วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดพิมพ์ “วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการด้านนิติศาสตร์หรือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับทางนิติศาสตร์ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจและ มีคุณค่าทั้งในด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ในรูปแบบของวารสารทางวิชาการ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้บุคคล ทั้งภายในและภายนอกสามารถนำเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะได้อีกด้วย</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong></p> <p>การจัดพิมพ์วารสารนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์จะจัดพิมพ์ปีละ 4 ครั้ง ราย 3 เดือน ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม<br />ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br />ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</p> คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ th-TH วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2985-2633 <p>ผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสารนิติศาสตร์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สงวนสิทธิในการเผยแพร่ผลงานที่ตีพิมพ์ในแบบรูปเล่มและทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นใด<br>บทความหรือข้อความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารนิติศาสตร์เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนโดยเฉพาะ&nbsp; คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> แนวทางแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ....: ขอบเขตการใช้บังคับ การตีความและการอุดช่องว่าง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/276079 <p>ประเทศไทยได้พิจารณาที่จะรับเอาอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ค.ศ. 1980 (อนุสัญญาฯ) และจำเป็นที่จะต้องตรากฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศขึ้นเพื่อนำเอาหลักการและบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ มาใช้บังคับ ดังนั้น คณะกรรมการผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ทางกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการและบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ บทความนี้จึงได้ศึกษาบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ งานเขียนทางวิชาการ และคำพิพากษาศาลต่างประเทศ ที่ได้อธิบายแนวทางการตีความกฎเกณฑ์ของอนุสัญญาฯ ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับ การตีความและการอุดช่องว่าง รวมถึงแนวทางการปรับใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวกับประเด็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ บทความนี้ยังมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์ และตอบคำถามที่ว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ หรือไม่ โดยบทความนี้ได้พบว่า โครงสร้างบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติฯ ถ้อยคำ รวมไปถึงสาระสำคัญของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับขอบเขตการใช้บังคับร่างพระราชบัญญัติฯ การตีความและการอุดช่องว่าง คลาดเคลื่อนไปจากที่กำหนดไว้ตามอนุสัญญาฯ บทความนี้ได้เสนอแนวทางสำหรับการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา 2 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 12 นอกจากนี้ บทความนี้ยังเสนอให้เพิ่มเติมบทบัญญัติมาตรา 4/1 และมาตรา 5/1 ทั้งนี้ เพื่อทำให้เป็นที่แน่ใจได้ว่ากฎเกณฑ์ของร่างพระราชบัญญัติฯ ที่เกี่ยวกับเรื่องขอบเขตการใช้บังคับ การตีความ และการอุดช่องว่าง สอดคล้องกับกฎเกณฑ์อย่างเดียวกันที่กำหนดในอนุสัญญาฯ</p> พัชยา น้ำเงิน Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) แนวทางด้านกฎหมายในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทย: กรณีการกระทำผิดฐานอื่นสืบเนื่องจากการเสพยาเสพติด https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/277068 <p>บทความฉบับนี้ ได้กล่าวถึง แนวทางด้านกฎหมายในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทย ในกรณีการกระทำผิดฐานอื่นสืบเนื่องจากการเสพยาเสพติด ผู้เขียนได้สนับสนุนให้มีการหันเหตัวผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดไปบำบัดรักษาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาโดยนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้กระทำผิดแต่ละคนมาพิจารณาประกอบ อันจะช่วยส่งผลให้การบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนจึงได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 114 กล่าวคือ ในส่วนของฐานความผิดที่ผู้ต้องหามีสิทธิเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูให้ขยายความรวมถึงกระทำผิดฐานอื่น ๆ ซึ่งเป็นความผิดเล็กน้อย สืบเนื่องจากการเสพยาเสพติดด้วย โดยหันเหผู้กระทำความผิดฐานอื่นสืบเนื่องจากยาเสพติดที่มิใช่ความผิดร้ายแรงให้สามารถเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดโดยสมัครใจในชั้นก่อนฟ้อง ในกรณีที่ผู้ต้องหาและผู้เสียหายสามารถตกลงไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาได้ ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 หรือพนักงานอัยการมีคำสั่งชะลอฟ้อง ในคดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> ภัทรวรรณ ทองใหญ่ Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) พัฒนาการกฎหมายไทยและกฎหมายสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเกี่ยวกับการเลือกศาลและการยอมรับคำพิพากษาศาลต่างประเทศ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/275617 <p>หลังจากที่ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง (พ.