https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/issue/feed วารสารธรรมศาสตร์ 2025-08-13T10:55:36+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ มาเม้า journal.tu@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารธรรมศาสตร์ เป็นวารสารทางวิชาการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่ศิลปวิทยาการ ความรู้และความคิดใหม่ๆ ในแขนงวิชาที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่งเสริมให้อาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิได้เสนอผลงานทางวิชาการ และเพื่อให้เป็นเอกสารอ่านประกอบการศึกษา ในระดับอุดมศึกษา</p> https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/282770 Table of Contents 2025-08-06T09:17:06+07:00 J Editor journal.tu@gmail.com 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/282537 คนสองเพศ: ปัญหาและสิทธิในเพศสรีระ 2025-07-25T14:10:55+07:00 สุมาลี มหณรงค์ชัย sumaleema2@gmail.com <p style="margin: 0in; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif;">บทความวิจัยนี้ศึกษาความหมาย ประเภท และกรณีปัญหาที่เกิดกับบุคคลสองเพศ ผลการศึกษาพบว่า บุคคลสองเพศแตกต่างจากบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศประเภทอื่น พวกเขาประสบปัญหาการไม่ได้รับสิทธิในการกำหนดเพศทางกายภาพดั้งเดิมให้แก่ตนเอง เนื่องจากอวัยวะเพศกำกวมร่างกายของพวกเขาถึงถูกมองว่าเป็นความผิดปกติในการพัฒนาการทางเพศ และถูกกำหนดเพศสภาพรวมทั้ง ปรับแต่งเพศสรีระ (ที่ยังไม่ชัดเจนแต่เปลี่ยนแปลงได้เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น) ตามเพศภาพนั้นอย่างรวตเร็วเพศที่บุคคลสองเพศได้รับจึงไม่ใช่เพศทางธรรมชาติของพวกเขา แต่เป็นเพศคู่ (ไม่ชายก็หญิง) ตามอิทธิพลของวัฒนธรรม การกำหนดเพศสภาพและเพศสรีระให้แก่บุคคลสองเพศแบบนี้สะท้อนชีวจริยธรรมแบบเก่าที่ขัดแย้งกับความหลากหลายทางธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งทั้งทางร่างกาย และจิตใจของบุคคลกลุ่มนี้จากการที่พวกเขาถูกตีตราและทำให้เป็นปกติในทางวัฒนธรรมตั้งแต่กำเนิด การสนับสนุนสิทธิทางเพศสรีระของบุคคลสองเพศคือการที่สังคมตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขาภายใต้ชีวจริยธรรมชุดใหม่ที่เน้นรักษาความสมดุลระหว่างธรรมชาติกับวัฒนธรรม</span></p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/282539 สถานะและการใช้หลักการประชาธิปไตย ผ่านถ้อยคำตามสัญญะทางการเมือง : มิติทางสังคมศาสตร์ 2025-07-25T15:11:19+07:00 เกรียงไกร รอบรู้ kriangkrai.r@bu.ac.th <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจถึงสถานะและการใช้หลักการ ประชาธิปไดยผ่านถ้อยคำตามสัญญะทางการเมือง ในมิติทางสังคมศาสตร์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย 2 รูปแบบ ได้แก่ (1) วิธีการศึกษาเชิงเอกสาร จากเอกสารที่เกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎี หลักการทางด้านนิติปรัชญา สถาบัน ทางการเมือง การสื่อสารทางการเมือง และสัญศาสตร์/สัญวิทยา (2) วิธีการสัมภาษณ์ จากผู้เชี่ยวชาญในกลุ่ม สังคมศาสตร์ และผู้นำนักศึกษาของหลักสูตรระดับปริญญาตรีในกลุ่มสังคมศาสตร์<br>ผลการศึกษาวิจัย พบสถานะและการใช้ถ้อยคำว่าด้วยหลักการประชาธิปไตยตามสัญญะทางการเมือง ดังนี้ (1) หลักการประชาธิปไตยเป็นสัญญะที่แสดงถึงแนวคิดและทฤษฎี (2) หลักการประชาธิปไตยเป็นสัญญะ ที่แสตงถึงสถานะทางกฎหมาย (3) หลักการประชาธิปไตยเป็นสัญญะที่อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม (4) หลักการประชาธิปไตยเป็นสัญญะที่แสตงถึงวาทกรรม (5) หลักการประชาธิปไตยเป็นสัญญะที่สะท้อนกระแสนิยม (สมัยนิยม) (6) ข้อสังเกตต่อการใช้ถ้อยคำว่าด้วยหลักการประชาธิปไตยตามสัญญะทางการเมือง ในประเด็นความหมายของสัญญะที่มีความชับช้อน การตีความ การอธิบายสัญญะ เจตนารมณ์ของผู้ใช้สัญญะ รวมถึงข้อ ควรระวังในการใช้สัญญะที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น<br>ข้อเสนอแนะการศึกษาวิจัย (1) หลักสูตรทางด้านสังคมศาสตร์ควรมีบทเรียนที่สร้างความเข้าใจต่อการศึกษาสัญศาสตร์/สัญวิทยา การตีความ การอธิบายความ ข้อสังเกต ความเชื่อถือที่มีต่อการใช้สัญญะ (2) ควรมีการศึกษาต่อยอดถึงสถานะและการใช้สัญญะทางการเมืองในรูปแบบอื่น ๆ รวมถึงการศึกษาผลกระทบที่เกิด การใช้สัญญะทางการเมือง ในมิติทางด้านนิติศาสตร์ และ/หรือ สังคมศาสตร์สาขาอื่น ๆ</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/273289 การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังกับการมีภาวะซึมเศร้าของประชากรไทย 2024-07-03T11:02:54+07:00 Piyaporn Naruphai piyaporn.naruphai@gmail.com Rukchanok Karcharnubarn piyaporn.naruphai@gmail.com <p>จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและภาวะซึมเศร้าในประชากรไทยวัยกลางคนและวัยสูงอายุ ซึ่งพบว่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรไทย การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาความสัมพันธ์ของการเป็นโรคเรื้อรังกับการมีภาวะซึมเศร้าของประชากรไทยวัยกลางคนและวัยสูงอายุ ตลอดจนการศึกษาปัจจัยของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีความสัมพันธ์กับการมีภาวะซึมเศร้า เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและลดปัญหาภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังของประชากรไทย โดยกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่ตอบแบบสัมภาษณ์ด้วยตนเองจากโครงการสำรวจอนามัยและสวัสดิการ พ.ศ. 2564 ผลการศึกษาพบว่าการมีโรคเรื้อรังมีความสัมพันธ์กับการมีภาวะซึมเศร้าของประชากรไทยทั้ง 2 ช่วงวัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยผลการศึกษาพบว่าประชากรวัยกลางคนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังมีโอกาสที่จะมีภาวะซึมเศร้าสูงกว่าผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เป็นผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคเรื้อรังทั้งในวัยกลางคนและวัยสูงอายุ ได้แก่ สถานภาพการทำงาน จำนวนของโรคเรื้อรังที่เป็น การหยุดกิจวัตรประจำวันเนื่องจากการเจ็บป่วย วิธีการรักษาพยาบาล และค่ารักษาพยาบาล ในขณะที่ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมีภาวะซึมเศร้าที่พบเฉพาะในผู้ป่วยวัยกลางคน คือ ศาสนา ระดับการศึกษา เขตที่อยู่อาศัย และค่าพาหนะไป-กลับเพื่อเดินทางไปรักษาพยาบาล และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมีภาวะซึมเศร้าที่พบเฉพาะในผู้ป่วยวัยสูงอายุ คือ เพศ สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และจำนวนสมาชิกในครัวเรือน ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังในแต่ละกลุ่มวัยให้เข้าถึงการรักษา และได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันและลดปัญหาภาวะซึมเศร้าของประชากรไทยวัยกลางคนและวัยสูงอายุต่อไปได้</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารธรรมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/272361 การประยุกต์ใช้แนวคิดลีนในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการพิจารณาผลงาน เพื่อคัดเลือกเป็นแนวปฏิบัติที่ดี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2024-07-12T12:33:29+07:00 Bannagorn Saelim bannagorn.s@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการปรับปรุงกระบวนการพิจารณาผลงานเพื่อคัดเลือกเป็นแนวปฏิบัติที่ดี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยประยุกต์ใช้แนวคิดลีนเป็นเครื่องมือในการพัฒนากระบวนการทำงาน เริ่มจากจัดทำแผนภูมิกระบวนการไหลเพื่อศึกษากระบวนการทำงานในปัจจุบัน วิเคราะห์สภาพปัญหาด้วย 5W1H และแนวทางการปรับปรุงด้วย ECRS<sup>IT</sup> สรุปผลการปรับปรุง