคลทั่วไป ปีละ 4 ฉบับ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</p> <p> บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารจะต้องผ่านการตรวจพิจารณาจากกองบรรณาธิการ และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ จำนวน 3 ท่าน (ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรวจพิจารณาบทความจะไม่อยู่ในสังกัดเดียวกันกับผู้แต่ง) โดยใช้การ Peer-review เป็นแบบ double blinded</p> <p> สำหรับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ จำนวน 4,500 บาท/เรื่อง ทางวารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในขั้นตอน Peer Review (โดยสามารถชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาชากังราว ชื่อบัญชี สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร)</p> <p><strong>ISSN 2985-2196 (Online)</strong></p>
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/285551
สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (สทมส.)
2025-12-08T13:34:18+07:00
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
golden.teak.journal@gmail.com
2025-12-08T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/270019
มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมพืชกระท่อม: ศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศ
2024-04-23T15:05:12+07:00
ณรงค์ฤทธิ์ บุญมี
narongrit19boonmee@gmail.com
<p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายในการควบคุมพืชกระท่อมเปรียบเทียบกับต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นศึกษาวิเคราะห์มาตรการจำกัดอายุการเข้าถึง มาตรการควบคุมสถานที่ขาย มาตรการควบคุมการนำไปใช้ และมาตรการควบคุมการนำเข้า-ส่งออก ตามพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 สำหรับมาตรการควบคุมของต่างประเทศทำการศึกษาวิเคราะห์กฎหมายประเทศนิวซีแลนด์ มลรัฐนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย จากการศึกษาพบว่าในต่างประเทศมีมาตรการควบคุมพืชกระท่อมแตกต่างกันไป ในบางประเทศต้องมีใบสั่งยาเท่านั้นจึงจะสามารถใช้พืชกระท่อมได้ บางประเทศไม่สามารถครอบครอง นำเข้า และจำหน่ายพืชกระท่อมรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบได้ ในขณะที่บางประเทศไม่มีการควบคุมพืชกระท่อมสามารถใช้พืชกระท่อมได้อย่างอิสระ สำหรับมาตรการควบคุมของต่างประเทศที่สามารถนำมาปรับใช้กับประเทศไทยคือ ควรนำมาตรการกำหนดปริมาณระดับ 7-ไฮดรอกซีมิตราจินีนในส่วนของอัลคาลอยด์เช่นเดียวกับมลรัฐนิวยอร์ก โดยออกเป็นประกาศกระทรวงกำหนดห้ามขายผลิตภัณฑ์กระท่อมที่เจือปนด้วยสารอันตรายหรือเจือปนด้วยสารควบคุม ซึ่งสารนั้นจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค ทั้งนี้การศึกษาวิจัยนี้จะนำมาสู่การจัดทำข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้พืชกระท่อมที่เหมาะสมตามบริบทของประเทศไทยต่อไป</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/272921
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
2024-07-16T07:41:24+07:00
กิตติวินท์ เดชชวนากร
kittiwin.dhe@pcru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ และ 2) เพื่อศึกษาผลที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ชั้นปีที่ 2 ในภาคเรียนที่ 2/2566 จำนวน 50 คน ที่อยู่ในช่วงของการออกปฏิบัติการสอนในสาขาวิชาเฉพาะ (SIL2) โดยการเลือกแบบเจาะจง ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ แบบพรรณนาเชิงวิเคราะห์ เป็นการวิจัยเชิงพหุกรณีศึกษา ใช้วิธีการวิจัยภาคสนาม และเป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่สำคัญของการวิจัยคือ “ผู้วิจัย” เนื่องจากการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครูที่เกิดการเรียนรู้หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการ อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยในการเก็บข้อมูลซึ่งประกอบด้วยแนวคำถามและแนวการสังเกต ข้อมูลที่ได้มาจะนำมาจัดรวบรวมและจำแนกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลระดับต่างๆ ของแต่ละประเด็น ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ โดยใช้กระบวนการของการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรม ซึ่งใช้แนวคิดทฤษฎีของ Bennett (2007) ในการนำมาผสมผสานกันในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่านักศึกษาวิชาชีพครูที่เข้าร่วมกิจกรรมเชิงปฏิบัติการพหุวัฒนธรรมศึกษา ซึ่งเป็นกิจกรรมแบบ Active learning ที่ใช้หลักการ 4M 1E เพื่อฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ และหาข้อสรุปจัดทำบันทึกการเขียนสรุปความรู้หลังการเรียนรู้ ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ผังความคิด ซึ่งเห็นได้จากการสะท้อนคิดในแต่ละกิจกรรม และ 2) ผลที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ พบว่านักศึกษาวิชาชีพครูที่เข้าร่วมกิจกรรมเชิงปฏิบัติการพหุวัฒนธรรมศึกษาสามารถออกแบบกิจกรรมที่จะช่วยผู้เรียนพัฒนาเจตคติเชิงบวกต่อความหลากหลาย บนฐานความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้ โดยเห็นได้จากการที่นักศึกษาวิชาชีพครูสามารถออกแบบการเรียนการสอนหรือได้มีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทศักยภาพ ความแตกต่างของผู้เรียนจากทุกเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ภาษา เพศ และชนชั้นทางสังคม</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/273540
การเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้บริโภคเพื่อการวางแผนผลิตภัณฑ์และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ น้ำพริกกรอบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านสวนลูกแชมป์ จังหวัดอุทัยธานี
2024-06-06T12:34:29+07:00
จิรทัศน์ ดาวสมบูรณ์
jiratach@nsru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบบรรจุภัณฑ์น้ำพริกกรอบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านสวนลูกแชมป์ จังหวัดอุทัยธานี 2) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ของผู้บริโภคเพื่อการวางแผนและพัฒนาบรรจุภัณฑ์น้ำพริกกรอบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านสวนลูกแชมป์ จังหวัดอุทัยธานี 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อรูปแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ของน้ำพริกกรอบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านสวนลูกแชมป์ จังหวัดอุทัยธานี และ 4) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้บริโภคเพื่อการวางแผนผลิตภัณฑ์และพัฒนาบรรจุภัณฑ์น้ำพริกกรอบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านสวนลูกแชมป์ จังหวัดอุทัยธานี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ระดับการรับรู้ และการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์น้ำพริกกรอบ บ้านสวนลูกแชมป์ จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 246 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน การทดสอบ t-test และ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมาตรฐานอาหารและยา (อย.) การเลือกวัตถุดิบหลักในท้องถิ่นเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาแรด ลุ่มน้ำสะแกกรัง ด้านบรรจุภัณฑ์ใช้สีโทนร้อน ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นกระป๋องฝาดึง เพราะปิดฝาได้สนิท ไม่แตกง่าย น้ำหนักเบา ใช้งานสะดวก 2) การเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้บริโภคเพื่อการวางแผนผลิตภัณฑ์และพัฒนาบรรจุภัณฑ์น้ำพริกกรอบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านสวนลูกแชมป์ จังหวัดอุทัยธานี พบว่า ผู้บริโภคที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มีความถี่ในการรับประทานน้ำพริกกรอบ การรู้จักน้ำพริกกรอบบ้านสวนลูกแชมป์ ช่องทางการจำหน่ายที่เหมาะสมที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/273676
พฤติกรรมการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อก (TikTok) และการรู้เท่าทันสื่อของกลุ่มเจเนอเรชันซีในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-06-12T10:41:24+07:00
นันธิการ์ จิตรีงาม
nujitr@rpu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อกของกลุ่มเจเนอเรชันซีในเขตกรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาการรู้เท่าทันสื่อบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อกของกลุ่มเจเนอเรชันซีในเขตกรุงเทพมหานคร 3. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อก ของกลุ่มเจเนอเรชันซีในเขตกรุงเทพมหานครจำแนกตามลักษณะประชากร 4. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการรู้เท่าทันสื่อบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อกของกลุ่ม เจเนอเรชันซีในเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามลักษณะประชากร และ 5. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อกกับการรู้เท่าทันสื่อของกลุ่มเจเนอเรชันซีในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือ กลุ่มเจเนอเรชันซีและอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามจำนวน 400 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน สถิติเชิงอนุมาน (Inference Statisics) ใช้การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อกและการรู้เท่าทันสื่อ 1) ด้านการเข้าถึงสื่ออยู่ในระดับมาก โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ สามารถรับรู้และเข้าใจในความหมายข้อมูลข่าวสารที่จากติ๊กต็อก 2) ด้านการวิเคราะห์ข่าวสาร อยู่ในระดับมาก โดยข้อที่ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารจากติ๊กต็อกจะไม่เชื่อตามทันที 3) ด้านการตรวจสอบข้อมูล อยู่ในระดับมาก โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ จะไม่แชร์หรือโพสต์ภาพ วิดีโอ ข้อมูล ข่าวสารที่ได้รับ หากยังไม่แน่ใจในความถูกต้อง และ 4) ด้านการตีความหมายของสัญลักษณ์ และเนื้อหาข่าวสารอยู่ในระดับมากโดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ สามารถอธิบายได้ว่าเนื้อหาข่าวสารที่สื่อผลิตขึ้นนั้นมีนัยทางธุรกิจการค้าแอบแฝงอยู่ ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัยพฤติกรรมการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ แอปพลิเคชันติ๊กต็อก มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์แอปพลิเคชันติ๊กต็อกของกลุ่มเจเนอเรชันซี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/272392
แนวทางการใช้งานไมซ์ (MICE) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค: กรณีนำร่องภาคเหนือตอนล่าง
2024-05-28T10:52:56+07:00
พีรธร บุณยรัตพันธุ์
boonsongkl12@gmail.com
บุญส่ง กวยเงิน
boonsongkl12@gmail.com
จิรวัฒน์ พิระสันต์
boonsongkl12@gmail.com
นิทรา กิจธีระวุฒิวงษ์
boonsongkl12@gmail.com
เจษฎา วิชาพร
boonsongkl12@gmail.com
รชตวัน ลิมกาญจนาภา
boonsongkl12@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการวิเคราะห์ไมซ์อีโคซิสเต็มในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค: กรณีนำร่อง พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 2) ศึกษาประเด็นหลักทางเศรษฐกิจที่ใช้ไมซ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค: กรณีนำร่องพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 3) จัดทำยุทธศาสตร์การใช้งานไมซ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค: กรณีนำร่อง พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และ 4) จัดทำรูปแบบและแนวทางการใช้งานไมซ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค: กรณีนำร่องพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง วิธีดำเนินการวิจัย ลักษณะการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 270 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง พื้นที่เป้าหมาย คือ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ตาก นครสวรรค์สุโขทัย อุตรดิตถ์และอุทัยธานี เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามจำนวน 3 ฉบับ แบบสัมภาษณ์ จำนวน 1 ฉบับ และประเด็นสนทนากลุ่ม จำนวน 1 ฉบับ และการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์เนื้อหาและสร้างข้อสรุปอุปนัย ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบของธุรกิจหลัก ส่วนสนับสนุนธุรกิจ นิเวศของธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค 2) ประเด็นหลักทางเศรษฐกิจ คือ ศักยภาพด้านการบริการส่งเสริมสุขภาพในแต่ละจังหวัดมีศักยภาพและความพร้อมในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของภูมิภาค และศักยภาพด้านนวัตกรรมอาหาร สามารถยกระดับมาตรฐานภาคเกษตร การผลิตสินค้า บริการ บนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง 3) ยุทธศาสตร์การใช้งานไมซ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค กำหนดเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจด้วยธุรกิจไมซ์ โดยภาคเหนือตอนล่างเป็นฐานเศรษฐกิจมูลค่าสูงด้านนวัตกรรมอาหาร และการดูแลสุขภาพ โดยอาศัยงานไมซ์เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 4) รูปแบบแนวทางการใช้งานไมซ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค และแนวทางปฏิบัติการใช้งานไมซ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคในพื้นที่ให้เห็นเป็นรูปธรรม</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/270220
ผลของการจัดกิจกรรมการเล่นสื่อวัสดุสร้างสรรค์ที่มีต่อทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย
2024-01-13T15:24:51+07:00
เพชราวลัย ถิระวณัฐพงศ์