ศ. 2477) มาตรา 7 ที่ยอมให้คู่ความเสนอคำฟ้องต่อศาลที่คู่ความตกลงกันและระบุไว้ในสัญญาได้ถูกยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ. 2534 โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) ประเทศไทยได้ออกพระราชบัญญัติหลายฉบับในช่วงปี พ.ศ. 2534 ถึง พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับการรับขนระหว่างประเทศและกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่งจากมลพิษน้ำมัน จากการศึกษากฎหมายขนส่งระหว่างประเทศ 4 ฉบับที่ตราขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ. 2548 พระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. 2556 พระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. 2558 (รวมทั้ง พระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560) พบว่ากฎหมายเหล่านี้มีที่มาจากอนุสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี ทำให้โจทก์มีสิทธิเลือกฟ้องคดีต่อศาลใดศาลหนึ่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายและบางฉบับยอมรับข้อตกลงของคู่สัญญาในการเลือกศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีทั้งข้อตกลงที่ทำขึ้นและระบุไว้ในเอกสารการขนส่งและข้อตกลงที่ทำขึ้นเพื่อเลือกศาลใด ๆ หลังจากเกิดสิทธิเรียกร้องขึ้นแล้ว ทำให้เกิดพัฒนาการของกฎหมายไทย ส่วนกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องมลพิษน้ำมัน 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. 2560 และ พระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. 2560 แสดงให้เห็นพัฒนาการอีกก้าวหนึ่งที่ยอมรับคำพิพากษาศาลต่างประเทศ (แต่เฉพาะเรื่องความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน) และชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของทฤษฎีทวินิยม (Dualism) แต่ประเทศไทยก็ยังไม่มีกฎหมายที่บัญญัติรายละเอียดการยอมรับคำพิพากษาศาลต่างประเทศ เอกสารที่ต้องใช้และกระบวนพิจารณาที่ใช้ได้เป็นการทั่วไป เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีเอกนิยม (Monism) ประเทศไทยและสปป.ลาว ร่วมกันลงนามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (ASEAN Framework Agreement on Multimodal Transport) และความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Great Mekong Subregion Cross-Border Transport Agreement หรือ GMS) ภาคผนวก 5 และภาคผนวก 10 ว่าด้วยการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าซึ่งมีบทบัญญัติเรื่องการเลือกศาลและใช้บังคับในสปป.ลาว ในส่วนของกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษน้ำมัน สปป.ลาวไม่มีกฎหมายในลักษณะเดียวกับกฎหมายไทยเกี่ยวกับเรื่องมลพิษน้ำมัน 2 ฉบับที่กล่าวถึงข้างต้น แต่สปป.ลาวมีกฎหมายการดำเนินคดีแพ่งฉบับใหม่ ค.ศ. 2012 ที่บัญญัติการยอมรับคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ เงื่อนไขการยอมรับ เอกสารที่ต้องใช้และกระบวนพิจารณา จึงมีปัญหาด้วยว่าประเทศไทยควรจะพัฒนากฎหมายเรื่องการยอมรับคำพิพากษาศาลต่างประเทศอย่างไร</p> ประมวล จันทร์ชีวะ Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) จากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไปสู่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ควรถูกแก้ไขเพิ่มเติม: ถอดบทเรียนจากทฤษฎีของยานิฟ รอซไน https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/276083 <p>บทความฉบับนี้มุ่งศึกษาทฤษฎีที่มีชื่อเสียงในเรื่อง “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” ของยานิฟ รอซไนใหม่เพื่อเป็นกรอบความคิดเชิงทฤษฎีกฎหมายสำหรับบ่งชี้ถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะใดบ้างที่สมควรถูกแก้ไขเพิ่มเติม (“กรอบความคิดเชิงทฤษฎีกฎหมาย ฯ”) ผู้เขียนมุ่งนำเสนอให้เห็นว่ากรอบดังกล่าวมีหัวใจสำคัญ ได้แก่ “ขั้นบันไดทางรัฐธรรมนูญแบบดัดแปลง” (modified constitutional escalator) ซึ่งอนุมานว่ายิ่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญใดมีเนื้อหาหรือสร้างกลไกที่เป็นอุปสรรคต่อการที่ปวงชนทุกภาคส่วนและทุกรุ่นจะสามารถแสดงออกซึ่งความเป็นเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญลำดับแรกได้เองโดยตรงร่วมกันเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวบทรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นก็ยิ่งสมควรถูกสันนิษฐานว่าเป็นตัวบทที่ควรจะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในทางกลับกัน การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวบทรัฐธรรมนูญใดที่อำนวยให้ปวงชนสามารถใช้สิทธิในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้เองในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับการแสดงออกซึ่งอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญลำดับแรกมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นก็ควรถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สมควร ทั้งนี้ การที่กรอบความคิดเชิงทฤษฎี ฯ จะสามารถปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ในความเป็นจริงต้องอาศัยสมมติฐานพื้นฐาน 3 ประการด้วยกัน ได้แก่ สมมติฐานต่อความสมบูรณ์แบบของรัฐธรรมนูญ สมมติฐานว่าด้วยแนวคิดอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญแบบเอกนิยม และสมมติฐานว่าด้วยพลเมืองตื่นรู้ ผู้เขียนมุ่งวิเคราะห์ศักยภาพและข้อจำกัดของกรอบทฤษฎีข้างต้นผ่านบริบทของระบอบประชาธิปไตยใหม่ 3 กรณีศึกษา ได้แก่ ไต้หวัน มาเลเซีย และไทย ซึ่งเคยเผชิญหรือยังคงเผชิญกับวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ท้าทายสมมติฐานทั้งสาม กรณีศึกษาของไต้หวันเป็นตัวอย่างของบริบทที่กรอบความคิดเชิงทฤษฎีกฎหมาย ฯ สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเปลี่ยนผ่านระบบรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นแต่ขณะเดียวกัน บริบทดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของสมมติฐานว่าด้วยแนวคิดอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญแบบเอกนิยมซึ่งมองอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็น “อำนาจที่ธำรงอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพิสูจน์” ในทางตรงกันข้าม มาเลเซียเป็นตัวอย่างของบริบทที่หากนำกรอบความคิดเชิงทฤษฎีกฎหมาย ฯ ไปปรับใช้อาจก่อให้เกิดผลทางลบต่อตัวกรอบดังกล่าวเอง ส่วนบริบทของไทยมีลักษณะ “ก้ำกึ่ง” ระหว่างบริบทของไต้หวันและบริบทของมาเลเซีย กล่าวคือ ประสบการณ์ของไทยสะท้อนการที่กรอบความคิดเชิงทฤษฎีกฎหมาย ฯ สามารถนำไปปรับใช้ได้บางส่วน</p> รวินท์ ลีละพัฒนะ ชมพูนุท ตั้งถาวร Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) ส่วนหน้า https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279847 APINOP ATIPIBOONSIN Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) A Need for Sexual Requirement in Thai Family Law? https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/275774 <p>The aim of this article is to discuss the need to include the sexual requirement in Thai family law, beginning with the development of sexuality in family law to demonstrate that the sexual elements of family law have become less significant. Then, the response of Thai family law to the sexual relationship of married couples is explored by considering the provisions in the Thai Civil and Commercial Code that are associated with the sexual requirement; for example, Section 1461 requires spouses to reside together and have sexual intercourse with each other and, according to Section 1516, the inability of a spouse to have sexual intercourse is a ground for divorce. The possible interpretation of those provisions as amended by the Marriage Equality Act is also discussed. The current positions of the family laws in the chosen jurisdictions, namely, England, Germany, and Japan, are then compared. Finally, the abolition of the sexual requirement in Thai family law is analysed and recommended.</p> <p> </p> Kittipob Wangkham Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) Orthodontic Treatment by General Dentists and Orthodontic Specialists: Facts and Law as Torts for Latent Harm https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/274789 <p>Abstract</p> <p>This article explores the factual and legal issues arising from torts related to orthodontic treatment performed by general dentists lacking specialized expertise. It addresses latent harm, where damages are not immediately apparent. Such issues are prevalent in many countries where "general dentists" can perform orthodontics, even in the United States and Australia. The article analyzes the complexities in proving and claiming damages, including correcting misconceptions of harmed individuals who believe they cannot hold general dentists accountable, as seen in public Q&amp;A forums in Thailand. This study is written from the perspective of an attorney who discovered being a victim of inadequate orthodontic treatment by a general dentist. Personal medical data are presented as case studies to support the analysis. Data were collected through reviews of legal documents, dental research articles from both Thai and international sources. The study references the guidelines of dental organizations in Thailand compared to other countries and specific case examples of damages from fixed orthodontic appliances. The findings highlight significant gaps and impacts on patients, using scientific dental research to explain dental damages and liabilities. This article aims to benefit all countries still allowing general dentists without specialized training to perform orthodontics and to provide comparative legal guidelines for potential adjustments in their own cases.</p> Patchara Bowornpattanakun Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) คำพิพากษาฎีกาที่ 1199/2557 (ปัญหาการวินิจฉัยเจตนาในความผิดฐานหมิ่นประมาท กรณีที่ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงและต่างว่าซึ่งกันและกัน) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/275904 <p>-</p> นันทพัทธ์ เชาวลิต Copyright (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-31 2025-03-31 54 1 (มกราคม-มีนาคม 2568)