และนำเสนอกระบวนการทำงานใหม่ด้วยแผนผังสายธารแห่งคุณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่และร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า การปฏิบัติงานก่อนการปรับปรุง 112 กิจกรรม หลังการปรับปรุงคงเหลือ 46 กิจกรรม ลดลงจากเดิม 66 กิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 58.93 ระยะเวลาปฏิบัติงานก่อนการปรับปรุง 3,035 นาที หลังการปรับปรุงคงเหลือ 730 นาที ลดลงจากเดิม 2,305 นาที คิดเป็นร้อยละ 75.95 การใช้กระดาษก่อนการปรับปรุง 503 แผ่น หลังการปรับปรุงคงเหลือ 12 แผ่น ลดลงจากเดิม 491 แผ่น คิดเป็นร้อยละ 97.61 และค่าใช้จ่ายการใช้กระดาษก่อนการปรับปรุง 236.41 บาท หลังการปรับปรุงคงเหลือ 5.64 บาท ลดลงจากเดิม 230.77 บาท คิดเป็นร้อยละ 97.61 ผลการวิจัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการทำงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารธรรมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/282612 ความรู้สึกต่อสถานที่: ประสบการณ์เชิงอารมณ์และอัตลักษณ์ ของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม 2025-07-29T15:52:09+07:00 ณัฐจรี สุวรรณภัฏ natchare@tu.ac.th <p>บทความวิจัยชิ้นนี้มุ่งนำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์และการวิเคราะห์ที่แสดงถึงบทบาทสำคัญของแง่มุมเชิงอารมณ์ความรู้สึกต่อสถานที่อยู่อาศัยอย่างเช่นคอนโตมิเนียม โดยอาศัยข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วมจากผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในย่านถนนจรัญสนิทวงศ์จำนวน 18 คน แนวคิดความรู้สึกต่อสถานที่ให้แนวทางในการมองความสัมพันธ์ระหว่างสถานที่และบุคคล ผ่านการให้ความหมายและประสบการณ์เชิงอารมณ์ความรู้สึกต่อสถานที่ และชี้ให้เห็นความสำคัญของประสบการณ์เชิงอารมอารมณ์ต่อการให้ความหมายและชี้แนะแนวทางการกระทำของปัจเจกบุคคล คำถามหลักคือ ในฐานะที่คอนโตมิเนียมเป็น "บ้าน" หรือสถานที่อยู่อาศัยหนึ่ง บุคคลมีประสบการณ์กับคอนโดมิเนียมและย่านที่อยู่อาศัยที่คอนโดมิเนียมตั้งอยู่อย่างไร แง่มุมเชิงอารมณ์ความรู้สึกใดที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คอนโตมิเนียมมีความหมายเชิงอารมณ์อย่างไรผู้อยู่อาศัยรู้สึกอย่างไรต่อสถานที่และพื้นที่ของคอนโตมิเนียม และอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวมีส่วนก่อรูปการกระทำและสร้างอัตลักษณ์ของผู้อยู่อาศัยอย่างไร บทความแสดงให้เห็นพลวัตการตัดสอนใจเลือกประเภทและที่อตั้งของที่อยู่อาศัยที่ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ความรู้สึกที่บุคคลมีต่อคอนโคมิเนียมและย่านจรัญสนิทวงศ์ และชี้ให้เห็นว่านอกจากลักษณะเชิงกายภาพของสถานที่จะมีส่วนกำหนดพฤติกรรมแล้ว ประสบการณ์เชิงอารมณ์ความรู้สึกและการให้ความหมายต่อสถานที่ที่ผู้อยู่อาศัยพัฒนาขึ้น ยังมีอิทธิพลต่อแนวทางพฤติกรรม วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ของผู้อยู่อาศัย</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/271839 The การศึกษาวิเคราะห์นโยบายสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนไทยและการนำนโยบายไปปฏิบัติในบริบทไทย 2024-07-24T15:07:13+07:00 Panat Chueprasertsak panat.ch1992@gmail.com Sombat Tayraukham panat.ch1992@gmail.com Nongluck Kienngam panat.ch1992@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาของนโยบายสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนไทยในบริบทไทย และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนานโยบายสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนไทยในบริบทไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) จากการศึกษาเอกสาร (documentary research) ได้แก่ แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พศ. 2561 - 2580) ในช่วงแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งคัดเลือกตามแนวทางการคัดเลือกเอกสารของ Scott (1990) โดยอาศัยหลักเกณฑ์ 1) เป็นเอกสารที่มีผลบังคับใช้ 2) มาจากแหล่งข้อมูลของภาศรัฐ 3) เป็นตัวแทนที่ดีของเอกสารภาครัฐ และ 4) มีความชัดเจนและเผยแพร่สู่สาธารณะ ประกอบด้วยการศึกษานโยบายสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนไทย และการวิเคราะห์นโยบายสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนไทย จากการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ที่นำไปสู่การตีความและสรุปประเด็น โดยตรวจสอบคุณภาพของข้อมูล ด้วยการเปรียบเทียบข้อมูลกับทฤษฎีและแนวคิด (theory tianqulation) โดยเทียบเคียงกับแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพจิตตามกฎบัตรออดตาวา (O(tawa Charter) ผลการวิจัยสรบได้ว่า นโยบายทางสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนไทย มีหลักการที่ใกล้เคียงกับแนวทางการส่งเสริมสุขภาพจิตตามกฎบัตรออดตาวา (Ottawa Charter) แต่ขาดการกำหนดกลยุทธ์พื้นฐานของการสร้างเสริมสุขภาพ (basic stratezies for health promotion) ที่ส่งเสร็มความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเมื่อทำการวิเคราะห์นโยบายดังกล่าวร่วมกับแนวคิดและทฤษฎี รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จึงพบว่า แม้กระบวนการจัดทำนโยบายดังกล่าว เกิดจากการมีส่วนร่วมในทกระดับ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งมีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งใช้เป็นนโยบายที่รองรับกับเยาวชนส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี แต่ไม่อาจรองรับกับเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งแม้เป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมไทย แต่ก็ถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากนโยบายดังกล่าว เนื่องจากนโยบายดังกล่าวมีเพียงเนื้อหาที่ระบุคำว่า "เพศ" ในความหมายเพศตามกำเนิด (pender) เท่านั้น แต่ไม่ได้ระบประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเหลือมลำทางเพศอันส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพจิตของเยาวชนในบริบทสังคมไทย อีกทั้งยังปรากฏการใช้ข้อความที่สะท้อนถึงการดีตราทางเพศในเอกสารนโยบายภาครัฐ เช่น การระบุว่าเพศเสรีเป็น "พฤติกรรมเสียงของเยาวชน" หรือครอบครัวที่มาจากเพศเดียวกันเป็นครอบครัวที่ "ขาดความอบอุ่น" เป็นต้น ผลการวิจัยดังกล่าว จึงสะท้อนถึงการติดกับกรอบเพศแบบสองขั้ว (eender binary) ซึ่งส่งผลให้การนำนโยบายไปใช้ ถูกจำกัดด้วยกรอบที่ไม่สอดรับกับความเป็นจริงของสังคม ทำให้การกำหนดกลยุทธ์พื้นฐานของการสร้างเสริมสุขภาพ (basic strategies for health promotion) ซึ่งเปรียบเสมือนเข็มทิศในการนำนโยบายไปใช้ ที่ไม่สอดรับกับบริบทจริงด้วย ผู้วิจัยจึงขอให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้ 1) กรมสุขภาพจิตควรเพิ่มการระบุประเด็นความหลากหลายทางเพศในแผนพัฒนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561-2580) และ 2) กรมกิจการเด็กและเยาวชนควรบรรจุเรื่องความหลากหลายทางเพศในหลักสูตรการศึกษาและกิจกรรมพัฒนาเยาวชน</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารธรรมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/272454 การกำหนดจุดยืนการบริหารป่านันทนาการของประเทศไทย 2024-07-10T11:26:13+07:00 Kitichai Rattana fforkcr@ku.ac.th Sarat Rattana fforkcr@ku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดปรัชญาและกลยุทธ์ที่เป็นจุดยืนของการบริหารป่านันทนาการบนฐานการเติบโตสีเขียวที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับบริบทภูมิสังคมของไทย เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ที่ผสมผสานเทศนิควิธีครอบคลุมทั้งการทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกผู้ให้ข้อมูลหลัก 5 คน การสร้างกระบวนการถ่ายทอดคุณค่าป่านันทนาการควบคู่กับการระดมสมอง และการประชุมกลุ่มย่อย จำนวน 80 คน ผลการศึกษา ค้นพบถึงแรงขับและเงื่อนไขที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการป่านันทนาการ ทั้งในด้านคุณค่าความเชื่อมโยงของนิเวศบริการ การบริหารนโยบาย ป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ.2562 การปรับตัวระดับนโยบายและองค์กรต้านการบริหารจัดการป่านั้นทนาการ และห่วงโซ่ภารกิจด้านการพัฒนาและบริหารป่านันทนาการ จึงได้กำหนดจุดยืนในด้านปรัชญา และออกแบบแผนกลยุทธ์การบริหารป่านันทนาการของประเทศไว้ 5 กลยุทธ์ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ 1 ยกระดับคุณค่าป่านันทนาการเพื่อเป็นมรดกทางธรรมชาติที่ประชาชนหวงแหนและภาคภูมิใจใช้ประโยชน์ร่วมกัน กลยุทธ์ที่ 2 วางแผนพัฒนาป่านันทนาการเพื่อให้บริการแก่ประชาชนนฐานการสร้างการเรียนรู้และประสบการณ์<br />ใหม่ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ กลยุทธ์ที่ 3 เสริมสร้างความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นใน การบริหารป่านันทนาการเพื่อสร้างมูลค่านิเวศเศรษฐกิจชุมชนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี กลยุทธ์ที่ 4 สร้างเครือข่ายหุ้นส่วนความร่วมมือที่หลากหลายในการบริหารป่านันทนาการที่สร้างคุณค่าร่วมกับสังคม และกลยุทธ์ที่ 5 เร่งเสริมสมรรถนะองค์กรและกลไกการบริหารป่านันทนาการให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของประชาชน</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารธรรมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/272408 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2566 จังหวัดชลบุรี 2024-07-12T12:17:49+07:00 Patcharapa Tantrajin tun007_11@hotmail.com <p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ประการคือ 1) ศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบบรรยากาศทางการเมืองการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2566 กับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 2) ศึกษาความเคลื่อนไหวและพฤติกรรมทางการเมืองของตัวแสดงที่สำคัญคือภาคการเมืองภาคประชาชน บทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และบทบาทของภาคส่วนอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรเฝ้าระวังการเลือกตั้ง 3) เพื่อวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวและพฤติกรรมทางการเมืองการเลือกตั้งที่ส่งผลต่อผลการเลือกตั้งและส่งผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในพื้นที่ งานวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า ความแตกต่างจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2562 คือบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไปในระดับประเทศ และบริบททางเศรษฐกิจการเมืองภายในจังหวัดชลบุรี ผลการเลือกตั้ง มีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 77.80% โดยตัดสินใจเลือกจากนโยบายพรรคการเมืองมากขึ้น พลเมืองชลบรีก็มีพัฒนาการตื่นรู้ในสิทธิเสร็ภาพการออกเสียงเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยโดยใช้การเลือกตั้งสะท้อนเสียงไปถึงขั้วอำนาจในพื้นที่และการเมืองระดับชาติ การเลือกตั้งทั่วไปพื้นที่ชลบุรีสะท้อนพัฒนาการประชาธิปโตยจากส่วนล่าง แต่ระดับโครงสร้างส่วนบน ยังไม่สามารถสะท้อนเจตจำนงทางการเมืองของพลเมืองที่มาออกสิทธิเลือกตั้งได้</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารธรรมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/282540 อัตลักษณ์จีนกับสำนึกของลูกหลานไทยเชื้อสายจีนในปัจจุบัน 2025-07-25T15:21:12+07:00 ปริญญา มงคลพาณิชย์ parinya.mo@lsed.tu.ac.th ชุติมา เข็มเจริญ parinya.mo@lsed.tu.ac.th <p>บทความเรื่อง อัตลักษณ์จีนกับสำนึกของลูกหลานไทยเชื้อสายจีนในปัจจุบัน ผู้เขียนมุ่งศึกษามุมมอง