phetcharawalai.th@northbkk.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัยใน 3 ระยะ หลังการจัดกิจกรรมการเล่นสื่อวัสดุสร้างสรรค์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษา คือ เด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปี ที่ศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดราษฎร์นิยมธรรม (พิบูลสงคราม) จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเล่นสื่อวัสดุสร้างสรรค์ จำนวน 8 แผน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การกระตุ้นเตรียม ขั้นที่ 2 การวางแผนและตัดสินใจ ขั้นที่ 3 การเล่น และขั้นที่ 4 การสะท้อนความคิด 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ข้อมูลทางสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นสื่อวัสดุสร้างสรรค์ที่มีต่อทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย มีผลการทดลองระยะที่ 3 สูงขึ้นกว่า ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 จากการสังเกตพฤติกรรม พบว่า เด็กมีพฤติกรรมการคิดเชิงบริหารดีขึ้นในทุกด้าน</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/272473
การพัฒนาศักยภาพนักศึกษาครูปฐมวัยด้านออกแบบการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ APC Model
2024-04-20T14:37:52+07:00
วิชญาพร อ่อนปุย
wipha.pac@pcru.ac.th
สรวงพร กุศลส่ง
krunum_num@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแหล่งเรียนรู้ภายในชั้นเรียนปัจจุบันและความต้องการแหล่งเรียนรู้ภายในชั้นเรียนระดับปฐมวัย 2) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการ APC Model 3) ออกแบบและจัดแหล่งเรียนรู้ภายในชั้นเรียนระดับปฐมวัย 4) ประเมินศักยภาพนักศึกษาด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และการจัดสภาพแวดล้อมภายในชั้นเรียนระดับปฐมวัย หลังได้รับการสอนตามกระบวนการ APC Model และ 5) ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาครูปฐมวัยหลังได้รับการสอนด้วยกระบวนการ APC Model และประเมินความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องที่มีต่อแหล่งเรียนรู้ภายในชั้นเรียนระดับปฐมวัย กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 54 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลการศึกษาแหล่งเรียนรู้ภายในชั้นเรียนปัจจุบันและความต้องการแหล่งเรียนรู้ภายในชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 ด้าน 1) ด้านแหล่งเรียนรู้ โดยภาพรวมยังไม่มีแหล่งเรียนรู้ด้าน S T E M 2) ด้านมุมประสบการณ์ โดยภาพรวมปัจจุบันมีมุมประสบการณ์แต่ไม่ครบ 6 มุมประสบการณ์ โดยความต้องการมากที่สุดคือ อยากให้พัฒนาสื่อ เพื่อจัดมุมประสบการณ์ และอยากให้มีการบูรณาการ STEM กับการจัดสภาพแวดล้อม รวมถึงความต้องการอยากให้มีการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิด STEM 2. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการ APC Model มี 7 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ขั้นเรียนรู้และวิเคราะห์สถานการณ์ (2) ขั้นระบุปัญหาเพื่อการแก้ไข (3) ขั้นสืบค้นขยายความ (4) ขั้นวางแผนและการออกแบบ (5) ขั้นการสร้างชิ้นงาน (6) ขั้นทดสอบ ปรับปรุง แก้ไข (7) ขั้นเสนอความภาคภูมิใจ หลังการสอนพบว่านักศึกษาสามารถออกแบบและปฏิบัติได้ดี 3. ผลการออกแบบและดำเนินการจัดแหล่งเรียนรู้ภายในชั้นเรียนระดับปฐมวัย โดยหลังดำเนินการ มีผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 4. ผลการประเมินศักยภาพนักศึกษาด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และการจัดสภาพแวดล้อมภายในชั้นเรียน หลังการจัดกิจกรรม นักศึกษามีความเข้าใจมากขึ้น 5. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาหลังได้รับการสอนตามกระบวนการ APC Model โดยรวมมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/275419
การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนร่วมกับปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อมสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู
2024-09-05T14:10:33+07:00
อาทิตยา ขาวพราย
arthitaya.kha@pcru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนร่วมกับปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อมสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู และเพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนร่วมกับปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อมสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (PQF3) โดยใช้ชุมชนร่วมกับปัญหาเป็นฐาน รายวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม แบบสะท้อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบวัดการรู้สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแบบวัดที่มีข้อคำถามตามองค์ประกอบของการรู้สิ่งแวดล้อม จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ แบบวัดความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม แบบวัดเจตคติด้านสิ่งแวดล้อม และแบบวัดพฤติกรรมต่อสิ่งแวดล้อม และบทปฏิบัติการ ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลแบบสามเส้าด้านแหล่งข้อมูลและวิธีรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนร่วมกับปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อมสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู มีขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งหมด 8 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 สำรวจและค้นหาประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน ขั้นที่ 2 สืบเสาะแสวงหาความรู้ ขั้นที่ 3 วิเคราะห์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ ขั้นที่ 4 วิเคราะห์สถานการณ์และกำหนดทางเลือก ขั้นที่ 5 วางแผนจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน ขั้นที่ 6 ลงมือปฏิบัติการแก้ปัญหา ขั้นที่ 7 นำเสนอและเผยแพร่ผลงานสู่ชุมชน และขั้นที่ 8 แลกเปลี่ยนเรียนรู้และสะท้อนผล 2) การรู้สิ่งแวดล้อมของนักศึกษาที่ได้รับการกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนร่วมกับปัญหาเป็นฐาน ด้านความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 26.00 (S.D. = 0.56) อยู่ในระดับดีเยี่ยม ด้านเจตคติต่อสิ่งแวดล้อม มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 4.72 (S.D. = 0.28) ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก และด้านพฤติกรรมต่อสิ่งแวดล้อม มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 4.45 (S.D. = 0.25) ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก และ 3) กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนร่วมกับปัญหาเป็นฐานสามารถส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อมให้มีระดับการรู้สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นในทุกวงจรปฏิบัติการจากระดับปานกลางเป็นระดับสูง</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/273306
Legal Abortion: A Comparative Study Between Thai Laws and Other Nations in the Context of Immorality and Solving Social Problem
2024-07-03T16:02:51+07:00
Khruawan Intharasuk
khruawan.int@pcru.ac.th
Kritsadakon Yoongthong
khruawan.pcru@hotmail.com
Annalin Kamolnanthakit
khruawan.pcru@hotmail.com
Nat Narinth
khruawan.pcru@hotmail.com
<p>This research conducts a comparative examination of Thai law with foreign laws regarding legal abortion, focusing on the concepts of morality and Solving Social Problem. The study has two main objectives: (1) to study and analyze the criteria and conditions for abortion according to criminal law in Thailand and abroad, and (2) to study and analyze the impact of legal abortion according to the newly revised Criminal Code on the ideas of immorality and solving social problems. This qualitative research employs documentary analysis, examining both Thai and English texts, including the Thai Criminal Law, foreign laws, textbooks, law books, articles, journals, research reports, Supreme Court verdicts, internet sources, and other relevant information. The findings indicate significant differences in the criteria and conditions for abortion between Thai and foreign criminal laws, particularly regarding gestational age and the health condition of the mother and fetus. Despite the revised Criminal Code allowing abortion within 12 weeks of pregnancy, it is still considered an immoral offense under Thai law. However, to address social problems, the law permits abortions within 12 weeks of pregnancy and includes additional exceptions for safe and legal abortions, considering both moral and social dimensions.</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/270521
การมีส่วนร่วมของชุมชนในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
2024-01-31T12:38:29+07:00
พิมพ์พรลภัส ลักษณะวิเชียร
pim.on9942@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของอำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย 2) เพื่อศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้ทรงภูมิปัญญาท้องถิ่นในอำเภอเมืองสุโขทัย จำนวน 50 คน กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ผู้สอน คณะกรรมการประจำวิทยาลัย ผู้ปกครอง ศึกษานิเทศก์ ผู้นำชุมชน ผู้บริหารท้องถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้องในอำเภอเมืองสุโขทัย จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์และแนวคำถามสำหรับสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอเมืองสุโขทัย ผลงานส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือและมีความประณีต สาขาที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นมากที่สุด คือ สาขาศิลปหัตกรรม รองลงมา คือ สาขาเกษตรกรรมและสาขาการแพทย์แผนไทย มีจำนวนเท่ากัน กระบวนการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์มีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ การถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ บิดา มารดา การเรียนรู้จากครู อาจารย์ คนรุ่นเก่า การศึกษาค้นคว้าเรียนรู้ด้วยตนเองและการลองผิดลองถูก การเข้าร่วมการฝึกอบรมโดยมีหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดกิจกรรมสำหรับกรรมวิธีในการผลิตก็จะไม่ซับซ้อนเน้นการผลิตที่ทำกันได้ง่ายและใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น 2) สภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของชุมชนในการให้ข้อมูลและการวางแผน การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และการมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล กลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมเป็นหลักมี 10 กลุ่ม ได้แก่ 1) คณะกรรมการประจำวิทยาลัย 2) ผู้ปกครองนักเรียน นักศึกษา 3) ครู/ผู้ที่เกษียณอายุราชการ 4) ครู อาจารย์ผู้สอน 5) ผู้บริหารสถานศึกษา 6) คนในพื้นที่ 7) ผู้นำชุมชน 8) ศึกษานิเทศก์ 9) ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 10) เจ้าหน้าที่รัฐ/หน่วยงานราชการ 3) แนวทางในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ คือ จัดทำเป็นทำเนียบภูมิปัญญาท้องถิ่น การจัดทำฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปของเว็บไซต์และการจัดทำเป็นเอกสาร ซีดี สื่อสิ่งพิมพ์ วิดีทัศน์ และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จัดให้มีนิทรรศการภูมิปัญญาท้องถิ่น และผู้บริหารสถานศึกษาทุกระดับ ควรมีนโยบายส่งเสริมหลักสูตรท้องถิ่นในสถานศึกษาอย่างจริงจัง และการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ ในรูปแบบของสื่อต่างๆ </p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/273495
การศึกษาปัจจัยการจัดการความรู้ของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย
2024-06-04T00:34:13+07:00
นพพร สอนสม
noppornsornsom@gmail.com
โชคชัย สุเวชวัฒนกูล
noppornsornsom@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบปัจจัยการจัดการความรู้ของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการคัดเลือก รวบรวมเอกสาร ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำมาบูรณาการร่วมกันด้วยวิธีวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบร่วม (Common Factor Analysis) ด้วยการสกัดตัวแปร (Factor Extraction) แบบความเป็นไปได้สูงสุด (Maximum Likelihood) จากผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ 45 ฉบับ ผลการศึกษาพบว่าสามารถสกัดตัวแปรเป็นองค์ประกอบปัจจัยการจัดการความรู้ของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ กระบวนการ (Process) ทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) วัฒนธรรมองค์กร (Culture) และกลยุทธ์ (Strategy) หรือโมเดล PICS เพื่อนำผลการศึกษาที่ได้ ไปประยุกต์และส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/272668
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยวิธีคิดเชิงออกแบบเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวบนฐานมรดกวัฒนธรรม กรณีศึกษา กลุ่มทอผ้าบ้านใหม่ศรีอุบล จังหวัดกำแพงเพชร
2024-04-26T16:14:23+07:00
พจน์ธรรม ณรงค์วิทย์
gapomdesign@gmail.com
นิรัช สุดสังข์
nirats@nu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยวิธีการคิดเชิงออกแบบ โดยใช้ทุนทางมรดกวัฒนธรรม กรณีศึกษากลุ่มทอผ้าบ้านใหม่ศรีอุบล จังหวัดกำแพงเพชร 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ชุมชนบนฐานมรดกวัฒนธรรม จังหวัดกำแพงเพชร การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ การวิจัยระยะที่ 1 พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยวิธีการคิดเชิงออกแบบ โดยใช้ทุนทางมรดกวัฒนธรรม กรณีศึกษากลุ่มทอผ้าบ้านใหม่ศรีอุบล จังหวัดกำแพงเพชร โดยการเชื่อมโยงแนวคิด The Five Stages of Design Thinking (Hasso Plattner Institute of Design at Stanford University, 2010) และเครื่องมือการคิดเชิงออกแบบ ในการแก้ปัญหาในการคิดและเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ชุมชนกับมรดกวัฒนธรรมให้มีความหลากหลาย โดยการจัดกิจกรรมอย่างมีส่วนร่วมกับตัวแทนสมาชิกชุมชนทอผ้าบ้านใหม่ศรีอุบล จำนวน 10 คน เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมีกิจกรรมการคิดเชิงออกแบบ ได้แก่ 1) การสร้างตัวละคร (Create A Persona) 2) การตั้งคำถาม WH (WH Questions) 3) การพิจารณาหลากมุมมอง (Considering Multiple Perspectives) 4) การสร้างแผนภาพดอกไม้ (Flower Map) <strong>5) การจัดโครงสร้างและเลือกแนวคิด (</strong><strong>Structure and Select Ideas) 6) แบบร่างบรรยายแนวคิด (Idea Communication Sheet) 7) การพิจารณาสร้างต้นแบบ (</strong>Considering Prototype)<strong> 8) ตารางบันทึกข้อเสนอแนะ (</strong><strong>Feedback-capture Grid) และ 9) กระดานมองย้อนกลับ (Retrospective Board)</strong> และประเมินกระบวนการคิดเชิงออกแบบอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชน โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน <strong>วิเคราะห์ด้วยเกณฑ์การประเมิน 5 ระดับ </strong>(Rating Scale) พบว่า ผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับมาก ที่<strong>ค่าเฉลี่ยที่ 3.85 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.75</strong> และชุมชนได้ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรมจากกระบวนการเชื่อมโยงมรดกวัฒนธรรมกับกระบวนการคิดเชิงออกแบบ 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เสื้อคลุม, กระเป๋าสะพายไหล่ และหมวก โดยการนำทุนทางวัฒนธรรม ลายผ้าศิลาล้อมเพชร กับประเพณีบุญบั้งไฟภายในชุมชนมาเป็นแนวคิดในการออกแบบ ระยะที่ 2 ประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ชุมชนบนฐานมรดกวัฒนธรรม จังหวัดกำแพงเพชร ที่ผ่านกระบวนการพัฒนาด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ โดยนักท่องเที่ยว 100 คนประเมิน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว ความเชื่อมโยงกับมรดกทางวัฒนธรรม คุณค่าตาม อัตลักษณ์และมรดกทางวัฒนธรรม ความสามารถทางการตลาด และคุณภาพผลิตภัณฑ์ มีผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับมากที่ค่าเฉลี่ยที่ 4.28 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.55 โดยมีความพึงพอใจในด้านความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวสูงที่สุดที่ระดับมาก ค่าเฉลี่ยที่ 4.38 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.54</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/273445
แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมตามหลักบวรของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-07-03T07:57:19+07:00
พระมหาไชยถนอม หาระสาย
poomin_1990@hotmail.com
สิรินธร สินจินดาวงศ์
poomin_1990@hotmail.com
สุพรรณี สมานญาติ
poomin_1990@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมตามหลักบวรของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อประเมินแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมตามหลักบวรของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และผู้เกี่ยวข้องกับศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 382 คน ใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ระหว่าง 0.60-1.00 แบบสอบถามสภาพปัจจุบันมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .946 สภาพที่พึงประสงค์มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .952 แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมิน มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา ระหว่าง 0.80-1.00 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า PNImodified และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ภาพรวมทุกด้าน อยู่ในระดับมากและสภาพที่พึงประสงค์ภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการบริหารฯ 11 แนวทาง ได้แก่ (1) บริหารอย่างมีส่วนร่วม (2) เพิ่มช่องทางพัฒนารายได้ (3) พัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย (4) เน้นการทำงานเป็นทีม (5) ร่วมตัดสินใจและรับผิดชอบ (6) บวรดำเนินงานร่วมกัน (7) ร่วมตรวจสอบและประเมินผล (8) ร่วมรับผลประโยชน์ (9) ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (10) บริหารงานแบบบูรณาการ และ (11) บริหารงานอย่างมีคุณธรรม 3) ผลการประเมินแนวทางทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ความเป็นประโยชน์ ความถูกต้อง ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ ตามลำดับ</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/273169
กลวิธีการอำนวยเพลงของวาทยกรในวงดุริยางค์เครื่องลม
2024-05-15T14:25:28+07:00
ภูมินทร์ ภูมิรัตน์
phumin.oad@gmail.com
สุพรรณี เหลือบุญชู
phumin.oad@gmail.com
สาริศา ประทีปช่วง
phumin.oad@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการอำนวยเพลงของวาทยกรในวงดุริยางค์เครื่องลม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยทำการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร ข้อมูลภาคสนาม และวิธีการเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ วาทยกร จำนวน 4 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์รายบุคคล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แล้วนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อหากลวิธีการอำนวยเพลงของวาทยกรในวงดุริยางค์เครื่องลม ผลการศึกษาพบว่า วาทยกรควรมีความรู้ในการอำนวยเพลง ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ ได้แก่ เทคนิคท่าทาง เทคนิคการซ้อมและเทคนิคการแสดง นอกจากนี้ยังมีท่าการยืนและการเคลื่อนไหวของร่างกาย บทบาทและหน้าที่ของวาทยกร ตลอดจนเทคนิคการอำนวยเพลงโดยการใช้ไม้บาตอง รวมไปถึงความเป็นผู้นำ ต้องมีความสามารถให้ความเชื่อมั่นกับนักดนตรีได้เป็นอย่างดี</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/271646
ผลการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับกลวิธีการสอน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสารที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนกลุ่มเครือข่ายแกลงบูรพา จังหวัดระยอง
2024-03-18T10:24:06+07:00
นพวิทย์ รักพงษ์
noppawit2970@gmail.com
นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์
noppawit2970@gmail.com
ทรงพล ผดุงพัฒนากูล
noppawit2970@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับกลวิธีการสอนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับกลวิธีการสอนระหว่างก่อนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งหมด 10 คน จากโรงเรียนบ้านหนองไทร ซึ่งเป็นโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายเเกลงบูรพา ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับกลวิธีการสอน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร จำนวน 5 แผน ใช้เวลาสอน 18 ชั่วโมง ซึ่งค่าเฉลี่ย ความเหมาะสมเท่ากับ 4.56 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 0.67 และ3) แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมเท่ากับ 4.60 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าเครื่องหมาย ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับกลวิธีการสอนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ2) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับกลวิธีการสอนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tgt/article/view/273338
แนวทางการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการวัดและประเมินผลการศึกษาของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายศรีบูรพา อำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 1
2024-05-25T09:45:27+07:00
แววฤทัย ไชยมงคล
weawruethai11@gmail.com
ณัฐิยา ตันตรานนท์
nuttiya18@g.cmru.ac.th
มนัส สุวรรณ
manatsuwan@gmail.com
<p>ารวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการการวัดและประเมินผลการศึกษาของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายศรีบูรพา 2) ศึกษาการบริหารจัดการการวัดและประเมินผลการศึกษาในโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และ 3) สร้างแนวทางการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการวัดและประเมินผลการศึกษาของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายศรีบูรพา ผู้ให้ข้อมูลแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ครูผู้สอน 110 คน รวมทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการด้านการวัดและประเมินผล 20 คน 2) ผู้บริหารและครูผู้สอน 5 คน และ 3) ผู้เชี่ยวชาญ 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ผลการวิจัย พบว่า 1) ในภาพรวมโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายศรีบูรพามีการดำเนินการบริหารจัดการการวัดและประเมินผลการศึกษาอยู่ในระดับน้อย 2) ผู้บริหารโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศได้ส่งเสริม ครูผู้สอนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และขับเคลื่อนการดำเนินงานการวัดและประเมินผลการศึกษาตามวงจรคุณภาพ PAOR และ 3) แนวทางการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการวัดและประเมินผลการศึกษาของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายศรีบูรพา ยึดค่านิยม SBP 3 ประการ ประกอบด้วย ความฉลาด (Smart) สร้างความสัมพันธ์ (Build Relationships) และความเป็นมืออาชีพ (Professional) โดยใช้วงจรคุณภาพ PAOR ผู้บริหารมีหน้าที่ในการสนับสนุนให้บุคลากรเรียนรู้ร่วมกันผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ทั้งนี้ ผลการประเมินแนวทาง พบว่า มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์