ที่มีต่อสำนึกทางอัตลักษณ์จีนของลูกหลานจีนที่สังกัดอยู่ในโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ใช้แนวคิดของ Gagne and Deci (2005) เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง จากกลุ่มคนรุ่นอายุ 15-18 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนจำนวน 195 คน และกลุ่มคนรุ่นอายุ 20-45 ปี ซึ่งเป็นครูจำนวน 36 คน รวมทั้งสิ้น 231 คน จัดเป็นคนไทยเชื้อสายจีนรุ่นที่ 3 ลงมานับจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเมืองจีน โดยมีกรอบการนำเสนอ 4 ประเด็น คือ 1. สายสัมพันธ์ในครอบครัว 2. ภาษาและตัวตนคนเชื้อสายจีน 3. ความ กตัญญูและเทศกาล และ 4. ความเชื่อ ผลการศึกษาพบว่า ประเด็นเรื่องสายสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นลูกหลานจีน มองว่า "แซ่" ยังเป็นสิ่งที่แสตงตัวตนความเป็นจีนได้ดีที่สุด แม้ปัจจุบันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนามสกุลแบบ ไทยไปแล้วก็ตาม ส่วนสถานะเรื่องเพศในครอบครัวนั้น เพศหญิงถูกยอมรับมากขึ้น ประเด็นเรื่องภาษาและตัวตน คนเชื้อสายจีน คนเชื้อสายจีนที่อายุ 20-45 ปี บางคนยังมองว่าลูกหลานควรมีทักษะภาษาจีนอย่างใดอย่างหนึ่ง ติดตัว แต่ภาพรวมของคนทุกช่วงอายุนั้นแทบไม่มีความรู้และทักษะภาษาจีนเลย พวกเขามองว่าภาษาจีนเป็นเช่น เดียวกับภาษาอื่น ๆ ที่เลือกเรียนเองได้หากสนใจ ประเด็นเรื่องความกตัญญูและเทศกาล คนช่วงอายุ 20-45 ปี ส่วนมากมองว่าเทศกาลตรษจีน สารทจีน และเช็งเม้ง ยังเป็นสามเทศกาลที่สำคัญ ส่วนคนช่วงอายุ 15-18 ปี คุ้นเคยแค่เทศกาลตรุษจีนเท่านั้น ประเด็นเรื่องความเชื่อ คนช่วงอายุ 20-45 ปี บางส่วนยังมองว่าสำนึกในความกตัญญูจะส่งผลต่อความเคร่งครัดในพิธีกรรม ในขณะที่คนส่วนมากรวมถึงคนรุ่นอายุ 15-18 ปี มีความคิดตาม หลักวิทยาศาสตร์ จึงมีมุมมองต่อการปฏิบัติในพิธีกรรมความเชื่อที่ผ่อนคลายลงมากกว่า</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/282669 ยุทธศาสตร์การพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์: ก้าวต่อไปกับพลวัตของสังคมที่เปลี่ยนแปลง 2025-07-31T15:36:47+07:00 Irin Rotrak irin.rrk@gmail.com <p>สถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวตเร็วในปัจจุบัน ส่งผลให้เทคโนโลยีทางไซเบอร์ได้พัฒนาไปอย่าง ก้าวกระโดด พื้นที่ไซเบอร์จึงได้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งสำหรับการดำรงชีวิตของคนในสังคม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลต่อความมั่นคงของนานาประเทศในหลากหลายมิติ รวมถึงประเทศไทยที่มีสิ่งบ่งชี้หลายประการว่าความมั่นคงของประเทศได้รับผลกระทบจากไซเบอร์ในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับของรูปแบบที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน ความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงสภาวะแวดล้อมในชีวิตประจำวันรอบตัว ทั้งในลักษณะการจารกรรม การก่อการร้าย ตลอดจนการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่อกวนหรือทำลายความสงบเรียบร้อย ความตระหนักถึงศักยภาพของไซเบอร์ต่อความมั่นคงของชาตินั้นเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลก ซึ่งหลายประเทศพยายามสร้างและพัฒนาขีดความสามารถทางไซเบอร์ เพื่อบ่งชี้ว่าประเทศของตนมีศักยภาพที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบและความสามารถในการแข่งขันด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตามยิ่งมีความก้าวหน้าและพึ่งพาไซเบอร์มากเพียงใด ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติจากไซเบอร์มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทบทวนแนวคิดความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และนำเสนอแนวทางในการพัฒนายุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทยภายใต้พลวัตรของสังคมที่เปลี่ยนแปลง</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารธรรมศาสตร์